ธนาคารไทยพาณิชย์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 19 Nov 2023 03:54:44 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “SCB” เร่งยกเครื่อง “Core Banking” ของธนาคาร หลังพบระบบดิจิทัลบางอย่างใช้มานาน 20 ปีไม่เคยอัปเดต https://positioningmag.com/1452373 Sat, 18 Nov 2023 07:34:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1452373 หลังธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ประกาศก้าวสู่การเป็น “Digital Bank with Human Touch” สิ่งที่ต้องทำคือการรื้อ “หลังบ้าน” ของตนเองให้สอดคล้องกับนโยบายใหม่ ตั้งแต่ปีนี้ธนาคารจึงเริ่ม “ยกเครื่อง” เตรียมเปลี่ยน “Core Banking” ให้ทันสมัย ลดจำนวนระบบเกี่ยวเนื่องให้ไม่ซ้ำซ้อน และอัปเดตให้ทันโลกหลังบางระบบใช้มานาน 20 ปี จัดบ้านให้พร้อมรับเทคโนโลยี AI ที่จะมาช่วยให้ธนาคารบริการลูกค้าได้แม่นยำ เรียลไทม์ และทำงานเชิงรุกได้ดีขึ้น

“Core Banking เรายังใช้ภาษาโคบอลต์อยู่เลย วันนี้ภาษานี้ไม่มีเรียนในสถาบันการศึกษาแล้วด้วยซ้ำ แล้วยังระบบต่าง ๆ ที่แยกย่อยออกไปอีก มีทำงานอยู่ถึง 764 ระบบ ในจำนวนนี้มากกว่า 50 ระบบมีอายุมากกว่า 20 ปี ลองนึกดูว่าเทคโนโลยีเมื่อ 20 ปีที่แล้วคืออะไร หลายคนอาจจะไม่รู้จัก”

“อรพงศ์ เทียนเงิน” ผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Technology ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวถึง ‘งานช้าง’ ที่รออยู่ข้างหน้า เมื่อธนาคารตัดสินใจจะต้องเร่งเครื่องเรื่อง “ดิจิทัล”

หนึ่งในเป้าหมายของ SCB ในยุคซีอีโอ “กฤษณ์ จันทโนทก” คือ การเพิ่มรายได้จากดิจิทัล (Digital Revenue) ขึ้นเป็น 25% ของรายได้รวม ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายใหญ่มากเพราะปัจจุบันยังมีสัดส่วนเพียง 7% เท่านั้น ดังนั้น การจะไปให้ถึงฝันต้องกลับมาดูความพร้อมในบ้านก่อน

SCB Core Banking

เป็นที่มาของแผนการ “ยกเครื่อง” Core Banking ของธนาคารและระบบแวดล้อมทั้งหมด โดยอรพงศ์วางงบไว้ในกรอบ 4 ปี (2567-70) ปีละ 8,000 ล้านบาท หรือใช้งบรวมทั้งหมดเพื่อรื้อระบบราว 32,000 ล้านบาท

สิ่งที่ต้องการจะทำคือการเปลี่ยน Core Banking ซึ่งเปรียบเหมือน ‘หัวใจ’ ของธนาคารให้ทันสมัย และลดจำนวนระบบแยกย่อยที่มี 764 ระบบ ให้ระบบที่เหมือน ‘เส้นเลือด’ เหล่านี้เหลือตัวเลขที่ 100 ต้น ๆ ก็พอ

การรื้อบ้านครั้งใหญ่ครั้งนี้ อรพงศ์คาดจะใช้เวลา 4 ปีตามกรอบงบประมาณจึงจะเสร็จสมบูรณ์ แต่จะพยายามทำให้ระหว่างทางเกิดประโยชน์กับธนาคารได้ทันทีโดยไม่ต้องรอทุกระบบพร้อมหมด

AI ช่วยสร้าง “Customer Centric” ให้เกิดขึ้นจริง

โจทย์ของการยกเครื่องหลังบ้านครั้งนี้คือ การเตรียมฐานให้พร้อมเพื่อนำเทคโนโลยี AI มาใช้งาน ซึ่งจะทำให้การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง “Customer Centric” เกิดขึ้นได้จริง เพราะสามารถมองเห็นดาต้าของลูกค้าเป็นรายบุคคลและเป็นดาต้าเรียลไทม์

อรพงศ์อธิบายว่า ทุกวันนี้ธนาคารยังมีลักษณะเป็น “Product Centric” คือ มองลูกค้าแยกตามผลิตภัณฑ์ที่ใช้ เช่น วันนี้ลูกค้าใช้สินเชื่อบ้านก็เป็นลูกค้ากู้บ้าน เมื่อไปใช้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ก็เป็นลูกค้าของกลุ่มสินเชื่อรถ

การมองเป็นรายผลิตภัณฑ์แบบนี้ทำให้ธนาคารต่อยอดยากเพราะต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ รอให้ลูกค้ามีความต้องการและแวะเข้ามาหาธนาคารเอง

SCB Core Banking

แต่หาก AI สามารถวิเคราะห์ให้ได้ว่าลูกค้าคนนี้มีศักยภาพอย่างไร เช่น เป็นลูกค้าสินเชื่อบ้านราคา 5 ล้านบาท ผ่อนตรงเวลาทั้งหมด ด้วยโปรไฟล์ที่สามารถกู้บ้านในราคานี้ได้ มีความรับผิดชอบในการผ่อน และมีเงินในบัญชี ธนาคารอาจเชิญชวนให้เป็นลูกค้าบริการจัดการความมั่งคั่ง (Wealth Management)

ข้อมูลเหล่านี้ที่ AI วิเคราะห์ลูกค้าได้ สามารถส่งต่อให้ “มนุษย์” หรือพนักงานที่ดูแลลูกค้า เช่น Relation Manager (RM), Call Center ทราบ เพื่อดูแลลูกค้าต่อได้ตรงจุด ไม่นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าไม่น่าจะสนใจ ช่วยพนักงานให้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นไปได้มากกว่า ซึ่งฝั่งลูกค้าเองจะลดความรู้สึก ‘รำคาญใจ’ ที่ต้องรับฟังผลิตภัณฑ์ที่ ‘ไม่โดน’ ด้วยเหมือนกัน

สร้างผลิตภัณฑ์การเงินเฉพาะบุคคล

อีกส่วนหนึ่งที่ SCB จะต่อยอดได้จากความสามารถในการวิเคราะห์ลูกค้าเป็นรายบุคคล คือ “การสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ดิจิทัล”

ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันการออกโปรโมชันสินเชื่อต่าง ๆ จะออกเป็นแคมเปญใหญ่ที่ทุกคนสามารถสมัครยื่นขอสินเชื่อได้ในอัตราดอกเบี้ยเดียวกันตามแคมเปญ ทั้งที่จริงแล้วลูกค้าแต่ละรายมีศักยภาพและความเสี่ยงที่ไม่เท่ากัน

ในอนาคตหาก AI สามารถวิเคราะห์ดาต้ารายคนได้ จะทำให้ธนาคารสามารถเสนอสินเชื่อด้วยอัตราดอกเบี้ยที่แยกย่อยได้ตามโปรไฟล์รายบุคคล ลูกค้าความเสี่ยงต่ำก็อาจจะได้ดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า ทำให้ธนาคารทราบว่าควรแข่งขันในลูกค้ารายใด และรายใดที่ไม่ควรแข่งขัน

พลิกกลับด้าน…ใช้คน SCB ดูแลไอทีเอง

จากการปรับใหญ่ในครั้งนี้ อรพงศ์กล่าวว่าที่ขาดไม่ได้คือ “การลงทุนบุคลากร” จะต้องปรับมาใช้บุคลากรภายในของธนาคารไทยพาณิชย์เองในการดูแลระบบดิจิทัล แทนที่การใช้ผู้ให้บริการจากภายนอก (vendor)

ทำให้ในปี 2567 ธนาคารไทยพาณิชย์จะรับสมัครพนักงานไอทีเพิ่ม 300 ตำแหน่ง โดยไม่ได้เป็นการเพิ่มจำนวนพนักงาน (headcount) ขององค์กร เพราะจะเป็นการทดแทนพนักงานดั้งเดิมที่เกษียณอายุหรือลาออก

“ต้องสร้างคนมาคู่กับการสร้างเทคโนโลยี วันนี้เรายังพึ่งพิง vendor อยู่ 71% ต่อไปเราต้องพึ่ง vendor ให้น้อยลง ต้องสลับมาดูแลเองให้ได้ 80% เพราะเมื่ออนาคตมีปริมาณงานเพิ่มขึ้น เราต้องดูแลเองได้ คนของเราต้องเติบโตไปพร้อมกัน ต่อจากนี้เราไม่ได้เน้นความเร็วมาก ๆ แต่ต้องโตอย่างยั่งยืน” อรพงศ์กล่าวปิดท้าย

]]>
1452373
เดอะมอลล์ กรุ๊ป ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ ฉลอง 4 ปี “SCB M” อัดโปรสุดปังแทนคำขอบคุณ ตอกย้ำความเป็นผู้นำ “บัตรสำหรับนักช้อปฯ” https://positioningmag.com/1395868 Fri, 12 Aug 2022 04:00:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1395868

เดอะมอลล์ กรุ๊ป ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ ฉลองความสำเร็จครบรอบ 4 ปี โครงการความร่วมมือ “SCB M” บัตรเดียวที่ให้สิทธิประโยชน์สูงสุด 365 วัน จัดแคมเปญใหญ่ “SCB M 4th Anniversary” SHOPTAVERSE จักรวาลนักช้อป แจกโปรปังฉลอง 4 ปี มอบสิทธิประโยชน์ สุดพิเศษแทนคำขอบคุณตลอดเดือนสิงหาคม เมื่อใช้จ่ายทั้งนอกห้างฯ และในห้างฯ ช้อปในห้างฯ เคาน์เตอร์ปกติลดสูงสุด 50 % พิเศษทุกเสาร์-อาทิตย์ บัตรเครดิต SCB M ใช้คะแนนแลกรับส่วนลดเพิ่มรวมสูงสุด 44% ส่วนบัตรเดบิต และบัตรเติมเงิน SCB M ใช้คะแนนแลกรับส่วนลดเพิ่มรวมสูงสุด 40% ทุกวัน ระหว่างวันที่ 1 – 31 สิงหาคม 2565 พร้อมลุ้นรางวัลรวมมูลค่าสูงสุด 4,000,000 M Point ถึง 31 ธันวาคม 2565 ที่ ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์, พารากอน ดีพาร์ทเม้นสโตร์ และศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ ทุกสาขา, M Online APP, MONLINE.COM GOURMETMARKETTHAILAND.COM และเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรฯ นอกห้างฯ ณ ร้านที่ร่วมรายการรับส่วนลดสูงสุด 25%

วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด (Miss Voralak Tulaphorn ; Chief Marketing Officer, The Mall Group Co., Ltd.) กล่าวว่า

“ตลอดระยะเวลา 4 ปี ที่ เดอะมอลล์ กรุ๊ป และธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมการให้บริการลูกค้า ภายใต้โครงการ SCB M เราได้เปิดโลกใหม่ สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า ด้วยการพัฒนาระบบการชำระเงินสู่ Cashless Future Retail โดยลูกค้าผู้ถือบัตร SCB M ทั้งบัตรเครดิต เดบิต และบัตรเติมเงินสามารถช้อปปิ้ง ได้ง่ายๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยไม่ต้องพกบัตร ผ่าน E-Commerce Platform and Payment Gateway และ SMART EDC เครื่องรับบัตรอัจฉริยะที่ให้แคชเชียร์ให้บริการได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เรายังเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินแบบครบวงจร สำหรับขาช้อป อาทิ บริการด้านประกัน, บริการบัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคล และ Bill Payment บริการรับชำระค่าบริการ อำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการจ่ายบิลค่าสาธารณูปโภคได้ในครั้งเดียว ฯลฯ พร้อมมอบโปรโมชั่นพิเศษมากมายสำหรับผู้ถือบัตร อาทิ ผ่อนสินค้า 0% 10 เดือน, รับส่วนลดสูงสุด 10% รับคะแนนสะสมสูงสุด 4 เท่า ฯลฯ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ที่มาช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป

เพื่อฉลองความสำเร็จครบรอบ 4 ปี SCB M VISA เดอะมอลล์ กรุ๊ป ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จัดแคมเปญ “SCB M 4th Anniversary” SHOPTAVERSE จักรวาลนักช้อป แจกโปรปังฉลอง 4 ปี SCB M เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้า มอบโปรโมชั่นสุดพิเศษสำหรับลูกค้าผู้ถือบัตร SCB M VISA ทุกประเภท ให้ได้ช้อปสนุกทั้งในห้างสรรพสินค้า, ศูนย์การค้า ช้อปผ่านช่องทางออนไลน์ที่ M Online APP, MONLINE.COM GOURMETMARKETTHAILAND.COM แบบจัดหนักจัดเต็ม นอกจากนี้ SCB M ได้เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ฉลองครบรอบ 4 ปี ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ และ บิวกิ้น – พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล เพื่อเป็นตัวแทนสื่อถึงประสบการณ์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ช้อปปิ้งล้ำสมัยของคนรุ่นใหม่ รวมทั้งตอกย้ำ Brand Image และสร้างการรับรู้ได้ในวงกว้าง พร้อมตั้งเป้ายอดขาย จากแคมเปญ “SCB M 4th Anniversary กว่า 1,000 ล้านบาท”

ณรงค์ ศรีจักรินทร์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Unsecured ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ธนาคารรู้สึกเป็นเกียรติ และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาการให้บริการลูกค้ารูปแบบใหม่ๆ โดยมีดิจิทัลเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ภายใต้ความร่วมมือโครงการ “SCB M” โดยเราได้ใช้จุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญทางการเงิน ผสานกับเทคโนโลยีด้านฟินเทค เป็นหัวหอกสำคัญ พัฒนาประสบการณ์การให้บริการเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้า พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้านการเงินใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายสำคัญใน การสร้างดิจิทัล ช้อปปิ้ง แพลตฟอร์ม โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในทุกมิติ พร้อมสร้างประสบการณ์การที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า”

เพื่อฉลองครบรอบ 4 ปี SCB M มอบโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าผู้ถือบัตร SCB M VISA ทุกประเภท เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรภายในห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า เดอะมอลล์ ทุกสาขา, ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์, พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์, M Online APP, MOnline.com และ GourmetMarketThailand.com ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2565 – 31 สิงหาคม 2565

โปรโมชั่นห้างสรรพสินค้า

  •  เคาน์เตอร์ปกติลดสูงสุด 50%
  • บัตรเครดิต SCB M แลกคะแนน M Point รับส่วนลดเพิ่มรวมสูงสุด 44% (เสาร์ – อาทิตย์)
  •  บัตรเดบิต หรือบัตรเติมเงิน SCB M แลกคะแนน M Point รับส่วนลดเพิ่มรวมสูงสุด 40% (ทุกวัน)
  •  รับคืนรวม 400 บาท เมื่อช้อปภายในห้างฯ ตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไปต่อเซลล์สลิป (จันทร์ – ศุกร์)
  •  พิเศษรับทริปสุดหรู กรุงโซล เกาหลีใต้ รวมมูลค่ากว่า 4,000,000 บาท เมื่อสะสมยอดใช้จ่ายผ่านบัตร SCB M LEGEND และ SCB M LUXE ครบ 15,000,000 บาท ภายในห้างฯ และศูนย์ฯ โดยต้องมียอดใช้จ่ายสะสมภายในห้างฯตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไปและยอดใช้จ่ายสะสมภายในศูนย์ฯตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป(จำกัด 8 รางวัล)
  •  พิเศษ! เฉพาะ 4 ส.ค. 65 เวลา 4.44 PM ใช้คะแนนเพียง 44 M Point แลกรับตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัดสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส 1 เที่ยว มูลค่า 1,100 บาท ผ่าน M Card Application

โปรโมชั่นศูนย์การค้าเดอะมอลล์ทุกสาขา

  •  รับบัตรกำนัลศูนย์ฯ มูลค่า 500 บาท เมื่อใช้จ่ายสะสมผ่านบัตรฯ ครบ 2,000 บาทขึ้นไป (ทุกวัน)
  •  รับเครื่องฟอกอากาศ Samsung BLUE SKY AX3300 เมื่อสะสมยอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ตั้งแต่ 25,000 บาทขึ้นไป (เสาร์ – อาทิตย์)
  •  รับส่วนลดพิเศษจากร้านอาหารชั้นนำภายในศูนย์การค้า

โปรโมชั่น M Online APP/ MOnline.com

  •  แบรนด์ดังร่วมรายการทุกชิ้น ทั้งเว็บ ลดแรงสูงสุด 80%
  •  รับส่วนลดรวมสูงสุด 3,300 บาท (จันทร์ – ศุกร์)
  •  SCB M WOW WEEKEND ช้อปไม่หยุด สุดสัปดาห์ แลกคะแนน รับส่วนลดเพิ่ม 24% (เสาร์ – อาทิตย์)

โปรโมชั่น GourmetMarketThailand.com

  • ช้อปสะดวกทุกโอกาส ของสด ของใช้ อาหารพร้อมทาน ของขวัญวันแม่ ชุดไหว้มงคล รับเทศกาลสารทจีน ขนมไหว้พระจันทร์จากโรงแรมและภัตตาคารชั้นนำ กระเช้าเยี่ยมไข้ เซทกระเช้าป้องกันโควิด ลดราคาสูงสุด 50%
  •  SCB M VISA ทุกประเภท ลดทุกวัน ลดทันที รวมสูงสุด 300 บาท
  • พิเศษ! ช้อปสนุกกว่าเดิมทุกสุดสัปดาห์ (เสาร์ – อาทิตย์) แลกคะแนน รับส่วนลดเพิ่ม 15%

โปรโมชั่น Lucky draw รวมห้างฯ และศูนย์การค้าเดอะมอลล์ และช่องทางออนไลน์ทุกประเภท (ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2565 – 31 ธันวาคม 2565)

  •  ลุ้นของรางวัล Lucky draw รวม 4,000,000 M Point จำนวน 105 รางวัล มูลค่ารวม 500,000 บาท เมื่อสะสมยอดช้อปครบทุก 2,000 บาท ภายในห้างฯ เครือเดอะมอลล์, ศูนย์การค้าเดอะมอลล์, M Online APP, MOnline.com และ GourmetMarketThailand.com, Call To Order, M Chat & Shop,Facebook Monline Thailand และLive Personal Shopper ผ่านบัตร SCB M VISA ทุกประเภท รับสิทธิ์ลุ้น 1 สิทธิ์ พิเศษรับเพิ่ม 10 สิทธิ์ /ประเภทบัตร เฉพาะผู้สมัครบัตรใหม่และได้รับการอนุมัติ

โปรสมัครบัตรเครดิต สุดคุ้ม

  •  สมัครบัตรเครดิต SCB M VISA และบัตรกดเงินสด SCB M Speedy Cash ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2565 – 31 สิงหาคม 2565 รับเพิ่มฟรี Yunomori Onsen & Aromatherapy Massage (90 Mins) E-Voucher มูลค่า 1,900 บาท จากโปรโมชั่นสมัครบัตรปกติ

SCB M มอบความสุข มอบโปรโมชั่นแทนคำขอบคุณลูกค้าคนสำคัญ ผ่านแคมเปญ “SCB M 4th Anniversary” SHOPTAVERSE จักรวาลนักช้อป แจกโปรปังฉลอง 4 ปี SCB M ระหว่างวันที่ 1 – 31 สิงหาคม 2565 ที่ เดอะมอลล์ ทุกสาขา, เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์, พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ หรือช้อปผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ MOnlineAPP, www.monline.com และ www.gourmetmarketthailand.com ดูรายละเอียดได้ที่ www.themall.co.th, www.mcardmall.com

#SCBM
#SCBM4th Anniversary #SHOPTAVERSE #themallgroup #themall
]]>
1395868
ธนาคารไทยพาณิชย์รวมใจฝ่าวิกฤติโควิด-19 ภูมิใจที่ได้ดูแลคนไทยกว่า 2 แสนคนให้เข้าถึงวัคซีน ปลอดภัยจากโควิด-19 https://positioningmag.com/1365792 Wed, 08 Dec 2021 01:00:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1365792

ธนาคารไทยพาณิชย์ภูมิใจที่ทำให้คนไทยมีความสุข ปลอดภัยจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมใจฝ่าวิกฤติ ร่วมสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ประเทศไทย ผ่านหน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพมหานครที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ ภายใต้โครงการ “ไทย ร่วมใจ กรุงเทพฯ ปลอดภัย” ซึ่งเป็นโครงการที่ริเริ่มโดยกรุงเทพมหานครและหอการค้าไทยในการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนออกมาฉีดวัคซีนกันเป็นจำนวนมาก โดยธนาคารฯ ได้ทีมงานบุคลากรทางการแพทย์ที่เข้มแข็งจากโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล ในกลุ่มกรุงเทพดุสิตเวชการ ทำให้สามารถดูแลผู้มารับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้จำนวนมากถึง 201,300 คน ด้วยความสะดวก รวดเร็ว ภายใต้มาตรการความปลอดภัยขั้นสูงสุด ตลอดระยะเวลากว่า 7 เดือน รวม 84 วัน ตั้งแต่วันที่เปิดจนถึงวันสุดท้ายที่ให้บริการที่หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพมหานคร ด้วยความร่วมแรง ร่วมใจของบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล ในเครือกรุงเทพดุสิตเวชการกว่า 240 คน และการรวมพลังครั้งประวัติศาสตร์ของพนักงานจิตอาสา “SCB ชวนกันทำดี” จำนวน 368 คน พนักงานรักษาความปลอดภัยและแม่บ้านของธนาคารฯ กว่า 50 คน ที่สลับกันมาปฏิบัติหน้าที่ร่วมผลักดันวาระแห่งชาติในครั้งนี้

นางอภิพันธ์ เจริญอนุสรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า

“ในช่วงเวลาที่วิกฤติที่สุดจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิตของประชาชน การเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเพื่อยับยั้งการแพร่กระจายและความรุนแรงของโรค นับเป็นภารกิจเร่งด่วนและเป็นวาระแห่งชาติที่ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ร่วมกับกรุงเทพมหานคร หอการค้าไทย และโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล ในเครือกรุงเทพดุสิตเวชการ เป็น 1 ใน 25 องค์กรภาคเอกชนเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้ โดยทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการให้บริการอย่างดีที่สุดเพื่อให้คนไทยเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 โดยเร็วที่สุด ซึ่งธนาคารฯ มีความพร้อมทั้งในด้านสถานที่ที่กว้างขวาง บุคลากร และเป็นจุดที่ประชาชนสามารถเดินทางมาได้โดยง่าย แม้ว่าในเบื้องต้นจะมีความกังวลเนื่องจากเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่เราเปลี่ยนความกังวลเป็นแรงผลัก ยึดหลักว่า ทำแล้วต้องทำให้ดี เอาใจเขามาใส่ใจเรา บริหารจัดการหน่วยฉีดวัคซีนให้มีความรวดเร็ว ง่าย และสะดวกสบาย โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดทั้งต่อผู้ให้บริการ ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ และจิตอาสาที่ปฏิบัติงานภายในหน่วยฯ รวมถึงผู้ที่มารับบริการฉีดวัคซีนที่หน่วยฉีดวัคซีนทุกคน

นับเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราชาวไทยพาณิชย์ทุกคนที่ได้มีโอกาสดูแลคนไทยให้ได้มีโอกาสเข้าถึงวัคซีน ห่างไกลความเสี่ยงจากโควิด -19 เพื่อผลักดันวาระแห่งชาติในครั้งนี้ให้ประสบความสำเร็จ ด้วยความทุ่มเทของแพทย์ พยาบาลโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล ในเครือกรุงเทพดุสิตเวชการกว่า 240 คน พนักงานจิตอาสา “SCB ชวนกันทำดี” 368 คน ที่เรียกได้ว่าทำด้วยหัวใจของความเป็นจิตอาสาโดยแท้จริง ในการร่วมแรง ร่วมใจกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมจำนวนมากที่สุดครั้งหนึ่งของธนาคารฯ รวมถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยและแม่บ้านของธนาคารฯ อีกกว่า 50 คน ที่สลับกันมาปฏิบัติงานตลอดระยะเวลาที่เปิดให้บริการจนถึงวันสุดท้ายของการให้บริการที่หน่วยความร่วมมือฯ นี้ รวมระยะเวลา 84 วัน ในช่วงกว่า 7 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ที่มารับบริการฉีดวัคซีนทั้งที่เป็นผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยติดเตียง และบุคคลทั่วไปที่มีอายุ 18-59 ปี รวมจำนวน 201,300 คน ด้วยมาตรฐานการให้บริการและความปลอดภัยขั้นสูงสุดทั้งต่อผู้ที่มารับบริการและผู้ให้บริการ”

จิตอาสานับเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกโรงพยาบาลที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ประสบความสำเร็จและสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มารับบริการ และถือเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่สำคัญของธนาคารไทยพาณิชย์ในการส่งเสริมให้พนักงานมีจิตสาธารณะ เพื่อร่วมสร้างสังคมที่ดี ภายใต้ชื่อ “SCB ชวนกันทำดี” และนี่คือส่วนหนึ่งของพนักงานจิตอาสาที่ได้มีส่วนร่วมในการให้บริการแก่ผู้ที่มาฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ ซึ่งทุกคนล้วนภูมิใจที่ได้ทำให้คนไทยมีความสุข ปลอดภัยจากโควิด-19

นางสาวปสุตา พิชยชานนท์ เจ้าหน้าที่กลยุทธ์การตลาดธุรกิจแลกเปลี่ยน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนเล็ก ๆ ในการเป็นจิตอาสาที่หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนในครั้งนี้ ได้เห็นภาพความร่วมมือ ร่วมใจของภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ภารกิจการระดมฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดให้กับประชาชนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่สำเร็จโดยเร็ว ในแต่ละวันมีผู้มารับบริการฉีดวัคซีนหลายพันคน แม้ว่าจะเหนื่อย แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มและคำขอบคุณของผู้ที่มารับบริการ ทำให้มีความสุขในทุกวันที่ได้มาเป็นจิตอาสา รู้สึกภาคภูมิใจมากที่ได้เป็นพนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ องค์กรที่มีวัฒนธรรมของการเป็นจิตอาสา ธนาคารฯ ตระหนักและให้ความสำคัญในการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคมในหลาย ๆ ด้าน อีกทั้งยังสร้างทัศนคติที่ดีแก่พนักงานให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งเหล่านี้จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป”

นายพิชิตพล ลีฬหารัตน์ เจ้าหน้าที่ Strategic Planning & Management Report ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า

“หลังจากที่ทราบว่าธนาคารฯ จะเปิดเป็นหน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกโรงพยาบาล สิ่งแรกที่คิด คือ อยากมาช่วย เลยลงสมัครเป็นจิตอาสา ช่วงแรก ๆ มีคำถามในใจทุกวัน ว่าเราต้องเจอคนจำนวนมาก จะปลอดภัยหรือไม่ เนื่องจากในช่วงนั้นมีการระบาดของโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่นึกถึงคำสอนของคุณพ่อ ท่านเคยพูดไว้ว่า ถ้าคนอื่นทำได้ ตัวเราก็ต้องทำได้ ผลจะสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่ว่าเราได้ลองหรือพยายามทำหรือยัง ความกลัว ความวิตกกังวลเป็นเพียงอุปสรรค อยู่ที่ว่าเราจะจัดการได้อย่างไร นอกจากนี้ยังเชื่อมั่นในผู้บริหารระดับสูงของธนาคารฯ ซึ่งมีหลายท่านที่มาร่วมเป็นจิตอาสาในครั้งนี้ด้วย รวมทั้งธนาคารฯ เองได้จัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกัน และอุปกรณ์ทำความสะอาด มีการตรวจ ATK เป็นประจำ จิตอาสาทุกคนก็จะระมัดระวังและป้องกันตัวเองเป็นอย่างดี เพื่อส่งมอบความปลอดภัยให้กับผู้ที่มารับบริการ ให้ผู้ที่มารับบริการเดินออกจากหน่วยฉีดวัคซีนของธนาคารฯ ด้วยรอยยิ้มและความสุขใจ รู้สึกดีใจและภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นจิตอาสาในครั้งนี้”

นายดาวยศ บุตรศรี เลขานุการผู้บริหาร กลุ่มงานปฏิบัติการ กลุ่มงาน Information and Operations ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า

“ในยามวิกฤติทำให้เราเห็นถึงน้ำใจคนไทยที่ได้ร่วมแรง ร่วมใจกัน คนละไม้คนละมือ ครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งวิกฤติที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด การได้รับวัคซีนโดยเร็วที่สุดจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประเทศได้เป็นอย่างดี รู้สึกปลื้มใจและอิ่มเอมใจที่ได้มาเป็นจิตอาสาในครั้งนี้ ช่วยดูแลพระภิกษุ ผู้สูงอายุ คนพิการ คนที่ตั้งครรภ์ คนที่ใช้รถเข็น รวมถึงผู้ป่วยติดเตียง ตลอดเวลาคิดเสมอว่าคนที่มารับบริการคือคนในครอบครัว มีการแจ้งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ที่มารับบริการคลายความกังวลและได้รับความสะดวก เมื่อเห็นผู้ที่มารับบริการมีรอยยิ้มและความสุข เราก็มีความสุข หายเหนื่อย เป็นความสุขที่ได้ทำเพื่อคนอื่น อิ่มใจในทุก ๆ วันที่ได้มาเป็นจิตอาสา นอกจากนี้ยังได้มิตรภาพที่ดีจากเพื่อน ๆ จิตอาสาที่มาร่วมปฏิบัติงานในครั้งนี้”

ธนาคารไทยพาณิชย์ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมในการบรรเทาวิกฤติโควิด-19 เพื่อให้เศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิตของประชาชนกลับมาเป็นปกติได้โดยเร็ว ด้วยความห่วงใยจากธนาคารไทยพาณิชย์

]]>
1365792
การมาของยานเเม่ SCBX ปลดล็อกธนาคารร้อยปี Re-imagine เป็น ‘บริษัทเทค’ ยุคใหม่ https://positioningmag.com/1353082 Thu, 23 Sep 2021 13:17:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1353082 ยานเเม่ SCBX สร้างเเรงกระเพื่อมให้วงการธุรกิจไทยไม่น้อย เมื่อธนาคารเก่าเเก่นับร้อยปีอย่างไทยพาณิชย์กำลังจะปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ พลิกภาพจำเก่าๆ ไปอย่างสิ้นเชิง

“SCB จะไม่เท่ากับธนาคารในความหมายเดิมอีกเป็นคำประกาศที่ทำให้หลายคนตื่นเต้นว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป เเม้ว่าการเเปลงสภาพมุ่งสู่การเป็นบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องง่าย เเต่ถ้าไม่ทำตอนนี้ ก็อาจจะสายเกินไป

ขั้นเเรกต้องไม่จำกัดตัวเอง

อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เล่าว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคหลังวิกฤตโควิด รวมถึงกฎระเบียบข้อบังคับที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ทำให้รูปแบบการทำธุรกิจ (business model) ในแบบ intermediaries หรือการเป็นตัวกลางเก็บค่าธรรมเนียมของธนาคารแบบดั้งเดิมจะลดบทบาทลง

เนื่องจากจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหวังใหม่ของผู้บริโภคได้ ความสำคัญของธนาคารต่อผู้บริโภคจะลดลงตามไปด้วยส่งผลลบต่อการให้มูลค่าอนาคตของนักลงทุนต่อธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น SCB จะต้องไม่จำกัดตัวเอง อยู่ที่การเป็นธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิมอีกต่อไป หากแต่ต้องใช้ความเข้มแข็งทางการเงินของธุรกิจธนาคารในปัจจุบันให้เป็นประโยชน์ เติบโตเเละอยู่รอดปลอดภัยในอีก 3-5 ปีข้างหน้านี้ เป็นการ Re-imagine จินตนาการใหม่ว่า 

“SCB จะไม่เท่ากับธนาคารในความหมายเดิมอีก แต่จะแปลงสภาพกลายเป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงิน ที่มีธุรกิจธนาคารที่แข็งแรงขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และจะขยายเข้าสู่ธุรกิจการเงินส่วนบุคคล ที่มีการเติบโตสูงที่ธนาคารไม่สามารถตอบสนองได้” 

นี่เป็นจุดสำคัญของการจัดตั้งบริษัทเเม่ขึ้นมาใหม่ในชื่อว่า SCBX (เอสซีบี เอกซ์) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวเเละขยายธุรกิจเชิงรุกเข้าสู่ธุรกิจการเงินประเภทอื่นที่ตลาดต้องการ สร้างเเพลตฟอร์มเทคโลยีขนาดใหญ่ให้ทัดเทียมกับคู่แข่งระดับโลก

โดยวางเป้าหมายในอีก 5 ปีว่า SCBX จะมีฐานลูกค้ารวมกัน 200 ล้านคน ในระดับภูมิภาค เป็นบริษัทที่มีมาร์เก็ตเเคปเเตะ 1 ล้านล้านบาท (ปัจจุบันอยู่ที่ราว 3.7 เเสนล้านบาท)

การเเตกย่อยบริษัทไปยังธุรกิจต่างๆ ทั้งฟินเทค สตาร์ทอัพเเละสินทรัพย์ดิจิทัลของ SCB ครั้งนี้ ถือเป็นการปลดล็อก’ ข้อจำกัดและดำเนินกิจการภายใต้โครงสร้างของแบงก์ที่เเต่เดิมจะทำได้ไม่เต็มที่นัก

ทำความรู้จักยานเเม่’ SCBX

การที่ทีมงานได้เรียกว่ายานเเม่นั้น ทำให้คนทั่วไปเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น สื่อให้เห็นถึงการโอนย้ายธุรกิจต่างๆ ในเครือเข้ามาอยู่ภายใต้ SCBX 

ส่วนที่มาที่ชื่อ SCBX นั้น ซีอีโอของไทยพาณิชย์ บอกว่ามาจากเครื่องหมายยกกำลัง (x) ที่สื่อถึงการเติบโตเเบบยกกำลังเเละขยาย (expansion) ออกไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีแค่ธนาคารเหมือนเเต่ก่อน

โดยโครงสร้างใหม่ที่จะขยายจากธุรกิจเเบงก์ เพิ่มขาธุรกิจเทคโนโลยี และการลงทุน เพื่อหารายได้อื่นนั้น แบ่งได้เป็น 2 ส่วนหลัก ๆ คือ

  • ธุรกิจ Cash Cow กลุ่มที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงเเต่อัตราการเติบโตต่ำอย่างธนาคารธุรกิจประกัน ฯลฯ
  • ธุรกิจ New Growth จับตลาด Blue ocean ของใหม่ที่มีโอกาสเติบโตได้สูงอย่างสินเชื่อดิจิทัลดาต้าสินค้าเเละบริการด้านเทคโนโลยีต่างๆ

สิ่งที่น่าจับตา คือการพัฒนากลุ่ม New Growth ที่ทาง SCB ได้เเตกไลน์เป็นบริษัทย่อยที่มีทีมบริหารเเยกออกจากกัน เเต่ยังประสานงานกันได้ดี เพราะส่วนใหญ่มักจะเป็นลูกหม้อที่ทำงานกับอยู่เเบงก์มานานหลายปี 

อย่าง ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ มือเก๋าของไทยพาณิชย์ ที่ตอนนี้ดูแล SCB 10X ก็จะเข้าไปดูเเล SCB-CP Group JV เเละสารัชต์ รัตนาภรณ์ ที่ทำงานกับ SCB มานานกว่า 20 ปี ก็จะมาดูแลบริษัทที่ตั้งใหม่อย่าง Card X ด้วย 

SCBX จะยังอยู่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (แต่ในส่วนของใบอนุญาตต่างๆ บริษัทในเครือจะเป็นผู้ขอใบอนุญาตในการดำเนินกิจการ) ซึ่งจะเข้าไปถือหุ้นใหญ่ในหลากหลายธุรกิจ ซึ่งตอนนี้มีอยู่ถึง 15 บริษัท เเละยังมีอีกหลายบริษัทที่กำลังจะเปิดตัว ยกตัวอย่างเช่น

Robinhood – เเพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีที่จะขยายไปเป็นซูเปอร์เเอปฯ

Alpha X – ธุรกิจปล่อยสินเชื่อสำหรับรถหรู ที่ร่วมมือกับ Millennium Group

Auto X – ธุรกิจปล่อยสินเชื่อลีซซิ่ง จับกลุ่มคนรายได้น้อยปานกลาง

Card X – ธุรกิจบัตรเครดิตที่จะโอนออกจากแบงก์

Data X – ธุรกิจข้อมูลดิจิทัล

Tech X – ธุรกิจเทคโนโลยี หาพันธมิตรเป็นบริษัทเทคระดับโลก

TokenX – ธุรกิจโทเคนดิจิทัลแบบครบวงจร

AISCB – ธุรกิจสินเชื่อดิจิทัล ร่วมมือกับโทรคมนาคมรายใหญ่อย่าง AIS

ในส่วนของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น SCB จะขยายเข้าสู่ digital asset business ผ่าน SCB 10X และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS โดยการร่วมลงทุนและเป็นพันธมิตรกองทุนระดับโลก และการพัฒนาธุรกิจ digital asset ด้านต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มในระยะยาว

โดยกลุ่มไทยพาณิชย์ เพิ่งจับมือกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP ร่วมกันก่อตั้งกองทุน Venture Capital ขนาด 600-800 ล้านเหรียญสหรัฐ (18,000-24,000 ล้านบาท) มุ่งเน้นการลงทุนใน Disruptive Technology ด้านบล็อกเชน สินทรัพย์ดิจิทัล เทคโนโลยีด้านการเงินและเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงทั่วโลก ซึ่ง SCB 10X ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เข้าร่วมบริหารจัดการกองทุนดังกล่าวนี้

เหล่านี้ ถือเป็นบ่อทองเเห่งใหม่ที่ SCB จะต้องขุดขึ้นมา เเละปลุกปั้นให้สำเร็จ ตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าบริษัทย่อยต่างๆ จะต้องสามารถเติบโตได้ตามตลาดยุคใหม่ และเข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์ได้ในที่สุด

ถอนหุ้น SCB ออกจากตลาดฯ เเทนด้วย SCBX

ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ได้เเจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เเห่งประเทศไทย (ตลท.) เตรียมเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 15 .. 2564 เพื่ออนุมัติขอ ‘Share Swap’ โอนย้ายผู้ถือหุ้น SCB ไปบริษัทเเม่อย่าง SCBX เเละนำ SCB ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจ

ในกรณีผ่านการอนุมัติเเล้ว SCBX จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของธนาคารไทยพาณิชย์จากผู้ถือหุ้น โดยการออกและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับหุ้นของ SCB ในอัตรา 1:1 ซึ่งคาดว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2565

โดยกระบวนการนี้ จะมีการโอนหุ้นที่ SCB ถือในบริษัทย่อยทั้งหลาย รวมทั้งธุรกิจบัตรเครดิตเเละสินเชื่อส่วนบุคคลไปให้ยานเเม่อย่าง SCBX

พร้อมได้เสนอให้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล เป็นกรณีพิเศษ มูลค่า 70,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้กว่า 70% จะถูกนำไปใช้ในเพื่อการถ่ายโอนธุรกิจ ตั้งบริษัทใหม่ และลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่วนอีก 30% จะเป็นเงินทุนหมุนเวียนเเละเก็บไว้จ่ายปันผลรอบปี 2565

ทั้งนี้ ธนาคารได้ดำเนินการแต่งตั้ง บล.เกียรตินาคินภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) เพื่อทำหน้าที่ให้ความเห็นแก่ผู้ถือหุ้นของธนาคาร โดยได้พิจารณากำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2564 ในวันที่ 6 ..64

ด้านกระเเสตอบรับในตลาดฯ วันเเรกหลังการเเถลงข่าว พบว่า (23 ..64) ราคาหุ้น SCB ปิดที่ 130.00 บาท เพิ่มขึ้น 20.50 บาท หรือ 18.72% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 20,295.52 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 1 ซึ่งระหว่างวันราคาปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 137.00 บาท และต่ำสุดที่ 124.50 บาท

“แบงก์ SCB ยังไม่หายไปไหน ยังคงเป็นธนาคารที่ให้บริการลูกค้าเหมือนเดิม โลโก้เดิม บริการต่างๆ ลูกค้าทำก็ยังคงใช้บริการได้ปกติ”

-ไทม์ไลน์การเพิกถอนหุ้น SCB เเละนำ SCBX เข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ฯแทน

ลูกค้า 200 ล้านคน ไม่ไกลเกินเอื้อม 

สรุปเป้าหมายสำคัญของไทยพาณิชย์ในปี 2568 ก็คือ การสร้างมูลค่าของบริษัทจากธุรกิจใหม่ ที่นอกเหนือจากผลกำไรพื้นฐานและความมั่นคงของธุรกิจธนาคารหลัก 

รวมไปถึงการสร้างฐานลูกค้าในระบบให้ได้ถึง 200 ล้านคน (ปัจจุบันอยู่ที่ 16 ล้านคน) และการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก

เเน่ชัดว่าถ้าอยากได้ลูกค้าหลายร้อยล้านคน เเค่ในตลาดไทยคงไม่เพียงพอ จะต้องมีการขยายธุรกิจใหม่ออกสู่ต่างประเทศ ซึ่งช่วง 2-3 ปีนี้ ก็จะมีการขยับรุกไปยังกลุ่มประเทศในอาเซียน ที่มีเเนวโน้มการเติบโตสูง อย่างอินโดนีเซียเวียดนามเเละฟิลิปปินส์

เราจะไม่เน้นขยาย Commercial Bank ในต่างประเทศเเล้ว เเต่จะเน้นไปที่ธุรกิจการเงินดิจิทัล การลงทุนเเละเทคโนโลยีอื่นๆ มองการเติบโตทั้งเเบบกว้างเเละลึก

เป็นอีกภารกิจเชื่อมต่อ ecosystem ทั้งในและต่างประเทศที่ต้องรอดูว่าจะมีอะไรออกมาเซอร์ไพร์สกันอีกบ้าง

ความเคลื่อนไหวใหญ่ที่สร้างปรากฏการณ์ของธนาคารเก่าเเก่อายุ 116 ปีครั้งนี้ จึงไม่ใช่เเค่เป็นการขยายธุรกิจธรรมดาๆ เเต่เป็นการ Re-imagine สถาบันการเงิน พร้อมขึ้นยานรุ่นใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม

งานนี้ ฟากเเบงก์คู่เเข่งเจ้าอื่น คงไม่ยอมกันง่ายๆ ต้องเตรียมงัดสารพัดของเด็ด ออกมาสู้กันในสมรภูมิการเงินยุคใหม่เเบบดุเดือดยิ่งกว่าเดิมเเน่ๆ

 

]]>
1353082
Robinhood ออกค่าส่งให้ฟรีช่วงล็อกดาวน์ CEO เผย SCB อัดฉีดงบเต็มที่ ช่วยคนอย่าเขียม https://positioningmag.com/1341709 Sun, 11 Jul 2021 04:28:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1341709 เป็นอีกหนึ่งข่าวดีในช่วงที่กำลังเข้าสู่การล็อกดาวน์อีกครั้งในวันที่ 12 .. ที่จะถึงนี้ เมื่อ Robinhood แอปพลิเคชันฟู้ด เดลิเวอรี่สัญชาติไทยในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ประกาศว่าออกค่าส่งอาหารให้ฟรีตั้งแต่วันที่ 11-25 .. ซึ่งต้องบอกว่าค่าส่งถือเป็น Pain Point สำคัญของธุรกิจนี้ในการตัดสินใจสั่งของผู้บริโภค

ธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ผู้พัฒนาและให้บริการโ Robinhood ได้เปิดถึงเบื้องหลังของการตัดสินใจนี้ โดยไอเดียนี้มาจากอาทิตย์ นันทวิทยา CEO ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ต้องการช่วยเหลืออะไรบ้างช่วงล็อกดาวน์  

ธนาโพสต์ลงเฟซบุ๊ก มีใจความว่า 

แผนที่ใช่ ใจต้องสั่น

บ่ายสามเมื่อวาน ซีอีโอโทรหา บอกว่าอยากให้โรบินฮู้ดทำอะไรช่วงล็อกดาวน์

เดี๋ยว SCB จะสนับสนุนเต็มที่ ไอเดีย CEO คือให้โรบินฮู้ดส่งอาหารให้ฟรี! แล้วให้เริ่มพรุ่งนี้เลย

ด้วยความกังวลถึงผลกระทบ ผมพยายามจะบอก CEO ว่าเริ่มมะรืนมั้ย ตรงกับ ศบค. ประกาศพอดี  แล้วส่งฟรีซักสามโลแรกมั้ย เพราะเดี๋ยวคนใช้เยอะ ต้องใช้เงินเป็นร้อยล้านเลยนะ แถมไรเดอร์อาจจะขาด โดนด่าได้ 

ระบบก็ไม่รู้จะพร้อมรึเปล่า มีเวลาคืนเดียว

ซีอีโอหายไปสักครู่ กลับมาบอกว่าคุยกับบอร์ดแล้ว ช่วยคนอย่าเขียม ไม่เอามะรืน ให้เริ่มเลยพรุ่งนี้

เรียกประชุมทีมงานแจกงานกันบ่ายสามโมงครึ่ง มีความกังวลเรื่องงบประมาณ เรื่องระบบ เรื่องอาจโดนด่ากัน เรื่อง fraud ร้านค้า แต่ต้องลุยละ แยกย้ายกันทำงาน ฝ่ายเทคนิค ฝ่ายกระตุ้นไรเดอร์ ฝ่ายร้านค้า  Call center 

จุดประสงค์ของ SCB คือต้องการช่วยผู้ที่เดือดร้อนทั้งเรื่องทำมาหากินแล้วต้องอยู่บ้าน แล้วอยากให้ช่วยร้านค้าเล็กๆที่กำลังลำบากด้วย เลยเป็นที่มาของแนวคิด pay it forward  เราช่วยคุณ คุณช่วยร้าน

เอาจริงๆ SCB ก็กำไรเยอะอยู่ งบนี้ก็อยู่ในวิสัย บอร์ดน่าจะมองเห็นแบบนั้น เลยบอกว่าอย่าเขียม

อีกอย่างที่ทีมงานเองก็อยากให้เกิดแรงกระเพื่อมก็คือความคิดที่คนตัวใหญ่ต้องช่วยคนตัวเล็ก ในสภาวะแบบนี้ ถ้าคนตัวใหญ่ลงมาช่วยกัน ผลหนักๆ จากมหาวิกฤตนี้อาจจะพอบรรเทาได้บ้าง

แน่นอนว่าถ้าเรารอให้เตรียมไรเดอร์ เตรียมระบบให้สมบูรณ์ ก็อาจจะเลยล็อกดาวน์ไปเลยก็ได้ ความเดือดร้อนไม่รอให้เรามีเวลา ลุยไปก่อนแล้วแก้ปัญหาเอา ก็ต้องขออภัยทุกท่านถ้าเรียกไรเดอร์แล้วไม่มี ระบบอาจจะหน่วงบ้าง หรือถ้าเรียกถี่ๆ แล้วปล่อยให้คนอื่นเรียกบ้างก็น่าจะช่วยกันได้ในวงกว้างนะครับ และอยากจะขอร้องร้านค้าบางร้านว่าฉวยโอกาสเอาเปรียบ สร้าง transaction ปลอมบนสถานการณ์แบบนี้ เราคงจับได้ยาก ก็ได้แต่ขอร้องเพื่อส่วนรวมกันนะครับ

มีเวลาทำงานกันคืนเดียว ต้องขอบคุณทีมงาน robinhood มา ณ ที่นี้ เลยครับ

]]>
1341709
SCB บุกเพื่อนบ้าน! เปิด “ไทยพาณิชย์ เมียนมา” เจาะตลาดการเงินอาเซียน https://positioningmag.com/1314428 Fri, 15 Jan 2021 05:35:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1314428 ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดบริการ “ธนาคารไทยพาณิชย์ เมียนมา” เจาะตลาดการเงินเมียนมาเต็มรูปแบบ เป็นธนาคารไทยที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งธุรกิจธนาคารลูก (Subsidiary License) ในเมียนมา โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้น 100%

สะพานเชื่อมกลุ่มอาเซียน

ธนาคารไทยพาณิชย์ เมียนมา ตั้งอยู่ที่ Sule Square Office Tower ซึ่งเป็นเขตธุรกิจสำคัญย่านใจกลางกรุงย่างกุ้ง โดยมี Mr. Rajesh Ahuja ดำรงตำแหน่งผู้จัดการ (General Manager) ทั้งนี้ ธนาคารเริ่มเข้ามาให้บริการในเมียนมาตั้งแต่ปี 2555 ในรูปแบบสำนักงานตัวแทน (Representative Office) จึงมีความเข้าใจตลาด วัฒนธรรม ตลอดจนกฎระเบียบในเมียนมาเป็นอย่างดี พร้อมเป็นที่ปรึกษาให้กับทุกธุรกิจที่ต้องการเข้าไปขยายกิจการในเมียนมา และพร้อมเป็นสะพานเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างภูมิภาคให้กับนักลงทุนจากทุกชาติที่ต้องการขยายการค้าการลงทุนมายังประเทศในกลุ่ม CLMV+2 ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม จีน และสิงคโปร์

สารัชต์ รัตนาภรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า

“ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รับใบอนุญาตการจัดตั้งธนาคารไทยพาณิชย์ เมียนมา จากธนาคารกลางเมียนมา และพร้อมให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 มกราคม 2564 ถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ประกอบให้ยุทธศาสตร์การขยายเครือข่ายต่างประเทศในกลุ่มประเทศ CLMV+2 ที่ธนาคารมุ่งมั่นมาตลอดหลายปีประสบความสำเร็จ”

HyperFocal: 0

โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาในฐานะประเทศกลยุทธ์ (Strategic Country) ด้วยเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในเวทีเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เป็นจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดนักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลก อีกทั้งเมียนมายังมีภูมิศาสตร์ที่สามารถเชื่อมโยงระหว่าง 2 ภูมิภาคยักษ์ใหญ่อย่างจีนและอินเดีย ในขณะที่รัฐบาลเมียนมามีนโยบายสนับสนุนการเข้ามาลงทุนของต่างชาติอย่างต่อเนื่อง

และถึงแม้ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ทั่วโลก ตลอดจนเมียนมา รวมถึงประเทศไทยเองต่างกำลังเผชิญและต่อสู้กับมหาวิกฤตการแพร่ระบาดโรค COVID-19 แต่ธนาคารยังเชื่อมั่นว่าทิศทางการลงทุนในเมียนมาจะไม่เปลี่ยนภาพไปจากเดิม เศรษฐกิจจะสามารถฟื้นตัวกลับมาเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง จึงเดินหน้าตามแผนเปิดสำนักงาน ธนาคารไทยพาณิชย์ เมียนมา เพื่อเป็นฟันเฟืองด้านการเงินร่วมสนับสนุนการฟื้นฟูของการค้า-การลงทุนให้กับภาคธุรกิจ ตลอดจนการเงินภาคประชาชนในเมียนมา และเป็นสะพานเชื่อมโยงการลงทุนในระดับภูมิภาคต่อไป

ให้คนเมียนมาเข้าถึงการเงินมากขึ้น

โดยธนาคารโลกคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเมียนมาจะกลับมาขยายตัวที่ 6% ในปี 2564 เติบโตจากที่คาดว่าจะขยายตัว 1.5% ในปี 2563 เพราะผลกระทบจาก COVID-19

ธนาคารไทยพาณิชย์ เมียนมา เป็นธนาคารไทยเพียงแห่งเดียวที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบธนาคารลูก (Subsidiary License) โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้น 100% สามารถประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้เต็มรูปแบบเสมือนธนาคารท้องถิ่นในเมียนมา

ซึ่งในขณะนี้อัตราประชากรที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินมีถึง 74% รวมทั้งสินเชื่อในภาคธุรกิจที่มีเพียง 20% ของ GDP (Domestic credit to private as % of GDP) ดังนั้นธนาคารจึงมุ่งเน้นการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของเมียนมาผ่านการนำเสนอบริการ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้กับกลุ่มเป้าหมายของธนาคารให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ ลูกค้าเอสเอ็มอี และลูกค้ารายย่อย

นอกจากนี้ ธนาคารยังมีเป้าหมายจะสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงิน และระบบการชำระเงินให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสามารถตอบโจทย์โลกธุรกิจและการเงินดิจิทัลให้กับเมียนมา สอดคล้องกับทิศทางการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลในเมียนมาที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ซึ่งธนาคารอยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อพัฒนาบริการให้สามารถสร้างประสบการณ์ทางการเงินที่ดีให้กับชาวเมียนมา โดยจะเริ่มต้นพัฒนาด้านระบบการชําระเงินดิจิทัล ทั้ง Corporate portal สำหรับลูกค้าธุรกิจ และ Mobile Banking สำหรับลูกค้ารายย่อย ซึ่งคาดว่าจะสามารถให้บริการได้ภายในปี 2565 เพื่อตอบโจทย์การชำระสินค้าและบริการ ซึ่งจะช่วยลดภาระในการใช้และบริหารเงินสดในประเทศ

สารัชต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมียนมาเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตค่อนข้างสูง ถึงแม้ปัจจุบันสินเชื่อลูกค้าธุรกิจจะเทียบเท่า 87% ของสินเชื่อทั้งหมดที่มีมูลค่าประมาณ 18,000 ล้านเหรียญ ในส่วนลูกค้ารายย่อยจะมีเพียงประมาณ 10% ซึ่งธนาคารกลางเมียนมาคาดว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อลูกค้ารายย่อยจะเติบโตแบบก้าวกระโดด นอกจากนี้ นวัตกรรมในรูปแบบสินเชื่อดิจิทัล (Digital Lending) จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ จากอัตราเพิ่มการใช้งานของ smartphone จาก 80% เป็น 90% ของประชากร ในปี 2561 ถึง 2562 นอกจากนั้น ยังมีอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นกว่า 1 ล้าน ผู้ใช้งาน ระหว่างปี 2562 ถึง 2563 จึงเป็นกลุ่มศักยภาพสำคัญต่อการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัล

]]>
1314428
“ธนา เธียรอัจฉริยะ” ประกาศลาออก CMO ไทยพาณิชย์ ไปนั่งกรรมการ TQM โบรกเกอร์ประกันภัย https://positioningmag.com/1305662 Thu, 12 Nov 2020 05:45:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305662 ธนา เธียรอัจฉริยะผู้บริหารเเบงก์ไทยพาณิชย์ ประกาศลาออกจากตำเเหน่ง “CMO” มีผลอย่างเป็นทางการเเล้ว กระโดดนั่งกรรมการฯ TQM โบรกเกอร์ประกันภัยรายใหญ่

ธนา เธียรอัจฉริยะ ได้ลาออกจากตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานการตลาด ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เเล้ว โดยมีผลอย่างเป็นทางการ เมื่อ 1 .. ที่ผ่านมา หลังหารือก่อนตัดสินใจมานานนับปี

อย่างไรก็ตาม เขาจะยังทำหน้าเป็นที่ปรึกษาให้กับ SCB ทั้งในส่วนงานมาร์เก็ตติ้งเเละประชาสัมพันธ์ต่อไป

นอกจากนี้ ธนายังคงทำหน้าที่ประธานกรรมการบริหาร ของบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SCB 10X เหมือนเดิม โดยตอนนี้กำลังปลุกปั้นเเอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรี่ของคนไทยอย่างRobinhood” รวมถึงโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคตด้วย

ทีมงาน SCB มีความสามารถอยู่แล้ว ส่วนตัวจึงเป็นที่ปรึกษาช่วยทำงานเหมือนเดิม ช่วยดูแล Robinhood เหมือนเดิม”

ธนาบอกว่า เป็นโอกาสที่จะหาความรู้ใหม่ ใช้ประสบการณ์ในการช่วยเหลือธุรกิจอื่นๆ โดยการเป็นเข้าไปเป็นบอร์ด เเละที่ปรึกษา ซึ่งหากยังติดตำเเหน่งผู้บริหารประจำอยู่ก็อาจจะไม่สามารถทำได้

เขาเป็นผู้บริหารในหลากหลายวงการทั้ง แม็คยีนส์, จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เเละดีเเทคก่อนจะข้ามมาสายธนาคาร ปั้นเทคโนโลยีฟินเทคของ SCB

ล่าสุดบริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TQM ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เเห่งประเทศไทย ถึงกรณีคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการแต่งตั้งธนา เธียรอัจฉริยะเป็นกรรมการใหม่ของบริษัท ส่งผลให้กรรมการของบริษัท เพิ่มขึ้นจาก ณ ปัจจุบัน จำนวน 9 ท่าน เป็น 10 ท่าน

โดยคาดว่าธนา จะเข้าดูแล TQM ในส่วนงานด้านดิจิทัลเเละเทคโนโลยีขององค์กร ซึ่งอาจจะเข้ามาบริหารในช่วงปีหน้านี้

 

 

]]>
1305662
SCB เปิดงบไตรมาส 3/63 กำไร 4,641 ล้านบาท ลดลง 69% ส่วน 9 เดือนแรก ลดลง 36% https://positioningmag.com/1302472 Tue, 20 Oct 2020 15:55:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1302472 ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศผลกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2563 จำนวน 4,641 ล้านบาท ลดลง 69% และกำไรสุทธิเก้าเดือนแรกของปี 2563 จำนวน 22,252 ล้านบาท ลดลง 36%

ธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ (งบการเงินรวมก่อนสอบทาน) ในไตรมาส 3 ของปี 2563 จำนวน 4,641 ล้านบาท ลดลง 69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการตั้งเงินสำรองปกติที่สูงขึ้นในไตรมาสนี้  และการเทียบกับฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายการกำไรพิเศษครั้งเดียวจากการขายหุ้นในบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิต หากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าว กำไรสุทธิลดลง 56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2563 ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 22,252 ล้านบาท ลดลง 36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในไตรมาส 3 ของปี 2563 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 23,724 ล้านบาท ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยหลังจากที่ธนาคารได้ขายหุ้นของบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิตในปีที่ผ่านมา และการหดตัวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งเป็นผลส่วนใหญ่จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลายครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี ในขณะที่สินเชื่อโดยรวมขยายตัว 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 3% จากสิ้นปี 2562

รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 10,761 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หากไม่รวมกำไรพิเศษครั้งเดียวจากการขายหุ้นในบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิตในปีก่อน กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายหลังการผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง ทำให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยประเภทเกิดประจำ (recurring) ในไตรมาส 3 ของปี 2563  เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นโดยเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 15,747 ล้านบาท ลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการที่ธนาคารสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจที่ยากลำบาก อย่างไรก็ตามรายได้รวมของธนาคารยังคงได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาด COVID-19 ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ของธนาคารในไตรมาส 3 ของปี 2563 ปรับสูงขึ้นเป็น 46%

นอกจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อด้อยคุณภาพตามปกติ ธนาคารได้ทำการประเมินคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมดอย่างรอบคอบ เพื่อทำการจัดชั้นลูกหนี้เชิงคุณภาพในกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูง และมีแนวโน้มสูงที่จะฟื้นตัวไม่ได้ภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ส่งผลให้อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 อยู่ที่ 3.32% เพิ่มขึ้นจาก 3.05% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563

เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และคุณภาพสินเชื่อที่อาจด้อยลงจากผลกระทบของการแพร่ระบาด COVID-19 ในไตรมาส 3 ของปี 2563 ธนาคารได้ตั้งเงินสำรองจำนวน 12,955 ล้านบาท โดยอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารยังอยู่ในระดับสูงที่ 146% ในขณะที่เงินกองทุนตามกฎหมายของธนาคารยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.7%

]]>
1302472
เปิดเกม KBank vs SCB เเข่งธุรกิจอาหาร เมื่อแบงก์จะไปอยู่ทุกที่ เเละเป็น “มากกว่า” ธนาคาร https://positioningmag.com/1286885 Wed, 08 Jul 2020 08:44:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1286885 สมัยก่อนเมื่อพูดถึงธนาคาร หรือเเบงก์เรามักจะนึกถึงเเค่การทำธุรกรรมทางการเงิน สินเชื่อเเละประกัน เเต่ในยุคดิจิทัล ธนาคารได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา เป็นอีกหนึ่งเเอปพลิเคชันจำเป็นที่ต้องมีไว้ติดมือถือ

ธนาคารในไทย เป็นธุรกิจที่ถูกดิสรัปต์อย่างรุนเเรง เเต่ก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเเละมีประสิทธิภาพ พัฒนาไปสู่ดิจิทัล
เเบงกิ้งอย่างเต็มรูปแบบ มีนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาสม่ำเสมอ มากไปกว่านั้น ยังเป็นเหมือนผู้นำที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีใหม่ของเมืองไทยเลยก็ว่าได้ ด้วยความพร้อมจากการเป็นทุนใหญ่มีทรัพยากรมากทั้งบุคลากรเเละข้อมูลผู้ใช้

ในช่วงที่ผ่านมา เราได้เห็นการฟาดฟันกันระหว่าง 2 ธนาคารใหญ่เเบงก์เขียวเเละเเบงก์ม่วงอย่างกสิกรไทย (KBank) เเละไทยพาณิชย์ (SCB) ที่เเข่งขันเอาใจลูกค้าเเละตอบสนองความต้องการใหม่ๆ พยายามที่จะเป็นมากกว่าเเบงก์ทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำ ด้วยเป้าหมายว่าต่อไปแบงก์จะอยู่ทุกที่ ยกเว้นที่แบงก์นั่นเอง

KBank เเละ SCB เป็นคู่เเข่งสมน้ำสมเนื้อมาก ด้วยฐานผู้ใช้ K Plus ที่ 13 ล้านราย (ตั้งเป้าสิ้นปีนี้ 15 ล้านราย)  ส่วน SCB Easy มีผู้ใช้ 11 ล้านราย (ตั้งเป้าสิ้นปีนี้ 13 ล้านราย)

ด้านรายได้รวม (อ้างอิงจากงบการเงิน 9 เดือน ปี 2562) KBank อยู่ที่ 139,376 ล้านบาท SCB อยู่ที่ 131,890 ล้านบาท

ทั้ง 2 ธนาคารได้ตั้งบริษัทลูกที่จะมาปั้นสตาร์ทอัพในเมืองไทยโดยเฉพาะ อย่าง KASIKORN Business- Technology Group หรือ KBTG ที่ได้ กระทิง เรืองโรจน์ พูนผล มานำทัพเป็นหัวเรือใหญ่ ฟาก SCB ส่ง
SCB 10X 
มาลงสนามนำทัพโดย ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ 

  • KBank เป็นผู้ให้บริการ Grab Pay ในแอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรี่ Grab ทาง SCB ก็เป็นผู้ให้บริการ Get Pay ผ่านเเอปฯ คู่เเข่งอย่าง Get เช่นกัน
  • KBank มีระบบ Face Pay สแกนใบหน้าเพื่อชำระเงิน ทาง SCB ก็มี Palm Vein การชำระเงินด้วยฝ่ามือ เช่นกัน
  • KBank เปิดตัวขุนทองเป็นแชทบอทเหรัญญิกช่วยคิดการแชร์ค่าอาหารบน LINE ทาง SCB ก็มีปาร์ตี้หาร (PartyHaan)” เช่นกัน

ล่าสุดการฉีกเเนวธนาคาร มาลงทุนในศึก “ฟู้ดเดลิเวอรี่ด้วยการเปิดตัว Robinhood ของ SCB ก็สั่นสะเทือนวงการไม่น้อย เมื่อกำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ด้วยประเด็นจี้จุด Pain Point อย่างการไม่คิด GP ไม่คิดค่าสมัคร โอนเงินไวใน 1 ชั่วโมง ท้าทายคู่เเข่งระดับโลกอย่าง Grab, LINE Man, GET เเละ Food Panda โดยพร้อมจะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้

ส่วน KBank ตามมาติดๆ เเละได้ใจผู้ประกอบการไปเต็มๆ เปิดตัว “Eatable” (อีทเทเบิล) แพลตฟอร์มตัวช่วยจัดการร้านอาหารไม่ต้องโหลดแอป ไม่มีค่าธรรมเนียม สามารถจัดการระบบหลังบ้านแบบเรียลไทม์ผ่านทางออนไลน์ ส่วนลูกค้าสามารถเลือกอาหาร สั่ง และจ่ายแบบไร้การสัมผัส ที่กำลังจะเปิดตัวเเบบเต็มรูปแบบในเดือนตุลาคมนี้ พร้อมพัฒนาต่อยอดให้นักท่องเที่ยวจีนสั่งอาหารในไทยได้ปลายปีนี้

การได้เห็นแบงก์แข่งขัน เปิดตัวเทคโนโลยีออกมารัว เเบบนี้ เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคเเละสร้างเเรงกระเพื่อมให้วงการธนาคารไม่น้อย

SCB vs KBank ทุ่มลงทุนธุรกิจ “อาหาร” 

ถ้าการเข้ามาในตลาดนี้ของ SCB ทำให้เจ้าอื่นๆ ตื่นตัวเเละทุ่มโปรโมชั่นเพื่อเเข่งขันกันมากขึ้น ก็ถือว่าเป็นผลประโยชน์ของผู้บริโภค

Robinhood เกิดขึ้นจากไอเดียของ อาทิตย์ นันทวิทยา ซีอีโอของ SCB ตอนที่เขาต้องกักตัวในช่วงการระบาดของ COVID-19 ต้องทำงานจากที่บ้าน ทำให้ต้องสั่งอาหารออนไลน์บ่อยครั้ง และมองเห็นโอกาสว่าธนาคารมีทรัพยากรเพียงพอที่จะทำได้ จึงต่อยอดด้วยการระดมทีมกว่า 80 คนพัฒนาแอปฯ นี้ขึ้น ภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือนก่อนเปิดตัว

เเนวคิดหลักของ Robinhood เป็นไปตามเเบบฉบับของสตาร์ทอัพ คือมุ่งเเก้ Pain Point ในวงการฟู้ดเดลิเวอรี่ ทั้งประเด็นการเก็บค่าธรรมเนียม หรือ GP ที่สูงถึง 30-35% ที่ทำให้บางร้านอาหารเเทบไม่มีกำไร หรือผู้บริโภคที่ต้องเเบกรับค่าอาหารที่ “เเพงขึ้น” จากปกติ ดังนั้น Robinhood จึงคว้าโอกาสชูจุดขายว่า ไม่เก็บค่า GP รวมถึงปัญหา “เงินหมุน” ของทั้งร้านค้าเเละคนขับ จึงเป็นที่มาของการที่จะเคลียร์เงินเข้าบัญชีให้ได้ใน 1 ชั่วโมง

ทาง SCB ยืนยันว่าเป็นหนึ่งใน CSR ของบริษัทที่ จะไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียม GP ทั้งในช่วงนี้และต่อไป เเละถ้าหากในอนาคตมีคนใช้จำนวนมาก แนวทางการหารายได้จะเป็นไปในทาง “เสนอสินเชื่อ” ให้ผู้ประกอบการมากกว่าที่จะหันมาหักค่า GP

เเอปพลิเคชัน Robinhood กำลังจะเปิดตัวอย่างเต็มรูปเเบบในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้

ถ้าจะพูดกันว่าเป็นการเผาเงินเล่น ก็คงเป็นการเผาเงินที่คุ้มค่ามากเราลงทุนปีละร้อยล้าน จะมองว่าเยอะก็เยอะ จะว่าน้อยก็น้อย เเต่เมื่อเทียบกับกำไรของธนาคารที่ได้ปีละ 4 หมื่นล้านเเล้ว ถือว่าน้อยมาก งบในส่วน CSR ของบริษัทเยอะกว่านี้อีก

คำกล่าวของ “ธนา เธียรอัจฉริยะ” ผู้บริหาร SCB ที่จะมาเป็นหัวเรือใหญ่ของ Robinhood ผ่านการดำเนินงานภายใต้ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด (บริษัทลูกของ scb 10x) โดยเขาจะนั่งเป็นประธานกรรมการบริหาร พร้อมผู้เชี่ยวชาญด้านเพย์เมนต์อย่าง “สีหนาท ล่ำซำ” ที่จะมานำทัพบุกเบิกบริษัท ในตำเเหน่งกรรมการผู้จัดการ ซึ่งกำลังจะปั้นทีมใหม่ให้ได้ราว 40-50 คน ใช้งบลงทุนราว 100 ล้านบาทต่อปี

อ่านเพิ่มเติมเจาะลึกทุกมุมของ Robinhood ไขข้อสงสัยปมค่าส่ง โมเดลธุรกิจเเละเเผนสู้ศึกฟู้ดเดลิเวอรี่

ข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ในประเด็นการปรับตัวของธุรกิจร้านอาหารเข้าสู่มาตรฐานใหม่ คาดว่า ธุรกิจร้านอาหารในปีนี้จะมีมูลค่าราว 3.8 แสนล้านบาท หดตัวเกือบ 10% จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากลูกค้ามีความระมัดระวังตัวในการออกไปทานอาหารนอกบ้าน จากปัญหาการระบาดของ COVID-19 ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคบางส่วนได้เปลี่ยนแปลงไป ใช้บริการเดลิเวอรี่ในการสั่งอาหารมาทานที่บ้านหรือที่ทำงานแทนมากขึ้น ร้านอาหารยุคใหม่จะต้องผสมผสานการให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าทั้งที่ทานที่ร้านและเดลิเวอรี่ไปพร้อม ๆ กัน

อย่างไรก็ตาม แม้จะผ่านช่วงแพร่ระบาดหนักมาแล้ว แต่ร้านอาหารก็ยังฟื้นตัวช้ากว่าปีที่ผ่านมาถึง 70% ถือเป็นภาคธุรกิจที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างมาก สิ่งเหล่านี้เป็นโจทย์ท้าทายของเหล่าร้านอาหาร ที่ต้องมีการ
ทรานส์ฟอร์เมชั่นไปสู่การเป็นร้านอาหารยุค New Normal แบบครบวงจรที่ตอบรับลูกค้าทั้งการทานที่ร้านและเดลิเวอรี่

นี่จึงเป็นที่มาของ “Eatable” (อีทเทเบิล) แพลตฟอร์มให้ใช้ “ฟรี” ที่จะมาเป็นตัวช่วยจัดการร้านอาหาร พัฒนาโดย KBTG บริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทย

“Eatable” แพลตฟอร์มฟรีช่วยร้านอาหาร กำลังเปิดให้บริการเต็มรูปเเบบในเดือนตุลาคมนี้

เรืองโรจน์ พูนผล ประธาน KBTG ยืนว่า Eatable เป็นแพลตฟอร์มฟรี ช่วยจัดการร้านอาหารที่มีทั้งส่วนบริการในร้าน รับออเดอร์ เรียกพนักงานหรือรับชำระเงิน เเละมีบริการจัดส่งเดลิเวอรี่ โดยจะเน้นไปที่ประสบการณ์การทานอาหารที่ร้านไม่ได้เน้นไปที่ธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่โดยตรง ซึ่งมีการเเข่งขันอย่างดุเดือดในปัจจุบัน

อ่านเพิ่มเติม : KBank มาเเล้ว! เปิดตัว “Eatable” แพลตฟอร์มฟรีช่วยร้านอาหาร ระบบสั่งทานที่ร้าน-ส่งเดลิเวอรี่

ไม่หวังกำไร…เเล้วต่อยอดรายได้อย่างไร ? 

การลงทุนใน Robinhood ของ SCB จะเน้นต่อยอดไปที่สินเชื่อเเละสร้างความหลากหลาย

บริษัทใหญ่ของโลกที่ให้บริการทั้ง E-Marketplace , Ride Hailing เเละเดลิเวอรี่ สุดท้ายก็จะวนมาสู่บริการทางการเงิน เป็นคำถามว่าแล้ว SCB ที่เป็นธนาคารให้บริการทางการเงินอยู่แล้ว โดนดิสรัปต์มาโดยตลอด แล้วทำไมธนาคารจะก้าวข้ามไปทำบริการอื่นๆ ไม่ได้

สีหนาท ล่ำซำ เอ็มดีของ Robinhood กล่าวถึงการลงทุนในธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ของธนาคาร และบอกว่าข้อได้เปรียบของการเป็นธนาคารในตลาดนี้ คือฐานลูกค้าเเละความเสถียรของระบบเพย์เมนต์ รวมถึงข้อเสนอเรื่องสินเชื่อที่ผู้ประกอบการเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

การลงทุนใน Eatable ของ KBank เน้นสร้าง Ecosystem เพื่อดึงลูกค้าให้อยู่ด้วยนานๆเเละต่อยอดไปบริการอื่น

เเม้ผู้บริหาร KBTG จะไม่เปิดเผยถึงงบประมาณในการลงทุน แต่บอกว่าเยอะทั้งในส่วนปฏิบัติการและการประสานงาน แต่ก็ถือว่าคุ้มเพราะ ถ้าลูกค้าแฮปปี้ เขาก็จะอยู่กับเรานาน” เเละต่อยอดไปให้บริการเเละผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของธนาคารได้ 

เบื้องต้นไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะมีร้านค้าใช้ Eatable จำนวนเท่าใด แต่หวังว่าจะดึงดูดให้ร้านอาหารมาเข้าร่วมให้มากที่สุด เพราะถือเป็นการลดต้นทุนด้านเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการรายย่อยและร้านอาหารที่มีทุนน้อย ให้สามารถเปลี่ยนแปลง และปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลได้ในระยะยาว ซึ่งจะเป็นการพลิกโฉมวงการร้านอาหารไทยเลยทีเดียว

อีกด้านหนึ่ง การพัฒนาไคไท่เตี่ยนไช่” (Kai Tai Dian Cai) บริการสั่งอาหารสำหรับนักท่องเที่ยวจีนผ่านแอปวีแชท (WeChat) ก็เป็นการต่อยอดการลงทุนฟินเทคในจีนของกสิกรไทย โดยก่อนหน้านี้ KBTG ได้เปิดตัว 2 บริษัท KX และ Kai Tai Tech ในเซินเจิ้น เพื่อดึงศักยภาพการทำงานรูปแบบสตาร์ทอัพ เเละสร้างการเติบโตให้ธนาคารไทย

สร้าง Engagement ใกล้ชิดกว่าเเบงก์เดิม ๆ 

เห็นได้ชัดว่าทั้ง SCB เเละ KBank ประกาศว่าจะเน้นการให้บริการด้านธุรกิจอาหาร โดยไม่หวังรายได้ “โดยตรง” กลับคืนมา เพราะจุดประสงค์ไม่ใช่การหารายได้ เเต่การสร้าง Engagement กับลูกค้าเเบบที่ไม่เคยมีธนาคารไหนทำมาก่อนซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนองค์กรครั้งใหญ่

โมเดลธุรกิจที่นอกเหนือจากการเสนอสินเชื่อเเละการเก็บข้อมูลเเล้ว อีกหนึ่งผลพลอยได้ คือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างร้านอาหารกับพนักงานสาขา

โดย SCB วางนโยบายใหม่ว่า พนักงานธนาคารจะต้องออกไปเจอร้านค้าที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ไปพูดคุย ทำความรู้จักเเละให้คำเเนะนำได้ เป็นการ Re-Skill และปรับการทำงานของสาขา SCB ใหม่ จึงเกิดเป็นการเทรนนิ่งพนักงานกว่า 800 คนทั่วประเทศขึ้น

จึงมาถึงยุคที่พนักงานธนาคารต้องปรับตัว ให้ถ่ายรูปสวย เพื่อเป็นผู้ช่วยให้กับร้านอาหาร เป็นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่มากกว่าการฝากถอนซึ่งความสนิทสนมเหล่านี้ ทำให้มีโอกาสสูงที่จะต่อยอดไปสู่บริการอื่นๆ ของธนาคารได้ง่ายขึ้น

Photo : Shutterstock

ส่วน SCB เมื่อเข้าไปเป็นระบบหลังบ้านของร้านอาหารเเล้ว ก็ถือเป็นความใกล้ชิดเเบบสุดๆ เลยก็ว่าได้ เป็นการสร้างความเชื่อใจในระยะยาว เมื่อธุรกิจต้องการความช่วยเหลือด้านการเงิน ต้องการขยายสาขาหรือพัฒนาศักยภาพธุรกิจก็ต้องคิดถึงธนาคารที่ใกล้ตัวที่สุดอยู่เเล้ว

นอกจากนี้ ด้วยประโยชน์ของข้อมูล (Data) ซึ่งได้กลายมาเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาธุรกิจยุคดิจิทัล เพื่อนำมาวางทิศทางกลยุทธ์การตลาด เเละคาดการณ์ว่าลูกค้าจะมีความต้องการอะไรทั้งในตอนนี้เเละอนาคตธนาคารจึงสามารถออกบริการใหม่ๆ มาตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้ตรงจุด นำไปสู่รายได้ทางอ้อม ที่คุ้มยิ่งกว่าต่างจากสมัยก่อนที่ธนาคารมักจะเสนอบริการแบบเดิมๆ ที่ไม่อาจรู้ได้ว่าลูกค้าอยากได้หรือไม่

ในช่วงนี้ธนาคารต่างๆ กำลังพัฒนาระบบวิเคราะห์สถานะทางการเงิน เพื่อรุกหนักด้านสินเชื่อออนไลน์ ให้สามารถยื่นกู้ผ่านแอปฯ ได้ทันทีก็เป็นอีกตัวอย่างที่อธิบายการต่อยอดธุรกิจนี้ได้ดี

นอกจากการเเข่งขันในประเทศเเล้ว ธนาคารใหญ่ในไทยกำลังหาบ่อเงินเเห่งใหม่ ด้วยการเข้าไปเจาะประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่เป็นตลาดเติบโตใหม่ เป็นโอกาสทองที่จะเข้าไปปูทางสร้างดิจิทัลเเบงกิ้งให้เข้าถึงประชากรจำนวนมาก ในยามที่คู่เเข่งยังไม่เยอะ

อ่านเพิ่มเติม : ธนาคารไทย ตามหา “ขุมทรัพย์ใหม่” เเย่งลงทุนอาเซียน ส่ง “ดิจิทัลเเบงกิ้ง” เข้าถึงท้องถิ่น

KBank เเละ SCB เลือกเจาะเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกันดีอย่างเมียนมาโดยธนาคารกสิกรไทย ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการโดยธนาคารกลางของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ในการเข้าร่วมลงทุนในสัดส่วน 35% ของ ธนาคารเอยาวดี ฟาร์มเมอร์ ดีเวลลอปเม้นท์แบงก์ หรือ เอแบงก์ (A bank) ส่วน SCB ได้รับอนุมัติจัดตั้งธนาคารลูกอย่างเป็นทางการ โดยตั้งเป้า 5 ปี ยอดสินเชื่อแตะ 7 พันล้านบาท เจาะลูกค้าทุกกลุ่มทั้งรายใหญ่ SMEs เเละรายย่อย

การงัดกลยุธ์เด็ดๆ มาประชันกันในศึกดิจิทัลเเบงกิ้งของเหล่าธนาคารยักษ์ใหญ่ในไทย เป็นประเด็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เมื่อเเบงก์กำลังจะไปอยู่ทุกที่ เเละเป็นมากกว่าผู้ให้บริการทางการเงิน ส่วนใครจะก้าวไปไกลเเละเร็วกว่านั้น ล้วนเป็นตัวขับเคลื่อนเทคโนโลยีของไทยทั้งสิ้น เเละหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์ก็คือ เราๆ ชาวผู้บริโภคนั่นเอง…

 

]]>
1286885
เจาะลึกทุกมุมของ Robinhood ไขข้อสงสัยปมค่าส่ง โมเดลธุรกิจเเละเเผนสู้ศึก “ฟู้ดเดลิเวอรี่” https://positioningmag.com/1283697 Thu, 18 Jun 2020 12:40:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1283697 ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ธนาคารใหญ่อย่าง SCB ตั้งใจจะเปิดตัว Robinhood เเอปฯ สั่งอาหารน้องใหม่สัญชาติไทยเเบบเบาๆเเต่กลับมีกระเเสตอบรับอย่างล้นหลาม จนทีมงานต้องตกใจ

การฉีกเเนวธุรกิจเเบงก์ มาลงทุนในศึกฟู้ดเดลิเวอรี่เมืองไทยของ SCB ครั้งนี้ สั่นสะเทือนวงการไม่น้อย เมื่อกำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ด้วยประเด็นจี้จุด Pain Point อย่างการไม่คิด GP ไม่คิดค่าสมัคร โอนเงินไวใน 1 ชั่วโมง

อ่านเพิ่มเติม : เปิดเบื้องหลัง SCB ฉีกเเนวธนาคาร เปิดตัว Robinhood ลงศึกฟู้ดเดลิเวอรี่เเบบไม่เก็บค่า GP”

หลายคนสงสัยในประเด็นค่าส่งว่าจะเเพงกว่าเจ้าอื่นหรือไม่ เมื่อไม่มีการอัดโปรโมชั่นหนักๆ รัวๆ เเล้วอะไรที่จะดึงดูดใจให้คนมาใช้ อะไรที่จะทำให้ Robinhood อยู่รอดในสมรภูมิที่มีการเเข่งขันอย่างดุเดือด กับคู่เเข่งเจ้าใหญ่ที่มีทุนหนาอย่าง Grab, LINE Man, GET เเละ Food Panda

และเมื่อเป็นการลงทุนเเบบไม่หวังกำไรดังที่ธนาคารได้ประกาศไว้ แต่การลงทุนปีละ 100 ล้านบาท คงต้องมีผลประโยชน์กลับมาไม่ว่าทางใดทางหนึ่งเเน่นอน โดยโมเดลธุรกิจ กลยุทธ์เเละเเผนต่อยอดของ Robinhood จะเป็นเช่นไร Positioning จะพามาเจาะลึกและไขข้อข้องใจนี้กัน

ถ้าจะพูดกันว่าเป็นการเผาเงินเล่น ก็คงเป็นการเผาเงินที่คุ้มค่ามากเราลงทุนปีละร้อยล้าน จะมองว่าเยอะก็เยอะ จะว่าน้อยก็น้อย เเต่เมื่อเทียบกับกำไรของธนาคารที่ได้ปีละ 4 หมื่นล้านเเล้ว ถือว่าน้อยมาก งบในส่วน CSR ของบริษัทเยอะกว่านี้อีก

นี่คือคำกล่าวของธนา เธียรอัจฉริยะผู้บริหาร SCB ที่จะมาเป็นหัวเรือใหญ่ของ Robinhood ผ่านการดำเนินงานภายใต้ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด (บริษัทลูกของ scb 10x) โดยเขาจะนั่งเป็นประธานกรรมการบริหาร พร้อมผู้เชี่ยวชาญด้านเพย์เมนต์อย่างสีหนาท ล่ำซำที่จะมานำทัพบุกเบิกบริษัท ในตำเเหน่งกรรมการผู้จัดการ ซึ่งกำลังจะปั้นทีมใหม่ให้ได้ราว 40-50 คน

Robinhood เกิดขึ้นจากไอเดียของ อาทิตย์ นันทวิทยา ซีอีโอของ SCB ตอนที่เขาต้องกักตัวในช่วงการระบาดของ COVID-19 ต้องทำงานจากที่บ้าน ทำให้ต้องสั่งอาหารออนไลน์บ่อยครั้ง และมองเห็นโอกาสว่าธนาคารมีทรัพยากรเพียงพอที่จะทำได้ จึงต่อยอดด้วยการระดมทีมกว่า 80 คนพัฒนาแอปฯ นี้ขึ้น ภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือนก่อนเปิดตัว

เเนวคิดหลักของ Robinhood เป็นไปตามเเบบฉบับของสตาร์ทอัพ คือมุ่งเเก้ Pain Point ในวงการฟู้ดเดลิเวอรี่ ทั้งประเด็นการเก็บค่าธรรมเนียม หรือ GP ที่สูงถึง 30-35% ที่ทำให้บางร้านอาหารเเทบไม่มีกำไร หรือผู้บริโภคที่ต้องเเบกรับค่าอาหารที่เเพงขึ้นจากปกติ ดังนั้น Robinhood จึงคว้าโอกาสชูจุดขายว่า ไม่เก็บค่า GP รวมถึงปัญหาเงินหมุนของทั้งร้านค้าเเละคนขับ จึงเป็นที่มาของการที่จะเคลียร์เงินเข้าบัญชีให้ได้ใน 1 ชั่วโมง

ทาง SCB ยืนยันว่าเป็นหนึ่งใน CSR ของบริษัทที่ “จะไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียม GP ทั้งในช่วงนี้และต่อไป” เเละถ้าหากในอนาคตมีคนใช้จำนวนมาก แนวทางการหารายได้จะเป็นไปในทาง “เสนอสินเชื่อ” ให้ผู้ประกอบการมากกว่าที่จะหันมาหักค่า GP

โดย Robinhood จะเริ่มทดลองให้ใช้ในวงจำกัดก่อนในช่วงเดือน ก.ค. เพื่อทดสอบความเรียบร้อย ก่อนจะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในช่วงต้นเดือนส.ค. เริ่มในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ก่อนจะขยายไปทั่วประเทศในอนาคต

ถ้าการเข้ามาในตลาดนี้ของเรา ทำให้เจ้าอื่นๆ ตื่นตัวเเละทุ่มโปรโมชั่นเพื่อเเข่งขันกันมากขึ้น ก็ถือว่าเป็นผลประโยชน์ของผู้บริโภค”

ธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด (Purple Ventures)

สู้ค่าส่ง 10 บาทไม่ไหว…อะไรที่จะทำให้คนเลือกใช้ Robinhood ?

ด้วยความที่ SCB ลงทุนใน Robinhood ด้วยงบปีละร้อยล้านบาท ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับเจ้าตลาดในปัจจุบัน ที่มีการลงทุนกันระดับหลายพันล้านบาททั้งสิ้น

เเละในงบร้อยล้านนั้น ยังเป็นงบที่รวมทุกอย่างทั้งการจัดการ พนักงาน ระบบหลังบ้านและเครือข่าย ซึ่งจะมีงบด้านการตลาดเหลืออยู่ไม่ถึง 20 ล้านบาท พร้อมยืนยันว่าจะไม่มีการนำไปใช้เพื่ออัดโปรโมชั่น รวมถึงจะไม่มีการออกเงินค่าส่งต่อครั้งที่ให้เหล่าคนขับเหมือนเเอปฯเจ้าอื่นด้วย ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ค่าส่งของ Robinhood ต้องเเพงกว่าเเน่นอน

“ถ้าผู้ให้บริการรายอื่นมีโปรฯ ค่าส่ง 10 บาท ก็ไปใช้กันเถอะครับ ทางเราไม่เเข่งด้วย สนับสนุนให้ใช้บริการของคู่แข่งได้เลย มันคุ้มมากจริงๆ ทำให้ผู้บริโภคได้ค่าส่งถูกๆ ถือเป็นเรื่องดี” ธนากล่าว

อย่างไรก็ตาม “ตลาดมีช่องว่างเสมอ” ยังพอหนทางที่จะทำให้พอจะสู้เรื่องค่าส่งได้ นั่นก็คือ “ถ้าซื้ออาหารจาก Robinhood จะคุ้มค่ากว่าเมื่อดูที่ราคารวม โดยเฉพาะการสั่งซื้อที่ยอด 300 บาท ขึ้นไป”

ผู้บริหาร SCB อธิบายต่อ โดยยกตัวอย่างกรณีที่ร้านอาหารจำเป็นต้องชาร์จราคาอาหารเพิ่ม เพื่อให้สอดคล้องกับค่า GP ที่ถูกเรียกเก็บ จากราคาหน้าร้านที่ถุงละ 50 บาท เป็นราคาในเเอปฯ 70 บาท สมมติลูกค้าสั่งโจ๊ก 5 ถุงเท่ากับราคา 350 บาท เเม้จะมีค่าส่งเพียง 10 บาทเเต่เมื่อรวมเเล้วจะต้องจ่ายรวมทั้งสิ้น 360 บาท ขณะที่ Robinhood จะมีการคิดราคาอาหารเท่าหน้าร้านที่ถุงละ 50 บาท เมื่อสั่ง 5 ถุงจะเท่ากับ 250 บาท เเม้จะบวกค่าส่งที่เเพงกว่าที่ 30-50 บาท เเต่โดยรวมเเล้วจะไม่เกิน 300 บาท เป็นต้น

นอกจากนี้ ทางแอปฯ กำลังพยายามการเจรจา “ดีลพิเศษ” กับร้านอาหารขนาดใหญ่เเละเชนร้านอาหารชื่อดังต่างๆ ที่สนใจจะมาร่วมให้บริการ เช่นทางร้านอาจจะเป็นฝ่ายทำโปรโมชั่นพิเศษ หรือเเจกส่วนลดค่าส่งให้ลูกค้าเองโดยตรง เพราะเมื่อร้านไม่ได้เสียค่า GP (หรืออาจเป็นดีลที่จ่ายน้อยกว่าแอปฯอื่น) เเล้ว ก็สามารถนำส่วนต่างนั้นไปทำเเคมเปญเรียกลูกค้าได้ เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่จะมีใน Robinhood

ในส่วนของคนส่งอาหาร Robinhood จับมือกับ Skootar สตาร์ทอัพไทยที่ให้บริการส่งเอกสารในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีคนขับในสังกัดประมาณ 10,000 ราย และยังไม่มีบริการส่งอาหารมาก่อน ถือเป็นการเติบโตร่วมกัน และทางบริษัทกำลังมองหาพาร์ตเนอร์เจ้าอื่นๆ ด้วย

ทั้งนี้ ผู้สนใจที่จะร่วมงานกับ Robinhood ต้องสมัครเเละผ่านการอบรมกับทาง Skootar ก่อน ซึ่งสาเหตุที่ Robinhood ไม่ได้ลงทุนด้านขนส่งเอง ก็เพราะต้นทุนการบริหาร Rider Fleet สูงมากนั่นเอง

เเม้ตอนนี้ยังไม่ได้มีการเปิดเผย “ค่าส่ง” ที่เเน่ชัด เเต่ทาง Robinhood ระบุว่าจะมีการคิดค่าส่งตามระยะทางที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถแข่งขันกับรายอื่นๆ ได้เเน่นอน 

ส่วนข้อสงสัยที่ว่า ก่อนหน้านี้ SCB ได้ร่วมมือกับ GET ผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่รายใหญ่ เป็นพันธมิตรด้าน Financial Business จะเป็นการเเย่งตลาดกับพาร์ตเนอร์หรือไม่นั้น ผู้บริหาร SCB ตอบว่ามีการพูดคุยกันเป็นที่เรียบร้อย โดยทางธนาคารไม่ได้จะทำธุรกิจเดลิเวอรี่เเข่งกับ GET แต่อย่างใด เพราะ GET ก็มีฐานลูกค้าที่เเข็งเเกร่ง มีประสบการณ์มากกว่า และในอนาคตก็สามารถร่วมมือกันได้

ต่อยอดสินเชื่อ – Data – เพิ่มผู้ใช้ SCB Easy 

“บริษัทใหญ่ของโลกที่ให้บริการทั้ง E-Marketplace , Ride Hailing เเละเดลิเวอรี่ สุดท้ายก็จะวนมาสู่บริการทางการเงิน เป็นคำถามว่าแล้ว SCB ที่เป็นธนาคารให้บริการทางการเงินอยู่แล้ว โดนดิสรัปต์มาโดยตลอด แล้วทำไมธนาคารจะก้าวข้ามไปทำบริการอื่นๆ ไม่ได้”

สีหนาท ล่ำซำ เอ็มดีของ Robinhood กล่าวถึงการลงทุนในธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ของธนาคาร และบอกว่าข้อได้เปรียบของการเป็นธนาคารในตลาดนี้ คือฐานลูกค้าเเละความเสถียรของระบบเพย์เมนต์ รวมถึงข้อเสนอเรื่องสินเชื่อที่ผู้ประกอบการเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

สีหนาท ล่ำซำ ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด (Purple Ventures)

โดยร้านอาหารที่จะเข้าร่วม Robinhood จะต้องใช้ระบบเพย์เมนต์ของ SCB ซึ่งมาจากฐานลูกค้าเดิมที่ทำ QR Code ของ “แม่มณี” เบื้องต้นคาดว่าจะมีร้านเข้าร่วมประมาณ 20,000 ร้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยตอนนี้มีร้านที่สนใจติดต่อเข้ามาจำนวนมากกว่า 1,000 ร้านต่อวัน (ร้านอาหารที่สนใจสมัครได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ สาขา SCB, onboard.robinhood.in.th หรือโทร. 02-777-7564)

ส่วนผู้บริโภคจะเป็นการจ่ายเเบบ “ไร้เงินสด” เพื่อให้เข้ากับพฤติกรรม New Normal โดยจะสามารถจ่ายเงินผ่าน SCB Easy ที่มีฐานผู้ใช้กว่า 11 ล้านราย และตัดบัตรเครดิตได้ทุกธนาคาร ซึ่งเฟสต่อไปจะมีการพัฒนาให้จ่ายผ่าน QR Code และ Mobile Banking เจ้าอื่นๆ ทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้

เมื่อไม่ได้เน้นเรื่องรายได้ หลายคนจึงมองว่า Robinhood เป็นโอกาสของ SCB ที่จะเก็บข้อมูล (Data) จากการใช้บริการทั้งร้านอาหาร คนขับเเละผู้บริโภค โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ธนาคารกำลังพัฒนาระบบวิเคราะห์สถานะทางการเงิน เพื่อรุกด้านสินเชื่ออนไลน์ ให้สามารถยื่นผ่านแอปฯ SCB Easy ได้ทันที

ผู้บริหาร Robinhood ตอบในกรณีนี้ว่า การเก็บข้อมูลจะต้องอยู่บนพื้นฐาน Privacy ความปลอดภัยของข้อมูลของผู้ใช้ ซึ่งเป็นเรื่องที่บริษัทจะให้ความสำคัญมากที่สุด “ทุกธนาคารมีข้อมูลเยอะอยู่เเล้ว ตอนนี้ข้อมูลใน Mobile Banking ก็ไม่ได้นำมาใช้มากมายนัก เมื่อเทียบกับการใช้ธุรกรรมต่างๆ” 

Photo : Shutterstock

พนักงานเเบงก์ต้องถ่ายรูปสวย เพื่อสร้าง Engagement 

โมเดลธุรกิจของ Robinhood ที่นอกเหนือจากการเสนอสินเชื่อเเละการเก็บข้อมูลเเล้ว ธนาบอกว่าสิ่งที่ตั้งความหวังไว้มากที่สุด คือการที่ Robinhood จะมาเป็นธุรกิจที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างร้านอาหารกับพนักงานสาขา เป็นผลพลอยได้ที่จะนำไปสู่การปรับองค์กรครั้งใหญ่ที่ตั้งใจจะทำกันมานานมากเเล้ว

โดยพนักงานธนาคารจะต้องออกไปเจอร้านค้าที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ไปพูดคุย ทำความรู้จักเเละให้คำเเนะนำได้ เป็นการ Re-Skill และปรับการทำงานของสาขา SCB ใหม่ จึงเกิดเป็นการเทรนนิ่งพนักงานกว่า 800 คนทั่วประเทศขึ้น

สำหรับการ “เทรนนิ่งออนไลน์” จะใช้เวลาหลังเลิกงานประมาณ10 วัน มีการอบรมการถ่ายรูปด้วยมือถือ จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ทั้งการถ่ายรูปเมนูอาหารให้สวยงาม เรื่องแสงและเงา กฎการถ่ายภาพ 3 ส่วน 9 ส่วน การใช้แอปพลิเคชันเเต่งภาพ และจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ

จึงมาถึงยุคที่พนักงานธนาคารต้องปรับตัว ให้ “ถ่ายรูปสวย” เพื่อเป็นผู้ช่วยให้กับร้านอาหาร เป็นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่มากกว่าการ “ฝาก-ถอน” ซึ่งความสนิทสนมเหล่านี้ ทำให้มีโอกาสสูงที่จะต่อยอดไปสู่บริการอื่นๆ ของธนาคารได้ง่ายขึ้น

การได้ทรานส์ฟอร์มองค์กรเเละต่อยอดรายได้ของธนาคาร จึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ได้จากการ “เผาเงินเเบบคุ้มมากๆ” ของ Robinhood นั่นเอง

เเม้ Robinhood จะย้ำตลอดว่าต้องการเป็นเพียงเเอปฯ เล็กๆไม่เเข่งกับใคร ไม่อยากเป็นเบอร์หนึ่ง ขอเเค่เป็นทางเลือก เเต่หลายคนมองว่าอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของ Super App ของคนไทยก็เป็นได้ ขณะที่หลายคนก็มองว่าศึกฟู้ดเดลิเวอรี่ต้องสู้กันจนเลือดสาด การที่จะเเจ้งเกิดเเละอยู่รอดระยะยาวได้ไม่ง่ายนักก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า Robinhood จะเข้ามาเขย่าวงการนี้ได้จริงๆ หรือไม่

 

]]>
1283697