ทิศทางที่เกิดขึ้น เป็นไปตามเทรนด์ของผู้บริโภค ที่แม้ต้องการเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่น ขณะเดียวกันก็อยากได้สุขภาพดีด้วย ทำให้ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ให้ความสำคัญกับตลาดนี้ โดยจะขับเคลื่อนผ่านกลยุทธ์ต่างๆ ประกอบด้วย
เสริมความแข็งแกร่งธุรกิจเครื่องดื่มน้ำอัดลม (Strengthen Core) ซึ่งสินค้าเรือธงของบริษัทฯ ก็คือ ‘เป๊ปซี่’ ที่สร้างรายได้ให้กับซันโทรี่ เป๊ปซี่โคถึง 75% ของยอดขาย ด้วยการส่งสินค้าใหม่สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม ‘น้ำตาลน้อย’ และ ‘ไร้น้ำตาล’ อย่างที่ผ่านมาได้เปิดตัวสินค้าค้าใหม่ ได้แก่ Pepsi Ume เป๊ปซี่รสบ๊วยญี่ปุ่น
ขณะที่กลุ่มน้ำสี จะมีการรีแบรนด์ ‘มิรินด้า’ และ ‘เซเว่น อัพ’ ให้มีโพสิชั่นชัดเจน รวมถึงเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด โดยการรีแบรนด์ใหม่นี้ เป็นการรีแบรนด์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ขยายกลุ่มนวัตกรรมเครื่องดื่ม (Portfolio Transformation) นำเสนอสินค้าที่ให้ความสำคัญสุขภาพ และความอร่อย อย่างในกลุ่มเครื่องดื่มให้พลังงาน ได้เปิดตัว ‘สติงค์’ แบรนด์เครื่องดื่มให้พลังงานแบบใหม่ที่มีความซ่า เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่
‘เกเตอเรด’ เปิดตัวสูตรไม่มีน้ำตาลรสชาติใหม่ไป ได้แก่ รสองุ่น ส่วนชาพร้อมดื่ม ‘ลิปตัน’ เปิดตัวชาที่มีรสซ่า, ขณะที่ ‘ทีพลัส’ เน้นความเป็นสินค้าเพื่อสุขภาพมากขึ้น และ ‘กาแฟพร้อมดื่ม BOSS’ ได้เปิดตัวรสชาติใหม่ BOSS Yuzu Black
สร้างความสำเร็จร่วมกับคู่ค้า (Win With Customer) ขยายฐานคู่ค่าทั่วประเทศ พร้อมเสนอสินค้าที่เหมาะสมในแต่ละช่องทางขาย และนำเทคโนโลยีเอไอ (AI) เสริมศักยภาพการทำตลาด เพื่อสร้างการเติบโต
ส่งเสริมการเติบโตระยะยาว ด้วยการผลิตที่มีประสิทธิภาพและเดินหน้าสู่ความยั่งยืน (Insulated Long Term) ด้วยการส่งมอบเครื่องดื่มที่มีคุณภาพและปลอดภัยตามมาตรฐานด้านอาหาร ซึ่งแต่ละปีมีการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 1,300 ล้านลิตร
รวมถึงขยายผลการจัดการบรรจุภัณฑ์แบบยั่งยืน โดยซันโทรี่ เป็ปซี่โคฯ จะเป็นบริษัทเครื่องดื่มรายแรกในไทยที่เริ่มใช้ขวด rPET 100% และมีการใช้ขวด rPet กับเป๊ปซี่และชาอู่หลงพร้อมดื่มทีพลัสครอบคลุมกว่า 18 SKUs ส่งผลให้บริษัทฯ ลดการใช้พลาสติกใหม่ (Virgin PET) ได้มากกว่า 8,300 ตัน (มี.ค. 2561 – ธ.ค.2567)
สำหรับทิศทางในปี 2025 นอกจากการโฟกัสกลุ่มเครื่องดื่นน้ำตาลน้อยและไร้นำตาลแล้ว ‘ทานุจ ชาดา’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) บอกว่า จะมุ่งสู่การเป็น ‘บริษัทเครื่องดื่มที่ผู้บริโภครักมากที่สุดในไทย’ โดยให้ความสำคัญต่อการเข้าถึงความต้องการเชิงลึกของผู้บริโภคอย่างแท้จริง หรือที่เรียกว่า The Most Beloved Company in Thailand with True Gemba Centricity
“ตลอดการเดินทาง 7 ปีในไทย ธุรกิจของซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เติบโตต่อเนื่อง โดยปี 2567 มีอัตราการเติบโต 8.2% โตมากกว่า 2 เท่าของภาพรวมตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในไทย ขณะที่กลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมของ บริษัทฯ เติบโต 2.7% และเรายังเดินหน้าเติบโตต่อไป”
นอกจากนี้ ยังได้ลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังผลิตสินค้าในโรงงาน ณ นิคมอุตสาหกรรมหนองแค จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบ 7 ปี ของซันโทรี่ เป็ปซี่โค
]]>ถ้ามีใครสักคนขอให้คุณวาดภาพโลโก้ Pepsi ขึ้นมาจากความทรงจำ ภาพโลโก้แบบไหนที่คุณจะวาด? น่าจะมีวงกลมสีแดงทับด้วยสีน้ำเงิน และมีชื่อแบรนด์ติดอยู่ตรงกลางหรือเปล่า?
เมื่อบริษัท PepsiCo ทดลองกิจกรรมนี้ พวกเขาพบว่าคนส่วนใหญ่นึกเป็นภาพที่กล่าวไปข้างต้น แต่โลโก้ปัจจุบันของ Pepsi ไม่ใช่แบบนั้นเลย โลโก้ปัจจุบันที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2008 เป็นรูปวงกลมสีแดง-น้ำเงิน แต่ชื่อแบรนด์ออกไปอยู่ด้านนอกวงกลมแทน
“เราละเลยอินไซต์แบบนี้ไม่ได้หรอกครับ” เมาโร ปอร์ชินี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการออกแบบ PepsiCo กล่าวกับ CNN “แทนที่เราจะปฏิเสธอินไซต์ลูกค้า เราตัดสินใจว่าจะโอบรับสิ่งนี้เข้ามาแทน”
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2023 บริษัท PepsiCo จึงได้ฤกษ์เปิดตัวโลโก้ใหม่ที่จะเริ่มใช้ในตลาดทวีปอเมริกาเหนือช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ ก่อนจะเริ่มใช้งานในตลาดทั่วโลกปีหน้า
โลโก้ใหม่หน้าตาคล้ายกับโลโก้ที่ใช้ในยุค 1990s มาก ซึ่งเป็นโลโก้แบบที่ดูจะติดอยู่ในความทรงจำของคนทั่วไปมากที่สุด แต่โลโก้ใหม่จะมีการปรับองค์ประกอบบางอย่างให้ดูทันสมัยขึ้น เช่น เปลี่ยนแบบอักษร เปลี่ยนสีอักษร และขอบขาวของโลโก้ที่ดูแคบลง
โลโก้แบบใหม่จะทำให้ไปในทิศทางเดียวกับความจำของคนที่มีต่อแบรนด์ แต่มีกลเม็ดที่จะดึงสายตาคนให้ลงมาอ่านบรรทัดด้านล่างโลโก้ที่เขียนว่า “zero sugar” หรือไม่มีน้ำตาล เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นกุญแจการเติบโตหลักของ Pepsi ในระยะถัดไป
Pepsi อยู่ในตลาดมานานถึง 125 ปีแล้ว และโลโก้แบรนด์ก็ถูกเปลี่ยนใหม่มาเป็นระยะๆ โดยโลโก้ปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนมาใช้งานตั้งแต่ปี 2008 แต่ตั้งแต่เริ่มมีโลโก้ใหม่ ดูเหมือนการตอบรับจะไม่ค่อยดี เพราะโลโก้ดู ‘น่าเบื่อ’
ท็อดด์ แคปแลน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ PepsiCo กล่าวว่า แบรนด์ Pepsi เป็นแบรนด์ของ “ความกล้าและมั่นใจ” เป็นแบรนด์ของความสนุกสนานแบบไม่ต้องหวั่นเกรงอะไร แต่โลโก้ที่มีวันนี้ ด้วยฟอนต์ที่ใช้ตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด และอยู่ด้านนอกวงกลม ทำให้ดูไม่ค่อยจะมั่นใจเท่าไหร่
การออกแบบใหม่จึงเลือกฟอนต์ที่กลับมาเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด ใช้สีดำตัวหนาเขียนว่า PEPSI อยู่ตรงกลางวงกลมอย่างชัดเจนเพื่อสะท้อนความมั่นใจอีกครั้ง
ทิม คาลกินส์ ศาสตราจารย์ด้านการตลาดที่ Northwestern University’s Kellogg School of Management ให้ความเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บริษัทจะเปลี่ยนโลโก้หรือดีไซน์บ้างเพื่อให้ทันสมัย แต่ก็ต้องระวังไม่ให้เปลี่ยนมากเกินไปจนเสี่ยงทำให้ลูกค้าสับสน อย่างเมื่อปี 2009 แบรนด์ Tropicana (อยู่ในเครือ PepsiCo เช่นกัน) เคยเปลี่ยนดีไซน์กล่องน้ำส้มทั้งรูปหน้ากล่องและโลโก้ไปโดยสิ้นเชิง แต่ลูกค้าไม่ตอบรับ จนบริษัทต้องเปลี่ยนกลับไปเป็นแบบเดิมในเวลาไม่กี่เดือน
“แบรนด์ที่มีประวัติมายาวนาน สามารถมองย้อนกลับไปยังความสำเร็จเดิมได้เสมอ” คาลกินส์กล่าว โดยภาพจำนั้นเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก เพียงแต่บริษัทต้องระวังในการนำมรดกความรุ่งเรืองมาใช้งานให้ยังดูสดใหม่เสมอ
ก่อนหน้านี้ รามอน ลากัวร์ตา ซีอีโอ PepsiCo เคยแถลงในงานพบปะนักวิเคราะห์ช่วงต้นปี 2023 ว่า ในตลาดสหรัฐฯ จะมีผลิตภัณฑ์ “ไม่มีน้ำตาล” เป็นศูนย์กลางในกลยุทธ์ธุรกิจต่อจากนี้ และยังประกาศการปรับสูตรน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล พร้อมทุ่มทุนโฆษณาประเด็นนี้กลางงาน Super Bowl
ลากัวร์ตามองว่า ตลาดน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลจะเติบโตเร็วมากในสหรัฐฯ และยังวางตัวให้น้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลเป็นกลยุทธ์หลักในยุโรป และตลาดอื่นๆ ในโลกด้วย
ในประเทศไทยก็เช่นกัน บริษัทผู้ผลิตและจำหน่าย Pepsi ในไทยอย่าง บจก.ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค (ประเทศไทย) ก็เพิ่งแถลงแผนรอบ 5 ปีต่อไป (2566-2570) และมีน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักที่จะผลักดัน เพราะเห็นว่าตลาดนี้เติบโตเร็วถึง 30% ต่อปี (อ่านรายละเอียดต่อที่นี่)
]]>“อชิต โจชิ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด นำทีมผู้บริหารแถลงครบรอบ 5 ปีการเป็นพันธมิตรร่วมทุนของซันโทรี่ เป๊ปซี่โค และก้าวต่อไปอีก 5 ปีข้างหน้าของบริษัท
หลังจากมีการร่วมทุนกันของสองบริษัท ทำให้พอร์ตโฟลิโอของซันโทรี่ เป๊ปซี่โคครบเครื่องยิ่งขึ้นด้วยเครื่องดื่มรวม 9 แบรนด์ในมือ
ปัจจุบันพอร์ต 75% ของบริษัททำรายได้จากกลุ่มน้ำอัดลม ได้แก่ เป๊ปซี่, มิรินด้า, เซเว่นอัพ และ 25% มาจากกลุ่มที่ไม่ใช่น้ำอัดลม ได้แก่ ชาลิปตัน, ชา TEA+, กาแฟ BOSS, น้ำดื่มอะควาฟินา, เครื่องดื่มเกลือแร่เกเตอเรด และน้องใหม่ล่าสุด เครื่องดื่มชูกำลังระดับพรีเมียม Rockstar
รวมถึงการผนึกกำลังทำให้ในรอบ 5 ปีบริษัทมีเครือข่ายร้านค้าจำหน่ายเพิ่มเป็น 2 เท่า และมีกำลังผลิตจากโรงงาน 2 แห่งรวม 600 ล้านลิตรต่อปี
อชิตกล่าวต่อว่า สำหรับระยะ 5 ปีต่อไป (2566-2570) ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค วางกลยุทธ์ใหญ่ไว้ 5 ข้อ ดังนี้
เป้าหมายปลายทางคือ ต้องการทำให้รายได้ต่อปีเติบโต “ดับเบิ้ล” ค่าเฉลี่ยของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น ปี 2566 นี้บริษัทตั้งเป้าโต 4-6% จากคาดการณ์ตลาดน่าจะโต 2-3% ส่วนในอนาคตหวังว่าบริษัทจะสามารถโตได้ปีละ 8-10% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในแต่ละปีด้วย
ในรอบ 5 ปีก่อน ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคสามารถขยับสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ในตลาดน้ำอัดลมขึ้นมาได้อีก 2.6% point ซึ่งทำให้เมื่อปี 2565 บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ 37% เป็นรองจากอันดับ 1 คือ โคคา-โคล่า ที่ยังยึดหัวหาดไว้ถึง 51%
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายจากนี้ของซันโทรี่ เป๊ปซี่โคต้องการจะเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ปีละ 1% point นั่นแปลว่าถ้าทำสำเร็จ ในปี 2570 เราอาจได้เห็นเป๊ปซี่ขึ้นไปมีส่วนแบ่งแตะ 42% ของตลาด และลดช่องว่างความห่างกับโคคา-โคล่าได้มากขึ้นอีก
หนทางเจาะตลาดที่ทางซันโทรี่ เป๊ปซี่โคเล็งอยู่นั้น คือการยึดฐานเดิมของน้ำอัดลมสูตรปกติไว้ให้มั่น พร้อมกับการบุกหนักกลุ่มน้ำอัดลม “No Sugar”
“อนวัช สังขะทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เทรนด์รักสุขภาพของชาวไทยที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 นั้นยังคงเป็นเทรนด์ต่อเนื่องแม้โรคระบาดจะคลายความรุนแรง ซึ่งเป็นผลดีต่อกลุ่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลอย่างมาก
“ปัจจุบันสินค้ากลุ่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของตลาดน้ำอัดลมโดยรวม ปีนี้คาดว่าจะเติบโตอีกประมาณ 30% และหากเทรนด์การเติบโตยังเป็นเช่นนี้ต่อเนื่อง 5 ปี จะทำให้สัดส่วนกลุ่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลขึ้นไปใกล้เคียงครึ่งหนึ่งของตลาดรวม” อนวัชกล่าว
น้ำอัดลม No Sugar จึงเป็นตลาดที่สำคัญมากในการต่อสู้ชิงส่วนแบ่งตลาด “ความท้าทายปัจจุบันนี้คือคนยังมองว่าน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลไม่ค่อยอร่อย เราจึงต้องทลายความคิดเรื่องนี้ให้ได้” อนวัชกล่าว
อีกส่วนที่จะส่งให้รายได้โตคือการเจาะตลาด “เครื่องดื่มชูกำลัง” ซึ่งซันโทรี่ เป๊ปซี่โคเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มาเมื่อปีที่แล้วในชื่อ “Rockstar” เป็นเครื่องดื่มชูกำลังแบบกระป๋อง ด้วยรูปลักษณ์ระดับพรีเมียม เน้นเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่
อนวัชกล่าวว่า บริษัทคาดการณ์ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังมูลค่า 20,000 ล้านบาท จะเป็นหนึ่งในประเภทเครื่องดื่มที่เติบโตดีที่สุดในช่วง 5 ปีข้างหน้า ทั้งในกลุ่มผู้บริโภคแบบเดิมและกลุ่มใหม่ที่บริษัทกำลังสร้างดีมานด์ขึ้น
“เรากำลังพยายามส่ง Energy Drink ไปในทิศทางใหม่สำหรับคนรุ่นใหม่ นอกจากดื่มเพื่อชูกำลังแล้ว ยังเป็นไลฟ์สไตล์ได้ ถือแล้วดูดี ซึ่งปกติกลุ่มที่ดื่มในลักษณะนี้ยังมีเพียง 6-7% ของตลาด แต่เราคิดว่าสามารถสร้างเพิ่มได้” อนวัชกล่าว
ส่วนตลาดเครื่องดื่มประเภทอื่น เช่น ชาพร้อมดื่ม กาแฟพร้อมดื่ม บริษัทจะยึดตำแหน่งในตลาดไว้ให้ได้เช่นกัน พร้อมกับการสร้างสินค้าใหม่ๆ ในลักษณะที่เป็นฟังก์ชันนอลดริงก์เพิ่ม เพื่อตอบรับเทรนด์ผู้บริโภคที่นิยมสินค้าเติมฟังก์ชันเพื่อสุขภาพ
“ปีนี้งบประมาณการตลาดรวมทั้งบริษัทเราตั้งไว้ที่ 1,000 ล้านบาท มีแผนการตลาดแล้ว 22 แคมเปญซึ่งมากกว่าปีก่อน และจะเน้นเรื่องอีเวนต์ on-ground เตรียมแจกชิม 10 ล้านขวด พร้อมกลยุทธ์ราคาและโปรโมชันโดนๆ เพื่อดึงให้ผู้บริโภคที่ชิมแล้วชอบ เข้ามาซื้อสินค้าจริง” อนวัชกล่าวปิดท้าย
]]>2563 – 55,000 ล้านบาท
2564 – 53,000 ล้านบาท
2565 – 57,000 ล้านบาท
รู้หรือไม่? คนไทยดื่มน้ำอัดลมเฉลี่ยคนละ 1 ลิตรต่อเดือน โดยกลุ่มคน Gen Z (ปัจจุบันอายุ 12-26 ปี) เป็นช่วงวัยที่ดื่มน้ำอัดลมมากที่สุด
ที่มา: บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ผู้ผลิตเอส โคล่า โดยอ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก นีลเส็น
]]>เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของสวนน้ำ “วานา นาวา หัวหิน” กับ “เป๊ปซี่” เป็นพาร์ทเนอร์ด้านกลยุทธ์ที่สร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ ประเดิมงานอีเวนต์ พร้อมสร้างเอนเตอร์เทนเมนต์ที่หลากหลาย เพื่อเนรมิตเมืองหัวหินให้กลับมาคึกคัก
ถ้าเอ่ยชื่อ “หัวหิน” แน่นอนว่าต้องเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของคนไทยที่นึกถึงเมื่อยามที่ต้องการพักผ่อน เพราะด้วยการเดินทางสะดวก ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ไม่กี่ชั่วโมง อีกทั้งยังมีบรรยากาศที่เงียบสงบ ทำให้หัวหินกลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของใครหลายๆ ใครหลายๆ คน
ปัจจุบันหัวหินขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีโครงการใหม่ๆ ผุดขึ้นมากมาย ไม่ได้มีเพียงแค่ทะเลอย่างเดียวเท่านั้น มีสวนน้ำขนาดใหญ่ “วานา นาวาวอเตอร์ จังเกิ้ลหัวหิน” และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ได้มี “ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ท มอลล์” รวมไปถึง “ทรู อารีน่า” ทำให้หัวหินมีกิจกรรมที่ครบวงจรได้เลยทีเดียว
“กลุ่มบริษัทพราว”หรือ “พราว กรุ๊ป” เป็นผู้พัฒนาโครงการใหญ่ๆ ของเมืองหัวหิน ได้แก่ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท,โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ต วานา นาวา หัวหิน,สวนน้ำวานา นาวา วอเตอร์จังเกิ้ลหัวหิน, ศูนย์กีฬาครบวงจรทรู อารีน่า หัวหิน และศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ท มอลล์
แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้การท่องเที่ยวไม่ได้มีเพียงแค่การพักผ่อนอย่างเดียวเท่านั้น จำเป็นต้องมี “คอนเทนต์” อื่นๆ มาเสริม เพื่อสร้างประสบการณ์มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้กลุ่มบริษัทพราวได้เดินเกมรุกครั้งใหญ่ ประกาศดึง “เป๊ปซี่” เป็นพาร์ทเนอร์กับสวนน้ำ “วานา นาวา หัวหิน” เรียกว่าเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญทั้งในเชิงการตลาด และกลยุทธ์
พราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พราว กล่าวว่า
“กลุ่มบริษัทพราวรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป๊ปซี่มาร่วมเป็น Strategic Partnerจริงๆ แต่เดิมมีพาร์ทเนอร์หลายๆด้านทั้งทรูไทยประกันชีวิต และฮอนด้าแต่เชื่อว่าครั้งนี้ผนึกกำลังแข็งแกร่งกว่าเดิมเป็นความร่วมมือที่นอกเหนือจากในเรื่องของสินค้าแต่มีการทำการตลาด ทำอีเวนต์ต่างๆ ร่วมกันเพราะการทำการตลาดในยุคนี้ต้องเปลี่ยนไปผู้บริโภคต้องการหาประสบการณ์ในการพักผ่อนจริงๆ ซึ่งกลุ่มลูกค้าของทั้งสวนน้ำวานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหิน และเป๊ปซี่เองก็เป็นกลุ่มที่ต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการหาประสบการณ์ไม่ซ้ำจากเดิม”
ทางด้านของ “ลัดดาวรรณ เลิศวศิน” ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดเครื่องดื่มเป๊ปซี่บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เสริมว่า
“ในส่วนของเป๊ปซี่ที่ได้ร่วมมือกับสวนน้ำวานานาวา วอเตอร์ จังเกิ้ลหัวหิน เพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของหัวหิน เป็นสวนน้ำที่สำคัญของประเทศ ซึ่งหัวหินเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเป็น Top of Mind ที่ติด Top 5ของคนไทยที่จะเดินทางไปเที่ยว และจุดประสงค์ของเป๊ปซี่เองต้องการสร้างความสดชื่นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายของเราก็มาพักผ่อนที่นี่เยอะ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น คนทำงาน ครอบครัว เลยอยากสร้างความสดชื่นด้วยเป๊ปซี่ให้กับลูกค้า”
โดยทั้งคู่ได้บอกว่า ความร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นพาร์ทเนอร์ในระยะยาว ซึ่งกลุ่มบริษัทพราวมีหลายโปรเจ็คต์ โครงการอสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม แต่เริ่มต้นที่สวนน้ำวานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหินก่อน อาจจะมีโปรเจ็คต์อื่นๆ ตามมาอีกได้
การร่วมมือของทั้ง 2 ยักษ์ใหญ่ ประเดิมด้วยงานอีเวนต์ Glamping Festival ที่จัดไปเมื่อวันที่ 23-24 ตุลาคมที่ผ่านมา ณ ทรู อารีน่า ไม่ไกลจากสวนน้ำวานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหินเท่าไหร่นัก ซึ่งงานนี้ไม่เชิงว่าเป็นงานคอนเสิร์ต แต่เป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์ อีเวนต์ที่รวบรวมความบันเทิงไว้ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น คอนเสิร์ต, ภาพยนตร์, Sneaker Market จาก atmos และทอล์กโชว์
พราวพุธได้บอกว่า “งานนี้เป็นอีเวนต์แรกที่จัดร่วมกับเป๊ปซี่ เป็นอีเวนต์ที่มีมาตรการ Social Distancing อย่างดี จัดเอาท์ดอร์ ตีตารางให้ผู้เข้าชมอย่างชัดเจน คอนเทนต์ภายในงานเป็นส่วนผสมของเอ็นเตอร์เทนเมนต์หลายๆ อย่าง ตอนนี้ต้องมองความต้องการผู้บริโภคที่แปลกใหม่ไม่ได้มองด้านเดียวอีกต่อไป เหมือนอย่างที่มาเที่ยวหัวหินไม่ได้มาเที่ยวสวนน้ำอย่างเดียว แต่มีอีเวนต์อยู่ด้วยทำให้การพักผ่อนสมบูรณ์แบบมากขึ้นด้วย”
เชื่อว่าในตอนนี้ทุกธุรกิจย่อมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยิ่งในส่วนของธุรกิจท่องเที่ยว และโรงแรมก็อาจจะเจ็บหนักมากกว่าเพื่อนหน่อย สวนน้ำวานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหินเองก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย เพราะเป็นสถานที่ที่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยว แต่การสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค และการกระตุ้นด้วยโปรโมชั่น ก็สามารถทำให้ผู้บริโภคยังกลับมาได้
พราวพุธบอกว่าสวนน้ำได้กลับมาเปิดให้บริการช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา จากมาตรการคลายล็อกดาวน์ของรัฐบาล ซึ่งตอนนี้ก็ยังกังวลอยู่ว่าคนไทยจะออกมาเที่ยวหรือไม่ บางคนแค่เดินห้างสรรพสินค้ายังรู้สึกกลัวเลย แต่ทางสวนน้ำก็ได้มีการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยกำหนดจำนวนคนในการเข้าสวนน้ำ เร่งสร้างความเชื่อมั่นความปลอดภัย เป็นสวนน้ำที่แรกที่ได้รับรอง SHA จากทางททท. ด้วย
ด้วยความที่ตอนนี้แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ยังต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวไทยเป็นหลัก เพราะยังไม่เปิดรับชาวต่างชาติ จึงค่อนข้างเป็นโจทย์ใหญ่ให้สวนน้ำวานา นาวาหัวหินในการดึงลูกค้าให้กลับมาเที่ยวซ้ำให้ได้
“ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนกลยุทธ์แต่เดิมลูกค้าต่างชาติเกือบ 50% ทีนี้พอมีแต่คนไทย ความยากอยู่ที่คนที่เคยมาแล้ว จะทำอย่างไรให้กลับมาอีกถ้าเป็นชาวต่างชาติได้มาหัวหินครั้งแรกต้องมาลองที่สวนน้ำโจทย์ใหญ่คือ ทำอย่างไรให้กลับมาเที่ยวอีกส่วนหนึ่งคือ ต้องมีอีเวนต์มีเครื่องเล่นใหม่ๆอัพเดตในช่วงหลัง COVID-19ได้เปิดตัว VR Slide ครั้งแรกในเอเชียพอมีเครื่องเล่นใหม่ ก็ทำให้เขาอยากจะมาอีกครั้งหนึ่ง ประกอบกับผู้บริโภคอึดอัดอยากเที่ยวด้วยแล้วสวนน้ำป็นสถานที่ที่มาเที่ยวได้ทั้งครอบครัว จึงได้ลูกค้าจากกลุ่มนี้เยอะ”
หลังจากที่กลับมาเปิดให้บริการตามปกติ ตอนนี้สวนน้ำวานา นาวาหัวหินมีทราฟิกกลับมาราวๆ 60% เมื่อเทียบกับก่อนช่วง COVID-19 มีการใช้โปรโมชั่นเป็นตัวดึงดูด
เช่น โปรวันธรรมดาราคา 400 บาทในวันจันทร์-พฤหัสบดี เป็นโปรโมชั่นถึงสิ้นปีส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ อาจจะมีโปรโมชั่นมา 4 จ่าย 2ซึ่งจะอยู่แล้วแต่ช่วงในเดือนหน้าจะมีโปรโมชั่นครบรอบ 6 ปีมีขายบัตรรายปีที่ออกปีละครั้งล้อกับโปร 11.11 ปกติขาย 1,200 บาทปีนี้ขาย 1,201 บาทสามารถเล่นได้ทั้งปี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง เป็นกลยุทธ์ที่ต้องการจับRepeat Customer เข้ามาด้วย
ถ้าถามถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้สวนน้ำวานา นาวาหัวหิน เป็นหนึ่งในเดสติเนชั่นที่คนมาหัวหินจะต้องแวะมาให้ได้ อีกทั้งยังเป็นสวนน้ำในระดับต้นๆ ของประเทศไทย พราวพุธได้มองถึง 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
ในส่วนของการแข่งขัน และกระแสความนิยมของสวนน้ำนั้น พราวพุธได้ให้ความคิดเห็นว่า ภาพรวมในปีนี้ทุกคนต้องเหนื่อยแน่นอน แต่ด้วยความที่สวนน้ำวานา นาวาหัวหินเป็นเจ้าเดียวในหัวหิน และความโชคดีของหัวหินที่ยังมีฐานนักท่องเที่ยวคนไทยคอ่นข้างเยอะ เมื่อเทียบกับที่อื่นๆ ทำให้พลิกสถานการณ์ได้ง่ายกว่า มีการเดินทางง่าย คนไทยรู้จัก
ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาหลังจากที่ทำตลาดมา ได้เห็นพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ในช่วงปีแรกได้รับผลตอบรับดีมากเพราะเป็นของใหม่ ตอนนั้นยังไม่มีใครทำตลาดกลายเป็นเทรนด์ที่ทุกคนต้องไปลองกลุ่มลูกค้าอาจจะเป็น First Mover ที่ต้องไปเยือนให้ได้ก่อนใคร เป็นวัยรุ่น หรือ Influencer ตอนนี้กลุ่มลูกค้าก็เปลี่ยนเป็นกลุ่มครอบครัวเยอะขึ้น ข้อดีคือ มาบ่อยเพราะเด็กๆ ชอบเล่นกิจกรรม ชอบสวนน้ำ
“เราอยากให้สวนน้ำเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของคน เหมือนกับไปห้างสรรพสินค้า ไม่จำเป็นต้องรอช่วงพิเศษ หรือวันหยุดยาว แต่สามารถมาได้ทุกสุดสัปดาห์”
ในวันนี้หัวหินอาจเป็นเดสติเนชั่นที่หลายคนนึกถึงเวลาอยากไปพักผ่อน หรือนึกถึงทะเล แต่ในแง่ของการรู้จักในระดับโลกอาจจะยังไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร ความฝันของพราวพุธจึงอยากให้หัวหินเป็น “เวิลด์คลาส เดสติเนชั่น” ในระดับโลกให้ได้
“เป้าหมายเราอยากให้หัวหินเป็นเวิลด์คลาสเดสติเนชั่น ตอนนี้ในแง่ของการเป็นที่รู้จักกับนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่เท่าภูเก็ต หรือสมุย แต่ตอนนี้ในระยะสั้นต้องการดึงนักท่องเที่ยวไทยมาเที่ยวก่อนมีบางกลุ่มที่ชอบหัวหินมาก ต้องมาทุกอาทิตย์ด้วยแต่ก็ต้องดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ด้วยตอนนี้มีสายการบินแอร์เอเชียเปิดเส้นทางจากเชียงใหม่ อุดรธานีบินมาหัวหิน เป็นโอกาสที่จะดึงฐานลูกค้าที่ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ มาหัวหินด้วยเช่นกัน”
ต้องบอกว่าการตลาดในยุคนี้ไม่สามารถใช้ตำราเดียว และตำราเดิมได้ไปตลอด ต้องมีการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย เพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภค การได้เห็นความร่วมมือกันครั้งใหญ่ของสวนน้ำวานา นาวาหัวหิน และเป๊ปซี่ เรียกว่าเป็นการเดินเกม Lifestyle Marketing ที่จะช่วยสร้างสีสันใหม่ๆ ให้กับเมืองหัวหินอย่างแน่นอน
ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป ลูกค้าเป๊ปซี่ในสหรัฐอเมริกาจะเริ่มเห็น ‘โฉมใหม่’ ของ ‘เป๊ปซี่’ รวมถึงสินค้าอื่น ๆ อาทิ MTN DEW (née Mountain Dew), Crush, Dr. Pepper และ Schweppes Ginger Ale ในขนาด 2 ลิตรที่ได้รับการปรับปรุงให้บางกว่าขวดเก่าถึง 25% พร้อมกับออกแบบให้ใช้งานง่ายขึ้น โดยขนาดของขวดใหม่นี้มีเส้นรอบวง 10.4 นิ้ว จากเดิมที่มีเส้นรอบวง 13.4 นิ้ว ส่งผลให้ขวดใหม่จับถนัดมือกว่า นอกจากนี้ฉลากของขวดใหม่ยังใช้วัสดุน้อยลง 24% เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ขวดใหม่เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่เป๊ปซี่จะเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้สามารถรีไซเคิลได้ 100% หรือต้องสามารถย่อยสลายได้ภายใน 5 ปีข้างหน้า
“การออกแบบใหม่นี้ช่วยให้ผู้บริโภคหยิบขวดออกจากชั้นวางและเทได้ง่ายขึ้นมาก และเราต้องผลิตให้ได้จำนวนมหาศาล เพื่อสร้างสิ่งนี้ให้เกิดในระดับปฏิบัติการ” เอมิลี่ ซิลเวอร์ รองประธานฝ่ายนวัตกรรมและความสามารถของเป๊ปซี่อเมริกาเหนือ กล่าว
ที่ผ่านมา ขวดขนาด 2 ลิตรของโค้กที่มีการออกแบบรูปทรงคล้ายกันมานานกว่า 10 ปี แต่มีรายงานว่ายอดขายเพิ่มขึ้นหลังจากมีการปรับเปลี่ยนโฉมสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยรายงานของ NPR ได้เปิดเผยว่าผู้ซื้อ ในการศึกษาขนาดเล็กมักจะหันไปสนใจการออกแบบขวดที่ง่ายต่อการหยิบ
เบื้องต้น เป๊ปซี่ 2 ลิตรโฉมใหม่กำลังจะเปิดตัวใน Chicago, Minneapolis-St. Paul and Wisconsin และจะเปิดตัวให้ทั่วอเมริกาในอนาคตอันใกล้ แต่สำหรับการขายในระดับโลกนั้นยังไม่มีการเปิดเผยว่าจะวางขายเมื่อไหร่
]]>“Driftwell” เป็นเครื่องดื่มตัวใหม่ของเป๊ปซี่ จะเริ่มวางจำหน่ายทั่วสหรัฐฯ ผ่านช่องทางออนไลน์ในเดือนธันวาคมนี้ พร้อมจะวางขายในร้านค้าปลีก ภายในไตรมาสแรกของปี 2021
โดยมีการชูจุดเด่นว่า หากดื่มเเล้วจะช่วยให้ผ่อนคลายเเละนอนหลับได้ง่ายขึ้น ด้วยการผสม “แอล–ธีอะนีน” (L-theanine) กรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ ให้การยอมรับ ซึ่งพบได้ในชาเขียว ชาดำ และเห็ดบางชนิด
ที่มาของเครื่องดื่ม Driftwell นี้ เกิดจากโครงการการแข่งขันเสนอไอเดียภายในบริษัทของเป๊ปซี่ เพื่อนำไปต่อยอดผลิตเป็นสินค้าที่จำหน่ายในตลาดได้จริง โดย Emily Silver ผู้บริหารดูแลฝ่ายนวัตกรรม บอกว่า Driftwell เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากไอเดียของพนักงานที่ทำออกมาวางขายจริงได้เร็วที่สุดของบริษัท
โดย Driftwell จะถูกจัดอยู่ในประเภท Functional Water หรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ บรรจุในกระป๋องขนาด 7.5 ออนซ์ เหมาะที่จะดื่มในช่วงค่ำๆ ก่อนถึงเวลาเข้านอนโดยไม่ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำในตอนกลางคืน มาพร้อมกลิ่นของ “แบล็กเบอร์รีและลาเวนเดอร์” มีส่วนผสมของแอล–ธีอะนีนถึง 200 มิลลิกรัม ซึ่งมีงานวิจัยสนับสนุนว่า สารดังกล่าวมีส่วนช่วยลดความเครียดในสมอง ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดความกังวลและปรับอารมณ์ก่อนนอนได้
สำหรับตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพในอเมริกา ในปี 2019 มีมูลค่ากว่า 2.97 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9.27 หมื่นล้านบาท) ตามรายงานของ Euromonitor เเละคาดว่าในปีนี้จะมียอดขายเติบโตได้เกือบ 5% จากความนิยมในเครื่องดื่มที่ช่วยผ่อนคลายที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดหนักในสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ กระทบเศรษฐกิจเเละไม่มีความเเน่นอน ทำให้ชาวอเมริกันเกิดความเครียดมากขึ้นนั่นเอง
ขณะเดียวกัน ตลาดเครื่องดื่มลูกผสมเเบบ “ไฮบริด” ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกันในยุคนี้ จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการเครื่องดื่มที่สดชื่น แต่ต้องเป็นมิตรต่อสุขภาพ กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่มีโอกาสทางการตลาดสูงโดยคู่เเข่งอย่าง “โคคา–โคล่า” ก็เตรียมวางจำหน่าย Coca-Cola With Coffee หรือโค้กผสมกาแฟ เพื่อเจาะตลาดอเมริกา ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2021
…ต้องรอลุ้นว่าจะเข้าไทยหรือไม่
]]>
ช่องทางร้านอาหารล้วนเป็นช่องทางสำคัญสำหรับตลดาเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเครื่องดื่มน้ำอัดลม ซึ่งตลาดนี้จะเน้นที่แพ็กเกจจิ้ง “ขวดแก้ว” เป็นหลัก เพราะมีต้นทุนราคาถูก และมีการซื้อขายกับบริษัทโดยตรง แถมบางคนยังบอกว่าน้ำอัดลมในขวดแก้วรสชาติอร่อยกว่าขวด PET อีกด้วย
แต่หลังจากที่ “เป๊ปซี่” ได้แยกทางกับ “เสริมสุข” ทางบริษัทแม่ของเป๊ปซี่ได้เข้ามาทำตลาดเองในไทย ทำให้เป๊ปซี่ไม่มีโรงงานผลิตขวดแก้ว ส่งผลให้เป๊ปซี่มีแต่แพ็กเกจจิ้งขวดพลาสติก PET ทำให้การทำตลาดในช่องทางร้านอาหารค่อนข้างจำกัด
ล่าสุดเป๊ปซี่ได้ประกาศเป็นพันธมิตรกับ “ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว” ผู้ผลิตเส้นบะหมี่ และเจ้าของแฟรนไชส์สตรีทฟู้ดชายสี่บะหมี่เกี๊ยวกว่า 4,500 สาขาทั่วประเทศ นำเครื่องดื่มเป๊ปซี่ขนาด 300 มล. ราคา 10 บาท ไปวางจำหน่ายถึงรถเข็นที่เป็นสาขาของชายสี่บะหมี่เกี๊ยวทุกสาขา รวมถึงสื่อส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย และป้ายไฟของเป๊ปซี่
โอเมอร์ มาลิค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า
“ความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป๊ปซี่นั้นเป็นเครื่องดื่มสำหรับทุกคน สามารถรับประทานร่วมกับอาหารได้หลากหลายประเภท รวมถึงสตรีทฟู้ดอย่างบะหมี่เกี๊ยวที่เป็นที่ชื่นชอบของคนไทย โดยเฉพาะชายสี่บะหมี่เกี๊ยวซึ่งเป็นแบรนด์สตรีทฟู้ดที่ครองใจชาวไทยมานาน”
อีกหนึ่งความสำคัญของการจับมือกันครั้งนี้คือ การที่เป๊ปซี่ได้ขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ทั้งคนเมือง และต่างจังหวัด ไม่ต้องหาซื้อเป๊ปซี่ที่ร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ แต่หาดื่มได้ตามร้านอาหารของชายสี่บะหมี่เกี๊ยว
ปัจจุบันชายสี่บะหมี่เกี๊ยวมีสาขาราว 4,500 สาขา มีศูนย์กระจายสินค้าทั้งหมด 7 แห่ง ครอบคลุมไปตามจุดต่างๆ เพื่อจัดส่งเส้นบะหมี่สดใหม่ให้แก่แฟรนไชส์ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ มีระบบโลจิสติกส์ขนส่งทางรถกว่า 100 คัน เท่ากับเครื่องดื่มเป๊ปซี่จะถูกขนส่งไปกับรถของชายสี่บะหมี่เกี๊ยวด้วย
โดยวิ่งไปตามเส้นทางที่ครอบคลุมรถเข็นชายสี่บะหมี่เกี๊ยวทั่วประเทศ ถือเป็นกลยุทธ์ที่สร้างความแข็งแกร่งให้ทั้งสองแบรนด์ เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน และที่สำคัญสร้างโอกาสทางธุรกิจที่มากขึ้น
]]>เพื่อขยายตลาดให้กว้างขึ้นเเละสร้างความแปลกใหม่ บรรดายักษ์ใหญ่วงการน้ำอัดลม จึงหันมาเอาดีด้านการพัฒนารสชาติเดิมผสมไปกับเครื่องดื่มอื่น เพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์
ล่าสุด “โคคา–โคล่า” เตรียมวางจำหน่าย Coca-Cola With Coffee หรือโค้กผสมกาแฟ เจาะตลาดอเมริกา ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2021 โดยใช้กาแฟบราซิล 100% พร้อมเปิดตัว 3 รสชาติใหม่ ได้เเก่ Dark Blend, Vanilla และ Caramel ในแพ็กเกจจิ้งกระป๋องขนาด 12 ออนซ์ โดยมีกาเฟอีนอยู่ที่ 69 มิลลิกรัมต่อกระป๋อง ขณะที่โค้กปกติขนาด 12 ออนซ์จะมีกาเฟอีน 34 มิลลิกรัมต่อกระป๋อง และ Diet Coke มีกาเฟอีน 46 มิลลิกรัมต่อกระป๋อง
ก่อนหน้านี้ บริษัทเริ่มชิมลางตลาดเครื่องดื่มไฮบริดในสหรัฐฯ ด้วยการเปิดตัว Coke Energy Cherry, Cherry Vanilla Coke, Orange Vanilla Coke มาเเล้ว
“น้ำอัดลมผสมกับน้ำผลไม้ปั่น หรือน้ำอัดลมผสมกับชา ก็เป็นอีกตัวอย่างของแนวโน้มต่อไปในเทรนด์นี้” โคคา–โคล่าระบุ
การเปิดศึกในตลาดเครื่องดื่มกาเเฟของเจ้าใหญ่น้ำดำ ช่วงที่ผ่านมานี้ สอดคล้องกับอัตราการบริโภคโซดาในสหรัฐฯ ที่ลดลงทุกปี สวนทางกับกลุ่มกาแฟที่เติบโตต่อเนื่อง ดังนั้นการเข้าไปเเข่งในตลาดนี้ จึงจะทำให้ได้กลุ่มลูกค้าทั้งคนที่ชอบน้ำอัดลมเเละชอบกาเเฟ รวมถึงคนรุ่นใหม่ก็หันมาดื่มกาเเฟตั้งเเต่อายุยังน้อยมากขึ้นด้วย
คู่เเข่งสำคัญอย่าง “เป๊ปซี่” จึงไม่ปล่อยให้โคคา–โคล่า เจาะตลาดนี้เเต่เพียงผู้เดียว เดินเกมเปิดตัว Pepsi Café โคล่ารสกาแฟอาราบิก้า ที่ให้กาเฟอีนมากกว่าเป๊ปซี่ขนาดปกติถึงสองเท่า มีให้เลือก 2 รสชาติ คือ Original และ Vanilla วางขายในสหรัฐฯ ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
โคคา–โคล่า พยายามเจาะตลาด Coffee-Cola Drinks ครั้งเเรกตั้งเเต่ปี 2006 เเต่เป็นช่วงสั้นๆ เเค่ 2 ปีก็เลิกไป ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในปี 2017 กับ Coca-Cola Plus Coffee เเต่นำไปลองตลาดในออสเตรเลีย เเละอีก 1 ปีต่อมาก็นำไปทดลองขายในตลาดเอเชีย หลังเปลี่ยนสูตรใหม่
ในปี 2018 ผลิตภัณฑ์โค้กผสมกาแฟ ทดลองตลาดครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น เเละได้รับเสียงตอบรับที่ดี ปัจจุบันหาซื้อได้ใน 30 ประเทศเเล้ว โดยจะหลักๆ ของเเต่ละประเทศจะไม่เเตกต่างกันมาก เเต่จะมีการปรับสูตรกาเเฟและแพ็กเกจจิ้งให้เข้ากับรสนิยมของคนในประเทศนั้นๆ
Javier Meza ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของโคคา–โคล่า กล่าวว่า การเเพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ต้องมีการระมัดระวังในการออกสินค้าใหม่มากขึ้น เเต่ก็เป็นตัวเร่งให้มีการตรวจสอบเเละพัฒนาสินค้า ดังนั้นจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่บริษัทจะเปิดตัว “โค้กผสมกาเเฟ” รสชาติใหม่ในตลาดอเมริกา หลังจากที่ได้เรียนรู้ในตลาด
ประเทศอื่นๆ ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
“Coca-Cola With Coffee เป็นผลลัพธ์ของกลยุทธ์ Lift and Shift ของบริษัทในการต่อยอดนวัตกรรมเครื่องดื่มที่ประสบความสำเร็จ จากตลาดหนึ่งไปสู่อีกตลาดหนึ่ง ผ่านการทดลอง ทดสอบ และเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ เมื่อความชอบและไลฟ์สไตล์ของผู้คนกำลังเปลี่ยนไป ดังนั้นเราจึงต้องพัฒนา Product Portfolio ของเราให้ตอบสนองความต้องการเหล่านั้น”
]]>
ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มรวมในช่วงครึ่งปีแรก ติดลบ 7% หนักที่สุดในช่วงไตรมาส 2 (ตั้งเเต่เดือนมี.ค.) เนื่องจากช่องทางการจัดจำหน่ายที่สำคัญอย่าง ร้านอาหาร ภัตราคาร ธุรกิจฟาสต์ฟู้ด มีสัดส่วนเป็น 18-20% ของช่องทางจำหน่ายทั้งหมดต้องหยุดให้บริการในช่วงล็อกดาวน์ขณะเดียวกันผู้คนก็ออกจากบ้านน้อยลงเเละหลีกเลี่ยงการสังสรรค์
ในปัจจุบัน “ตลาดเครื่องดื่มรวม” (Liquid Refreshing Beverage : LRB) ของประเทศไทย ในปี 2562 มีมูลค่าประมาณ 1.55 เเสนล้านบาท เเบ่งสัดส่วนตลาดเป็น
สมชัย เกตุชัยโกศล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายของตลาดเครื่องดื่ม เมื่อเทียบกับในสถานการณ์ปกติที่ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโต 9% โดยคาดว่าเครื่องดื่มทุกประเภทจะติดลบเหมือนกันหมดในปีนี้
โดยสถานการณ์ COVID-19 ทำให้การเติบโตในช่วงครึ่งปีเเรก 2563 ของตลาดเครื่องดื่มโดยรวมติดลบ 7% ตลาดน้ำอัดลม ติดลบ 2.5% ตลาดน้ำดื่มบรรจุขวด ติดลบ 12% ตลาดกาแฟพร้อมดื่ม ติดลบ 7% ตลาดชาพร้อมดื่ม ติดลบ 13% ตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง ติดลบ 6% เเละสปอร์ตดริ้งก์ ติดลบ 13%
เมื่อเจาะลึกไปยังกลุ่ม “น้ำอัดลม” พบว่ามีมูลค่าตลาดในปี 2019 อยู่ที่ 5.6 หมื่นล้านบาท (ปี 2018 อยู่ที่ราว 50.9 หมื่นล้านบาท) มีการเเข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะ 3 เจ้าใหญ่อย่างโค้ก เป๊ปซี่ เเละเอส
ขณะที่ส่วนแบ่งของตลาดน้ำอัดลมไทยแยกตามประเภท ได้แก่ น้ำอัดลมสีดำ 71% น้ำอัดลมสี 23% และน้ำอัดลมไม่มีสี 6%
เป็นที่น่าสนใจว่า “ตลาดน้ำอัดลมสี” เติบโตขึ้น 10% ในช่วงที่ผ่านมา หลังเป๊ปซี่ปรับโฉม “มิรินด้า” ตีตลาดคนรุ่นใหม่ ด้วยการออก “มิรินด้ากลิ่นกรีนครีม” ออกมาในช่วงต้นปีนี้ มียอดขายเติบโตกว่า 15%
นี่จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ “เป๊ปซี่” หันมารุกตลาดน้ำสีอย่างหนักในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ตอบรับเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น
“ที่ผ่านมาเราทุ่มให้กับตลาดน้ำดำมาโดยตลอด ถึงตอนนี้เเบรนด์เเข็งแกร่งเเล้ว จึงถึงเวลาที่จะมาบุกตลาดน้ำสีอย่างเต็มที่” ผู้บริหารซันโทรี่ เป๊ปซี่โคกล่าว
ล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของมิรินด้า ประเดิมครึ่งปีหลัง ด้วยกลิ่นมิกซ์เบอร์รี่และแตงโม ชูจุดเด่นเป็นเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่ผสาน 2 กลิ่นผลไม้ในขวดเดียว โดยรสชาติใหม่จะมีช่วงระยะห่างกันประมาณ 6-8 เดือนจนกว่าจะมีรสชาติที่ใหม่กว่าออกมาจำหน่าย
โดยการปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ของ “มิรินด้า” ในปีนี้ วางงบการตลาดไว้ที่ 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว จากเมื่อปีที่ผ่านมาใช้ราว 100 ล้านบาท เพื่อชิงขึ้นเป็น “เบอร์ 2” ในตลาดน้ำสี เเทนที่เอส ซึ่งขณะนี้มีส่วนแบ่งในตลาดห่างกันเเค่ 2.5%
“ในงบการตลาด 200 ล้านบาทนี้ จะใช้ในสื่อดิจิทัลถึง 60% เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่ Gen Z อย่างทั่วถึง”
อย่างไรก็ตาม การที่มิรินด้าเปิดตัวในไทยมานานตั้งเเต่ปี 2520 หรือกว่า 43 ปีที่เเล้ว เเละเริ่มมีการปรับโฉมในปี 2560 การที่จะเปลี่ยนเเบบทันทีทันใด…ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
“เราต้องทำเเบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นเรื่องของงบประมาณด้วย เพราะถ้าเปลี่ยนครั้งเดียวต้องใช้เงินเยอะ เเต่ถ้าค่อยๆ เปลี่ยนใช้งบน้อยกว่า เเละคนจดจำได้มากกว่า”
การที่จะครองใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z ที่มีอายุตั้งเเต่ 15-24 ปี เเละชื่นชอบการดื่มน้ำอัดลม “มากกว่าวัยอื่นๆ” มิรินด้าก็ต้องปรับตัวให้ “เด็กลง” ไปด้วย โดยจะชูมีลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ที่สนุก สดใสมากยิ่งขึ้น
เพื่อให้เข้ากับจุดเด่นของ Gen Z ที่ชอบความหลากหลาย เปิดรับความแปลกใหม่ท้าทาย ไม่จำเจและสนุกกับการใช้ชีวิต รวมถึงการเเสดงตัวตนในโลกดิจิทัล
จากข้อมูลของ GroupM ระบุว่า ในปี 2019 วัยรุ่นไทยใช้สมาร์ทโฟนเพื่อเเชทถึง 87.7% ตามมาด้วยการอัพโหลดเเละเเชร์รูปภาพ 80.7% ดูทีวีเเละวิดีโอ 69.3% เสิร์ชหาข้อมูล 65.4% เเละเล่นเกม 64.8%
“มีการใช้โซเชียลมีเดียเฉลี่ย 3 ชั่วโมงต่อวัน เเละใช้เวลาดูวิดีโอราว 2 ชั่วโมงต่อวัน”
ดังนั้นแคมเปญการตลาดของมิรินด้าในปีนี้ จึงมาด้วยคอนเซ็ปต์ “Mirinda Mix Up Your World มิรินด้าสนุกทุกสี ซ่าไม่มีซ้ำ” ที่เจาะลึกถึงไลฟ์สไตล์และความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะ TikTok ที่มิรินด้าจับมือเป็นพันธมิตร
เมื่อจะจับตลาดวัยรุ่น ก็ต้องใช้พรีเซ็นเตอร์วัยรุ่น โดยเมื่อปี 2017 มิรินด้าเปิดตัวไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปวง BNK48 เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ครั้งแรกของ “มิรินด้า มิกซ์-อิท” ส่วนในปีนี้จะมีการใช้พรีเซ็นเตอร์อีกหรือไม่นั้น ผู้บริหารซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ตอบว่า “ปีนี้สถานการณ์เพราะยังไม่เเน่นอน เเต่ถ้าในอนาคตมิรินด้าจะมีพรีเซ็นเตอร์อีกครั้ง ก็จะยังคงมองหาในวงการเพลง”
ขณะที่การเป็นสปอนเซอร์ให้กับคอนเสิร์ตเเละเทศกาลดนตรีต่างๆ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ทางเป๊ปซี่บอกว่า “ต้องระงับไว้ก่อน” เเละจะกลับมาอีกครั้งเมื่อทำได้
การกลับมารุกหนักใน “ตลาดน้ำสี” ของมิรินด้าครั้งนี้ น่าจะกระตุ้นการเเข่งขันในตลาดเครื่องดื่มได้ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง “ครึ่งปีหลัง” ที่หลายเเบรนด์เริ่มกลับมาทุ่มงบการตลาดอีกครั้ง ขณะเดียวกันการที่จะครองใจชาว Gen Z ดูเหมือนจะเข้าถึงง่าย เเต่ก็ “ไม่ง่าย” นัก เมื่อการทดลองสิ่งใหม่อยู่เสมอคือจุดเด่นของคนวัยนี้ เเละคู่เเข่งอย่าง “เอส” คงไม่ยอมปล่อยตำเเหน่งเบอร์ 2 ง่ายๆ ต้องรอดูว่าจะมีกลยุทธ์อะไรมางัดข้อกันบ้าง
]]>