ธุรกิจยานยนต์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 03 Oct 2024 14:14:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดวิสัยทัศน์ “สยามกลการ 2030″ กระจายพอร์ตลงทุน “5 ธุรกิจใหม่” ลดพึ่งพิงยานยนต์ https://positioningmag.com/1492745 Thu, 03 Oct 2024 09:19:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1492745 “สยามกลการ” ในมือครอบครัว “พรประภา” เปิดวิสัยทัศน์สู่ปี 2030 เร่งกระจายพอร์ตสู่ “5 ธุรกิจใหม่” เพื่อลดการพึ่งพิงอุตสาหกรรมยานยนต์ จับเทรนด์มาแรงลงทุนใน “อสังหาริมทรัพย์” “โรงเรียนนานาชาติ” “เทคโนโลยีสะอาด” ฯลฯ วางเป้าลงทุนธุรกิจใหม่รวม 9,500 ล้านบาทภายใน 3 ปี หวังดันรายได้กลุ่มขึ้นอีก 20%

“ประกาสิทธิ์ พรประภา” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามกลการ จำกัด เปิดวิสัยทัศน์ “SMG NEXT: Building Tomorrow, Today” กลุ่มสยามกลการในปี 2030 หรืออีก 6 ปีข้างหน้าจะเพิ่มรายได้จาก 5 ธุรกิจใหม่ “New Ventures” เพื่อกระจายพอร์ตรายได้ให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น

โดยปัจจุบันกลุ่มสยามกลการที่ดำเนินธุรกิจมานาน 72 ปีมีธุรกิจในเครือ 69 บริษัท สร้างรายได้เมื่อปี 2566 รวมกว่า 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2 แสนล้านบาท รายได้หลัก 80% มาจากธุรกิจยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ส่วนที่เหลือ 20% มาจากธุรกิจก่อสร้าง อุตสาหกรรมและเครื่องจักรกล อสังหาริมทรัพย์ ฮอสพิทาลิตี้ และโรงเรียนดนตรี

สยามกลการ
พอร์ตรายได้กลุ่มสยามกลการในปัจจุบัน

เมื่อมองถึงอนาคตแล้วเทรนด์ที่มองว่าจะเป็นพื้นฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและในอาเซียน จะประกอบไปด้วย 6 เทรนด์สำคัญ ได้แก่ การท่องเที่ยว, การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI), การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, ความยั่งยืน, AI และการทำให้เป็นดิจิทัล และสุดท้ายคือ การเติบโตของภาคธุรกิจการศึกษา

ทำให้กลุ่มสยามกลการวางวิสัยทัศน์ที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก ไปพร้อมกับการหาโอกาสในธุรกิจใหม่ที่น่าจะเติบโตสูงในอนาคต

 

5 ธุรกิจใหม่ เป้าเพิ่มรายได้ 20%

สำหรับ 5 ธุรกิจใหม่ที่จะมุ่งเน้นลงทุนเพิ่มขึ้นในอนาคตของสยามกลการ ได้แก่

  • Mobility Tech – เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนขนส่ง
  • Hospitality & Education – ฮอสพิทาลิตี้และการศึกษา
  • Real Estate – อสังหาริมทรัพย์ (*เน้นเฉพาะอสังหาฯ เชิงพาณิชย์)
  • Clean Tech – เทคโนโลยีสะอาด
  • Digital & Automation – ดิจิทัลและระบบอัตโนมัติ

โดยทั้งหมดนี้คาดว่าจะใช้งบลงทุนในธุรกิจใหม่รวม 9,500 ล้านบาทภายใน 3 ปี และตั้งเป้าเพิ่มรายได้จากปกติขึ้นอีก 20%

เป้าหมายการลงทุนและการเติบโต

ทั้งนี้ มีหลายธุรกิจในกลุ่ม ‘New Ventures’ ที่นับว่าสยามกลการได้เริ่มปักหมุดการลงทุนไปเรียบร้อยแล้ว เช่น เมื่อเดือนมีนาคม’67 กลุ่มสยามกลการได้เข้าไปร่วมทุนเชิงกลยุทธ์กับ “KIA” แบรนด์รถยนต์จากเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นการเปิดธุรกิจใหม่ๆ ในกลุ่มยานยนต์ จากเป้าหมายของ KIA ที่จะผลักดันยอดขาย 50% ให้มาจากรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV)

ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์​ บริษัทมีการลงทุนอาคารสำนักงาน “สยามปทุมวัน เฮ้าส์” มูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาท เปิดบริการเมื่อเดือนธันวาคม 2566 ปัจจุบันมีอัตราการเช่าแล้ว 54% จากพื้นที่เช่ารวม 51,000 ตร.ม.

อาคารสยามปทุมวัน เฮ้าส์

ด้านเทคโนโลยีสะอาด บริษัทมีการเซ็น MOU ร่วมกับบริษัท “SK tes” ที่ทำธุรกิจด้านโซลูชัน-เทคโนโลยีกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แบตเตอรีลิเธียม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทรัพย์สินจากดาต้าเซ็นเตอร์ ฯลฯ เพื่อจะหาโอกาสร่วมกันในการเปิดธุรกิจที่ประเทศไทย

 

ลงทุนโรงแรม โรงเรียนนานาชาติ ดาต้าเซ็นเตอร์

ประกาสิทธิ์กล่าวต่อถึงการลงทุนในอนาคตของบริษัท จะมีการลงทุน 1,500 ล้านบาทในการรีโนเวตอาคารสยามกลการแห่งเดิม (ที่ตั้งบน ถ.พระราม 1 ตรงข้ามสนามกีฬาเทพหัสดิน) เพื่อเปลี่ยนเป็น “โรงแรม” ความสูง 19 ชั้น ล่าสุดมีการเซ็น MOU ใช้เชนบริหารจากเครือ Pan Pacific Hotels Group คาดว่าจะให้บริการได้ในปี 2570

รวมถึงบริษัทจะรุกเข้าธุรกิจการศึกษามากขึ้น ด้วยการเปิด “โรงเรียนนานาชาติ” ที่พัทยา ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับพาร์ทเนอร์ซึ่งจะเข้ามาบริหารโรงเรียน และจะประกาศรายละเอียดให้ทราบต่อไป

ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ กลุ่มกำลังพิจารณาการลงทุน “ดาต้าเซ็นเตอร์” 2 แห่งในที่ดินภายในนิคมอุตสาหกรรมทั้งใน จ.ชลบุรี และ จ.ฉะเชิงเทรา พื้นที่แห่งละประมาณ 40-50 ไร่ ขณะนี้อยู่ระหว่างหาพาร์ทเนอร์เพื่อร่วมลงทุนจากต่างประเทศ

]]>
1492745
ถึงเวลา ‘โตโยต้า’ เอาจริง ลงเเข่งตลาด ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ เร่งผลิต EV ให้ได้อีก 15 รุ่น ภายในปี 2025 https://positioningmag.com/1328699 Wed, 21 Apr 2021 13:24:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1328699 ยักษ์ใหญ่วงการยานยนต์โลกอย่างโตโยต้า’ (Toyota) เริ่มขยับปรับมูฟใหม่เข้าหารถยนต์ไฟฟ้าประกาศเร่งผลิตให้ได้อีก 15 รุ่น ภายในปี 2025 ชิงส่วนแบ่งตลาดรถยนต์เป็นมิตรต่อสิ่งเเวดล้อมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว หลังปล่อยให้คู่เเข่งฝั่งสหรัฐฯ และยุโรปนำหน้าไปเเล้วหลายรุ่น

ในช่วงที่ผ่านมาโตโยต้า มอเตอร์ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับตลาดรถยนต์ไฮบริดก่อน เเต่ตอนนี้ถึงเวลาที่จะเร่งผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั้งคัน โดยวางโรดเเมปเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รุ่นใหม่อีก 15 รุ่น ภายในปี 2025

นับเป็นเคลื่อนไหวล่าสุดที่ชี้ให้เห็นทิศทางใหม่ของโตโยต้า ที่ตั้งใจจะพัฒนากลุ่มยานยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มรูปแบบ โดยรถยนต์รุ่นใหม่ของโตโยต้าทั้ง 7 รุ่นจะเปิดตัวภายใต้ชื่อ bZ (ย่อมาจาก Beyond Zero)

สำหรับรุ่นเเรกจะเป็นโตโยต้า ’bZ4X’ เอสยูวี เปิดตัวโมเดลต้นเเบบไปเเล้วในงาน Shanghai Motor show โดยได้พัฒนาร่วมกับ Subaru เเบรนด์รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งโตโยต้าถือหุ้นอยู่ 20% และคาดว่าวางจำหน่ายภายในกลางปี 2022

รถรุ่น bZ4X จะผลิตในญี่ปุ่นและจีน เเละจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของบริษัทที่พัฒนาโดยใช้แพลตฟอร์ม e-TNGA รองรับระบบขับเคลื่อนทุกล้อ พร้อมเเชร์อะไหล่และการดีไซน์ระหว่างรุ่นต่างๆ ได้

bZ4X SUV รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของโตโยต้า

โตโยต้า มีเป้าหมายจะเพิ่มจำนวนรุ่นของรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งคัน รวมไปถึงรถยนต์ไฮบริด ให้ได้ทั้งหมดประมาณ 70 รุ่นภายในปี 2025 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 55 รุ่น ณ สิ้นปี 2020 ซึ่งปัจจุบันโตโยต้าจำหน่ายรถไฟฟ้าทั้งคันจำนวน 4 รุ่น

นอกจากความร่วมมือกับค่ายรถ Subaru เเล้ว โตโยต้ายังเป็นพาร์ตเนอร์กับ BYD ของจีน รวมถึง Suzuki Motor และ Daihatsu Motor เพื่อพัฒนารถยนต์ซีรีส์ใหม่ โดยเมื่อปีที่แล้ว โตโยต้าได้ร่วมทำวิจัยและพัฒนากับ BYD เพื่อมุ่งเน้นผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก

ทั้งนี้ ปัจจุบันโตโยต้ามีรถยนต์ไฟฟ้าอย่างรุ่น C-HR และ IZOA ที่จำหน่ายในประเทศจีน และ Lexus UX300e ที่จำหน่ายในตลาดโลก

โตโยต้าวางแผนจะเพิ่มยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าและรถเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) ให้ได้กว่า 1 ล้านคันภายในปี 2030 จากยอดขายรถ EV ทั่วโลกที่ประมาณ 3,300 คันในปี 2020

การเเข่งขันในวงการรถยนต์ยิ่งดุเดือดขึ้นไปอีก เมื่อคู่เเข่งระดับโลกอย่าง Volkswagen ประกาศว่าจะสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ของรถ EV เพิ่มอีก 6 แห่งในยุโรปภายในปี 2030 เเละตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าเป็น 60% ของยอดขายรถยนต์ใหม่

ในขณะเดียวกันยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาอย่าง General Motors (GM) ก็ตั้งใจที่จะขายเฉพาะรถยนต์ที่ปราศจากการปล่อยมลพิษ (zero-emission vehicles) ภายในปี 2030 โดยจะให้ความสำคัญกับรถ EV เป็นหลัก

 

ที่มา : Nikkei , theverge 

 

]]>
1328699
MAN รุกตลาด “รถบรรทุก” เมืองไทยเต็มสูบ ส่งเครื่องยนต์เยอรมันชิงส่วนแบ่งการตลาด 20% https://positioningmag.com/1291242 Wed, 05 Aug 2020 12:25:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1291242
  • MAN (เอ็ม เอ เอ็น) รถบรรทุกสัญชาติเยอรมัน เปลี่ยนจากระบบตัวแทนนำเข้าสินค้ามาตั้งบริษัทนำเข้าด้วยตนเอง โดยไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศเอเชียแปซิฟิกที่บริษัทแม่ลุยตลาดเอง นอกจากส่งรถบรรทุกนำเข้ามาลุยตลาดแล้ว ยังมีรถบัสเป็นอีกไลน์สินค้าหนึ่ง
  • กลุ่มรถบรรทุกจากยุโรปเป็นตลาดขนาดเล็กในไทย โดยมียอดขายปีละประมาณ 600 คัน MAN ต้องการชิงส่วนแบ่งตลาดส่วนนี้ให้ได้ 20% ภายในปี 2564
  • อย่างไรก็ตาม สภาวะตลาดรถบรรทุกยุโรป 7 เดือนแรกปีนี้ลดลงถึง 35% จากโรคระบาด COVID-19 ทำให้คาดว่าปี 2563-64 จะมียอดขายทั้งตลาดเพียง 450-500 คัน
  • “จักรพงษ์ ศานติรัตน์” ผู้อำนวยการ เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัท เอ็ม เอ เอ็น เจ้าของแบรนด์รถบรรทุกและรถบัส MAN จากเยอรมนี ตัดสินใจเข้ามาทำตลาดเมืองไทยด้วยตนเองตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 ตามนโยบายบุกภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของบริษัทแม่ โดยก่อนหน้านั้น MAN มียอดขายในเมืองไทยเป็นอันดับ 3 เนื่องจากมีผู้นำเข้าทำตลาดอยู่ก่อนแล้วมาตั้งแต่ปี 2538

    เมืองไทยเป็น 1 ใน 5 ตลาดเอเชียแปซิฟิกที่ MAN เลือกเปิดบริษัทด้วยตนเอง ร่วมกับจีน เกาหลีใต้ มาเลเซีย และฮ่องกง ส่วนประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้อีก 10 ประเทศ บริษัทยังทำตลาดผ่านผู้นำเข้าอยู่

    จักรพงษ์กล่าวว่า รถบรรทุกและรถบัส MAN มีจุดแข็งที่ประวัติการดำเนินงานยาวนานกว่า 260 ปี เป็นบริษัทที่ให้ความร่วมมือกับ “รูดอล์ฟ ดีเซล” ผู้ประดิษฐ์เครื่องยนต์ดีเซลเครื่องแรกของโลกขึ้นในปี 2440 ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานหลักและสำนักงานใหญ่ที่เมืองมิวนิก และเข้าเป็นส่วนหนึ่งของค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ Volkswagen เมื่อปี 2554 ทำให้สามารถแข่งขันได้ในแง่คุณภาพ ความทนทานนวัตกรรม และการผลิตมาตรฐานเยอรมัน

    “จักรพงษ์ ศานติรัตน์” ผู้อำนวยการ เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย

    ตีชิงส่วนแบ่งตลาดรถบรรทุกยุโรป

    สำหรับสินค้าที่ MAN จะนำเข้ามาเปิดตลาดไทยในเดือนกันยายนนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 1.กลุ่มรถบรรทุก รุ่น TGS 6X4 แบบ 10 ล้อทั้งแบบหัวลากและแบบมีกระบะ (Rigid) ตั้งแต่ 360-440 แรงม้า 2.กลุ่มรถบัส มีทั้งแบบรถเมล์ชานต่ำ รถเมล์วิ่งระหว่างเมือง และรถโค้ชทางไกล โดยรถบัสจะนำเข้าเฉพาะแชสซีส์รถ ส่วนตัวถังจะผลิตในประเทศไทยโดย บริษัท ท็อปเบสท์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เป็นผู้ผลิตและดีลเลอร์การขายกลุ่มรถบัสแต่เพียงรายเดียวในไทย

    จักรพงษ์กล่าวว่า ตลาดรถบรรทุกในประเทศไทยปกติจะมียอดขายเฉลี่ยปีละ 17,000-18,000 คัน ส่วนใหญ่เป็นรถบรรทุกจากญี่ปุ่น รถบรรทุกจากยุโรปจะมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันเพียง 3-5% เท่านั้น อย่างในปี 2562 ที่ผ่านมา รถบรรทุกยุโรปมียอดขายรวมกัน 632 คัน และเฉพาะ 2 เจ้าใหญ่ในตลาดรถบรรทุกยุโรปก็มียอดขายรวมกันถึง 90% ของตลาดนี้แล้ว (แบรนด์ดังกล่าวได้แก่ Scania และ Volvo)

    รถบรรทุกและรถบัสของ MAN

    “ตลาดรถบรรทุกยุโรปนั้นปัจจุบันเราอยู่อันดับ 3 แต่ก็เป็นอันดับ 3 ที่ห่างมาก เราอยากจะโดดขึ้นไปให้ช่องว่างลดลง” จักรพงษ์กล่าว

    โดยปี 2564 เอ็ม เอ เอ็นตั้งเป้ายอดขายรถบรรทุกจะขึ้นไปถึง 100-120 คัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 20% ของตลาดรวมรถบรรทุกยุโรปปีหน้า

     

    ทำราคาแข่งขันได้ เร่งขยายดีลเลอร์เป็น 10 เจ้า

    แบรนด์รถบรรทุกเจ้าใหญ่ดังกล่าว มีโรงงานผลิตและประกอบภายในประเทศไทยทำให้ทำราคาได้ดี แต่ทาง MAN ยังยืนยันนำเข้ามาจากเยอรมนี โดยเฉพาะตัวเครื่องยนต์ยังไม่มีแผนมาผลิตในไทยเพราะต้องการควบคุมคุณภาพ ส่วนตัวถังนั้นอาจเป็นไปได้ที่จะผลิตในไทยในอนาคต

    การนำเข้าทั้งคันทำให้ราคาเริ่มต้นของรถบรรทุก MAN จะอยู่ที่ 4.2 ล้านบาท โดยยังไม่รวมภาษี กรณีที่เป็นรถหัวลากจะบวกภาษีอีก 20% และรถบรรทุกกระบะ Rigid จะบวกภาษีอีก 40% แต่จักรพงษ์ยืนยันว่า ราคาปลายทางรวมภาษีแล้วจะสามารถแข่งขันได้ในตลาด

    นอกจากเรื่องราคาและคุณภาพพร้อมรับประกันทั้งคัน 12 เดือนไม่จำกัดระยะทาง การขยายไปให้ถึงเป้าหมายนั้น ทางเอ็ม เอ เอ็นจะเร่งขยายฐานดีลเลอร์ตั้งเป้า 10 แห่งภายใน 5 ปี โดยเป็น Private Dealer 100% ขณะนี้มีสาขาแล้ว 1 แห่งในกทม. ร่วมกับพันธมิตร บริษัท เค-แมน ออโต้เซอร์วิส จำกัด เฉพาะปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4 แห่ง มุ่งหมายปักหลักสาขาใหม่ในภาคเหนือ อีสาน และใต้ เพื่อวางโครงข่ายกระจายไปทุกภาคก่อน

    “พอเราเข้ามาทำเอง ราคาก็จะถูกลงแบบ ‘พร้อมชน’ กับแบรนด์อื่น” จักรพงษ์กล่าว “ส่วนดีลเลอร์ทั้งหมด 10 จุดก็มองว่าไม่น้อยนะครับ เพราะแบรนด์ยุโรปเจ้าอื่นก็มีมากที่สุดไม่เกิน 15 จุดทั่วประเทศ”

     

    ตลาดซบถึงปี 2564 แต่ระยะยาวมีโอกาส

    ด้านสถานการณ์ตลาดรถบรรทุกยุโรปในไทย จักรพงษ์เปิดเผยว่า 7 เดือนแรกปีนี้ค่อนข้างหนัก ยอดขายลดลงไปแล้ว 35% เทียบกับปี’62 เนื่องจากโรคระบาด COVID-19 คาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้น่าจะมียอดขายทั้งตลาดเพียง 400-450 คัน ต่อเนื่องถึงปี 2564 มองว่ายอดขายอาจจะยังไม่กลับมาเป็นปกติ ทั้งตลาดน่าจะทำได้ประมาณ 500 คัน

    แม้ตลาดช่วงเปิดตัวไม่ค่อยเป็นใจนัก แต่บริษัทก็ไม่ได้ชะลอแผน เพราะมองว่าระยะยาวตลาดรถยุโรปน่าจะมีโอกาสกินส่วนแบ่งรถญี่ปุ่นมากขึ้น เนื่องจากระบบโลจิสติกส์ในประเทศจะต้องการ “ความแม่นยำ” สูงขึ้น ต้อง “เร็ว” และ “ตรงเวลา” ขณะที่รถบรรทุกญี่ปุ่นจะทนทานน้อยกว่าเสียบ่อยกว่า และถ้าใช้ระบบแก๊สจะต้องต่อแถวรอเติมแก๊สนาน ทำให้ควบคุมความแม่นยำได้ยาก

    อีกส่วนหนึ่งคือ มาตรฐานไอเสียรถยนต์ ปัจจุบันประเทศไทยยังกำหนดมาตรฐานที่ EURO 3 แต่ต่อไปน่าจะต้องขยับขึ้นไปจนถึง EURO 4,5 และ 6 เหมือนกับประเทศเพื่อนบ้าน ยกตัวอย่างในประเทศเวียดนามมีการขยับมาตรฐานไปที่ EURO 4 แล้ว รถที่มีคุณภาพมาตรฐานไอเสียสูงขึ้น ราคาของรถยุโรปกับญี่ปุ่นก็จะใกล้เคียงกันมากขึ้น ทำให้รถญี่ปุ่นได้เปรียบเรื่องราคาน้อยลง

    “ปัจจุบันอุตสาหกรรมที่จะเลือกรถบรรทุกยุโรป มักจะเป็นกลุ่มบริษัทที่ได้สัญญาวิ่งงานทางไกลระยะยาว 3-5 ปี ทำให้การลงทุนรถยุโรปคุ้มกว่า รวมไปถึงอุตสาหกรรมที่ต้องขนส่งสินค้ามีราคา ต้องตรงเวลา และละเอียดอ่อน เช่น ผักผลไม้เกรดดีที่ขนส่งเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต และสุดท้ายคือกลุ่มงานพิเศษ ขนสินค้าราคาสูง เช่น เครื่องจักรหนัก หม้อแปลงไฟฟ้า เสาเข็ม ตอม่อ เป็นต้น” จักรพงษ์กล่าว

    ]]>
    1291242
    ยอดขายรถใหม่ใน UK ลดฮวบ 97% เหลือเเค่ 4 พันคัน ต่ำสุดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 https://positioningmag.com/1277006 Wed, 06 May 2020 10:03:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1277006 ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกที่ตกต่ำต่อเนื่องมาหลายปี ต้องทรุดหนักลงไปอีกเมื่อเจอพิษ COVID-19 โรงงานเเละตัวเเทนจำหน่ายรถยนต์หลายเเห่งทั่วสหราชอาณาจักร (UK) ต้องหยุดกิจการ ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายช่วงมาตรการล็อกดาวน์ ฉุดยอดขายรถคันใหม่ในเดือนเม.ย. ลดฮวบกว่า 97% เหลือเเค่ 4 พันกว่าคัน ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

    สมาคมผู้ค้าและผู้ผลิตยานยนต์ของสหราชอาณาจักร (SMMT) เปิดเผยว่า ยอดจดทะเบียนรถยนต์คันใหม่ทุกประเภทในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 4,321 คัน ลดลงกว่า 97% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ราว 1.61 แสนคัน เช่นเดียวกับยอดจำหน่ายรถยนต์ที่ลดลงทั่วยุโรป อย่างอิตาลีลดลง 97.5% เเละฝรั่งเศสลดลง 88.8%

    ถือว่าเป็นยอดขายที่ต่ำที่สุดในยุคปัจจุบัน นับตั้งแต่เดือน ก.พ. ปี 1946 ไม่กี่เดือนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมียอดขายรถคันใหม่ในสหราชอาณาจักร อยู่ที่ 4,044 คัน เนื่องจากตอนนั้นรัฐบาลต้องออกนโยบายจำกัดการซื้อ เพราะอยู่ในช่วงการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังผ่านสงคราม

    ตั้งเเต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ของสหราชอาณาจักรลดลงกว่า 43% บรรดาผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่าง BMW, Honda , Nissan และ Toyota ได้สั่งระงับการผลิตรถยนต์ในอังกฤษชั่วคราว ส่งผลกระทบคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 พันล้านปอนด์ (ราว 3.2 แสนล้านบาท)

    ส่วนรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในเดือน เม.ย. เป็นของ Tesla รุ่น Model 3 ที่ทำยอดขายได้ 658 คัน เเซงเเบรนด์เดิมที่ครองตลาดในอังกฤษอย่าง Ford, Volkswagen เเละ Vauxhal

    จากปัจจัยลบต่างๆ ทำให้ SMMT ต้องปรับลดคาดการณ์ยอดขายรถทั้งปีนี้ให้เหลือเเค่ 1.68 ล้านคัน ซึ่งจะเป็นตัวเลขต่ำที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี จากตัวเลขเดิมที่เคยคาดไว้ช่วงเดือน ม.ค.ที่ 2.25 ล้านคัน โดยเรียกร้องให้มีการปลดล็อกภาคการผลิตและเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ

    ขณะที่สถานการณ์การเเพร่ระบาดของ COVID-19 ในอังกฤษยังน่าเป็นห่วง โดยล่าสุดมียอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ราว 2.9 หมื่นคน มียอดติดเชื้อสะสมอยู่ที่ราว 1.94 เเสนคน

    เจ้าหน้าที่ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เเห่งหนึ่งในอังกฤษ บอกกับ BBC ว่า บางโรงงานจะเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้งในช่วงสัปดาห์นี้ เเต่การจะกลับมาเดินเครื่องผลิตเเบบเต็มรูปเเบบนั้นคงต้องรอกันอีกนาน

    วิกฤต COVID-19 เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก ที่ต้องดิ้นรนกับยอดขายที่ลดลงต่อเนื่อง ความต้องการรถยนต์ดีเซลที่ลดลง ขณะเดียวกันก็ต้องดิ้นรนปรับตัวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดปล่อยมลพิษด้วย

    ที่มา : Reuters , BBC, marketwatch

     

    ]]>
    1277006
    ไต้หวันเตรียมทดสอบ “รถบัสไร้คนขับ” บนถนนกรุงไทเป อาจให้มีผู้โดยสารใช้จริงปีหน้า https://positioningmag.com/1258266 Tue, 24 Dec 2019 06:30:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1258266 ไต้หวัน เตรียมนำ “รถบัสไร้คนขับ” มาทดสอบวิ่งบนถนนจริงในกรุงไทเป เเละหากประสบความสำเร็จจะเริ่มทดสอบให้บริการแก่สาธารณะในช่วงไตรมาส 2 ของปีหน้า

    กระทรวงคมนาคมไต้หวัน จะเริ่มรถบัสไร้คนขับมาทดสอบการจราจรบนถนน Xinyi ชานเมืองกรุงไทเป โดยจะทดสอบวิ่งในช่วงเวลาตั้งเเต่เที่ยงคืนถึงตี 2 หลังรถไฟฟ้าและรถบัสสาธารณะหยุดให้บริการตามปกติแล้ว

    หากการทดสอบครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี รัฐบาลก็จะเริ่มทดสอบให้บริการกับสาธารณะในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2020 โดยขยายเวลาเดินรถเป็นช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนจนถึงตี 5

    “ถ้าผลการทดสอบออกมาดี เราจะเปิดให้ผู้โดยสารได้ลองนั่งจริงๆ” Chen Hsueh-tai ผู้อำนวยการฝ่ายขนส่งของไทเปกล่าว

    สำหรับการทดลองวิ่งในตอนกลางคืนทำให้รถยนต์ไร้คนขับไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเลนและมีผลกระทบต่อผู้คนน้อยในการช่วงทดสอบ

    โดยระหว่างการทดสอบจะมีการติดตั้งกล้องภายในรถและเซ็นเซอร์ที่สี่แยก เพื่อช่วยให้รถรับรู้สัญญาณจราจร เเละความเร็วที่ทดสอบจะไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมทั้งจะมีพนักงานสังเกตการณ์อยู่หลังพวงมาลัยตลอดเวลา เพื่อดูเเลหากเกิดเหตุฉุกเฉิน

    อย่างไรก็ตาม เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลเคยปิดทางเดินรถบัส 2 เลนบนถนน Xinyi เพื่อทดสอบรถยนต์ไร้คนขับของบริษัทฝรั่งเศสอย่าง 7Star Lake รุ่น EZ10 เเต่รถบัสดังกล่าวไม่สามารถแยกสัญญาณไฟจราจรและไม่ผ่านการตรวจสอบ

    ช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ไต้หวันเพิ่งเปิดตัว WinBus รถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับที่พัฒนาขึ้นมาเอง โดยได้รับการเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเเละความร่วมมือของกลุ่มอุตสาหกรรมกว่า 20 กลุ่ม โดยคาดว่าจะเข้าสู่กระบวนการผลิตได้ภายในสิ้นปี 2021 นี้

    ที่มา : taipeitimes

     

    ]]>
    1258266
    รถใหม่ในญี่ปุ่นต้องมี “เบรกอัตโนมัติ” เริ่มปี 2021 หลังเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น https://positioningmag.com/1257789 Fri, 20 Dec 2019 03:00:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1257789 Photo : REUTERS/Kim Kyung-Hoon

    ญี่ปุ่น เตรียมออกกฎหมายใหม่ให้ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ เฉพาะรถรุ่นใหม่ต้องติดตั้งระบบเบรกอัตโนมัติ โดยจะเริ่มบังคับใช้ตั้งเเต่เดือน พ.ย. 2021 หลังมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 

    โดยกระทรวงคมนาคมญี่ปุ่น จะทำตามมาตรฐานนานาชาติขององค์การสหประชาชาติที่กำลังจะเริ่มใช้เดือนหน้า โดยรถที่แล่นไม่เกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะต้องเบรกเองได้เมื่อเจอรถคันอื่นที่หยุดนิ่ง หรือรถที่เคลื่อนที่ไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ต้องเบรกเองเพื่อป้องกันการชนคนข้ามถนน

    “อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากคนขับรถสูงอายุ เป็นปัญหาเร่งด่วนที่จำเป็นต้องเเก้ไข เราจะใช้ทุกมาตรการที่เป็นไปได้เพื่อจัดการเรื่องนี้” Kazuyoshi Akaba รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมของญี่ปุ่นระบุ

    ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เตือนว่า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากการที่คนขับเชื่อใจระบบเบรกอัตโนมัติมากไปเช่นกัน โดยมีอุบัติเหตุลักษณะนี้ราว 80 ครั้ง ซึ่งมี 18 คนได้รับบาดเจ็บเเละเสียชีวิต นับตั้งแต่เดือน ม.ค.ถึงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา

    กฎหมายใหม่นี้ จะกำหนดให้รถยนต์รุ่นใหม่ที่จะผลิตในญี่ปุ่นต้องติดตั้งระบบเบรคอัตโนมัติ นับตั้งเเต่เดือน พ.ย. 2021 เป็นต้นไป ส่วนรุ่นที่มีอยู่เเล้วในตลาดจะต้องติดระบบเบรกอัตโนมัติให้ได้ภายในเดือน ธ.ค. ปี 2025

    นอกจากนี้ยังครอบคลุมไปถึง “รถที่นำเข้าจากต่างประเทศ” โดยหากเป็นรถรุ่นใหม่จะผ่อนผันให้ถึงเดือน มิ.ย. ปี 2024 และ หากเป็นรถรุ่นปัจจุบัน ผ่อนผันให้ถึงเดือน มิ.ย. ปี 2026

    สำหรับระบบ “เบรกอัตโนมัติ” จะใช้ระบบเรดาร์ในการตรวจจับและตรวจสอบยานพาหนะและวัตถุอื่นๆ ล่วงหน้า ให้สามารถแจ้งเตือนผู้ขับขี่ถึงอันตรายจากการชนก่อนที่จะใช้เบรกโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม ระบบเบรคอัตโนมัติจะไม่ทำงาน หากกล้องที่ติดตั้งในรถไม่สามารถรับรู้ถึงวัตถุในที่มืดมาก หรือในกรณีมีคนเดินเท้าหรือมีรถคันอื่นโผล่ขึ้นมากะทันหัน เป็นต้น

    ที่มา : japantoday
    ภาพ : Reuters

    ]]>
    1257789
    อ่านเกม “กู๊ดเยียร์” 2020 บุกยางรถกระบะ ขยายตลาดต่างจังหวัด ดัน “บัวขาว” พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ https://positioningmag.com/1257218 Mon, 16 Dec 2019 11:32:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1257218 เเม้อุตฯ รถยนต์จะอยู่ในช่วงขาลง เเต่ “กู๊ดเยียร์ ประเทศไทย” ยังเดินหน้าขยายลงทุนโรงงานเฟส 2 พร้อมเปิดตัว Cargo Max ยางพรีเมียมเจาะกลุ่มรถกระบะเเละรถตู้ อัดเเคมเปญการตลาดในปี 2020 ดึง “บัวขาว” นักชกขวัญใจชาวไทยขึ้นเเท่นพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ สะท้อนความอึดความทน 

    เรียกได้ว่าเตรียมเดินเกมการตลาดอย่างหนัก เพราะกู๊ดเยียร์ห่างหายจากการโปรโมตผ่านคนดังมานาน นับตั้งเเต่ “ ก้อง-สหรัถ” พรีเซ็นเตอร์คนแรกของกู๊ดเยียร์ในไทย เมื่อปี 2556 ที่มาพร้อมยางเอฟฟิเชี่ยนกริป เอสยูวี ชูจุดขายเป็นยางเงียบที่สุดและนุ่มที่สุด เข้ากับคาเเร็กเตอร์ของหนุ่มก้อง ผ่านมาหลายปีก็มาถึง บัวขาว บัญชาเมฆ ยอดนักมวยดุดัน เข้าคาเเร็กเตอร์กับยางรถกระบะรุ่นใหม่ชูความทนอย่าง Cargo Max เช่นกัน 

    เปิดตัว Cargo Max เอาใจคนรักระกระบะ-รถตู้ 

    ยางรถกระบะ Cargo Max ที่กำลังจะจำหน่ายทั่วประเทศในเดือนมกราคม ปี 2020 นี้ โดยออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับรถกระบะและรถตู้ เน้นจุดขายเรื่องความทนทาน ทางกู๊ดเยียร์เคลมว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่ายางคู่แข่งถึง 20% ซึ่งผ่านการทดสอบทั้งในสหรัฐฯ เเละในไทย

    ความสำคัญของยางตัวนี้ได้มีการใช้เทคโนโลยีแมกซ์โหลด (MaxLoad) เทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของกู๊ดเยียร์ ทำให้ขีดความสามารถในการรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น และเหมาะสมกับทุกสภาพถนนในไทย ออกแบบหน้ายาง และปรับปรุงเนื้อยางสูตรพิเศษ ที่ช่วยลดการสึกหรอเเละยังรักษาคุณสมบัติเรื่องการยึดเกาะบนถนนเปียก การรีดน้ำได้เป็นอย่างดี ซึ่งเหมาะกับฤดูฝนของประเทศไทย

    ทำไมเลือกรุกตลาดรถกระบะ? 

    ผู้บริหารกู๊ดเยียร์ ประเทศไทย บอกว่า Cargo Max เกิดขึ้นจากการค้นหาว่าอะไรคือ Pain point และ Unmet needs ของลูกค้า พบว่า กระบะเป็นรถที่ใช้ 1 ใน 3 ของไทย ที่สำคัญนอกจากใช้เพื่อการขนส่งแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน จึงมีการใช้งานที่หนัก ดังนั้นต้องหายางที่มีความทนทานใช้ได้นาน ซึ่งกู๊ดเยียร์ต้องการตอบโจทย์นี้

    ก่อนหน้านี้ กู๊ดเยียร์ได้ตีตลาดกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เเละกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ไปเเล้ว จึงต้องขยายให้ครอบคลุมสู่รถกระบะ เเละมองว่าเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ใช้ขยายฐานลูกค้าในต่างจังหวัดที่นิยมใช้รถกระบะมากกว่าในเมือง ให้เข้ากับเเผนขยายช่องทางการขายที่ในปีหน้าตั้งเป้าจะมีร้านตัวเเทนจำหน่ายให้ถึง 1,000 ร้านทั่วประเทศด้วย 

    “ปัจจุบันเรามียางรุ่น แอสชัวแรนซ์ ทริปเปิลแมกซ์ (Assurance TripleMax) สำหรับกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และ แรงเลอร์ ทริปเปิลแมกซ์ (Wrangler TripleMax) สำหรับกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) การเปิดตัวกู๊ดเยียร์ Cargo Max สำหรับกลุ่มรถกระบะและรถตู้ จึงทำให้ยางในตระกูลแมกซ์ครอบคลุมทุกกลุ่มการใช้งานในกลุ่มยางพรีเมียมของลูกค้า”

    “บัวขาว” พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ สะท้อนความอึด 

    ล่าสุดกู๊ดเยียร์ ประเทศไทย ได้ดึงยอดนักชกขวัญใจมหาชนอย่าง “บัวขาว บัญชาเมฆ” มาเป็นแบรนด์พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ เพื่อต้องการสื่อถึงความแข็งแกร่ง ทนทาน

    ลูก้า เครปาโชลี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกว่า

    “บัวขาวมีความเหมาะสมกับแบรนด์กู๊ดเยียร์ เป็นยอดนักชกที่โด่งดังท่ามกลางบรรดายอดนักชกมวยไทยมากว่า 30 ปี พร้อมทั้งมีสถิติคว้าชัยชนะในการขึ้นชกระดับโลกมาแล้วอีกนับครั้งไม่ถ้วน สะท้อนความเเกร่ง เเละทรงพลังเหมือนยางรถยนต์ของกู๊ดเยียร์”

    ฮึดสู้รอบใหม่ของธุรกิจยางรถยนต์ 

    ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังเข้าสู่ยุคขาลง เหล่าผู้ผลิตหลายใหญ่ต่างพากันหั่นค่าใช้จ่าย ปลดพนักงานเพื่อปรับโครงสร้างบริษัทกันถ้วนหน้า สำหรับอุตสาหกรรมยางรถยนต์เเล้วนั้นก็ย่อมได้รับผลกระทบตามๆ กัน

    ผู้บริหารกู๊ดเยียร์ เปิดเผยว่า “ในปี 2019 นับเป็นความท้าทายอย่างมาก ทั้งปัจจัยเศรษฐกิจโลกเเละอุตสาหกรรมรถยนต์ ขณะที่ธุรกิจยางรถยนต์ก็ต้องเผชิญกับปัญหา “วัตถุดิบที่มีราคาสูงขึ้น” เเต่ด้วยความพยายามที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เเละการปรับกลยุทธ์การสื่อสารของกู๊ดเยียร์ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ก็ทำให้มองเห็นโอกาสที่จะกลับมาเป็นบวกมากขึ้นในปีหน้า” 

    “หากมองอีกมุมเราจะเห็นว่ามีรถใหม่ออกมาจำนวนมากเช่นกัน เเละจะต้องมีการเปลี่ยนยาง นี่คือโอกาสของกู๊ดเยียร์ ที่เราจะเสนอโปรดักส์ใหม่ที่ทนทาน ใช้งานได้ยาวนานกว่าคู่เเข่ง 20% ให้กับผู้บริโภคที่กำลังลังเลใจในการซื้อ” 

    สำหรับการลงทุนขยายโรงงานในจังหวัดปทุมธานี นับเป็นการลงทุนเฟส 2 ของงบการลงทุนกว่า 2.97 พันล้านบาทในเเผนปี 2018-2022 ที่คาดว่าจะเพิ่มผลผลิตยางรถยนต์ได้มากขึ้นราว 5-10 % ขึ้นอยู่กับคู่สัญญาซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยโรงงานในประเทศเเห่งนี้ จะผลิต Cargo Max ยางพรีเมียมรุ่นใหม่ รวมไปถึงยางที่ใช้ในเครื่องบินด้วย

    ด้านภาพรวมการตลาดของอุตฯ ยางรถยนต์ในไทย เครปาโชลี่ เปิดเผยว่า ตั้งเเต่ช่วงไตรมาสที่ 1-3 ของปีนี้ยังติดลบอยู่ที่ -4% ถึง -5% เเละมียอดขายยางรถยนต์โดยรวมมากกว่า 10 ล้านเส้น อย่างไรก็ตาม มองว่าปี 2020 จะมีทิศทางที่ดีขึ้น 

    รวมถึงกลยุทธ์หลักในปีหน้าที่จะมี “กลุ่มยางติดรถยนต์ (OEM)” เพิ่มมากขึ้น โดยจะมีการเจรจาเพิ่มสัญญากับเหล่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ซึ่งรับรองว่ารถยนต์ป้ายเเดงที่จะออกมาในปี 2020 นั้นจะมีโอกาสได้ใช้ยางรถยนต์ของกู๊ดเยียร์ พร้อมกันนั้นจะมีการขยายโรงงานในจังหวัดปทุมธานีเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต 

    รวมไปถึงขยายช่องทางการขายให้ครอบคลุม โดยในปีหน้าตั้งเป้าจะมีร้านตัวเเทนจำหน่ายให้ถึง 1,000 ร้าน 

    ]]>
    1257218
    “โตโยต้า” เตรียมทุ่ม 2.7 หมื่นล้าน ซื้อหุ้น “ซูซูกิ” รับมือความเปลี่ยนแปลงธุรกิจยานยนต์โลก พร้อมแท็กทีมลุย “ยานยนต์อัตโนมัติ” https://positioningmag.com/1244569 Fri, 30 Aug 2019 05:32:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1244569 สำนักข่าวเอเอฟพี ออกมารายงานว่า โตโยต้าเปิดเผยเมื่อวันพุธ (28 ..) ว่าจะเข้าถือหุ้นเกือบ 5% ใน ซูซูกิ มอเตอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ขนาดเล็ก การจับมือกันล่าสุดนี้เพื่อรีบมือกับอุตสาหกรรมยานยนต์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    โตโยต้าจะซื้อหุ้น 4.94% ซูซูกิ คิดเป็นมูลค่า 9.6 หมื่นล้านเยน (ราว 2.7 หมื่นล้านบาทในทางกลับกัน ซูซูกิ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า จะซื้อหุ้นของโตโยต้าผ่านตลาดเป็นจำนวนเงิน 4.8 หมื่นล้านเยน (ราว 1.4 หมื่นล้านบาทซึ่งคิดเป็นจำนวนหุ้นราวๆ 0.2% ของโตโยต้า

    ทั้งโตโยต้าและซูซูกิ เคยลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับหนึ่งในปี 2017 เกี่ยวกับข้อตกลงที่จะร่วมพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้มีการซื้อหุ้นกันและกัน

    ถ้อยแถลงมีขึ้นในขณะที่ธุรกิจยานยนต์โลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อันเนื่องจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้น และต้องเผชิญกับคู่แข่งรายใหม่ๆ ในตลาด อาทิเหล่าบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายที่กำลังพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ

    ทั้งสองบริษัทระบุในถ้อยแถลงร่วมว่าปัจจัยใหม่ๆ เหล่านี้กำลังเป็นจุดเปลี่ยนทั้งในด้านขอบเขตและขนาดของธุรกิจยานยนต์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจากการร่วมมือกันในครั้งนี้ พวกเราจะใช้ยุคเปลี่ยนผ่านส่งเสริมความร่วมมือในขอบเขตใหม่ๆ อย่างเช่นยานยนต์อัตโนมัติ”

    โตโยต้าได้เสนอความโดดเด่นด้านวิศวกรรมอย่างเช่นเทคโนโลยีไฮบริด ส่วนซูซูกินั้นประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลในอินเดีย อย่างไรก็ตามพวกเขาแสดงความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการยืนหยัดแข่งขันด้วยตนเอง

    ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2017 โตโยต้าได้ลงนามเป็นพันธมิตรทุนกับมาสด้า ขณะเดียวกันโตโยต้ายังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของผู้ผลิตรถยนต์อย่างซูบารุด้วย.

    Source

    ]]>
    1244569