สงครามการค้า – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 07 Aug 2025 07:51:47 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Apple ลงทุนเพิ่มในสหรัฐฯ อีกแสนล้านดอลลาร์ หลัง ‘ทรัมป์’ เปิดศึกการค้า ‘อินเดีย’ https://positioningmag.com/1532943 Thu, 07 Aug 2025 06:50:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532943 Apple ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 1 แสนล้านดอลลาร์ ในภาคการผลิตในสหรัฐฯ หลัง ‘ทรัมป์’ เปิดศึกการค้ากับอินเดียฐานผลิตใหญ่ของ Apple

 

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า Apple ได้ประกาศเพิ่มการลงทุนตั้งโรงงานผลิต อุปกรณ์ ไอที และ iPhone อีก 1 แสนล้านดอลลาร์ ภายในสหรัฐฯ หลังจากเมื่อต้นปี 2025 มีการประกาศไปแล้วว่า จะลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลา 4 ปี

 

การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีอินเดียเพิ่มอีก 25% จากการที่อินเดียทำการค้าในระบบ Brics และเตรียมเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 25% ต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย เหตุผลเพราะอินเดียยังไม่เลิกซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ทำให้อินเดียจะโดนสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีรวมเป็น 50%

 

ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้กดดัน Apple ให้ย้ายฐานการผลิต iPhone กลับมาที่สหรัฐฯ ถึงขั้นขู่ว่า จะเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% หาก Apple ไม่ยอมปฏิบัติตาม

 

ปัจจุบัน iPhone ที่วางขายในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ผลิตในประเทศอินเดีย หลังจาก Apple ได้ย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีนในช่วงหลังการระบาดของโควิด ขณะที่ iPhone ที่วางขายในตลาดอื่น ๆ ทั่วโลกยังคงผลิตในประเทศจีน

 

ที่มา : https://finance.yahoo.com/…/apple-to-announce…

]]>
1532943
ไม่ถูกเหมือนเดิม Shein-Temu ทยอยขึ้นราคาสินค้าในสหรัฐฯ รับมือการเรียกเก็บภาษีใหม่ https://positioningmag.com/1519752 Mon, 28 Apr 2025 07:11:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1519752 Shein และ Temu สองแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากจีน ได้ทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าในสหรัฐฯ เนื่องจากกำลังเผชิญกับอัตราภาษี 120% สำหรับสินค้าหลายรายการ เนื่องมาจากสหรัฐฯ จะยกเลิกข้อยกเว้น de minimis ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 นี้

 

โดย Shein มีการปรับขึ้นราคาสินค้าในกลุ่มสินค้าขายดีจำนวน 100 รายการ เช่น กลุ่มความงามและสุขภาพเพิ่มขึ้น 51% สินค้าหมวดบ้านและเครื่องครัว รวมถึงของเล่น ปรับขึ้นราคาเพิ่มขึ้นกว่า 30% โดยเฉพาะชุดผ้าเช็ดมือในครัว 10 ชิ้นเพิ่มขึ้นถึง 377% แปรงทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้น 219% ส่วนเสื้อผ้าสตรีปรับขึ้นเฉลี่ย 8%

 

สำหรับ de minimis เป็นการอนุญาตให้สินค้าขนาดเล็กที่ส่งมาจากจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สามารถเข้าประเทศได้โดย ‘ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า’ หรือ ‘ค่าธรรมเนียมศุลลากร’ ซึ่งสหรัฐฯ จะยกเลิกในวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 นี้ พร้อมกับเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 100 ดอลลาร์ ต่อหนึ่งรายการที่ส่งพัสดุ และจะเพิ่มเป็น 200 ดอลลาร์ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568

 

การยกเลิกข้อยกเว้นดังกล่าว ทำให้ Shein และ Temu ได้เริ่มมีการปรับราคาตั้งแต่ 25 เมษายนที่ผ่านมา และทั้งสองบริษัทระบุผ่านทางช่องทางออนไลน์ของตัวเองว่า สาเหตุของการปรับขึ้นราคาครั้งนี้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงล่าสุดในกฎการค้าและภาษีโลก ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้น และเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้โดยไม่ลดคุณภาพ จึงจำเป็นต้องมีการปรับราคา

 

ที่มา

 

https://edition.cnn.com/2025/04/25/business/shein-temu-price-increase/index.html

https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-04-27/foreign-investors-face-bigger-s-p-500-nasdaq-losses-as-dollar-slides

]]>
1519752
‘จีน’ ขู่! ประเทศไหนที่ร่วมมือกับสหรัฐฯ กีดกันจีนเพื่อยกเว้นภาษี เจอมาตรการตอบโต้แน่ https://positioningmag.com/1518980 Mon, 21 Apr 2025 11:32:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1518980 สงครามการค้าระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง สหรัฐอเมริกา และ จีน ส่อเค้าว่าจะลุกลามไปสู่ประเทศอื่น ๆ เพราะล่าสุด จีน ออกคำเตือนว่าจะตอบโต้ประเทศที่ให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในลักษณะที่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ

หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ ระงับการขึ้นภาษีครั้งใหญ่ ในหลาย ๆ ประเทศไปเป็นเวลา 90 วัน ยกเว้น จีน ที่เพิ่มภาษีเป็น 145% ซึ่งก็มีรายงานว่า ทรัมป์กำลังวางแผนใช้การเจรจาเรื่องภาษีเพื่อกดดันให้พันธมิตรของสหรัฐฯ จำกัดการทำธุรกิจกับจีน 

โดย กระทรวงพาณิชย์จีน ได้ออกแถลงการณ์ถึงสถานการณ์ดังกล่าว โดยวิจารณ์การกระทำดังกล่าวของสหรัฐฯ เป็นการ ใช้ภาษีในทางที่ผิด และ รังแกฝ่ายเดียว ในขณะที่จีนเต็มใจจะร่วมมือกับทุกฝ่าย และปกป้องความเป็นธรรมและความยุติธรรมระหว่างประเทศ

“จีนคัดค้านอย่างหนัก ต่อการที่ฝ่ายใดก็ตาม ทำข้อตกลงโดยแลกกับผลประโยชน์ของจีน หากเกิดกรณีเช่นนี้ จีนจะไม่ยอมรับและจะใช้มาตรการตอบโต้อย่างเด็ดขาด” กระทรวงพาณิชย์จีน กล่าว 

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จีน ยังได้เตือนถึง ความเสี่ยง ที่การค้าระหว่างประเทซจะกลับไปสู่ กฎแห่งป่า (Law of jungle) หรือ ผู้ที่แข็งแรงกว่าเท่านั้นที่เป็นผู้อยู่รอด และในท้ายที่สุดทุกประเทศจะกลายเป็นเหยื่อ

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนได้เยือนเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา โดยสี จิ้นผิง ได้เรียกร้องให้มีความพยายามร่วมกันในการ ต่อต้านภาษี และการรังแกฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ โดยที่ผ่านมา จีนได้เพิ่มการค้ากับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และปัจจุบันถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีนในระดับภูมิภาค ส่วนสหรัฐฯ ยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีนในระดับประเทศ

ที่ผ่านมา จีนได้ตอบโต้การขึ้นภาษีสหรัฐฯ ด้วยการเก็บภาษี 125% สำหรับสินค้านำเข้าจากอเมริกา อีกทั้งยังได้ จำกัดการส่งออกแร่ธาตุสำคัญ และขึ้นบัญชีดำบริษัทสหรัฐฯ หลายราย แต่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็ก เพื่อจำกัดความสามารถในการทำงานร่วมกับบริษัทจีน

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ไม่คาดว่าสหรัฐฯ และจีนจะบรรลุข้อตกลงในเร็ว ๆ นี้ แม้ว่าทรัมป์กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่าเขาคาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ในอีก 3-4 สัปดาห์ข้างหน้า

Source

]]>
1518980
สงครามการค้ารอบใหม่กำลังปะทุ จีนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเคมีจากสหรัฐอเมริกา ตอบโต้กรณีมีแผนขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม https://positioningmag.com/1470446 Fri, 19 Apr 2024 11:59:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470446 จีนได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเคมีภัณฑ์จากสหรัฐอเมริกา โดยเน้นไปยังกรดโพรพิโอนิก เพื่อตอบโต้สหรัฐอเมริกาที่มีแผนจะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวนี้กำลังอาจกลายเป็นชนวนสงครามการค้ารอบใหม่ก็เป็นได้

จีนพิจารณาที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐอเมริก ซึ่งภาษีที่จะปรับเพิ่มขึ้นคือเคมีภัณฑ์นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา เพื่อใช้ในอาหาร หรือแม้แต่ผลิตสินค้าประเภทยา โดยสินค้าสำคัญที่จะขึ้นภาษีคือกรดโพรพิโอนิก (Propionic Acid) ทำให้เกิดความกังวลว่าสงครามการค้าระลอกใหม่ระหว่าง 2 มหาอำนาจกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง

ภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกาที่จีนจะขึ้นก็คือสินค้าประเภทเคมีภัณฑ์ โดยอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้น 40% ซึ่งผู้ที่นำเข้าสินค้าดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 20 เมษายนเป็นต้นไปจะต้องมีการวางเงินมัดจำไว้ด้วย

ก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ของจีนได้มีการสอบสวนเรื่องดังกล่าว โดยชี้ว่าการนำเข้าเคมีภัณฑ์ โดยเฉพาะกรดโพรพิโอนิกจากสหรัฐอเมริกานั้นส่งผลทำลายอุตสาหกรรมที่ผลิตเคมีภัณฑ์ภายในประเทศ ซึ่งจีนเคยนำเข้าสินค้าดังกล่าวมากถึง

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวตามมาหลังจากที่ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เตรียมที่จะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กรวมถึงอะลูมิเนียมจากจีนเพิ่มเติมโดยให้เหตุผลว่าเพื่อที่จะปกป้องผู้ผลิตจากสหรัฐอเมริกา และชี้ว่าจีนได้ใช้วิธีผลิตสินค้าดังกล่าวจำนวนมากจนล้นตลาด

นอกจากนี้ยังรวมถึงสหรัฐอเมริกากำลังเตรียมที่จะสอบสวนว่าอุตสาหกรรมการเดินเรือ การขนส่งสินค้า หรือแม้แต่อุตสาหกรรมต่อเรือของประเทศจีน นั้นใช้ความได้เปรียบด้านอุตสาหกรรม เพื่อที่จะครอบครองตลาดแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือไม่

ทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาเคยมีกรณีสงครามการค้ากันมาแล้วในปี 2018 ซึ่งมี โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งมองว่าจีนเอาเปรียบสหรัฐฯ ในหลายเรื่อง และมีการปรับอัตราภาษีเพิ่มซึ่งกันและกัน ก่อนที่จะมีการเจรจาซึ่งกันและกัน โดยจีนจะเป็นฝ่ายซื้อสินค้าจากสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติม

ต่อมาความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ลงยังส่งผลมายังปริมาณการค้าของสหรัฐอเมริกาและจีนลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยปี 2023 ที่ผ่านมาปริมาณการค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจนั้นลดลงเหลือแค่ 17% เท่านั้น และบริษัทในสหรัฐฯ เองก็มีแผนที่จะย้ายกำลังการผลิตออกนอกจีนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยชี้ว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงในเรื่อง Supply Chain

อย่างไรก็ดีการเปิดสงครามด้านการค้าระหว่างกันอีกรอบได้สร้างความกังวลให้กับองค์กรต่างประเทศอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศแสดงความกังวลในช่วงเวลาหลายปีว่าความขัดแย้งของ 2 มหาอำนาจนี้จะสร้างผลกระทบมหาศาลต่อการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

ที่มา – South China Morning Post

]]>
1470446
ปริมาณการค้าสหรัฐฯ กับจีนลดลง 17% ในปี 2023 ที่ผ่านมา ผู้แทนการค้าของแดนมะกันมองว่าถือเป็นเรื่องที่ดี https://positioningmag.com/1464837 Mon, 04 Mar 2024 03:18:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1464837 ผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวถึงปริมาณการค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจ สหรัฐฯ กับจีน ลดลงถึง 17% ในปี 2023 ที่ผ่านมานั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศได้มีการกระจายความเสี่ยง อย่างไรก็ดีหลายฝ่ายมีความกังวลถึงสงครามการค้าอาจกลับมาอีกครั้ง

Katherine Tai ผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกา ได้ให้สัมภาษณ์กับ BBC ซึ่งเธอกล่าวว่า ปริมาณการค้ากับจีนในปี 2023 ลดลงถือเป็นเรื่องที่ดี แม้ว่าหลายฝ่ายจะกังวลถึงความขัดแย้งด้านเศรษฐกิจโลกจะกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งกำแพงภาษีด้านการค้า

ในปี 2023 ที่ผ่านมาปริมาณการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนลดลงถึง 17% ซึ่งปริมาณการนำเข้าสินค้าจีนโดยสหรัฐฯ เหลือแค่ 427,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่จีนได้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ แค่ 148,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เท่านั้น

ผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวว่า แม้ปริมาณการค้ากับจีนจะลดลง แต่ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกว่าทั้ง 2 ประเทศมีการกระจายความเสี่ยง ขณะเดียวกันเธอก็มองว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนกำลังได้สร้างแรงกดดันด้านการแข่งขันมากมายทั่วโลก

ก่อนหน้านี้การค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้ทำสถิติสูงสุดในปี 2022 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีปริมาณการค้ากลับลดลงเนื่องจากบริษัทใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ จำนวนมากย้ายกำลังการผลิตออกนอกประเทศจีน ซึ่งประเทศที่ได้รับผลประโยชน์ดังกล่าว ได้แก่ อินเดีย เม็กซิโก หรือแม้แต่อาเซียน ในหลายประเทศ

ไม่เพียงเท่านี้รวมถึงผลกระทบจากภาษีทางการค้าที่ทั้ง 2 ฝ่ายเคยเปิดศึกในสมัย โดนัลด์ ทรัมป์ ยังเป็นประประธา นาธิบดีด้วย และยังมีความเสี่ยงว่าถ้าหากเขาได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง อาจมีมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น

ความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างทั้ง 2 ย่ำแย่ลงหนักกว่าเดิมเมื่อ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ได้ออกมาตรการจำกัดการส่งออกชิป ขณะที่จีนเองก็ได้ออกมาตรการตอบโต้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการงดการส่งออกแร่หายาก หรือวัสดุที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิป

นอกจากนี้ผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกา ยังมองว่า องค์การการค้าโลกเองนั้นจะต้องมีการปฏิรูปยกเครื่องครั้งใหญ่ และเธอชี้ว่าองค์การการค้าโลกนั้นต้องตอบสนองต่อประเทศที่เป็นสมาชิกไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวมีตั้งแต่เรื่องของการประมงไปจนถึงการการห้ามเก็บภาษี E-commerce ฯลฯ

]]>
1464837
จีนอาจ “แบน” ส่งออกเทคโนโลยี “แผงโซลาร์” ให้ตะวันตก ชะลอการเติบโตอุตฯ พลังงานสะอาด https://positioningmag.com/1417903 Sat, 04 Feb 2023 09:58:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1417903 สงครามการค้าเกิดจุดพลิกผันที่คาดไม่ถึง เมื่อรัฐบาลจีนอาจสั่ง “แบน” การส่งออกเทคโนโลยีผลิต “แผงโซลาร์” ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่จีนเป็นผู้นำตลาด โดยมีส่วนแบ่งไม่ต่ำกว่า 75% ของซัพพลายเชนทั่วโลก หากเกิดการแบนขึ้นจริง จะทำให้การพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของฝั่งตะวันตกต้องสะดุดและชะลอตัวลง

การแบนส่งออกเทคโนโลยี “แผงโซลาร์” ของจีนเป็นกลยุทธ์ที่เสมือนเป็นการเอาคืนสงคราม “ชิป” ของฝั่งตะวันตก ก่อนหน้านี้สหรัฐอเมริกาพยายามจะทำให้การพัฒนาชิปของประเทศจีนชะลอตัวลง ด้วยการสั่งห้ามส่งออกเครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการพัฒนาชิปเซ็ตขั้นสูง

ขณะที่แนวทางของรัฐบาลจีนนั้นยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน แต่สื่อต่างๆ ในจีนรายงานการคาดการณ์ว่า จะมีการห้ามส่งออกเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตองค์ประกอบของแผงโซลาร์ เช่น เวเฟอร์ขนาดใหญ่ แบล็กซิลิคอน แท่งซิลิคอนอินก็อตประสิทธิภาพสูง

ข้อมูลของสำนักงานพลังงานนานาชาติจะระบุว่า จีนเป็นผู้นำในซัพพลายเชนทุกๆ ด้าน โดยมีส่วนแบ่งตลาด 79% ในภาคการผลิตแผงโซลาร์โพลีซิลิคอน 97% ในการผลิตเวเฟอร์สำหรับผลิตโซลาร์ และ 85% ในการผลิตเซลล์โฟโตโวลตาอิก

ด้านความเคลื่อนไหวของฝั่งตะวันตกนั้น ก่อนหน้านี้มีการผลักดันการผลิตแผงโซลาร์ในบ้านตัวเองให้ได้มากขึ้น รัฐบาลสหรัฐฯ อัดฉีดสิทธิพิเศษทางภาษีให้กับบริษัทที่ต้องการลงฐานผลิตเซลล์โฟโตโวลตาอิกภายในสหรัฐฯ รวมถึงมีโครงการเงินกู้และเงินให้เปล่าจากรัฐในการผลิตโซลาร์ด้วย ส่วนสหภาพยุโรปก็กำลังพิจารณาที่จะทำแบบเดียวกัน

ดังนั้น เมื่อจีนจะตอบโต้ด้วยการสั่งแบนการส่งออกเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต จึงเป็นปัญหาของฝั่งตะวันตก แต่สำนักข่าว Reuters วิเคราะห์ว่า ปัญหานี้ไม่ได้ยากลำบากเสียจนก้าวข้ามผ่านไปไม่ได้ เพียงแต่จะชะลอการพัฒนาของทางตะวันตกให้ช้าลง และใช้ต้นทุนที่แพงขึ้นเท่านั้น เนื่องจากฝั่งตะวันตกเองก็มีหลายบริษัทที่มีสิทธิบัตรด้านเซลล์โฟโตโวลตาอิกและมีความเชี่ยวชาญด้านโซลาร์ เช่น Applied Materials, Enel, NorSun

ต้นทุนการลงทุนผลิตโซลาร์เองนั้นค่อนข้างสูงทีเดียว เพราะจะต้องใช้เงินทุนถึง 1,000 ล้านยูโรสำหรับการเพิ่มกำลังผลิตแผงโซลาร์ทุกๆ 1 กิกะวัตต์ และขณะนี้ยุโรปมีกำลังผลิตเซลล์โฟโตโวลตาอิกแค่ 10 กิกะวัตต์เท่านั้น เทียบกับประเทศจีนที่ผลิตได้ถึง 300 กิกะวัตต์!

เมื่อจีนสกัดกั้นแบบนี้ ต้นทุนก็จะยิ่งสูงขึ้น และต้องใช้เวลานานขึ้นในการตั้งฐาน จากปกติการเริ่มผลิตโพลีซิลิคอนก็ต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 2 ปีอยู่แล้ว และจะสร้างซัพพลายเชนโซลาร์ให้ได้ครบสมบูรณ์ก็อาจจะต้องใช้เวลามากกว่านั้น 4 เท่าตัว

Reuters สรุปว่า การสั่งแบนส่งออกเทคโนโลยีโซลาร์ของจีนนั้น จะไม่ทำให้โครงการไปสู่โลกแห่งพลังงานสะอาดของตะวันตกต้องหยุดชะงักงัน แต่จะทำให้เคลื่อนไปได้ช้าลงแน่นอน

Source

]]>
1417903
ไม่ง้อ! ‘ออสเตรเลีย’ ได้ ‘อินเดีย’ ตลาดส่งออกใหม่หลังถูก ‘จีน’ กีดกัน https://positioningmag.com/1335514 Sun, 06 Jun 2021 04:49:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1335514 ความตึงเครียดระหว่าง ‘ออสเตรเลีย’ และ ‘จีน’ เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากออสเตรเลียสนับสนุนการเรียกร้องให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับการจัดการกับ COVID-19 ของจีน ส่งผลให้จีนได้ดำเนินมาตรการหลายอย่างเพื่อจำกัดการนำเข้าสินค้าจากออสเตรเลีย ซึ่งออสเตรเลียก็ไม่ง้อ พร้อมกับมองหาตลาดใหม่เพื่อบรรเทาความเสียหาย

หลังจากที่ออสเตรเลียสนับสนุนการเรียกร้องให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับการระบาดของ COVID-19 ที่มาจากจีนนั้น ทำให้รัฐบาลจีนได้ดำเนินมาตรการหลายอย่างเพื่อจำกัดการนำเข้าของออสเตรเลีย ตั้งแต่การเก็บภาษีไปจนถึงการกำหนดข้อห้ามและข้อจำกัดอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสินค้าของออสเตรเลีย เช่น ข้าวบาร์เลย์ ไวน์ เนื้อวัว ฝ้าย และถ่านหิน

โดยรวมแล้ว เป้าหมายในการส่งออกของออสเตรเลียมีมูลค่าประมาณ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 1.3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของออสเตรเลีย ตามข้อมูลของสถาบันโลวีในออสเตรเลีย ขณะที่ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศที่พัฒนาแล้วไม่กี่แห่งในโลกที่มีการเกินดุลการค้ากับจีน เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย

จากปัญหาดังกล่าวนักวิเคราะห์คาดว่า ออสเตรเลียจะได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดนี้อย่างเลวร้าย แต่ดูเหมือนว่ามาตรการของจีนอาจไม่ส่งผลเสียต่อออสเตรเลียได้มากอย่างที่คิดซะแล้ว เพราะออสเตรเลียกำลังหาตลาดใหม่สำหรับสินค้าของประเทศ

“การส่งออกไปยังจีนได้ทรุดตัวลง แต่การค้าที่สูญเสียไปนี้ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะพบตลาดอื่นแล้ว” โรแลนด์ ราจาห์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันโลวีกล่าว

A haul truck is being loaded with dirt and ore at a mine site while another haul truck waits in the foreground.

โดยรวมแล้วการส่งออกของออสเตรเลียไปยังจีนมีหลายสินค้าที่ได้รับผลกระทบยกเว้น ถ่านหิน ที่ทรงตัวตลอดเกือบปี 2020 โดยมีมูลค่าที่ 9 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากหาตลาดส่งออกอื่นเข้ามาทดแทนจีนได้แล้ว ซึ่งสินค้าที่ยังสามารถไปได้ดี ได้แก่ ถ่านหิน, ไม้ซุง, อาหารทะเล และข้าวบาร์เลย์

ภายในเดือนมกราคม 2021 การส่งออกถ่านหินของออสเตรเลียไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลกเพิ่มขึ้น 9.5 พันล้านดอลลาร์ต่อปีเมื่อเทียบกับก่อนการสั่งห้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกไปยังประเทศอินเดีย ผลที่ได้คือ ความขัดแย้งกับจีนไม่ได้ทำลายเศรษฐกิจของออสเตรเลียอย่างที่หลายคนคิด

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมที่ยังประสบปัญหาก็คือ เนื้อ และ ไวน์ โดยอุตสาหกรรมไวน์ของออสเตรเลียต้องดิ้นรนเพื่อชดเชยการสูญเสียตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดระดับพรีเมียม โดยเมื่อต้นปี จีนได้กำหนดหน้าที่ต่อต้านการทุ่มตลาดสำหรับไวน์ของออสเตรเลียบางประเภท โดยอ้างว่าออสเตรเลียได้ทุ่มตลาดและอุดหนุนการส่งออกไวน์ของตนแล้ว และส่งผลเสียต่อภาคการผลิตไวน์ในประเทศของจีนด้วย

‘จีน’ ยืดเวลาขึ้นภาษี ‘ไวน์’ จากออสเตรเลีย 218% ไปอีก 5 ปี

ส่วนการส่งออกเนื้อที่จีนระงับการนำเข้าจากซัพพลายเออร์เนื้อของออสเตรเลียบางรายนั้น ไม่ได้เกิดจากความตึงเครียดทางการค้ากับจีนเท่านั้น แต่ยังอาจมีสาเหตุหลักมาจากปัญหาภัยแล้งครั้งล่าสุดด้วยเช่นกัน ขณะที่การส่งออกทองแดงไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แม้ว่าราคาทองแดงจะสูงขึ้นถึงหนึ่งในสามเมื่อเทียบกับระดับก่อนเกิดการระบาด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าออสเตรเลียมีปัญหาในการขนส่งทองแดงด้วย

แม้จะชะลอผลกระทบที่เกิดจากจีน แต่ออสเตรเลียไม่นิ่งนอนใจกำลังตามล่าหาตลาดใหม่ ๆ เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับจีนไม่มีสัญญาณของการลดระดับลง โดย Michael McCormack รองนายกรัฐมนตรีกล่าวเมื่อพฤษภาคมว่าประเทศกำลังมองหาการกระจายตลาดของสินค้าในประเทศ

Source

]]>
1335514
‘จีน’ ยืดเวลาขึ้นภาษี ‘ไวน์’ จากออสเตรเลีย 218% ไปอีก 5 ปี https://positioningmag.com/1325405 Mon, 29 Mar 2021 07:22:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1325405 ย้อนไปช่วงเดือนพฤศจิกายน 2020 กระทรวงพาณิชย์ของจีนได้ระบุว่า ‘ไวน์’ จาก ‘ออสเตรเลีย’ ต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราระหว่าง 107.1% ถึง 212.1% เป็นการชั่วคราวเพื่อตอบโต้การที่รัฐบาลแคนเบอร์ราใช้มาตรการทุ่มตลาดกับไวน์ที่ส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับอุตสาหกรรมไวน์ของจีน โดยล่าสุดจีนก็ประกาศว่าจะขึ้นอัตราภาษีเป็น 218% และจะใช้ไปอีก 5 ปี

อุตสาหกรรมไวน์ของออสเตรเลียกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์จีนเรียกเก็บภาษีชั่วคราวในการนำเข้าไวน์ของออสเตรเลียสูงถึง 212% ในเดือนพฤศจิกายนหลังจากการสอบสวนการทุ่มตลาด ล่าสุด รัฐบาลจีนได้ออกมาประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าไวน์จากออสเตรเลียในอัตรา 116% ถึง 218% ไปอีก 5 ปี

Tony Battaglene ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านผลิตภัณฑ์องุ่นและไวน์ของออสเตรเลีย กล่าวกับ Bloomberg ว่า จากมาตรการของจีนที่ออกมา ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมมีแนวโน้มที่จะร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อขอความช่วยเหลือจากมาตรการคว่ำบาตรทางการค้า ซึ่งจีนถือเป็นตลาดส่งออกไวน์ของออสเตรเลียที่ใหญ่ที่สุด โดยมูลค่าการส่งออกไวน์ไปยังประเทศจีนลดลงเกือบเป็น ‘ศูนย์’ ในเดือนธันวาคมตามสถิติของกลุ่มอุตสาหกรรมไวน์ออสเตรเลีย

(Photo by Xu Congjun/VCG via Getty Images)

ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียและจีนเริ่มย่ำแย่ โดยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาหลังจากนายกรัฐมนตรีสก็อตต์ มอร์ริสันเรียกร้องให้มีการสอบสวนระหว่างประเทศเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส COVID-19 ทำให้สินค้าส่งออกหลายชนิดของออสเตรเลีย อาทิ ไม้, เนื้อวัว ข้าวบาร์เลย์, กุ้งก้ามกราม และถ่านหินบางประเภทเริ่มประสบปัญหาในการเข้าสู่ตลาดจีน

ไม่ใช่แค่การส่งออกที่ทำได้ยากขึ้น แต่ในปี 2020 การลงทุนของจีนในออสเตรเลียลดลงเหลือเพียง 1 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 2.4 หมื่นล้านบาท) หรือลดลงถึง 62% เมื่อเทียบกับปี 2019

Source

]]>
1325405
เศรษฐกิจ “จีน” มีแนวโน้มแซงสหรัฐฯ ขึ้นเบอร์ 1 ของโลกในอีก 8 ปีข้างหน้า https://positioningmag.com/1312191 Sat, 26 Dec 2020 13:44:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1312191 จีนมีแนวโน้มจะก้าวแซงสหรัฐฯ ขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกภายในปี 2028 หรือเร็วกว่าที่ประเมินกันไว้ถึง 5 ปี เนื่องจากระดับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันของสองมหาอำนาจในยุค COVID-19

ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจ (Centre for Economics and Business Research – CEBR) เผยรายงานประจำปี ระบุว่าการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจและการใช้อำนาจละมุน (soft power) ระหว่างสหรัฐฯ และจีน กลายเป็นธีมของเศรษฐกิจโลกมาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว

โรคระบาด COVID-19 และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมาทำให้จีนกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบมากขึ้นในการแข่งขันนี้

CEBR มองว่าทักษะด้านการจัดการโรคระบาดของจีนซึ่งตัดสินใจใช้มาตรการล็อกดาวน์เข้มข้นตั้งแต่แรก รวมถึงการที่ COVID-19 ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวของโลกตะวันตก มีส่วนทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจจีนเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเฉลี่ย 5.7% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2021-2025 ก่อนที่จะชะลอตัวลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 4.5 ต่อปีในช่วงปี 2026-2030 ตามการประเมินของ CEBR

ในส่วนของสหรัฐฯ คาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวชัดเจนในปี 2021 และมีการขยายตัวเฉลี่ย 1.9% ระหว่างปี 2022-2024 ก่อนจะลดเหลือ 1.6% ต่อปีหลังจากนั้น

ญี่ปุ่นจะยังเป็นชาติที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลกต่อไปจนถึงต้นทศวรรษ 2030 ก่อนจะถูกแซงหน้าโดยอินเดียซึ่งจะพลอยทำให้เยอรมนีหล่นจากอันดับ 4 ลงไปอยู่ที่ 5 ด้วย

สหราชอาณาจักรซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 5 ของโลกในปัจจุบัน จะร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 6 หลังจากปี 2024 เป็นต้นไป

แม้จะได้รับผลกระทบจากการถอนตัวออกจากตลาดร่วมยุโรป แต่ CEBR คาดการณ์ว่าจีดีพีของอังกฤษจะสูงกว่าฝรั่งเศสถึง 23% ภายในปี 2035 โดยได้อานิสงส์จากความเป็นผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม CEBR เตือนว่าผลผลิตในเชิงเศรษฐกิจ (output) ของยุโรปซึ่งคิดเป็น 19% ของกลุ่ม 10 มหาอำนาจชั้นนำของโลกในปี 2020 จะร่วงเหลือเพียง 12% ในปี 2035 หรือต่ำกว่านั้น หากเกิดข้อขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างอังกฤษกับสหภาพยุโรป

สถาบันแห่งนี้ยังคาดการณ์ว่า ผลกระทบจากโควิด-19 น่าจะปรากฏในรูปของอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นมากกว่าการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

Source

]]>
1312191
Foxconn ย้ายสายผลิต iPad-MacBook จากจีนมาเวียดนาม ลดเสี่ยงสงครามการค้า https://positioningmag.com/1307902 Fri, 27 Nov 2020 06:50:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307902 ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) กำลังย้ายสายประกอบ iPad และ MacBook จากจีนไปยังเวียดนามตามคำร้องของ Apple Inc. หลังบริษัทของสหรัฐฯ พยายามกระจายการผลิตเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ

การพัฒนาดังกล่าวเกิดขึ้นหลังคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังจะพ้นวาระ สนับสนุนให้กิจการของสหรัฐฯ ย้ายการผลิตออกจากประเทศจีน และในระหว่างการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ สหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตในจีนสูงขึ้น และจำกัดการจัดส่งส่วนประกอบที่ผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยีสหรัฐฯ ให้แก่บริษัทจีน โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง

ผู้ผลิตไต้หวัน ที่ระมัดระวังไม่ให้ตกอยู่ในสงครามการค้าดังกล่าว ได้ย้ายหรือกำลังพิจารณาที่จะย้ายการผลิตบางส่วนจากจีนไปยังประเทศต่างๆ เช่น เวียดนาม เม็กซิโก และอินเดีย

ฟ็อกซ์คอนน์กำลังสร้างสายการประกอบสำหรับแท็บเล็ต ไอแพด และแล็ปท็อปแม็คบุ๊ก ที่โรงงานของบริษัทใน จ.บั๊กซยาง (Bac Giang) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนาม ที่จะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564

“ความเคลื่อนไหวนี้เป็นไปตามคำร้องของแอปเปิล”

ฟ็อกซ์คอนน์ระบุในคำแถลงว่า “ตามนโยบายของบริษัท และด้วยเหตุผลเรื่องความอ่อนไหวทางการค้า เราจะไม่แสดงความคิดเห็นในแง่มุมใดๆ เกี่ยวกับงานของเราสำหรับลูกค้าหรือผลิตภัณฑ์ของพวกเขา” ขณะเดียวกันบริษัทแอปเปิลก็ไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอความเห็นแต่อย่างใด

เมื่อวันอังคารที่ 24 พ.ย. ฟ็อกซ์คอนน์ได้ประกาศการลงทุนมูลค่า 270 ล้านดอลลาร์ เพื่อตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ชื่อ FuKang Technology Co Ltd ความเคลื่อนไหวที่บุคคลนิรนามกล่าวว่ามีเป้าหมายที่จะสนัสนุนการขยายกิจการในเวียดนาม

ผู้ผลิตจากไต้หวันรายนี้ยังมีแผนที่จะผลิตโทรทัศน์ที่โรงงานเวียดนามสำหรับลูกค้ารายต่างๆ ซึ่งรวมถึงบริษัทโซนี่ (Sony Corp) ของญี่ปุ่น ที่มีกำหนดเริ่มการผลิตในปลายปี 2563 หรือต้นปี 2564 แต่โซนี่ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

โรงงานในเวียดนามจะยังใช้ผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ อีก เช่น คีย์บอร์ด

การย้ายการผลิตไอแพดมาเวียดนามครั้งนี้จะทำให้ฟ็อกซ์คอนน์ประกอบอุปกรณ์ชิ้นนี้นอกประเทศจีนเป็นครั้งแรก

Source

]]>
1307902