“เวียดนาม” กำลังลุยพัฒนาไร่กาแฟ “ออร์แกนิกส์” เพื่อตีตลาดโลก

“เวียดนาม” ผู้ผลิต “เมล็ดกาแฟ” มากเป็นอันดับ 2 ของโลก กำลังลุยพัฒนาไร่กาแฟ “ออร์แกนิกส์” เพื่อตีตลาดโลกที่ต้องการกาแฟพรีเมียมสูงขึ้น

บทความจาก Debbie Wei Mullin ผู้ก่อตั้ง Copper Cow Coffee บริษัทกาแฟระดับพรีเมียมในเวียดนาม ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ Fast Company เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงในตลาดผู้ผลิตกาแฟเวียดนามที่จะไปสู่เส้นทาง “ออร์แกนิกส์” มากขึ้น

โดยเวียดนามได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลให้เกษตรกรเพาะปลูกกาแฟมาตลอด 3 ทศวรรษ จนทำให้เมื่อปี 2020 เวียดนามเป็นผู้ผลิตกาแฟอันดับ 2 ของโลก มีส่วนแบ่งตลาดกาแฟโลกถึง 18%

อย่างไรก็ตาม เมล็ดกาแฟส่วนใหญ่ที่เวียดนามเพาะปลูกเป็นพันธุ์ “โรบัสต้า” ซึ่งในตลาดกาแฟถือว่าคุณภาพเป็นรองกาแฟพันธุ์อราบิก้า และมักจะใช้เมล็ดกาแฟโรบัสต้าเป็นส่วนผสมเพื่อลดต้นทุนมากกว่าเป็นเมล็ดหลัก นั่นทำให้หลายตลาดในโลกนี้ไม่ทราบว่ากาแฟที่ตนดื่มนั้นมีส่วนผสมกาแฟจากเวียดนาม

นอกจากนี้ วิธีการเพาะปลูกกาแฟเวียดนามยังเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อมสูง เพราะมีการใช้ยาฆ่าแมลงอย่างหนัก ซึ่งประเด็นนี้เองก็จะเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากนี้

เนื่องจากในตลาดโลกมีความต้องการกาแฟสเปเชียลตี้และกาแฟออร์แกนิกส์สูงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดหลักที่บริโภคกาแฟออร์แกนิกส์สูงที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา รวมถึงตลาดภายในประเทศเอง จากชนชั้นกลางในเวียดนามที่เพิ่มจำนวนขึ้นก็ทำให้ความต้องการกาแฟออร์แกนิกส์ที่ดีต่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้นไปด้วย

ความต้องการเหล่านี้บวกกับนโยบายผลักดันของรัฐบาลเวียดนามเอง และราคาที่ดีกว่าของกาแฟออร์แกนิกส์ ทำให้เกษตรกรสนใจเพาะปลูกกาแฟออร์แกนิกส์เพิ่มขึ้นในเวียดนาม

ในช่วงปี 2016 ถึง 2020 การปลูกกาแฟออร์แกนิกส์เพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่าในเวียดนาม และคาดว่าจะโตต่อเนื่องเพราะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงเกษตรกรเริ่มเข้าใจว่าการปลูกกาแฟออร์แกนิกส์ทำให้ควบคุมราคาเมล็ดกาแฟได้ดีกว่า และกระบวนการปลูกดีกับสุขภาพตนเองมากกว่า เพราะไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี

สำหรับมูลค่าตลาดกาแฟออร์แกนิกส์ทั่วโลกเมื่อปี 2022 มีมูลค่า 8,900 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีการคาดการณ์ว่าจะพุ่งขึ้นไปแตะ 28,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2030 โดยมีตลาดหลักคือสหรัฐฯ และมีการวิจัยพบว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้พร้อมจะจ่ายเพิ่ม 47% เพื่อซื้อสินค้าออร์แกนิกส์

ด้านเมล็ดกาแฟโรบัสต้าที่ตลาดมองว่าเป็นรองพันธุ์อราบิก้า เนื่องจากกาแฟพันธุ์อราบิก้ามีการพัฒนาไปก่อนแล้ว เช่น เทคนิคการวัดความสุกของเมล็ดที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยว แต่พันธุ์โรบัสต้าก็เริ่มมีการพัฒนาแล้วในระยะหลัง โชว์จุดเด่นของสายพันธุ์คือกลิ่นมอคค่าและกลิ่นถั่วที่เหมาะกับการคั่วเข้ม และมีขนาดเมล็ดใหญ่กว่าซึ่งทำให้เมื่อเก็บเกี่ยวจะทำให้ต้นทุนต่อไร่ต่ำกว่า ดังนั้น เมื่อปรับมาปลูกแบบออร์แกนิกส์ ก็จะได้กาแฟพรีเมียมที่ราคาถูกกว่าในท้องตลาดด้วย

Mullin มองว่า อีกไม่นานทั่วโลกจะรู้จักต้นกำเนิดกาแฟอย่างเวียดนามมากขึ้น โดยไม่ใช่แค่กาแฟที่นำมาผสม แต่เป็นกาแฟพรีเมียมในประเภทออร์แกนิกส์

Source