สินค้าเกษตร – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 04 Jul 2023 12:17:23 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 พายุเศรษฐกิจลูกใหม่กำลังก่อตัวจาก “เอลนีโญ” เตรียมรับมือราคา “อาหาร” พุ่งสูง https://positioningmag.com/1436590 Tue, 04 Jul 2023 10:05:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1436590 หลังจากทั่วโลกเผชิญภาวะเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนถึงจุดที่หลายฝ่ายเชื่อว่าน่าจะเข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว แต่พายุเศรษฐกิจลูกใหม่กำลังก่อตัวจากความแปรปรวนทางภูมิอากาศ ปีนี้ทั่วโลกกำลังเข้าสู่ภาวะ “เอลนีโญ” ซึ่งจะทำให้บางส่วนของโลกเกิดฝนตกหนักและน้ำท่วม ขณะที่บางส่วนเกิดภัยแล้งและไฟป่า แต่ผลร่วมกันคือพืชพันธุ์ทางการเกษตรจะเสียหาย และราคา “อาหาร” จะพุ่งสูง

หลายสำนักพยากรณ์และผู้เชี่ยวชาญทางภูมิอากาศเห็นตรงกันว่าโลกเรากำลังเผชิญ “เอลนีโญ” แห่งปี 2023 ไม่ว่าจะเป็นกรมอุตุนิยมวิทยาแห่งออสเตรเลีย หรือสำนักงานวิจัยทางทะเลและชั้นบรรยากาสแห่งชาติสหรัฐฯ ต่างเห็นว่าเอลนีโญกำลังทำให้เกิดภาวะอากาศแปรปรวนไปทั่วโลก และจะทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย ซัพพลายวัตถุดิบอาหารขาดตลาด ราคาพุ่ง เป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจ

“เอลนีโญ” ปี 2023 อาจจะเป็นปีที่ร้ายแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้น ตามการคาดการณ์ของ กรมอุตุนิยมวิทยาแห่งออสเตรเลีย พบว่าอุณหภูมิในมหาสมุทรแปซิฟิกปรับสูงขึ้นมาแล้ว 0.5 องศาเซลเซียส และเป็นไปได้ว่าจะเพิ่มขึ้นไป 3.2 องศาเซลเซียสภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ หากเกิดขึ้นจริง นั่นหมายความว่าเอลนีโญปีนี้จะทำให้น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้นเป็นสถิติใหม่ หลังจากน้ำทะเลเคยร้อนขึ้นสูงสุด 2.6 องศาเซลเซียสในปี 2016

นาข้าว

ในส่วนอื่นของโลกก็เริ่มเห็นผลกระทบแล้ว Annalisa Bracco ศาสตราจารย์ด้านมหาสมุทรและกลศาสตร์ภูมิอากาศ Georgia Institute of Technology พบว่า อุณหภูมิมหาสมุทรพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปีมาตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2023 มหาสมุทรที่ร้อนขึ้น มีผลต่อความร้อนบนแผ่นดิน และความแปรปรวนทางภูมิอากาศ

ปัจจุบันทวีปยุโรปในบริเวณประเทศสเปน ฝรั่งเศส อังกฤษ และกลุ่มสแกนดิเนเวีย มีฝนตกน้อยกว่าปกติ ทำให้ประเทศนอร์เวย์เข้าสู่ภาวะภัยแล้งเช่นเดียวกับที่เคยเผชิญในปี 2018

เช่นเดียวกับในมหาสมุทรอินเดีย อุณหภูมิเริ่มร้อนขึ้นมาตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งทำให้ฤดูมรสุมที่ควรเริ่มมีฝนตกชุกตั้งแต่เดือนพฤษภาคมในเขตเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันกลับมีฝนตกเบาบางกว่าที่ควร และจะทำให้ผลผลิตทางการเกษตรที่อยู่นอกเขตชลประทานเสียหาย ในพื้นที่ป่ามีโอกาสเกิดไฟป่าสูงขึ้น รวมถึงเกิดคลื่นความร้อนในทะเล

ในทางกลับกัน พื้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะเผชิญกับฝนตกหนักและพายุ ทำให้เกิดอุทกภัย แต่สร้างความเสียหายต่อพื้นที่เกษตรกรรมเช่นกัน

 

ข้าว กาแฟ น้ำตาล ถั่วเหลือง เตรียมตัวรับผลกระทบ

ปัจจุบันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ด้านการเกษตรบางชนิดเริ่มปรับราคาขึ้นแล้ว เช่น “ข้าว” ทำราคาสูงสุดเป็นสถิติใหม่ในรอบ 15 ปีไปเมื่อเดือนมิถุนายน เพราะผู้ผลิตข้าวแหล่งสำคัญของโลก ได้แก่ อินเดีย ไทย และเวียดนาม ต่างอยู่ในเขตที่จะได้รับผลกระทบภัยแล้งจากเอลนีโญทั้งหมด โดยรัฐบาลไทยได้ให้คำแนะนำกับชาวนาไทยไปแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคมว่าปีนี้ควรจะ ‘ทำนาเพียงรอบเดียว’ เนื่องจากภัยแล้ง หมายความว่าผลผลิตข้าวของไทยปีนี้จะลดน้อยลง

ในกรณีเวียดนาม มีสินค้าโภคภัณฑ์อีกชนิดที่จะได้รับผลกระทบจากภัยแล้งคือ “กาแฟ” โดยเวียดนามเป็นแหล่งปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าซึ่งนิยมนำไปผลิตกาแฟผงสำเร็จรูป เมื่อสัปดาห์ก่อนราคาสัญญาซื้อล่วงหน้าของกาแฟโรบัสต้าพุ่งขึ้นไปแตะสถิติสูงสุดในรอบ 15 ปีแล้วเช่นกัน และเป็นการปรับขึ้นสูงถึง 60% ภายในรอบปีเดียว

ฟากประเทศอินเดียเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันการขาดแคลนอาหารในประเทศแล้ว โดยอินเดียออกคำสั่งห้ามส่งออก “น้ำตาล” ไปจนถึงครึ่งปีแรกของปี 2024 เนื่องจากความกังวลเรื่องเอลนีโญจะมีผลต่อการปลูกอ้อย และจะทำให้ราคาน้ำตาลในประเทศสูงขึ้น โดยอินเดียถือเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก เมื่ออินเดียงดส่งออกไปจนถึงปีหน้า จึงมีแนวโน้มสูงที่ราคาน้ำตาลโลกจะพุ่งขึ้น

ขณะที่ในฝั่งสหรัฐฯ ดังที่กล่าวไปว่าเอลนีโญจะทำให้มีฝนตกหนัก ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญของสหรัฐฯ เช่น ถั่วเหลือง จะมีความเสี่ยงขาดแคลนซัพพลายในปีนี้

นี่เป็นเพียงตัวอย่างสินค้าเกษตรบางชนิดเท่านั้น และจากกรณีของอินเดียที่ห้ามส่งออกน้ำตาลเพราะเกรงซัพพลายใช้ไม่เพียงพอในประเทศหรือราคาในประเทศสูงเกินไป จึงมีความเป็นไปได้ที่ประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่อื่นๆ อาจจะใช้มาตรการเดียวกันกับสินค้าชนิดอื่น จนเกิดซัพพลายวัตถุดิบอาหารบางชนิดขาดแคลนหรือราคาพุ่งขึ้น ยังผลต่อราคาอาหารโดยรวมของคนทั้งโลก

การคาดการณ์เหล่านี้มองไปเพียงรอบ 1 ปีข้างหน้า แต่องค์กรอุตุนิยมวิทยาโลกประเมินว่าภาวะ “เอลนีโญ” จะไม่จบลงในปีเดียว เพราะมีโอกาสถึง 98% ที่โลกเราอาจต้องเผชิญกับสภาวะอุณหภูมิโลกร้อนผิดปกติไปอีก 5 ปี เนื่องจากในยุคนี้ปัจจัยความร้อนโลกไม่ได้มีแค่เอลนีโญแต่ยังผสมกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สะสมมานาน ซึ่งทำให้ผู้นำด้านนโยบายของประเทศต่างๆ ต้องเร่งจัดการกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดการใช้ถ่านหิน

ที่มา: Reuters, FastCompany

]]>
1436590
ความตึงเครียด ‘รัสเซีย-ยูเครน’ กระทบอาหารโลก ราคาข้าวสาลี-ข้าวโพด อาจพุ่งสูงขึ้น https://positioningmag.com/1374148 Tue, 15 Feb 2022 16:32:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374148 เหล่านักวิเคราะห์ เเสดงความกังวลต่อความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตร อย่างข้าวสาลีเเละข้าวโพด ซ้ำเติมราคาอาหารโลกที่เเพงใกล้เเตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี

รัสเซียเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่ยูเครนก็เป็นหนึ่งในเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีและข้าวโพดรายสำคัญ

Peter Meyer นักวิเคราะห์จาก S&P Global Platts กล่าวว่า การแทรกแซงการขนส่งข้าวสาลีเเละข้าวโพดจากรัสเซียและยูเครน อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อด้านอาหารแย่ลงไปอีก โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างๆ ของโลกที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบเหล่านี้

จากรายงานขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ราคาอาหารโลกเพิ่มขึ้นมากถึง 28% ในปี 2021 และคาดว่าจะพุ่งขึ้นอีกในปีนี้ เนื่องจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานจากวิกฤตโรคระบาดยังคงมีอยู่

ยูเครนเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีและข้าวโพดรายใหญ่ และหากการส่งออกหยุดชะงัก อาจทำให้ราคาโลกพุ่งสูงขึ้นOphelia Coutts นักวิเคราะห์ชาวรัสเซียจากบริษัทที่ปรึกษา Verisk Maplecroft กล่าว

เเละมองว่า เมื่อราคาอาหารและพลังงานเเพงขึ้นพร้อมกัน ตอกย้ำถึงวิกฤตค่าครองชีพและอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดความไม่สงบในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในแอฟริกาและตะวันออกกลาง

อีกความกังวลหลักในหมู่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ตลาดคือ การที่รัสเซียอาจจะปิดกั้นท่าเรือของยูเครนในทะเลดำเพื่อสร้างแรงกดดันระหว่างการบุกโจมตีทางทหาร

Michael Magdovitz นักวิเคราะห์จาก Rabobank มองว่า มีความเคลื่อนไหวในฝ่ายกองทัพเรือของรัสเซีย ซึ่งอาจเป็นปัญหาในการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรอย่างข้าวสาลี

ขณะเดียวกัน เกษตรกรในยูเครน ก็อาจจะไม่สามารถรับผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการเพาะปลูก อย่างเช่น ปุ๋ย ก่อนฤดูปลูกที่จะมาถึงนี้ได้

ยิ่งไปกว่านั้น หากกรณีที่ประเทศตะวันตกตัดสินใจคว่ำบาตรรัสเซียก็จะเกิดปัญหาใหญ่ ที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดแม้ว่าสินค้าเกษตรจะไม่ใช่เป้าหมายในการคว่ำบาตรโดยตรงก็ตาม เนื่องจาก รัสเซียเป็นผู้ครองสัดส่วนการค้าข้าวสาลีทั่วโลกกว่า 20% เเละมีประเทศคู่ค้าที่ซื้อเป็นอันดับต้นๆ อย่างตุรกีและอียิปต์

อย่างไรก็ตาม Magdovitz มองว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะจะสร้างความเสียหายอย่ามหาศาลให้กับกลุ่มประเทศยากจนด้วย

 

ที่มา : CNN

]]>
1374148
ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจีนแตะ 989 ล้านคน! คนชนบทมีเน็ตใช้ 56% เปิดประตูสู่การขายสินค้าเกษตร https://positioningmag.com/1318159 Fri, 05 Feb 2021 10:48:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1318159 แผนการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตและระบบอีคอมเมิร์ซของจีนยังเดินหน้าตามเป้า โดยปี 2020 จีนมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแตะ 989 ล้านคน จากจำนวนประชากร 1,393 ล้านคน คนชนบทเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 56% และเป็นช่องทางให้เกษตรกรขายตรงผลผลิตคุณภาพของตนเข้าสู่เมือง

รายงานการพัฒนาอินเทอร์เน็ตจีนเปิดเผยข้อมูลเมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2021 ว่า จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศจีนแตะ 989 ล้านคนแล้วเมื่อสิ้นปี 2020 ที่ผ่านมา จำนวนนี้เพิ่มขึ้น 85.4 ล้านคนจากช่วงเดือนมีนาคม 2020 ขณะที่ศูนย์ข้อมูลโครงข่ายอินเทอร์เน็ตแห่งประเทศจีน (CNNIC) รายงานว่า อินเทอร์เน็ตครอบคลุมพื้นที่ประเทศจีนคิดเป็น 76.3% ของพื้นที่ทั้งหมดแล้ว

พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคนจีนนั้นใช้ผ่านสมาร์ทโฟนถึง 99.7% คิดเป็นจำนวนประชากรออนไลน์ 986 ล้านคน โดยสัดส่วนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 31.3% อยู่อาศัยในเขตชนบทของจีน หรือคิดเป็นจำนวนประชากรออนไลน์ 309 ล้านคน จำนวนดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 54.71 ล้านคนนับจากเดือนมีนาคม 2020

 

อีคอมเมิร์ซ ช่องทางทำกินของคนถิ่นชนบท

CNNIC ระบุว่า โทรศัพท์มือถือกลายเป็นเครื่องมือใหม่ในแปลงเกษตรไปแล้ว เมื่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซเป็นส่วนหนึ่งของการทำเกษตรในหมู่ประชากรพื้นที่ชนบทจีน

ในช่วงสิ้นปี 2020 ระบบอีคอมเมิร์ซครอบคลุมพื้นที่ยากจน 832 เขตของประเทศจีนครบทั้งหมด ทำให้การขายออนไลน์เป็นพลังอันสำคัญยิ่งเพื่อต่อสู้กับความยากจน

ยอดขายสินค้าในพื้นที่ชนบทกระโดดจาก 1.8 แสนล้านหยวนเมื่อปี 2014 ขึ้นมาเป็น 1.79 ล้านล้านหยวนในปี 2020

หยาง หมิง ผู้ช่วยนายอำเภอลั่วหนาน มณฑลส่านซี ชนบททางตะวันตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ระหว่างไลฟ์ขายสินค้าเกษตร (Photo : Xonhua)

ในทางกลับกัน คนในชนบทไม่แค่เพียงเป็นผู้ซื้อ แต่ยังเป็นผู้ขายได้ด้วย เพราะอินเทอร์เน็ตและอีคอมเมิร์ซทำให้พวกเขามีโอกาสขายสินค้าเกษตรคุณภาพสูงโดยตรงจากไร่ CNNIC รายงานว่า ช่วงครึ่งปีแรกปี 2020 มีการขายสินค้าเกษตรออนไลน์รวมมูลค่า 193.8 แสนล้านหยวน โดยสัดส่วน 35% ของมูลค่าดังกล่าว เป็นการขายสินค้าเกษตรจากพื้นที่ชนบทเขตยากจนของจีน

นโยบายการสร้างเศรษฐกิจในเขตชนบทห่างไกลของจีน เริ่มมาตั้งแต่ปี 2014 โดยแบ่งเป็น 10 โครงการที่จะช่วยให้คนชนบทมีรายได้ดีขึ้น เช่น พัฒนาการท่องเที่ยว ฝึกอบรมอาชีพ และหนึ่งในโครงการที่ตั้งขึ้นคือการสร้างธุรกิจอีคอมเมิร์ซในชนบท

โครงการเลี้ยงไก่ขายออนไลน์กับ JD.com

โครงการนี้นำมาซึ่งการโหมสร้างโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต และประสานงานเอกชนมาช่วยคนชนบทขายของให้ได้ราคาและแนะนำให้ทำสินค้าคุณภาพ ตัวอย่างเช่น JD.com เซ็นสัญญากับรัฐบาลเพื่อสร้างฟาร์มไก่ในพื้นที่ยากจน โดยบริษัทจะให้เงินกู้รายย่อยเพื่อลงทุน และช่วยดูแลด้านโลจิสติกส์กับการตลาดให้ โครงการนี้เริ่มในปี 2016 และปัจจุบันฟาร์มไก่กับ JD.com กลายเป็นรายได้สัดส่วน 10% ของคนชนบทจีน

ในยุคที่ไลฟ์ขายของและการทำวิดีโอสั้นฮิตมากในจีน เกษตรกรจีนในเขตชนบทก็ใช้วิธีนี้ขายสินค้าเหมือนกัน มีการใช้เซเลบอินเทอร์เน็ตมาช่วยไลฟ์ขายสินค้าเกษตร จนคนจีนราว 1 ใน 5 ที่ซื้อสินค้าออนไลน์ ล้วนเคยซื้อสินค้าเกษตรเพื่อช่วยเหลือคนชนบทมาแล้ว

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อีคอมเมิร์ซในชนบทจีนกำลังพัฒนาให้เป็นธุรกิจที่แข็งแรงมากขึ้น เช่น เปิดเป็นร้านค้าออนไลน์ถาวรบนมาร์เก็ตเพลซ หาสินค้าอย่างอื่นมานำเสนอ และพยายามสร้างงานให้คนในท้องที่ให้มากที่สุด

Source: Asia Times, Beijing Review

]]>
1318159
ลูกค้าเปลี่ยนไป “ไวไว” ต้องพลิกกลยุทธ์ ปั้นร้านอาหาร แตกไลน์ทำธุรกิจอาหารออร์แกนิก-สินค้าเกษตร https://positioningmag.com/1223815 Fri, 05 Apr 2019 14:11:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1223815 ต้องถือเป็น Strategic Move ครั้งสำคัญของ ไวไว ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะนอกจากกระแสดิจิทัลเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค พบแบรนด์ลอยัลตี้ต่ำ และความนิยมในรสชาติสั้นลง กระแสสุขภาพยังเป็นแนวโน้มสำคัญ ทำให้ ไวไว ต้องปรับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจครั้งใหญ่ แตกไลน์ขยายสู่โมเดล” ธุรกิจใหม่ ไม่จำกัดเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีกต่อไป

ปรีชา นภาพฤกษ์ชาติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปภายใต้เครื่องหมายการค้า “ไวไว ควิกแสบ และซือดะ เปิดเผยว่า เนื่องจากปัจจุบันแนวโน้มธุรกิจอาหารมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะความต้องการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ ภายในปี 2568 ตลอดจนเทคโนโลยี่เข้ามามีบทบาทในโซเชียลมีเดีย ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงอาหารที่เป็นทางเลือกใหม่ๆ มากขึ้น ส่งผลให้แบรนด์ลอยัลตี้ที่มีต่อสินค้าที่ออกวางตลาดแต่ละตัวลดน้อยลง บริษัทต้องนำจุดแข็งที่เป็นฐานธุรกิจเดิมมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ด้วยการแตกโมเดลทางธุรกิจใหม่ขึ้นมาอีก 3 กลุ่ม 

กลุ่มธุรกิจแรก ได้แก่ ธุรกิจร้านอาหาร ควิกเทอเรส นำเส้นบะหมี่มาเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ ทำเป็นอาหารจานหลักและอาหารทานเล่น ในราคาที่ย่อมเยา สาขาแรกได้ทดลองเปิดข้างหน้าโรงงานไวไวที่อ้อมใหญ่เมื่อ 2 ปีก่อน และมีแผนขยายสาขาที่ 2 ในเดือนพฤษภาคมนี้ ที่จังหวัดชลบุรี รวมถึงสาขาใหม่ที่จะเปิดในปีนี้อีก 3-5 สาขา ทั้งสาขาที่บริษัทลงทุนเอง และขายแฟรนไชส์

โดยตั้งเป้าในอีก 3-5 ปี ข้างหน้าจะเปิดร้าน ควิกเทอเรส” จำนวน 100 สาขาทั่วประเทศ และต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย อังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นต้น

ธุรกิจที่ 2 แปรรูปผลผลิตทางการเกษตร โดยจะร่วมมือกับบริษัทที่มีชื่อเสียงในการผลิตผลิตผลทางการเกษตร พัฒนาแปรรูปเป็นผงปรุงรส และเครื่องเทศที่เน้นคุณภาพและความปลอดภัย เพื่อให้ขายในประเทศและต่างประเทศได้ เป็นการต่อยอดใช้ประโยชน์จากเครื่องจักรของบริษัท และส่งเสริมเกษตรกรไปในตัว 

ธุรกิจกลุ่มที่ 3 พัฒนาอาหารอนาคต รองรับแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก ที่ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการอาหารที่กินได้สะดวก รวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับสุขภาพ และความปลอดภัย รวมถึงอาหารต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป

สำหรับธุรกิจในกลุ่มนี้ บริษัทมอบหมายให้ วีระ นภาพฤกษ์ชาติ กรรมการและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้ดูแลธุรกิจในกลุ่มนี้ ซึ่งจะเน้นพัฒนาสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ คำนึงถึงโภชนาการทางอาหารเป็นสิ่งสำคัญ เช่น อาหารเสริมสุขภาพ และอาหารเกษตรอินทรีย์ 

สำหรับแนวทางการพัฒนาอาหารเสริมสุขภาพ บริทได้ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) รวมถึงสนับสนุนทุนวิจัยให้กับอาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์อาหาร คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อพัฒนาสินค้าให้เป็นอาหารที่เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ และตอบสนองผู้บริโภคที่มีอาการแพ้สารอาหารบางกลุ่ม

เขา ยกตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์เส้นบะหมี่สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ กลูเตน รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานที่ไม่ใส่สารกันบูด ตลอดจนบริษัทมีความสนใจมุ่งเน้นจะพัฒนาสินค้าให้ได้รับสัญลักษณ์ “Free Form” ซึ่งสัญลักษณ์นี้ คือมาตรฐานที่บ่งบอกถึงสินค้าที่ปราศจากสารปรุงแต่งต่าง 

นอกจากนี้ บริษัทได้เจรจาความร่วมมือกับเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) เพื่อกำหนดแนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเชิงสุขภาพ และกระบวนการผลิตโดยใช้นวัตกรรมใหม่ๆ พร้อมกับขยายความร่วมมือไปยังมหาวิทยาลัยและนักวิจัยในเครือข่ายของเมืองนวัตกรรมอาหารอีกไม่น้อยกว่า 16 แห่ง เพื่อนำงานวิจัยที่มีศักยภาพมาต่อยอดสำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารกลุ่มทางเลือกสุขภาพ (Healthy Choice) เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมต่ำ และน้ำตาลต่ำ เสริมคุณค่าทางอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ไฟเบอร์ เพื่อตอบสนองแนวโน้มความต้องการสินค้าเพื่อสุขภาพสำหรับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย และอาหารเฉพาะกลุ่ม  

บริษัทหวังใจว่าธุรกิจใหม่ทั้ง 3 กลุ่ม จะสามารถเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ด้วยแผนการตลาดดังกล่าว บริษัทคาดว่าจะผลักดันยอดขายทั้งกลุ่มอยู่ที่ 10000 ล้านบาทในอีก 5-10 ปี และเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการส่งออกจาก 15% เป็น 30%”

]]>
1223815