โค้ก – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 18 Oct 2023 11:29:15 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “โค้ก” เปลี่ยนมาใช้ “พลาสติกรีไซเคิล” (rPET) ผลิตขวด ประเดิมในกลุ่ม “1 ลิตร” วางจำหน่ายทั่วไทย https://positioningmag.com/1448518 Wed, 18 Oct 2023 09:11:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1448518 ตั้งแต่วันนี้ “โค้ก” ขวดพลาสติกขนาด 1 ลิตร จะเปลี่ยนมาใช้ขวด “rPET” หรือขวดที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล 100% ทั้งหมด (*ใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลเฉพาะส่วนตัวขวด ไม่รวมฝาและฉลาก) วางจำหน่ายทั่วประเทศ

“ศรุต วิทยารุ่งเรืองศรี” ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ การสื่อสาร และความยั่งยืน บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศ ‘ก้าวแรก’ ของโคคา-โคล่าในไทยที่เปลี่ยนมาใช้ขวดทำจากพลาสติกรีไซเคิล หรือ rPET ในบางไลน์ผลิตภัณฑ์

โดยก้าวแรกนี้จะเปลี่ยนมาใช้ขวด rPET ในไลน์ผลิตภัณฑ์ “โค้ก” รสออริจินอลและรสไม่มีน้ำตาล เฉพาะสินค้าขนาด “1 ลิตร” ก่อน แต่เป็นการเปลี่ยนทั้งไลน์การผลิตของขวด 1 ลิตร และส่งไปจำหน่ายทั่วประเทศ

rPET โค้ก
“โค้ก” ขวด 1 ลิตร ที่เปลี่ยนมาใช้ขวดผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล

ศรุตขอสงวนข้อมูลด้านจำนวนการจำหน่ายโค้กขวด 1 ลิตรในแต่ละปี และบอกกว้างๆ ว่าเหตุที่เลือกเริ่มต้นใช้ rPET ในกลุ่ม 1 ลิตรก่อน มาจากการพิจารณา ‘หลายด้าน’ ประกอบกัน

อย่างไรก็ตาม เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าขวด 1 ลิตรไม่ใช่ขนาดสินค้าที่ขายดีที่สุดของโค้ก การเลือกผลิตในกลุ่มนี้ก่อนจึงเป็นเหมือนการทดลองตลาดของโคคา-โคล่า เพราะต้องยอมรับว่าสังคมไทยยังมีหลายคนไม่มั่นใจในขวดที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิลแบบผ่านการใช้งาน (post-consumer) มาแล้ว ด้วยความกังวลว่าขวดอาจไม่สะอาด ทำให้โคคา-โคล่าอาจจะต้องการเปลี่ยนในไลน์สินค้าที่มีจำนวนน้อยกว่าก่อน

สำหรับการเปลี่ยนมาใช้งานขวด rPET ของโคคา-โคล่า ภาพรวมทั่วโลกมีการใช้งานจริงไปแล้วถึง 40 ประเทศ ส่วนในอาเซียนนั้นไทยถือเป็นประเทศที่ 4 ต่อจากอินโดนีเซีย เวียดนาม และเมียนมา ที่มีการใช้งานขวดจากพลาสติกรีไซเคิล

การเปลี่ยนมาใช้ขวดจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลนั้นดีต่อโลกมากกว่าเพราะได้นำพลาสติกเก่ากลับมาใช้ใหม่ แต่ด้านต้นทุนนั้นยังสูงอยู่ โดยทีมงานโคคา-โคล่าแจ้งเป็นภาพกว้างๆ ว่า ต้นทุนการผลิตขวดด้วยเม็ดพลาสติกรีไซเคิลนั้นแพงกว่าพลาสติกใหม่ (Virgin Plastic) อย่างน้อย 10%

แต่ในอนาคต หากมีการใช้งานเม็ดพลาสติกรีไซเคิลกันสูงขึ้น มีโรงงานผลิตได้จำนวนมากขึ้น โอกาสที่ต้นทุนจะลดลงมาเท่ากับเม็ดพลาสติกใหม่ก็เป็นไปได้ เพราะเป็นไปตามหลักดีมานด์-ซัพพลาย

 

“โค้ก” ผนึกพันธมิตร “เอ็นวิคโค”

ด้านซัพพลายการผลิตขวด rPET ของโคคา-โคล่า มาจากโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลรายแรกของไทยอย่าง บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด (*บริษัทในกลุ่ม PTTGC)

“ณัฐนันท์ ศิริรักษ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด ชี้แจงถึงวิธีการแปรรูปขวด PET ที่ผ่านการใช้งานแล้วมาเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลว่า เริ่มจากการรับขวดพลาสติกที่ทำความสะอาดแล้วมาตัดเป็นเกล็ด แล้วผ่านกระบวนการแปลงกลับเป็นเม็ดพลาสติกโดยใช้ความร้อนสูงถึง 200 องศาเซลเซียส จากนั้นเอ็นวิคโคจึงส่งเม็ดพลาสติกรีไซเคิลให้ลูกค้าไปขึ้นรูปเป็นขวดอีกครั้ง

ณัฐนันท์กล่าวว่า ด้วยความร้อนที่สูงขนาดนี้ตั้งแต่ขั้นตอนการแปลงกลับเป็นเม็ดพลาสติก ทำให้เชื้อโรคและสิ่งเจือปนต่างๆ ถูกกำจัดออกหมด ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ถึงความสะอาด

“ศรุต วิทยารุ่งเรืองศรี” ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ การสื่อสาร และความยั่งยืน บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด และ “ณัฐนันท์ ศิริรักษ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด

ทั้งนี้ ณัฐนันท์ระบุว่า ปัจจุบันโรงงานเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในประเทศไทยมีเพียง 3 แห่งเท่านั้น โดยเอ็นวิคโคเป็นรายใหญ่ที่สุด มีกำลังการผลิต 30,000 ตันต่อปี ขณะนี้เดินเครื่องที่อัตรา 70-80% ของกำลังการผลิตสูงสุด มีลูกค้าสั่งเม็ดพลาสติกรีไซเคิลแบ่งเป็นในประเทศ 50% และต่างประเทศ 50%

 

โจทย์ใหญ่: ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจ “rPET”

ในตลาดเครื่องดื่มปัจจุบัน การที่ขวด rPET จะประสบความสำเร็จได้ ทางโคคา-โคล่ามองว่าการทำความเข้าใจเรื่องกระบวนการผลิตขวด rPET ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะปัจจุบันผู้บริโภคทั่วไปมักจะเข้าใจว่า การนำขวดพลาสติกใช้แล้วกลับมารีไซเคิลหมายถึงการนำขวดเดิมมาล้างทำความสะอาดแล้วเติมเครื่องดื่มเข้าไปใหม่ทันที ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดจากความจริงอย่างมาก

โคคา-โคล่าจึงต้องมีแคมเปญสร้างความเข้าใจถึงขวด rPET และรณรงค์เรื่องการรีไซเคิล ดึงซัพพลายขวด PET ใช้แล้วจากผู้บริโภคกลับมาเข้ามาในวงจรรีไซเคิล

โค้ก rPET
“ขวดโค้กยักษ์” ในอีเวนต์ชั้น G ดิเอ็มควอเทียร์

โดยบริษัทมีการจับมือกับ “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” เปิดแคมเปญ “โค้ก คิดเพื่อโลก” จัดอีเวนต์วาง “ขวดโค้กยักษ์” ที่ชั้น G ดิเอ็มควอเทียร์ จัดนิทรรศการสร้างความเข้าใจเรื่องการผลิตขวด rPET พร้อมกับวางจุดรับคืนขวด PET แบบไม่จำกัดแบรนด์เพื่อนำมารีไซเคิล ผู้ร่วมคืนขวดจะได้ลุ้นรับสิทธิเป็นผู้โชคดี 30 คนที่ได้กระทบไหล่ “พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร” ในมินิคอนเสิร์ต (*จะมีแคมเปญเดียวกันนี้อีกแห่งหนึ่งที่ “สยามเซ็นเตอร์” ด้วย)

รวมถึงโคคา-โคล่ายังมีแคมเปญกับ “Trash Lucky” สตาร์ทอัปด้านสิ่งแวดล้อมมาก่อนหน้านี้ด้วย ภายใต้แคมเปญ “โค้กชวนแยก แลกลุ้นโชค” ซึ่งทาง Trash Lucky มีการวางจุดรับขวด PET ตามห้างฯ และปั๊มน้ำมัน 64 จุดทั่ว กทม. และ 5 จุดในจ.ภูเก็ต ผู้ที่สนใจสามารถหย่อนขวด PET ใช้แล้วได้ทุกแบรนด์ และรับโค้ดไปลุ้นของรางวัลมูลค่ารวมกว่า 2 ล้านบาท รางวัลใหญ่ที่สุดแจกรถยนต์ไฟฟ้า Neta V แคมเปญเปิดตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2566

นิทรรศการสร้างความเข้าใจด้านกระบวนการผลิตขวด rPET

ด้านการขยายไปใช้ rPET ในไลน์สินค้าชนิดอื่น “ศรุต” กล่าวว่า ยังไม่สามารถเปิดเผยแผนได้อย่างชัดเจนและขอรอดูผลตอบรับจากลูกค้าก่อน แต่จะต้องมีการผลักดันอย่างแน่นอนเพราะเป็นนโยบายจากบริษัทแม่ โดยโคคา-โคล่าระดับโลกมีเป้าที่จะเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้ทำมาจากวัสดุรีไซเคิลให้ได้ 50% ของสินค้าทั้งหมด ภายในปี ค.ศ.2030

สำหรับการใช้งานขวด rPET ในไทย “โค้ก” ไม่ใช่รายแรก เพราะปี 2566 นี้มีหลายแบรนด์ที่ประกาศการใช้งานออกมาก่อนแล้ว เช่น  “เป๊ปซี่” ที่เริ่มใช้ในไลน์ผลิตภัณฑ์เป๊ปซี่สูตรปกติและสูตรไม่มีน้ำตาลขนาด 550 มล. และ “มิเนเร่” น้ำแร่จากเครือเนสท์เล่ ที่เริ่มใช้ในไลน์ขวดขนาด 750 มล.

]]>
1448518
“Coca-Cola” ทดลองใช้ “AI” สร้างสรรค์ “น้ำอัดลม” รสชาติใหม่ “Y3000” จากโลกอนาคต https://positioningmag.com/1444365 Fri, 15 Sep 2023 01:42:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444365 ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กำลังถูกนำไปใช้ในทุกๆ ด้าน ล่าสุด “Coca-Cola” สร้างแคมเปญทดลองใช้ AI พัฒนารสชาติ “น้ำอัดลม” จาก “โลกอนาคต” ออกมาเป็นรสชาติใหม่ “Y3000” ซึ่งหมายถึงน้ำอัดลมที่มาจากปี ค.ศ.3000

วิธีการพัฒนา Y3000 เริ่มต้นจากนักวิจัยที่ Coca-Cola เป็นผู้หาข้อมูลเกี่ยวกับรสชาติที่ผู้บริโภคชื่นชอบ และเทรนด์ของรสชาติในอนาคตที่ผู้บริโภคจินตนาการไว้

จากนั้นนักวิจัยจึงป้อนข้อมูลทั้งหมดให้ AI นำไปประมวลจับคู่รสชาติที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาเป็นรสชาติแห่งอนาคต

Coca-Cola ไม่ได้อธิบายว่ารสชาติ Y3000 เป็นแบบไหน หรือใกล้เคียงกับรสชาติใดที่มีอยู่แล้วหรือไม่ แต่จะให้ผู้บริโภคได้ลิ้มรสเองว่ารสชาติอนาคตเป็นอย่างไร โดยมี 2 ชนิดให้เลือก คือ ใส่น้ำตาลปกติ กับ ไม่มีน้ำตาล

AI ยังออกแบบลักษณะกระป๋องน้ำอัดลมแห่งอนาคตด้วย โดยเป็นกระป๋องแบบสลิม แปะโลโก้ Coca-Cola ที่แตกเป็นพิกเซล พื้นหลังเป็นสีเงินสะอาดตา ระบายด้วยสีผสมของสีฟ้า ม่วง และชมพู

“จากแรงบันดาลใจของแบรนด์เหนือกาลเวลาอย่าง Coca-Cola เราต้องการจะเฉลิมฉลองไอเดียจินตนาการของทุกคนว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร” Oana Vlad ผู้อำนวยการอาวุโสด้านกลยุทธ์สากลของ Coca-Cola กล่าวถึงรสชาติ Y3000 “ด้วยเทคโนโลยี AI ทำให้เราสามารถจินตนาการถึงรสชาติในอนาคตของ Coca-Cola ได้ และได้สร้างประสบการณ์สัมผัสนวัตกรรมเพื่อสำรวจอนาคตไปด้วยกัน”

แคมเปญ Y3000 ยังไม่จบเท่านี้ ช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ รสชาติแห่งอนาคตของ Coca-Cola จะคอลแลปกับแบรนด์เสื้อผ้าสตรีทแวร์อย่าง “Ambush” เพื่อออกคอลเล็กชันพิเศษด้วย

เท่าที่ประกาศออกมาขณะนี้ Coca-Cola Y3000 มีจำหน่ายแล้วในสหรัฐฯ แคนาดา และออสเตรเลีย โดยจำหน่ายในราคาเท่ากับโค้กปกติ และขายในจำนวนจำกัด

ที่มา: CNBC

#CocaCola #Coke #AI #ปัญญาประดิษฐ์ #น้ำอัดลม #Positioningmag

]]>
1444365
ส่องตลาด “น้ำอัดลม” ประเทศไทย ปี 2565 https://positioningmag.com/1424257 Tue, 21 Mar 2023 07:53:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1424257 มูลค่าตลาด 3 ปีย้อนหลัง

2563 – 55,000 ล้านบาท
2564 – 53,000 ล้านบาท
2565 – 57,000 ล้านบาท

ส่วนแบ่งตลาด แยกรายบริษัท
  • 51% บจก.โคคา-โคล่า (ประเทศไทย)– โค้ก, แฟนต้า, สไปรท์
  • 37% บจก.เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย)– เป๊ปซี่, มิรินด้า, เซเว่นอัพ
  • 8% บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ– เอส (est)
  • 3% บจก.อาเจ กรุ๊ป– บิ๊ก โคล่า
  • 1% อื่นๆ
“น้ำอัดลม” ประเภทไหนขายดี?
  • น้ำดำ 70% , น้ำสี 30%
  • เติมน้ำตาลปกติ 90% , ไม่ใส่น้ำตาล (no sugar) 10%
  • ขวด PET 78%, ขวดแก้ว 12%, กระป๋อง 10%

รู้หรือไม่? คนไทยดื่มน้ำอัดลมเฉลี่ยคนละ 1 ลิตรต่อเดือน โดยกลุ่มคน Gen Z (ปัจจุบันอายุ 12-26 ปี) เป็นช่วงวัยที่ดื่มน้ำอัดลมมากที่สุด

ที่มา: บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ผู้ผลิตเอส โคล่า โดยอ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก นีลเส็น

]]>
1424257
Coca-Cola ปรับใช้ ‘ขวดเเก้วรีฟิล’ รับมือเงินเฟ้อ เริ่มในตลาดละตินอเมริกา-แอฟริกา https://positioningmag.com/1382975 Tue, 26 Apr 2022 09:51:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382975 Coca-Cola ผู้ผลิตน้ำอัดลมรายใหญ่ของโลก มองว่าความต้องการของผู้บริโภคอาจชะลอตัวลง จากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงและยังไม่มีสัญญาณว่าจะดีขึ้น พร้อมมุ่งเน้นไปที่ขวดแก้วรีฟิล’ ที่ใช้ซ้ำได้เเละราคาไม่แพง ท่ามกลางตลาดที่มีการปรับขึ้นของราคาสินค้าครั้งใหญ่

ความต้องการน้ำอัดลมและอาหารบรรจุหีบห่ออื่นๆ ยังคงแข็งแกร่ง แม้จะมีการปรับราคาสูงขึ้น จากการเเบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ตั้งแต่กระป๋องอะลูมิเนียม น้ำตาล แรงงาน และการขนส่ง

James Quincey ซีอีโอของ Coca-Cola ระบุว่า ความยืดหยุ่นของดีมานด์จะไม่คงอยู่ตลอดไปเเต่อาจจะเพิ่มขึ้นบางช่วงเวลาในอนาคตซึ่งอาจจะเป็นไตรมาสหน้าหรือปีหน้า

ทั้งนี้ P&G บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ เปิดเผยเมื่อต้นเดือนนี้ว่าความต้องการของผลิตภัณฑ์ดูแลผู้หญิงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านในสหรัฐฯ มีเเนวโน้มจะอ่อนตัวลง เนื่องจากราคาช่วงฤดูร้อนได้ปรับเพิ่มขึ้น

เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกำลังซื้อของผู้บริโภคที่คาดว่าจะลดลง ทาง Coca-Cola กำลังขยายการจัดจำหน่ายขวดแก้วที่ส่งคืนหรือรีฟิลได้ที่ราคาถูกกว่า ในตลาดเกิดใหม่อย่างละตินอเมริกาและแอฟริกา โดยกำลังทดลองใช้ขวดที่ส่งคืนได้ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ

ตามข้อมูลของ Refinitiv พบว่า รายรับสุทธิของ Coca-Cola เพิ่มขึ้น 16% เป็น 1.05 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปีนี้ หลังการที่บริษัทประกาศระงับการดำเนินงานในรัสเซีย คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรประจำปี ราว 4 เซนต์ต่อหุ้นและรายรับสุทธิประจำปีประมาณ 1-2%

 

ที่มา : Reuters 

]]>
1382975
‘Coca-Cola’ ทุ่มเงิน 5.6 พันล้านเหรียญฮุบ ‘BodyArmor’ sports drink ชื่อดังอเมริกา https://positioningmag.com/1359447 Mon, 01 Nov 2021 06:35:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1359447 สำหรับประเทศไทย ชื่อของ ‘BodyArmor’ อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่ในสหรัฐอเมริกาถือเป็นบริษัท sports drink ที่มีชื่อเสียง โดยมี Kobe Bryant อดีตนักบาสเกตบอลชื่อดังผู้ล่วงลับเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 3 ขณะที่ Coca-Cola (โคคา-โคลา) ก็เตรียมทุ่มเงินอีก 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐซื้อหุ้นอีก 70% ที่เหลือ

ย้อนไปปี 2018 Coca-Cola เจ้าพ่อน้ำอัดลมได้เข้าถือหุ้น 30% ใน BodyArmor และในปีนี้กำลังเตรียมที่จะซื้อหุ้น 70% ที่เหลือจากผู้ก่อตั้งและนักลงทุนของ BodyArmor รวมถึงกลุ่มนักกีฬามืออาชีพที่ลงทุนในบริษัทเพื่อเข้าควบคุมบริษัทในข้อตกลงมูลค่า 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการซื้อกิจการนี้จะทำให้ BodyArmor มีมูลค่าประมาณ 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

BodyArmor ได้รับการสนับสนุนในการก่อตั้งในปี 2011 โดย Kobe Bryant นักบาสเกตบอลชื่อดัง ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกเมื่อต้นปี 2020 โดยเขาได้ลงทุน 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในบริษัท ซึ่งมีรายงานว่า Kobe Bryant จะสามารถทำเงินได้ประมาณ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากข้อตกลงนี้

Coca-Cola ลุยตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ ซื้อหุ้น BodyArmor ดาวรุ่งชน Gatorade

สำหรับ BodyArmor เป็นคู่แข่งของ Gatorade ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรม sports drink ซึ่งมี Pepsi เป็นเจ้าของ ดังนั้น นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ Coca-Cola ซึ่งถือเป็นคู่แข่งทางธุรกิจหลักกับ Pepsi ลงทุนใน BodyArmor โดยจุดเด่นของ BodyArmor อยู่ที่แคลอรีต่ำ โดยใช้สารให้ความหวานจากธรรมชาติ และมีการเติมอิเล็กโทรไลต์ (electrolytes) หรือแร่ธาติและวิตามิน เช่น โพแทสเซียม และแคลเซียม จนโดนใจคนยุคใหม่

ทั้งนี้ BodyArmor คาดว่ายอดขายจะสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้ เทียบกับ 250 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 เมื่อ Coca-Cola ลงทุนในบริษัทเป็นครั้งแรก

Source

]]>
1359447
“โคคา-โคล่า” ปรับโฉมโลโก้ใหม่ ให้เหมือนการ “โอบกอด” https://positioningmag.com/1354271 Thu, 30 Sep 2021 09:30:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1354271 เดอะโคคา-โคล่า คัมปะนี เปิดตัวแนวคิดใหม่ของแบรนด์ภายใต้ชื่อ Real Magic™ เชิญชวนร่วมฉลองความมหัศจรรย์ของทุกเรื่องราวความรัก ความผูกพันที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคน ตอกย้ำจุดยืนของแบรนด์ในการสร้างสายสัมพันธ์และส่งมอบความสดชื่นให้กับผู้คนทั่วโลก

โดยแนวคิดนี้ เกิดจากการเรียนรู้สถานการณ์จริงในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมาว่าพลัง และความงดงามของสายสัมพันธ์ระหว่างผู้คนนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์ และสามารถเปลี่ยนวันธรรมดาให้เป็นช่วงเวลาสุดแสนพิเศษ ช่วยให้เราสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาต่างๆ ไปด้วยกันได้ แนวคิดดังกล่าวยังตอกย้ำเรื่องราวของเจเนอเรชันใหม่ ที่สามารถส่งต่อความรู้สึก สื่อสารถึงกันได้ในโลกเสมือน สามารถอยู่ใกล้กันได้ แม้ในเวลาที่ต้องห่างไกลกัน

มาโนโล อาร์โรโย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เดอะโคคา-โคล่า คัมปะนี กล่าวว่า

“โคคา-โคล่า เป็นแบรนด์ที่เชื่อมโยงเรื่องราวความแตกต่างสองด้านเข้าด้วยกัน ได้แก่ ความเรียบง่ายแต่มีเอกลักษณ์ เข้าถึงได้แต่น่าค้นหา จริงแต่มหัศจรรย์ ซึ่งแนวคิด Real Magic™ เองก็มีรากฐานมาจากความเชื่อเดียวกันที่ว่า ความแตกต่างเป็นสิ่งที่สร้างความพิเศษให้โลกของเรา ทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความหลากหลายที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง มีโอกาสที่คาดไม่ถึง และช่วงเวลาที่สุดพิเศษ”

Real Magic™ เป็นแนวคิดล่าสุดของแบรนด์โคคา-โคล่านับตั้งแต่ปี 2016 โดยจะเปิดตัวพร้อมกับบรรจุภัณฑ์ที่มีการปรับดีไซน์ผสานมุมมองใหม่ของการใช้โลโก้โคคา-โคล่า ที่จะปรากฎอยู่ในทุกกิจกรรมทางการตลาดของแบรนด์

โดยมุมมองการใช้โลโก้แบบใหม่นี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพจริงของบรรจุภัณฑ์โคคา-โคล่า ซึ่งจะเห็นว่าโลโก้ของแบรนด์โค้งไปตามรูปร่างของขวดและกระป๋อง เปรียบเสมือนสัญลักษณ์การ “โอบกอด” ที่สื่อถืงความสัมพันธ์สุดพิเศษของชีวิตคน

โคคา-โคล่ายังได้ร่วมมือกับศิลปิน ช่างภาพ และนักวาดภาพประกอบ ในการถ่ายทอดแนวคิด Real Magic™ ให้ออกมาเป็นช่วงเวลาสุดพิเศษในชีวิตประจำวันของผู้คนในหลากหลายแง่มุม โดยมีพันธมิตรด้านการออกแบบชื่อดังอย่าง เอเจนซี่โฆษณา Wieden+Kennedy London KnownUnknown และ Kenyon Weston ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน

นอกจากโลโก้ใหม่แล้ว แบรนด์ยังได้เปิดตัวแคมเปญ “One Coke Away From Each Other” ที่เชื่อมโลกแห่งความเป็นจริงและโลกเสมือนเข้าด้วยกัน เฉลิมฉลองความมหัศจรรย์ของผู้คน ตอกย้ำความเชื่อที่ว่าการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้นยิ่งใหญ่และสำคัญกว่าการแบ่งแยกผู้คนออกจากกัน

โดยโคคา-โคล่าได้ร่วมงานกับเอเจนซี่โฆษณา BETC London ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง Daniel Wolfe และ Mathematic พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเกมและ CGI ปล่อยภาพยนตร์สั้นออนไลน์ชุดพิเศษที่มีโคคา-โคล่าเป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เชื่อมจักรวาลที่กำลังแตกสลายเข้าด้วยกัน สร้างเป็นช่วงเวลา Real Magic™ ที่แท้จริง โดยภาพยนตร์สั้นดังกล่าวร่วมแสดงโดยดีเจชื่อดัง Alan Walker นักกีฬาบาสเกตบอล Aerial Powers จาก Team Liquid และเกมเมอร์ชื่อดัง Average Jonas

]]>
1354271
ส่องแบรนด์ที่ ‘โรนัลโด้’ เป็นพรีเซ็นเตอร์ สตาร์ลูกหนังที่ทำรายได้อันดับ 2 ของโลก https://positioningmag.com/1337272 Wed, 16 Jun 2021 11:50:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1337272 จากเหตุการณ์ล่าสุดในศึกฟุตบอลยูโร 2020 ที่ ‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ ได้ทำเอา ‘โค้ก’ (CoCa-Cola) สปอนเซอร์หลักของฟุตบอลยูโรต้องกุมขมับ เนื่องจากเจ้าตัวหยิบขวดโค้กออกจากหน้าตัวเองบนโต๊ะแถลงข่าวแล้วหยิบน้ำเปล่าแทน ซึ่งก็ได้ส่งผลให้หุ้นของ CoCa-Cola ตกไปถึง 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 124,500 ล้านบาท) เลยทีเดียว ดังนั้นไปดูกันว่านอกจากอิมแพคที่โรนัลโด้สามารถสร้างในสนามแล้ว นอกสนามเจ้าตัวสามารถสร้างอิมแพคได้ขนาดไหนบ้าง

กว่าจะเป็น ‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวเตะชาวโปรตุกีส เกิดเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1985 ปัจจุบันอายุ 36 ปี โรนัลโด้เริ่มต้นอาชีพจากเด็กโนเนมในลีกบ้านเกิดของอังดูรีญา ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับนาซียูนัลในปี 1997 จากนั้นก็ได้เซ็นสัญญากับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ก่อนที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะอกหักจากการดึงตัว โรนัลดินโญ่ มาร่วมทัพปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนโชคชะตาพาให้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้พบกับโรนัลโด้จนได้ย้ายมาเล่นกับทีม ก่อนจะถูกดึงตัวไปร่วมงานกับราชันชุดขาว เรอัล มาดริด และปัจจุบันยังคงค้าแข่งกับ ยูเวนตุส ในกัลโช่ เซเรีย อา

ด้วยฝีเท้าอันจัดจ้าน โรนัลโด้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล โดยเขาได้รับรางวัลบาลงดอร์ 5 สมัย และ รางวัลรองเท้าทองคำยุโรปอีก 4 สมัย และเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถทำ 100 ประตูขึ้นไปในการเล่นให้กับ 3 สโมสร ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมจึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนยกย่องให้เป็นไอดอลในดวงใจ และไม่ว่าเขาจะทำอะไรมักจะมีผู้คนคอยเฝ้าติดตามอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นผลงานในสนามหรือสินค้าอะไรก็ตามที่เจ้าตัวหยิบจับ

Cristiano Ronaldo ในศึกยูโร 2020 ภายใต้ทีมชาติโปรตุเกส ในวัย 36 ปี (Photo by Alex Pantling/Getty Images)

นักฟุตบอลรายได้สูงสุดอันดับ 2 ของโลก

ความเป็นสตาร์คนดังก็ไม่ได้สร้างอิมแพคแค่ในเกมการแข่งขัน แต่นอกสนามก็สามารถสร้างอิมแพคได้เช่นกัน อย่างใน Instagram ของเจ้าตัวนั้นก็มีผู้ติดตามกว่า 299 ล้านคน ในการโพสต์เพียงครั้งเดียวของเขาสามารถทำเงินได้ถึง 780,000 ปอนด์ หรือกว่า 34 ล้านบาท!

ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะมีเหล่าสินค้ามากมายหลายชนิดรุมจีบเพื่อดึงตัวไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ และนั่นทำให้เขาได้รับรายได้จำนวนมหาศาล จนกลายเป็นนักกีฬาที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก มีรายได้ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,756 ล้านบาท เป็นรองแค่ ลิโอเนล เมสซี ที่มีรายได้ 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4,069 ล้านบาท จากการจัดอันดับของฟอร์บส์นิตยสารด้านการเงินชื่อดัง

หากอ้างอิงจากตัวเลขในปี 2018 พบว่าเฉพาะรายได้จากค่าพรีเซ็นเตอร์ โรนัลโด้สามารถทำได้ถึงปีละ 44 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1,320 ล้านบาท ขณะที่ค่าเหนื่อยอยู่ที่ 31 ล้านยูโรต่อปี หรือประมาณ 1,140 ล้านบาท ยังไม่รวมธุรกิจส่วนตัวอื่น ๆ อีก ได้แก่

Pestana CR7 ธุรกิจโรงแรม, CR7 Crunch Fitness ธุรกิจฟิตเนสพิพิธภัณฑ์ CR7 Museum, แบรนด์แฟชั่น CR7, แบรนด์ชุดชั้นในและถุงเท้า CR7, แบรนด์รองเท้า CR7 footwear, แบรนด์แฟชั่น Cristiano Ronaldo & Sacoor Brothers, กางเกงยีนส์ CR7 Denim, แบรนด์น้ำหอม Cristiano Ronaldo Legacy และแม้แต่ CR7Selfie แอปถ่ายเซลฟี่

อยู่ในทุกสินค้าตั้งเเต่อุปกรณ์กีฬายันอีคอมเมิร์ซ

มาที่ฝั่งการเป็นพรีเซ็นเตอร์ของโรนัลโด้ ต้องบอกว่าสามารถอยู่ได้ในทุกสินค้า ชื่อเสียงของโรนัลโด้สามารถใช้กับอะไรก็ได้ โดยแบรนด์แรกที่ต้องพูดก็คือ ‘Nike’ (ไนกี้) บริษัทผลิตภัณฑ์กีฬายักษ์ใหญ่ของโลกที่เซ็นสัญญากับโรนัลโด้ ตลอดชีวิต! ซึ่งมีเพียงนักกีฬา 3 คนในโลกที่ได้รับเกียรตินี้ และเขาเป็นนักฟุตบอลคนแรกด้วย

การมีสินค้าเกี่ยวกับกีฬามาจ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่ที่ผ่านมาโรนัลโด้ยังเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าอีกมากโดยที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของกีฬาเลย ไม่ว่าจะเป็น 

  • คาสตรอล (Castrol) บริษัทน้ำมันเครื่องยักษ์ใหญ่
  • อียิปต์เชียน สตีล (Egyptian Steel) เพื่อโปรโมตอุตสาหกรรมเหล็ก
  • Clear (แชมพูเคลียร์) โดยในปี 2014 โรนัลโด้เป็นได้ร่วมงานกับบริษัทแชมพูเคลียร์ ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ โดยทำหน้าที่โฆษณาเกี่ยวกับเรื่องการขจัดรังแค
  • ทรนนิ่ง เกียร์ ซิกซ์แพ็ด (Training Gear Sixpad) อุปกรณ์แผ่นเครื่องนวดกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้อง
  • และด้วยหุ่นที่เฟิร์มอยู่ตลอด Emporio Armani ก็เคยคว้าโรนัลโด้เป็นพรีเซ็นเตอร์แทน เดวิด เบ็คแฮม ในปี 2010
  • เพราะนักฟุตบอลต้องเดินทางไปแข่งขันในต่างที่ต่างถิ่นเสมอ ดังนั้น อเมริกัน ทัวริสเตอร์ (American Tourister) แบรนด์กระเป๋าเดินทางชื่อดังเลยคว้าโรนัลโด้มาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์พร้อมค่าเหนื่อยประมาณประมาณ 312,000 ปอนด์ (ราว 14 ล้านบาท)
  •  อีเอ สปอร์ตส์ (EA Sports) สตูดิโอผลิตเกมชื่อดังเจ้าของเกม ‘ฟีฟ่า’ (Fifa) หลังจากที่เคยได้ ลิโอเนล เมสซี่ ขึ้นปกเกมเป็นเวลา 4 ปี มาในปี 2018 โรนัลโด้ก็ได้รับเสียงโหวตจากแฟน ๆ ให้ได้ขึ้นปก ฟีฟ่า 18 และ 19
  • แพนเซอร์ กลาสส์ (PanzeerGlass) บริษัทผลิตฟิล์มกระจกกันรอยแบรนด์ชั้นนำจากประเทศเดนมาร์ก เคยได้โรนัลโด้เป็นพาร์ตเนอร์พร้อมออกกระจกกันรอยและเคสรุ่น CR7 สัญลักษณ์ประจำตัวของโรนัลโด้
  • TAG Heuer (แทค ฮอยเออร์) แบรนด์นาฬิกาหรูสัญชาติสวิสก็เป็นอีกแบรนด์ที่ได้โรนัลโด้เป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมออกรุ่นพิเศษ ‘CR7’ ด้วย

และที่คนไทยน่าจะคุ้นกันสุด ๆ ก็คือ Shopee (ช้อปปี้) อีคอมเมิร์ซเจ้าดัง ซึ่งหลายคนออกแนวช็อกไปตามกันเมื่อเห็นโรนัลโด้เต้นเพลงช้อปปี้ ๆ ๆ ๆ แม้จะดูขัดกับภาพลักษณ์ไปหน่อย แต่พลังของโรนัลโด้ก็ช่วยให้ยอดขายช้อปปี้โตขึ้น 3 เท่าในแคมเปญ 9.9 เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม แม้เหตุการณ์ล่าสุดที่โรนัลโด้เลือกจะหยิบขวดโค้กออกจากหน้าตัวเองบนโต๊ะแถลงข่าวแล้วหยิบน้ำเปล่าแทนเพื่อแสดงถึงความใส่ใจสุขภาพ แต่หากย้อนการเป็นพรีเซ็นเตอร์ในด้านอาหารและเครื่องดื่มก็นับว่ามีความน่าสนใจ อย่างปี 2013 โรนัลโด้มี เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น เป็นผู้สนับสนุนด้านโภชนาการ ส่วนในปี 2014 โรนัลโด้ก็เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ ไก่ทอด KFC ซึ่งดูขัดกับภาพลักษณ์นักกีฬาสายเฮลตี้อยู่เหมือนกัน

ยังไม่แขวนสตั๊ด ยังมีโอกาสรับทรัพย์อีกเพียบ

โดยปกติแล้วนักฟุตบอลอาชีพจะมีช่วงเวลาในการ แขวนสตั๊ด หรือ ยุติเส้นทางค้าแข้ง ในช่วงอายุประมาณ 34-36 ปี แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเลือกแขวนสตั๊ดในช่วงอายุดังกล่าว บางคนก็เลิกเล่นก่อน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงวัยที่เลยเลข 3 ไม่ใช่ช่วงอายุที่พีคสุดสำหรับการเล่นฟุตบอลแล้ว

แต่สำหรับโรนัลโด้ในวัย 36 ปี กลับยังฟิตพอ ๆ กับคนอายุ 20 ปี การจะรักษาสภาพร่างกายให้ฟิตแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งเคล็ดลับสำคัญของ CR7 ที่ทำให้อาชีพนักฟุตบอลยืนยาว และรักษามาตรฐานการเล่นไม่ให้ตกลงไปคือ การดูแลสภาพร่างกายนอกสนามแข่งคือ การกิน, การนอน, การผ่อนคลาย และการว่ายน้ำ ที่ทำให้สุขภาพกายแข็งแรง และสุขภาพใจแข็งแกร่ง

หากโรนัลโด้ยังคงค้าแข้งต่อ แฟน ๆ ก็คงจะได้เห็นอีกหลายแบรนด์ที่พร้อมจะทุ่มเงินดึงโรนัลโด้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์แน่นอน แต่อาจจะเดาทางยากสักหน่อยว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการประเภทไหน เพราะหากย้อนดูที่ผ่านมาถือว่าสร้างเซอร์ไพรส์ให้แฟน ๆ อยู่เหมือนกัน หรือหากแขวนสตั๊ดไปแล้ว อย่าลืมว่าโรนัลโด้มีธุรกิจส่วนตัวอีกเพียบ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าชีวิตหลังแขวนสตั๊ดโรนัลโด้จะผุดแบรนด์ใหม่ ๆ ออกมาอีกก็เป็นได้

]]>
1337272
‘โค้ก’ มั่นใจปี 2021 พลิกฟื้นจากโควิด โดยมี ‘เครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล’ เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก https://positioningmag.com/1320517 Tue, 23 Feb 2021 06:30:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320517 ‘Coca-Cola’ หรือ ‘โค้ก’ ได้เปิดเผยถึงรายได้ในไตรมาส 4 ที่ยังคงได้ผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 แต่ความพยายามในการลดต้นทุนก็ช่วยลดความรุนแรงได้ระดับหนึ่ง และที่น่าสนใจคือ การเติบโตของ ‘โค้กซีโร่’ ที่ CEO ระบุว่าจะเป็น ‘ตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่ดีที่สุดในปี 2021’ หลังไตรมาส 4 เติบโต 3%

ผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2020 ของโค้กยอดขายสุทธิลดลง 5% สู่ระดับ 8.6 พันล้านดอลลาร์ จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 8.63 พันล้านดอลลาร์ โดยเครื่องดื่มแบบมีฟองมียอดขายลดลง 1% กลุ่มน้ำอัดลมชื่อดังเติบโตของปริมาณ 1% ส่วน ‘Coke Zero’ เติบโตขึ้น 3% ด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้, นมและเครื่องดื่มจากพืชของบริษัทมียอดขายลดลง 2% แม้ว่า Coke’s Simply Juice และ Fairlife Milk ทำได้ดี แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะชดเชยการลดลงของ ‘Minute Maid’ ส่วนยอดขายน้ำเปล่าและเครื่องดื่มกีฬาลดลง 9% สุดท้าย ธุรกิจชาและกาแฟรายงานปริมาณการหดตัวมากที่สุดถึง 15%

โค้กคาดว่ารายได้ในปี 2021 จะเติบโตแบบออแกนิกโดยจะเติบโตประมาณ 9-10% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าผลประกอบการทั้งปี 2021 จะเติบโตราว 10.5%

“เรามั่นใจว่าเราจะเห็นการฟื้นตัวในปีนี้และคาดว่าจะส่งมอบผลประกอบการในปี 2021 ที่สูงกว่าปี 2019 เราได้เตรียมตัวมากขึ้นกว่าปกติเพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่” CFO John Murphy กล่าว

ด้าน James Quincey CEO ของโค้ก กล่าวว่า ‘เครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล’ จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตหลักของบริษัทในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งหากดูจากในปี 2020 จะเห็นว่า ‘Coke Zero’ ที่เป็นโค้กสูตรไม่มีน้ำตาลนั้นเติบโตสูงสุด ต่างจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อื่น ๆ ที่มักจะทำได้ดีแค่ช่วงแรกที่เปิดตัว แต่จะแผ่วปลายลงจาก COVID-19

ทั้งนี้ Coke Zero เปิดตัวเมื่อปี 2017 โดยการเปิดตัวเครื่องดื่มรุ่นใหม่ได้ดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพด้วยเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล

CNBC / CNBC

]]>
1320517
‘โค้ก’ เปิดตัว ‘ขวดรีไซเคิล 100%’ ลบภาพผู้ก่อมลพิษจากพลาสติกอันดับ 1 ของโลก https://positioningmag.com/1318765 Wed, 10 Feb 2021 08:19:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1318765 ‘Coca-Cola’ หรือ ‘โค้ก’ ที่คนไทยคุ้นเคยกำลังเปิดตัวขวดขนาดใหม่เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี และเป็นขวดแรกที่พลาสติกผลิจจากพลาสติกรีไซเคิล 100%

Coca-Cola มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีส่วนทำให้เกิดขยะพลาสติกทำลายสิ่งแวดล้อม โดยเมื่อปีที่แล้ว Coca-Cola ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น ‘ผู้ก่อมลพิษจากพลาสติกอันดับ 1 ของโลก’ ที่จัดโดยบริษัท Break Free From Plastic บริษัทด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งวัดผลจากโลโก้และตราสินค้าบนพลาสติก 13,834 ชิ้นใน 51 ประเทศที่มักจะทิ้งในพื้นที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ และชายหาด

ล่าสุด บริษัทก็ได้เปิดตัว ขวดที่ทำมาจากวัสดุพลาสติกรีไซเคิล 100% ในขนาด 13.2 ออนซ์ ซึ่งนี่ถือเป็นหนึ่งในความพยายามของ Coca-Cola ที่เกิดภายใต้โครงการ “โลกไร้ขยะ” ที่เริ่มต้นในปี 2018 โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ ภายในปี 2030 จะยกเลิกบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียว และจะนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ และได้มาตรฐานมาใช้ผลิตขวดรีไซเคิลแทน

“การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ใหม่ถือเป็นงานแห่งความรักและนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ โดยบรรจุภัณฑ์ใหม่นี้ จะสามารถนำไปทำความสะอาดก่อนจะนำไปบดให้ละเอียดจนกลายเป็นเกล็ดคล้ายเมล็ดพืช ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นขวดใหม่มาใช้อีกครั้ง” Alpa Sutaria ผู้จัดการทั่วไปด้านความยั่งยืนของ Coca-Cola กล่าว

ด้วยขนาดขนาด 13.2 ออนซ์นั้นใหญ่กว่าโค้กกระป๋องอะลูมิเนียมเล็กน้อย แต่ก็เล็กกว่าขวด 20 ออนซ์ทั่วไป ด้วยขนาดที่ไม่เหมือนใครนี้ Coca-Cola ได้ระบุว่าจะช่วยให้ “ดึงดูดให้ดื่มง่ายมากขึ้น” ขณะที่ราคาจะอยู่ที่ 1.59 ดอลลาร์ และไม่ใช่แค่จะช่วยลดขยะพลาสติกเท่านั้น แต่ Alpa Sutaria ระบุว่า ขวดใหม่ที่รีไซเคิลได้ 100% นี้จะช่วยดึงดูดนักดื่มอายุน้อยกว่า 25 ปีที่กำลังมองหาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน

“เรารับฟังผู้บริโภคและพวกเขาบอกเราว่าพวกเขาต้องการอะไรที่เล็กลงและบริโภคได้ง่ายขึ้น เราเลยถือโอกาสนี้ทำขวดพลาสติกที่รีไซเคิลได้ 100% โดยเรามุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดผลกระทบต่อโลกของเราให้น้อยที่สุด โดยบริษัทได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาของเราด้วยการลงมือปฏิบัติจริง”

ทั้งนี้ โค้กขวดใหม่จะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนนี้ในบางรัฐทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา รวมถึงนิวยอร์ก, แคลิฟอร์เนีย, คอนเนตทิคัต และฟลอริดา ก่อนจะเปิดตัวทั่วประเทศในช่วงฤดูร้อนนี้ 

อย่างไรก็ตาม Coca-Cola ไม่ใช่บริษัทข้ามชาติเพียงแห่งเดียวที่มีเป้าหมายเพื่อลดมลภาวะจากพลาสติก ‘เนสท์เล่’ บริษัทอาหารรายใหญ่ที่สุดของโลกประกาศเมื่อปีที่แล้วว่าใช้เงิน 2 พันล้านดอลลาร์ในโครงการที่คล้ายกัน เช่นเดียวกับ ‘Pepsi’ เพิ่งเปิดตัวขวดขนาด 2 ลิตรที่ออกแบบใหม่ซึ่งใช้วัสดุน้อยลง 24%

Source

]]>
1318765
‘โค้ก’ เตรียมปลดพนักงาน ‘2,200 ตำแหน่ง’ ทั่วโลก หลังผลประกอบการไตรมาส 3 ลดลง 9% https://positioningmag.com/1311242 Sat, 19 Dec 2020 07:11:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1311242 ‘Coca-Cola’ หรือ ‘โค้ก’ ที่คนไทยเรียกกันคุ้นหูมากกว่า ได้ประกาศว่าเตรียมจะลดจำนวนพนักงานลงประมาณ 2,200 ตำแหน่งทั่วโลก ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้าง หลังจากบริษัทได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19

ในปี 2019 Coca-Cola มีพนักงานทั่วโลกทั้งสิ้น 86,200 คน โดยหลังจากที่บริษัทต้องเจอพิษ COVID-19 ทำให้รายได้ในไตรมาสที่ 3 ลดลงถึง 9% ส่งผลให้บริษัทวางแผนลดพนักงานทั่วโลกจำนวน 2,200 ตำแหน่ง โดยจำนวน 1,200 ตำแหน่งเป็นพนักงานในสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบัน พนักงาน Coca-Cola ในสหรัฐอเมริกามีประมาณ 10,400 คน

“การระบาดของโรคได้ทำลายรายได้และเพิ่มต้นทุนให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องดื่ม โดยทั่วไปแล้วยอดขายประมาณครึ่งหนึ่งมาจากการที่ผู้บริโภคดื่มเครื่องดื่มนอกบ้าน ซึ่งตอนนี้แทบทำไม่ได้”

ที่ผ่านมา บริษัทได้ตอบสนองต่อวิกฤตดังกล่าวด้วยการเร่งรัดแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจและลดพอร์ตการลงทุน ได้หยุดผลิตเครื่องดื่ม เช่น Tab และแบรนด์ Odwalla ที่ขายไม่ดีและไม่มีโอกาสเติบโตมากนัก บริษัทวางแผนที่จะสร้างหน่วยปฏิบัติการใหม่ที่มุ่งเน้นในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นซึ่งจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมผู้นำด้านการตลาดระดับโลก 5 ทีมโดยแบ่งตามหมวดหมู่

ทั้งนี้ การลดจำนวนพนักงานในครั้งนี้มีทั้งแบบสมัครใจและไม่สมัครใจ โดยจะมีค่าชดเชยให้ คาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ระหว่าง 350-550 ล้านดอลลาร์ (ราว 1-1.6 หมื่นล้านบาท) ที่ผ่านมา หุ้นของ Coca-Cola ซึ่งมีมูลค่าตลาด 230 พันล้านดอลลาร์ เติบโตน้อยกว่า 1% ในการซื้อขายที่ผ่านมา โดยมูลค่าหุ้นในปี 2020 ลดลง 3%

Source

]]>
1311242