โฆษณาออนไลน์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 08 Jan 2023 08:39:14 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Netflix อัปเดตการตลาด ระบบ ‘ad-tier’ แพ็กเกจมีโฆษณาคั่นกำลังไปได้สวย https://positioningmag.com/1414791 Sat, 07 Jan 2023 13:36:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1414791 เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Netflix เปิดตัวเทียร์ใหม่ในการสมัครสมาชิกเป็นระบบ ‘ad-tier’ แบบมีโฆษณาคั่น เพื่อให้ราคาแพ็กเกจถูกลง โดยในตลาดบางส่วนที่เริ่มทดลอง บริษัทพบว่ากลยุทธ์นี้กำลังไปได้สวย

Jeremi Gorman ประธานด้านการโฆษณาทั่วโลก Netflix ให้สัมภาษณ์บนเวทีภายในงาน Consumer Electronics Show (CES) ในลาสเวกัส กาาวถึงแพ็กเกจใหม่ของสตรีมมิ่งที่เป็นระบบมีโฆษณาคั่น (ad-tier) ว่า บริษัทรู้สึกพึงพอใจกับจำนวนโฆษณาและความหลากหลายของโฆษณาในช่วงแรกที่เข้ามา

“เราได้เห็นโฆษณาจากทั้งบริษัทด้านอุปโภคบริโภค สินค้าลักชัวรี ยานยนต์ และค้าปลีก” Gorman กล่าว โดยนอกจากจะดีกับ Netflix แล้ว ยังดีกับผู้บริโภคที่รับชม เพราะนั่นหมายความว่าผู้ชมจะได้เห็นโฆษณาหลากหลาย ไม่ซ้ำซากจำเจ

การสัมภาษณ์ยังเอ่ยถึงความท้าทายของ Netflix ในช่วงแรกหลังแพ็กเกจโฆษณาคั่นออกสู่ตลาด นั่นคือฝั่งแบรนด์มองว่าราคาโฆษณาของบริษัทค่อนข้างจะแพงเกินไป ซึ่ง Gorman ตอบเรื่องนี้ว่า ทางบริษัทมองสตรีมมิ่งเป็นแพลตฟอร์ม ‘พรีเมียม’ ในการลงโฆษณา เพราะสล็อตในการโฆษณามีไม่มาก และบรรยากาศแวดล้อมในพื้นที่โฆษณานั้นมีความพรีเมียมด้วยความเป็นผู้นำตลาดสตรีมมิ่ง จึงเหมาะที่จะตั้งราคาไว้ค่อนข้างสูง

อีกประเด็นท้าทายที่นักการตลาดกังวลคือ คอนเทนต์ของ Netflix อาจจะไม่สามารถแทรกโฆษณาได้ทุกเรื่อง เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับสัญญาทางกฎหมาย ในประเด็นนี้ Gorman ระบุว่าบริษัทมีการต่อรองเจรจาสัญญาใหม่ทุกวัน และจนถึงขณะนี้คอนเทนต์ส่วนใหญ่ 85-95% สามารถลงโฆษณาได้แล้ว

ประเด็นสุดท้ายเป็นความกังวลของนักลงทุนที่มองว่า การเปิดระบบ ad-tier ของ Netflix จะเป็นการกินตลาดตัวเองหรือไม่ เพราะน่าจะทำให้สมาชิกปัจจุบันที่จ่ายในราคาสูงกว่า ยอมลดระดับลงมาจ่ายในแพ็กเกจโฆษณาคั่น และอาจจะลดลงมาเป็นจำนวนมากจนค่าโฆษณาไม่สามารถชดเชยรายได้ที่หายไปได้ทัน Gorman ตอบในเรื่องนี้ด้วยว่า เท่าที่ผ่านมาลูกค้า Netflix ส่วนใหญ่ยังคงจ่ายในแพ็กเกจระดับเดิมที่ตนเองสมัครไว้

อย่างไรก็ตาม Gorman ยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้ว่า ad-tier ทำให้บริษัทมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน แต่นักลงทุนจะได้ทราบเร็วๆ นี้หลังจากบริษัทประกาศรายได้ประจำไตรมาส

ปัจจุบัน แพ็กเกจมีโฆษณาคั่นของ Netflix มีให้ใช้งานใน 12 ประเทศ คือ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน อิตาลี ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ บราซิล แคนาดา เม็กซิโก ขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผนจะเปิดแพ็กเกจนี้ในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม แต่ในระยะยาวแน่นอนว่าจะมีการขยายตลาดอีก

สำหรับผู้ที่สมัครแพ็กเกจ ad-tier นอกจากจะมีโฆษณาคั่นแล้ว จะมีข้อด้อยอีก 3 ประการคือ คุณภาพวิดีโอจะมีความละเอียดเพียง 720p HD รับชมได้เพียงอุปกรณ์เดียวในเวลาเดียวกัน และไม่สามารถดาวน์โหลดคอนเทนต์ไว้ชมแบบออฟไลน์ได้

Netflix ยังมองแผนการสำหรับแพ็กเกจมีโฆษณาไว้ด้วยว่า จะไม่ได้เปิดโอกาสเฉพาะการลงโฆษณาธรรมดาๆ แต่จะเริ่มมีระบบที่ทำให้นักโฆษณาสามารถลงโฆษณาที่สอดคล้องหรือสัมพันธ์ไปกับเนื้อหา รวมถึงจะมีรายการหรือซีรีส์ที่มีสปอนเซอร์หลักจากแบรนด์ ไปจนถึงมีระบบให้นักโฆษณาเลือกกลุ่มเป้าหมายได้จากเพศและอายุด้วย

Source

]]>
1414791
รายได้โฆษณา ‘YouTube’ ลดลง 2% สะท้อนการ ‘หดตัว’ เม็ดเงินโฆษณาออนไลน์ https://positioningmag.com/1405564 Wed, 26 Oct 2022 07:31:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1405564 คงไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook ที่เจอกับปัญหาเรื่องเม็ดเงินโฆษณาที่ลดลง แต่จากรายงานผลประกอบการล่าสุดของ Alphabet บริษัทแม่ของ Google และ YouTube ก็ได้สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดโฆษณาออนไลน์ยังคงประสบปัญหาต่อเนื่อง

รายได้จากการโฆษณาบน YouTube ลดลง 2% เมื่อเทียบเป็นรายปี มาอยู่ที่ 7.07 พันล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาส 3/2022 โดยถือว่าเป็นการ ลดลงครั้งแรก นับตั้งแต่ที่ Alphabet บริษัทแม่ได้เริ่มแยกย่อยรายได้แต่ละส่วนตั้งแต่ปี 2019 ขณะที่ภาพรวมการเติบโตของ Alphabet เองก็ลดลงอย่างมาก จากปีที่แล้วเติบโต 41% เหลือ 6% มีรายได้รวม 69,092 ล้านดอลลาร์ มีกำไรสุทธิ 13,910 ล้านดอลลาร์

การเติบโตที่ลดลงของ Alphabet เป็นการตอกย้ำว่า บริษัทต่าง ๆ ชะลอใช้เงินกับแคมเปญโฆษณาและการตลาด เนื่องจากความกังวลถึงภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยทั่วโลก โดย Ruth Porat ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ออกมาเปิดเผยว่า อุตสาหกรรมที่ลดการใช้งบส่วนใหญ่มาจากบริการทางการเงิน การประกันภัย สินเชื่อ และคริปโต

“รายได้ที่ลดลงของ YouTube สะท้อนถึงการลดเงินในการใช้จ่ายในการทำแคมเปญโฆษณาในหลายองค์กร” Ruth Porat ย้ำ

ไม่ใช่แค่ Alphabet ที่เจอกับปัญหาดังกล่าว แต่ Microsoft เองก็รายงานถึงการชะลอตัวของธุรกิจโฆษณาออนไลน์ โดยธุรกิจการค้นหาและโฆษณาข่าวสาร (Bing และ Microsoft News) มีการเติบโตเพียง 16% ในช่วงไตรมาส 3/2022 เมื่อเทียบกับปีก่อนที่เติบโตได้ถึง 40% และการเติบโตที่ลดลงไม่ได้เกิดแค่ในไตรมาส 3 แต่ลดลงทุกไตรมาสในปีนี้ สอดคล้องกับแนวโน้มขาลงทั่วไปของตลาดโฆษณาออนไลน์ทั้งหมด

การเติบโตที่ลดลงและความท้าทายทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเงินเฟ้อและภาวะถดถอยที่อาจเกิดขึ้น ทำให้ ซันดาร์ พิชัย ซีอีโอ Alphabet ต้องใช้มาตรการ ลดต้นทุน ทั้งบริษัท โดยจะชะลอการจ้างงานและลดการออกผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ โดยเขาต้องการทำให้บริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น 20%

Google ceo sundar pichai
(Photo by Justin Sullivan/Getty Images)

ปัจจุบัน Alphabet มีพนักงานประจำทั้งหมด 186,779 คน เพิ่มขึ้นจาก 150,028 คนในปีที่แล้ว แต่ในการเพิ่มพนักงานในช่วงไตรมาส 4 จะต่ำกว่าไตรมาส 3 อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัทจะต้องการจะลดค่าใช้จ่ายของการดำเนินงานในองค์กร

จำนวนการจ้างงานในไตรมาส 4 จะลดลงกว่าการจ้างในไตรมาส 3 กว่าครึ่ง และการชะลอการจ้างงานจะมีความชัดเจนมากขึ้นในปี 2023” พิชัย กล่าว

หลังจากรายงานผลประกอบการ หุ้นของ Alphabet ร่วงลงประมาณ 7% โดยอยู่ต่ำกว่า 97 ดอลลาร์ โดยทั้งปีหุ้นของ Alphabet ลดลง 28%

Source

]]>
1405564
โฆษณา McDonald’s ในประเทศรายได้ต่ำ เล็งเป้า “เยาวชน” มากกว่า ชูเรื่อง “สุขภาพ” น้อยกว่า https://positioningmag.com/1369200 Thu, 30 Dec 2021 04:46:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1369200 ผลการศึกษา “โฆษณา” ของ McDonald’s ผ่านโซเชียลมีเดียเปรียบเทียบระหว่างประเทศรายได้สูง ปานกลาง และต่ำ พบว่าการโฆษณาของเชนฟาสต์ฟู้ดรายนี้เน้นเป้าหมาย “เยาวชน” มากกว่า และเน้นประเด็น “สุขภาพ” น้อยกว่า เมื่อยิงโฆษณาในประเทศรายได้ต่ำ

การศึกษาวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร BMJ Nutrition Prevention & Health Journal โดยผู้วิจัยส่วนใหญ่มาจากภาควิชาสุขอนามัยสาธารณะของ New York University พวกเขาทำการวิเคราะห์โฆษณาของ McDonald’s บนบัญชี Instagram ทางการของแบรนด์ในแต่ละประเทศ รวมทั้งหมด 15 ประเทศ แบ่งตามระดับรายได้ทางเศรษฐกิจ ดังนี้

  • รายได้สูง : สหรัฐฯ, ออสเตรเลีย, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, UAE, โปรตุเกส และปานามา
  • รายได้ปานกลางถึงกลางค่อนสูง : โรมาเนีย, เลบานอน, มาเลเซีย, บราซิล และแอฟริกาใต้
  • รายได้ปานกลางถึงต่ำ : อินโดนีเซีย, อียิปต์ และอินเดีย

การศึกษาโพสต์โฆษณาย้อนหลังไปในช่วงกันยายน-ธันวาคม ปี 2019 รวมระยะเวลา 4 เดือน และมีการสรุปผลวิเคราะห์เมื่อเดือนเมษายน 2020 รวมโพสต์การตลาดที่ถูกนำมาวิเคราะห์ 849 ชิ้น ข้อมูลที่ได้จากการวิจัย มีดังนี้

  • McDonald’s โพสต์โฆษณาในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำมากกว่ากลุ่มประเทศรายได้สูงถึง 154%
  • มีการโพสต์โฆษณาในลักษณะ “เป็นมิตรกับเด็ก” มากกว่าในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำ โดยสัดส่วน 22% ของโพสต์ทั้งหมดในประเทศรายได้ต่ำจะเป็นมิตรกับเด็ก เทียบกับกลุ่มประเทศรายได้สูงมีสัดส่วนเพียง 12% ที่เป็นมิตรกับเด็ก
  • โพสต์ในประเทศรายได้สูงมีประเด็นเกี่ยวกับอุปนิสัยเพื่อสุขภาพมากกว่า โดยคิดเป็นอัตราส่วน 5% ขณะที่โพสต์ในประเทศรายได้ต่ำจะมีประเด็นสุขภาพ 2.5% เท่านั้น
  • โพสต์ในประเทศรายได้สูงมีโฆษณาโปรโมชันราคาและการแจกสินค้าฟรีเพียง 14% แต่ประเทศรายได้ต่ำจะมีถึง 40%

“การตั้งเป้าหมายโฆษณาไปที่เยาวชน และใช้โปรโมชันราคาเป็นสำคัญ โฆษณาของ McDonald’s บนโซเชียลมีเดียอาจส่งผลให้ปัญหาสุขภาวะในประเทศที่มีความเปราะบางสูงสุดทั่วโลกยิ่งแย่ลงไปอีก” กลุ่มนักวิจัยกล่าว “ขณะที่โซเชียลมีเดียเติบโตขึ้น โฆษณาบนโซเชียลมีเดียของบริษัทฟาสต์ฟู้ดอาจจะมีผลโดยอ้อมต่อการเลือกรับประทานอาหาร โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำ”

กลุ่มนักวิจัยระบุว่า “ราคา” เป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำการตลาดเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อ พบเห็นได้บ่อยในชุมชนที่มีรายได้ต่ำ เพราะราคามักจะเป็นกุญแจในการตัดสินใจ

แน่นอนว่าการศึกษานี้ นักวิจัยออกตัวด้วยว่าจำนวนประเทศที่นำมาใช้ศึกษาอาจจะน้อยเกินไปและไม่ได้เกลี่ยให้มีจำนวนเท่าๆ กัน รวมถึงไม่ได้ลงลึกถึงพฤติกรรมการซื้อที่เกิดขึ้นจริงหลังการโพสต์โฆษณาของ McDonald’s

อย่างไรก็ตาม กลุ่มนักวิจัยก็ยังมองว่าการศึกษาเรื่องผลกระทบจากการโฆษณาต่อมื้ออาหารนั้นสำคัญ เพราะสังคมควรจะมีนโยบายกำกับการทำการตลาดของบริษัทอาหาร-เครื่องดื่ม โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากเป็นประเด็นที่สัมพันธ์กับปัญหาสารอาหารไม่สมดุล โรคอ้วน และความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับอาหาร

Source

]]>
1369200
โดนอ่วม! ฝรั่งเศสปรับกูเกิล 4.8 พันล้านบาท ข้อหาใช้อำนาจในทางผิดเพื่อเอาเปรียบคู่แข่ง https://positioningmag.com/1335957 Tue, 08 Jun 2021 10:13:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1335957 หน่วยงานต่อต้านการผูกขาดฝรั่งเศส (Autorité de la concurrence) ตรวจพบว่า ‘กูเกิล’ (Google) เข้าถึงข้อมูลการขอแสดงโฆษณาของผู้ซื้อโฆษณารายอื่น ๆ ที่ซื้อโฆษณาผ่านบริการของกูเกิลได้ ทำให้กูเกิลได้เปรียบจนแพลตฟอร์มอื่นแข่งขันไม่ได้ ขณะเดียวกันก็กระทบต่อเว็บและสื่อต่าง ๆ ที่อาศัยรายได้จากโฆษณา จึงได้สั่งปรับเป็นเงิน 220 ล้านยูโร และทำให้กูเกิลต้องปรับนโยบายใหม่

กูเกิลถูกสั่งปรับเป็นเงิน 220 ล้านยูโร (8.4 พันล้านบาท) โดยหน่วยงานหน่วยงานต่อต้านการผูกขาดฝรั่งเศส ในโทษฐานใช้อำนาจในทางที่ผิดในตลาดโฆษณาออนไลน์ โดยผูกขาดตลาดจากการใช้ข้อมูลทำให้ได้เปรียบอย่างไม่เป็นธรรมในธุรกิจเพื่อสร้างความเสียหายให้กับแพลตฟอร์มและผู้เผยแพร่คู่แข่ง

“Google ใช้โมเดลธุรกิจแบบบูรณาการในแนวตั้งในการโฆษณาแบบดิสเพลย์เพื่อให้ได้เปรียบเหนือคู่แข่งรายอื่น ๆ นี่เป็นการสอบสวนครั้งแรกในโลกที่ตรวจสอบพื้นที่โฆษณาแบบดิสเพลย์ที่กูเกิลเหนือกว่า และเป็นครั้งแรกที่กูเกิลตกลงทำข้อตกลงกับข้อผูกพัน กรณีนี้จะเป็นที่สนใจของหน่วยงานกำกับดูแลอื่น ๆ ที่กำลังดูตลาดโฆษณาและเทคโนโลยีออนไลน์” Isabelle de Silva ประธานหน่วยงานกล่าว

กูเกิลนั้นมีธุรกิจโฆษณาสองฝั่ง คือฝั่งแสดงโฆษณาหรือ Google AdSense และการแสดงโฆษณาบนบริการต่าง ๆ ของกูเกิล ส่วนอีกฝั่งคือบริการ Google AdX สำหรับการซื้อพื้นที่โฆษณา ซึ่งทางการฝรั่งเศสระบุว่าบริการซื้อโฆษณา หรือ AdX ของกูเกิลเข้าถึงข้อมูลการขอแสดงโฆษณาของผู้ซื้อโฆษณารายอื่น ๆ ที่ซื้อโฆษณาผ่านบริการของกูเกิล ซึ่งนั่นทำให้กูเกิลได้เปรียบ

“การตัดสินใจที่คว่ำบาตร Google มีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นการตัดสินใจครั้งแรกในโลกที่จะตรวจสอบกระบวนการอัลกอริธึมการประมูลที่ซับซ้อน ซึ่งจะคืนความเท่าเทียมให้กับผู้เล่นทุกคน และความสามารถของผู้จัดพิมพ์ในการใช้ประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่โฆษณาของพวกเขา”

นอกเหนือจากค่าปรับแล้ว กูเกิลยังอยู่ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงในการปรับปรุงการให้บริการโฆษณาออนไลน์ของกูเกิล ที่มีผลต่อแอปพลิเคชันผู้ให้บริการและแพลตฟอร์มพื้นที่ขาย โดยทางกูเกิลเองไม่ได้พยายามอุทธรณ์คำตัดสินของศาลแต่อย่างใด

ในบล็อกโพสต์ของกูเกิลระบุว่า บริษัทจะทำการเปลี่ยนแปลงใน Ad Manager ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้โดยผู้เผยแพร่โฆษณารายใหญ่ และปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินการกับการแลกเปลี่ยน AdX ซึ่งมีการประมูลพื้นที่โฆษณาออนไลน์ที่หน่วยงานกำกับดูแลของฝรั่งเศสกล่าวว่า Ad Manager ได้แชร์ข้อมูลการกำหนดราคากับคู่แข่งเพื่อให้ AdX ได้เปรียบเหนือแพลตฟอร์มการประมูลอื่น ๆ

ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเริ่มต้นด้วยการร้องเรียนในปี 2019 จาก News Corp ผู้จัดพิมพ์ Times, Sun และ Wall Street Journal, หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส Le Figaro และ Groupe Rossel แห่งเบลเยียม Le Figaro ถอนตัวจากคดีเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และไม่ใช่แค่ในฝรั่งเศส แต่กูเกิลกำลังเผชิญกับคดีต่อต้านการผูกขาดหลายคดีในสหรัฐอเมริกา รวมถึงคดีที่รัฐบาลกลางที่กล่าวหาว่าบริษัทดำเนินการผูกขาดอย่างผิดกฎหมายในตลาดสำหรับการค้นหาออนไลน์และการโฆษณาบนการค้นหา

ที่ผ่านมา กูเกิลมีประวัติละเมิดกฎการโฆษณาของยุโรปในปี 2019 โดยบริษัทถูกปรับ 1.5 พันล้านยูโรจากสหภาพยุโรป ฐานปิดกั้นผู้โฆษณาบนการค้นหาออนไลน์ของคู่แข่ง ในปี 2018 หน่วยงานด้านการแข่งขันของสหภาพยุโรปได้ปรับบริษัทอีก 4.3 พันล้านยูโรสำหรับการใช้ระบบปฏิบัติการมือถือ Android เพื่อบล็อกคู่แข่ง และในปีที่แล้วก็โดนปรับ 2.4 พันล้านยูโร ฐานขัดขวางเว็บไซต์เปรียบเทียบการช้อปปิ้งของคู่แข่ง

CNN / theguardian

]]>
1335957
ปี 2020 ‘โฆษณาออนไลน์’ ในจีน โต 14% แตะเกือบ 5 แสนล้านหยวน เทรนด์ KOCs บูมต่อเนื่อง https://positioningmag.com/1319232 Sun, 14 Feb 2021 08:52:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1319232 มูลค่าตลาดโฆษณาออนไลน์ในประเทศจีน เติบโตขึ้นเเตะเกือบ 5 เเสนล้านหยวน (ราว 2.3 ล้านล้านบาท) ในปี 2020 เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน เทรนด์ KOCs บูมต่อเนื่อง

ตามรายงานของศูนย์ข้อมูลเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจีน ระบุว่า ปัจจุบันการโฆษณาผ่านสมาร์ทโฟน มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 85% ปรับตัวขึ้นจากปี 2018 ที่อยู่ระดับ 70%

หนึ่งใน Marketing Trend ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่กำลังมาเเรงที่สุดในตลาดโฆษณาออนไลน์จีนก็คือ KOCs (Key Opinion Consumers) หรือผู้บริโภคทั่วไปที่สามารถเผยแพร่และบอกเล่าเรื่องราวให้เพื่อน หรือกลุ่มผู้ติดตามจำนวนหนึ่งให้หันมาซื้อสินค้า ผ่านการโปรโมตสินค้าผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น WeChat, Weibo, Xiaohongshu (RED), Douyin ฯลฯ

“KOCs ได้เข้ามาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตของจีน เเละกระตุ้นมีการโฆษณาเพิ่มมากขึ้น

โดยแพลตฟอร์มโซเชียลเน็ตเวิร์กของจีนถือเป็นแหล่งรวม KOCs จำนวนมาก ที่สามารถจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาสนใจสินค้าของเเบรนด์ต่างๆ ซึ่งมูลค่าการโฆษณาของบุคคลกลุ่มนี้ เริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังผู้บริโภคมีตัวเลือกในการหาข้อมูลมากขึ้น เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการโฆษณาในรูปแบบเดิม ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อแบรนด์สินค้า

จากข้อมูลของ Nielsen ระบุว่าผู้บริโภคชาวจีนมากกว่า 84% เชื่อถือคำแนะนำจากเพื่อน ครอบครัว และแวดวงความสนใจของตัวเอง และ 66% ได้ซื้อผลิตภัณฑ์ที่แนะนำโดยญาติ เพื่อน และเพื่อนร่วมงาน

 

ที่มา : Chinadaily , Xinhuanet

]]>
1319232
“รับสร้างบ้าน” ก็ต้องไปออนไลน์ “ซีคอน” ชี้ปีนี้ผู้บริโภคเข้าหาผ่านดิจิทัลเพิ่ม 3.5 เท่า https://positioningmag.com/1290117 Thu, 30 Jul 2020 08:42:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1290117
  • ครึ่งปีแรก 2563 ของ “ซีคอน” ยอดขายตกจากปีก่อน -12.5% เนื่องจาก COVID-19 ทำลูกค้าชะลอตัดสินใจ
  • COVID-19 ส่งให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเร็วขึ้น ลูกค้าติดต่อผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 3.5 เท่า ยอดขายที่ติดต่อครั้งแรกผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มสัดส่วนเป็น 35% ของยอดรวม
  • แต่บริการรับสร้างบ้านก็ยังเป็นสินค้าที่ต้องได้พูดคุยและดูหน้างานจริง ทำให้ซีคอนสร้างบ้านตัวอย่างหลังที่ 2 ณ สาขางามวงศ์วาน เป็นกลยุทธ์ปิดการขาย สร้างแรงส่งให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น
  • “มนู ตระกูลวัฒนะกิจ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด บริษัทรับสร้างบ้านรายใหญ่ กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรก 2563 ยอดขายบริษัทลดลง -12.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยลดเหลือประมาณ 569 ล้านบาทเท่านั้น จากเป้าหมายรวมทั้งปี 1,400 ล้านบาท

    จากปัจจัยลบเดียวกับทั้งตลาดคือสถานการณ์ COVID-19 เนื่องจากปกติซีคอนจะได้ยอดขายส่วนใหญ่มาจากการออกบูธงานแฟร์เกี่ยวกับบ้าน แต่งานมหกรรมรับสร้างบ้านที่เดิมจะจัดในเดือนมีนาคม 2563 ถูกยกเลิกไปเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ทำให้ยอดขายส่วนนี้หายไป และลูกค้าส่วนใหญ่ยังชะลอการตัดสินใจสั่งสร้างบ้านไปก่อน ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนมียอดขายเข้ามาใหม่น้อยมาก

    “มนู ตระกูลวัฒนะกิจ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด

    อย่างไรก็ตาม พบว่าเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ยอดขายเริ่มเป็นปกติมากขึ้น และรัฐบาลเริ่มผ่อนคลายล็อกดาวน์ สามารถจัดอีเวนต์งานแฟร์ได้ตามปกติแม้จะจำกัดจำนวนผู้เข้าชมงานสูงสุด ทำให้งานแฟร์เกี่ยวกับบ้านอีก 3 ครั้งที่จะมีในเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน น่าจะจัดได้

    เชื่อว่าจะได้ยอดขายใกล้เคียงปกติ เพราะลูกค้ารับสร้างบ้านเป็นเรียลดีมานด์ ต้องการมีบ้านเพื่อแยกครอบครัวหรือปรับปรุงบ้านใหม่ รวมถึง 70% ของลูกค้าจ่ายเงินสดจึงมีปัญหาทางการเงินน้อย ส่วนยอดขายที่อาจจะลดลงเป็นกลุ่มลูกค้ากู้สินเชื่อบ้านซึ่งมักจะสั่งสร้างบ้านราคา 2-5 ล้านบาท กลุ่มนี้อาจจะไม่มั่นใจเศรษฐกิจและพับแผนสร้างบ้านใหม่ไปก่อน

    ภาพรวมของซีคอนมองว่าสามารถดันยอดขายทั้งปีไปแตะ 1,400 ล้านบาทได้ ซึ่งเป็นยอดขายเท่ากันกับปีก่อน ส่วนตลาดรับสร้างบ้านในส่วนของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน มนูกล่าวว่าสมาคมฯ ประเมินตลาดจะลดลง -10% จากมูลค่าตลาดปีก่อนอยู่ที่ 12,500 ล้านบาท

     

    ลูกค้าติดต่อผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้น 3.5 เท่า

    ด้านพฤติกรรมผู้บริโภคจากผลกระทบของ COVID-19 ซีคอนพบว่ามีลูกค้าที่เข้ามาผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นสูงมาก จากยอดขายครึ่งปีแรก 569 ล้านบาท เป็นยอดขายจากลูกค้าที่ติดต่อครั้งแรกผ่านช่องทางออนไลน์กว่า 200 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 35% เปรียบเทียบกับยอดขายปี 2562 ทั้งปีทำได้ 1,480 ล้านบาท เป็นลูกค้าจากออนไลน์เพียง 160 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10.8% เท่านั้น เห็นได้ว่าสัดส่วนลูกค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นถึง 3.5 เท่าตัว

    อินสตาแกรมของซีคอน หนึ่งในช่องทางเข้าถึงลูกค้า

    “โชคดีที่เราพัฒนาช่องทางออนไลน์เสร็จหมดมาตั้งแต่ 2 ปีก่อน ทั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ และไลน์ สามารถใช้ให้เหมาะกับพฤติกรรมคนแต่ละช่องทาง อย่างเฟซบุ๊กสามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้ทันที อินสตาแกรมไว้โชว์รูปบ้านสวยๆ เมื่อเกิดวิกฤตครั้งนี้จนเราออกงานแฟร์ไม่ได้ ทำให้เรามีออนไลน์ไว้รองรับ” มนูกล่าว

    “แน่นอนว่าการขายอสังหาริมทรัพย์ ลูกค้ายังต้องได้เห็นของจริงด้วย และต้องเข้ามาพูดคุยรายละเอียดแบบกันก่อน แต่การประชาสัมพันธ์ผ่านออนไลน์จะเติบโตมากขึ้น เพราะออนไลน์ทำให้คนเห็นเราและติดต่อเราง่ายขึ้น”

     

    สร้างบ้านตัวอย่างใช้ Emotional ปิดการขาย

    การที่ยังต้องได้เห็น “ของจริง” ทำให้ซีคอนสร้างบ้านตัวอย่างหลังที่ 2 ที่ศูนย์ซีคอน สาขางามวงศ์วาน หลังจากบ้านตัวอย่างหลังที่ 1 ที่สาขาศรีนครินทร์ได้รับความนิยมมาก โดยหลังที่ 2 นี้ใช้งบลงทุนกว่า 10 ล้านบาท เป็นบ้าน 3 ชั้นสไตล์โมเดิร์น ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น ก่อสร้างบนที่ดินขนาด 97 ตร.ว. อยู่ริมถนนใหญ่เห็นได้ชัดเจน

    บ้านตัวอย่างซีคอน ศูนย์งามวงศ์วาน

    มนูกล่าวว่า ปกติบริษัทรับสร้างบ้านมักจะพาลูกค้าชมไซต์ก่อสร้างที่กำลังดำเนินการอยู่ เพื่อให้ลูกค้าเห็นโครงสร้างและวัสดุที่ใช้ แต่สุดท้ายแล้วพบว่าการมีบ้านตัวอย่างเป็นกลยุทธ์ ‘Emotional Sales’ ที่ดีกว่า เพราะลูกค้าไม่ได้เห็นแค่บ้านเปล่า แต่มีเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งครบ ช่วยสร้างแรงบันดาลใจจน “ปิดการขาย” ได้ง่ายขึ้น

    เป็นวิธีการขายแบบใหม่ของบริการรับสร้างบ้าน จากปกติในตลาดจะมีเฉพาะเจ้าใหญ่และบริษัทต่างประเทศอย่างบ้านต้านแผ่นดินไหว SCG Heim หรือบริษัทเซกิซุยจากญี่ปุ่นที่จะสร้างบ้านตัวอย่างให้ชมแบบนี้

    ]]>
    1290117
    “โออิชิ” ส่งโฆษณาออนไลน์สื่อความคิดถึง “แซลมอน” แทบขาดใจ ลุย Music Marketing ครั้งแรก https://positioningmag.com/1286851 Wed, 08 Jul 2020 03:59:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1286851 “โออิชิ” ปล่อยโฆษณาออนไลน์ชุดใหม่ สื่อแทนความคิดถึง อาหารญี่ปุ่นและปลาแซลมอนแทบใจจะขาด ในช่วงล็อกดาวน์ที่ต้องปิดร้านอาหาร แต่หลังจากกลับมาเปิดใหม่อีกครั้ง ได้เปิดมาตรการความสะอาด และความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้า

    ใครๆ ก็คิดถึงแซลมอน!

    ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส ทำให้หลายธุรกิจต้องหยุดชะงัก โดยเฉพาะร้านอาหารที่ไม่สามารถเปิดให้บริการทานในร้านได้ ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านบุเฟต์ ชาบูจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะต้องอาศัยประสบการณ์นั่งทานในร้าน

    แน่นอนว่าร้านอาหารในเครือ “โออิชิ” ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะไม่สามารถให้บริการลูกค้าได้เต็มที่เหมือนเดิม แต่เมื่อสถานการณ์ในประเทศเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ล่าสุดร้านอาหารญี่ปุ่นในเครือโออิชิ รวมมากกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อย

    แต่ในการกลับมาเปิดให้บริการในครั้งนี้ ยังมาพร้อมกับกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ โออิชิยังได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์ชุดใหม่ เรื่อง “กระเพาะว่าคิดถึง” (ซึ่งพ้องเสียงมาจาก “ก็เพราะว่าคิดถึง”) เพื่อแทนความคิดถึงตลอดระยะเวลาร่วมๆ 3 เดือน ที่หลายคนต้องรักษาระยะห่างทางสังคม โดยใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บ้าน ตามมาตรการ อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ และคิดถึงอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะเมนู “ปลาแซลมอน” จนแทบใจจะขาด!

    เป็นการทำ Music Marketing ครั้งแรกของโออิชิ ได้นำบทเพลงในตำนานอย่าง “คิดถึง” ของศิลปินร็อคเกอร์รุ่นใหญ่อย่าง หรั่ง ร็อคเคสตร้า มาดัดแปลงเนื้อร้อง และทำนองใหม่ และยังได้หรั่ง ร็อคเคสตร้า และลูกสาว เมทัล สุขขาวดี มาถ่ายทอดบทเพลงนี้ด้วย แถมยังมีความยาวกว่า 3.28 นาที งานนี้โออิชิไม่ได้มาเล่นๆ จริงๆ

    ]]>
    1286851
    แค่ผิวๆ! นักวิเคราะห์ประเมินกระแส “บอยคอตโฆษณา” Facebook กระทบรายได้เพียง 5% https://positioningmag.com/1286371 Thu, 02 Jul 2020 13:48:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1286371 ด้วยจำนวนบริษัทมากกว่า 500 แห่งที่ประกาศร่วมแคมเปญ “บอยคอตโฆษณา” ใน Facebook ตามเสียงเรียกร้องของกลุ่มรณรงค์เพื่อสิทธิพลเมือง ทำให้นักลงทุนหลายรายกังวลว่ารายได้บริษัทจะลดลงมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทวิเคราะห์หุ้นจาก Wall Street ประเมินว่ารายได้ Facebook จะลดลงเพียง 5% เท่านั้น แต่ถ้าเกิดขึ้นยาวนานกว่า 1 เดือนก็อาจจะมีผลกระทบสูงขึ้น

    แคมเปญ #StopHateforProfits มีบริษัทตบเท้าเข้าร่วมด้วยมากกว่า 500 แห่งแล้ว โดยมีบริษัทรายใหญ่จำนวนมากที่ประกาศร่วมแคมเปญนี้ด้วย เช่น Unilever, Pfizer, Lego, Dunkin Donuts, Starbucks, Coca-Cola ฯลฯ การรวมตัวกัน “คว่ำบาตร” งดลงโฆษณาใน Facebook ครั้งนี้ ส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทร่วงลงทันที 8% เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา

    แต่บริษัทวิเคราะห์และลงทุนใน Wall Street ประเมินว่าหุ้น Facebook ยังแข็งแรงอยู่โดยแนะนำให้ “ซื้อ” หุ้นบริษัท เพราะมองว่ารายได้ Facebook จะลดลงจากแคมเปญนี้ไม่เกิน 5%

    บริษัท Morgan Stanley คาดการณ์ว่า หากบริษัทที่ลงโฆษณาสูงสุด 100 แห่งหยุดลงโฆษณาทั้งหมด Facebook จะสูญเสียรายได้ประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน

    ส่วนนักวิเคราะห์จาก Citi มองว่า ถ้าการบอยคอตโฆษณาเกิดขึ้นเพียงเดือนเดียว ราคาหุ้นบริษัทจะลดลงประมาณ 1 เหรียญต่อหุ้น แต่ถ้าหาก Facebook ไม่สามารถจูงใจให้บริษัทลูกค้ากลับมาลงโฆษณาอีก ราคาหุ้นน่าจะลดลงถึง 17 เหรียญต่อหุ้น

    Starbucks หนึ่งในบริษัทร่วมแคมเปญ บอยคอตโฆษณา

    ด้าน Rohit Kulkarni นักวิเคราะห์จาก MKM Partners กล่าวว่า นักโฆษณาต่างลดการใช้เม็ดเงินโฆษณาลงอยู่แล้วตั้งแต่เกิดโรคระบาด COVID-19 แต่ Facebook นั้นมีฐานรายได้ที่หลากหลายจากแหล่งผู้ลงโฆษณานับหลายล้านรายทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น Procter & Gamble ซึ่งเป็นผู้ลงโฆษณารายใหญ่ที่สุดในโลก มีส่วนในรายได้ของ Facebook เพียง 0.5% เท่านั้น

    บทวิเคราะห์เหล่านี้สอดคล้องกับฐานข้อมูลของ Pathmatics ที่ระบุว่าแม้รวม Top 100 ผู้ลงโฆษณามูลค่าสูงที่สุดของ Facebook ก็ยังคิดเป็นเพียง 6% ของรายได้ทั้งหมด นอกจากนี้ Bank of America ยังวิเคราะห์ด้วยว่า แม้ผู้ลงโฆษณาเหล่านี้จะหยุดไป โซเชียลมีเดียนี้ก็มีกลไก “ประมูล” ที่ดึงผู้ลงโฆษณารายอื่นเข้ามาอยู่ดี

    แคมเปญ #StopHateforProfits ดังกล่าว มีการเรียกร้องให้บรรดาโซเชียลมีเดียจัดการกับ Hate Speech หรือคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาสร้างความเกลียดชังบนแพลตฟอร์มอย่างจริงจัง และบริษัทที่เข้าร่วมแคมเปญนี้จะหยุดลงโฆษณาไปก่อน จนกว่าแพลตฟอร์มจะจัดการกับปัญหา โดย Facebook คือโซเชียลมีเดียที่ถูกบอยคอตในครั้งนี้

    เรื่องนี้ทำให้ Facebook ออกมาตอบโต้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2020 จากการแถลงของ นิก เคลกก์ รองประธานฝ่ายความสัมพันธ์ระดับโลกของบริษัท ระบุว่า “Facebook ไม่ได้ทำกำไรจากความเกลียดชัง” พร้อมโต้กลับว่าแพลตฟอร์มของบริษัทสามารถลบข้อความสร้างความเกลียดชังได้เร็วกว่าคู่แข่ง เช่น YouTube หรือ Twitter ด้วยซ้ำ

    รายได้จากการโฆษณาของ Facebook เมื่อปี 2019 สูงถึง 6.97 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจาก Google ที่ทำรายได้จากเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์สูงที่สุดในโลก

    Source

    ]]>
    1286371
    “ทรัมป์” เดินเกมดิจิทัล ทุ่มซื้อโฆษณาบนโฮมเพจ YouTube หวังโกยเสียงเลือกตั้งอีกครั้ง https://positioningmag.com/1265434 Fri, 21 Feb 2020 11:42:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1265434 “ทรัมป์” เริ่มใช้กลยุทธ์โฆษณาออนไลน์กระหน่ำหาเสียงเลือกตั้งอีกครั้ง หลังประสบความสำเร็จจนได้ขึ้นเป็น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เเละมีโอกาสที่จะได้ดำรงตำเเหน่งต่อเป็นสมัยที่ 2

    สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ทีมหาเสียงของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้ทุ่มเงินซื้อพื้นที่โฆษณาบนหน้าเว็บไซต์โฮมเพจของ YouTube เเพลตฟอร์มวิดีโอชื่อดัง สำหรับช่วงต้นเดือน พ.ย.ที่จะถึงนี้

    ผลวิจัยของ Pew Research Center ระบุว่า ตามปกติการใช้จ่ายโฆษณาดิจิทัลมักมุ่งเน้นไปที่การกำหนดเป้าหมายไปยังผู้ชมเฉพาะกลุ่ม แต่การโฆษณาบนหน้าโฮมเพจของ YouTube นั้นเป็นเหมือนกับการโฆษณาทางทีวีในช่วงที่มีการแข่งขันซูเปอร์โบว์ลเลยทีเดียว เพราะชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่กว่า 75% บอกว่าพวกเขาใช้ YouTube มากกว่าใช้ Facebook เสียอีก

    ดังนั้นจึงเป็นการการันตีว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ จะได้เห็นการโฆษณาผลงานและนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ก่อนจะตัดสินใจลงคะเเนนเสียงเลือกตั้ง ในวันที่ 3 พ.ย.นี้อย่างเเน่นอน นอกจากนี้ทีมหาเสียงของทรัมป์ยังได้ซื้อโฆษณาดิจิทัลตามอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศด้วย

    สำหรับการโฆษณาบนโฮมเพจของ YouTube นั้นปกติจะเป็นวิดีโอที่จะเเสดงตลอดทั้งวัน โดยขึ้นอยู่กับระยะเวลาเเละงบที่ซื้อโฆษณา ซึ่งในกรณีของประธานาธิบดีทรัมป์นั้นไม่ชัดเจน เเต่เคยมีการประเมินว่าพื้นที่โฆษณาเหล่านี้มีราคาตั้งแต่หลายแสนดอลลาร์ไปจนถึงมากกว่า 1 ล้านดอลาร์ต่อวัน

    YouTube เป็นเเพลตฟอร์มในเครือของ Alphabet Inc. บริษัทเเม่ของกูเกิล ตามปกติเเล้วจะช่วยให้ผู้โฆษณาสามารถกำหนดเป้าหมายในการโฆษณากับกลุ่มผู้ใช้งานได้โดยอิงกับปัจจัยต่างๆ

    อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กูเกิลออกนโยบายจำกัดโฆษณาการเมือง โดยจะไม่แสดงโฆษณาการเมืองที่ระบุเป้าหมายด้วยเพศ อายุ ศาสนา สถานที่ในทุกช่องทางทั้งการค้นหา เเละใน YouTube รวมถึงโฆษณาที่ปรากฏบนเว็บไซต์ภายนอกที่เป็น Google Ads ด้วย แต่โฆษณาการเมืองทั่วไปที่ระบุกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้มีสิทธิโหวต ยังคงแสดงต่อไปได้

    ด้าน YouTube ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นกับรายงานข่าวนี้ แต่ก็กล่าวว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้โฆษณาทางการเมืองที่จะซื้อโฆษณาด้านบนสุดบนหน้าโฮมเพจ

    การเคลื่อนไหวด้านโฆษณาดิจิทัลของทรัมป์ครั้งนี้ ตอกย้ำสิ่งที่นักวิเคราะห์มองว่าการโฆษณาดิจิทัลของทรัมป์ทำให้เขาได้เปรียบเหนือคู่แข่งพรรคเดโมเเครต โดยแคมเปญต่างๆ ของประธานาธิบดีทรัมป์อาจใช้งบมากถึง 500 ล้านดอลลาร์ในด้านโฆษณาและกลยุทธ์ดิจิทัล

     

    ที่มา : Trump Ads Will Take Over YouTube’s Homepage on Election Day

    ]]>
    1265434
    ก้าวต่อไปของ LnwShop ปรับตัวครั้งใหญ่ ในยุคที่คนซื้อของผ่านเว็บไซต์น้อยลง https://positioningmag.com/1257766 Thu, 19 Dec 2019 11:32:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1257766 ตลาดอีคอมเมิร์ซในเมืองไทยเเละอาเซียนกำลังเฟื่องฟูสุด มูลค่าพุ่งถึง 3.2 ล้านล้านบาท ยอดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตก็โตเกือบ 4 เท่าจาก 10 ปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์มใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาตีตลาดนักช้อปออนไลน์ทำให้อีคอมเมิร์ซสัญชาติไทยในตลาดเเทบไม่เหลือ เเต่ “เทพช็อป LnwShop” ยังคงอยู่เเละกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 โดยให้บริการระบบบริหารร้านค้าออนไลน์เเบบครบวงจร

    ปรับตัวอย่างไร เมื่อคนไม่นิยมซื้อของในเว็บไซต์เเล้ว…

    ณัฐวิทย์ ผลวัฒนสุข กรรมการผู้จัดการบริษัท แอลเอ็นดับเบิ้ลยูช็อป จำกัด ผู้ร่วมก่อตั้ง Lnw Shop (เทพช็อป) กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจในปัจจุบันว่าผู้ประกอบการเริ่มหันไปเปิดร้านใน E-Market Place มากขึ้นเพราะขายง่าย
    เเละมีโปรโมชั่นใหญ่ทุกเดือน เเต่ข้อจำกัดที่ยังเป็นจุดเเข็งของเว็บไซต์คือ “ความน่าเชื่อถือ” การมีเว็บไซต์ทำให้คนจดจำเเละเป็นลูกค้าประจำได้

    ขณะเดียวกันเมื่อเทคโนโลยีโซเชียลพัฒนาขึ้นมาก คนก็หันไปเปิดร้านในสังคมออนไลน์ซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าคนไทยได้เป็นอย่างดี เพราะคนไทยชอบเเชทถามก่อนซื้อ เเละยังขึ้นเเท่นซื้อของผ่านเเชทออนไลน์มากที่สุดในโลกด้วย

    “เราต้องก้าวออกมาจากการเป็นเเค่เว็บไซต์ที่คนอาจเข้าน้อยกว่า โดยปรับมุมมองจากเว็บไซต์สำเร็จรูปให้เป็นระบบการจัดการร้านค้าออนไลน์มากขึ้น เชื่อมต่อแพลตฟอร์มอื่นๆ อย่างกูเกิล เฟซบุ๊ก ลาซาด้า และช้อปปี้ ทำให้ร้านค้าสามารถขายทุกช่องทางเเละมีระบบเพย์เมนต์รองรับ”

    ณัฐวิทย์ ผลวัฒนสุข กรรมการผู้จัดการบริษัท แอลเอ็นดับเบิ้ลยูช็อป จำกัด ผู้ร่วมก่อตั้ง Lnw Shop

    ข้อมูลล่าสุดมีจำนวนคนที่เข้ามาเปิดร้านกับ Lnwshop แล้วราว 740,000 ร้านเเละเเอคทีฟอยู่ประมาณ 5-6 หมื่นร้าน มียอดผู้ชมต่อวัน 2 ล้านคน โดยมี 3 กลุ่มสินค้าขายดี คือ กลุ่มเสื้อผ้าแฟชั่น กลุ่มแก็ดเจ็ตอุปกรณ์ไอที
    ตามมาด้วยกลุ่มเครื่องสำอางเเละอาหารเสริม

    “ยุคนี้ต้องทำควบคู่กันทั้งขายใน E-MarketPlace เเละต้องมีเว็บไซต์เป็นพื้นที่ของตนเอง ไม่ควรทำช่องทางใดช่องทางหนึ่ง ร้านค้าต้องขายทุกช่องทาง อย่าผูกติดกับแพลตฟอร์มใดเพียงเเพลตฟอร์มเดียว”

    บิ๊กโซเชียลชิงตลาดเเชท E-MarketPlace เเข่งส่งเร็ว

    Lnwshop เปิดเผยสถิติที่น่าสนใจสำหรับผู้ขายของออนไลน์ว่า ตอนนี้ผู้ซื้อของออนไลน์ที่หน้าเว็บนั้นมาจาก Google 50% จากการโฆษณา 19% การเข้าชมโดยตรง 17% และจาก Facebook 12%

    “ในปีหน้าเราจะได้เห็นผู้ให้บริการโซเซียลคอมเมิร์ซ ลงสนามเเข่งพัฒนาระบบเพื่อให้บริการกับลูกค้าของตัวเองกันดุเดือดมาก โดยเฉพาะการขายผ่านช่องทางการเเชท ขณะที่ผู้ให้บริการ E-MarketPlace รายใหญ่จะหันมาพัฒนาความรวดเร็วในการขนส่งสินค้าให้ส่งสินค้าถึงมือลูกค้าได้ในวันเดียว หรือ “Same Day Delivery” ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพื่อรองรับพฤติกรรมลูกค้ายุคใหม่ที่ซื้อเเล้วต้องได้ทันที” ณัฐวิทย์กล่าว

    สำหรับ Lnwshop ตอนนี้ได้พัฒนาระบบภายในให้ผู้ขายสามารถปรับข้อมูลสินค้าบริการต่างๆ ไปจนถึงระบบการสั่งซื้อ การชำระเงิน ให้สามารถเชื่อมต่อข้อมูลที่อัพเดตหน้าร้านออนไลน์ของตัวเองไปยังแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างๆ ได้พร้อมกันโดยอัตโนมัติ

    ทั้งนี้ Lnw มีผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้เเก่ LnwShop, LnwPay, LnwMall, LnwPickPack และ LnwDropShip

    LnwX.com X Google เจาะร้านค้าหน้าใหม่

    ช่วงเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา กูเกิลได้ร่วมมือกับ Lnw เปิดตัวแพลตฟอร์มน้องใหม่ LnwX เครื่องมือโฆษณา Google Shopping Ads ให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ไม่ว่าจะขายผ่านช่องทางไหนจะ Facebook Line หรือ IG ก็สามารถลงโฆษณากับกูเกิลได้ผ่าน LnwX.com

    “ตอนนี้ร้านค้าของเราเริ่มหันมาลงโฆษณากับกูเกิลเเล้วราว 1-2% เป็นร้านค้าเจ้าใหญ่ มีผลเพิ่มยอดขายได้สูงสุด 9 เท่า โดยที่ยังน้อยอยู่อาจเป็นเพราะว่าผู้ขายใน Lnwshop ยังชินกับการขายบนเเพลตฟอร์มของเราที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เเต่เชื่อว่าเมื่อผู้ขายเริ่มเห็นว่าการโฆษณามีผลช่วยเพิ่มยอดขายอย่างมาก ก็จะมีผู้ใช้งาน LnwX.com มากขึ้น โดยตั้งเป้าปีหน้าจะเพิ่มเป็น 10% เเละต้องการตีตลาดผู้ขายออนไลน์ที่เป็น SMEs ในไทยราว 4 เเสนราย ”

    พ่อค้าเเม่ค้าเตรียมปรับตัว EEC เร่งสินค้าจีนส่งถึงไทยไว

    ปฐมพล แสงอุไรพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แอลเอ็นดับเบิ้ลยูช็อป จำกัด ผู้ร่วมก่อตั้ง Lnw Shop กล่าวว่า ความท้าทายในปี 2020 และอาจส่งผลต่อผู้ประกอบการ SMEs ในไทย คือการเข้ามาของศูนย์กระจายสินค้าอัจฉริยะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของอาลีบาบา เพราะอนาคตสินค้าที่ส่งเข้ามาจากจีนจะถึงมือลูกค้าในเมืองไทยเร็วขึ้น จากการที่จุดพักสินค้ารองรับภายในประเทศแล้วและทำให้สินค้าไทยแข่งขันเรื่องราคายากขึ้น

    “ผู้ขายที่เน้นรับพรีออเดอร์สินค้าจากจีนจะได้รับผลกระทบส่วนนี้เยอะมาก ดังนั้นควรวางเเผนรีบปรับตัว หรือเสนอขายสินค้าให้โดดเด่นมากขึ้น เจาะตลาด niche market มากขึ้น เเละใช้จุดเเข็งของ SMEs ไทยคือเเชทขายกับลูกค้าที่เเสดงถึงความเอาใจใส่ ความเข้าใจเเละใกล้ชิดลูกค้ามาสู้ รวมถึงเพิ่มบริการหลังการขาย เเละอาจมีการปรับราคาให้เหมาะสม”

    ทั้งนี้ ในปี 2561 LnwShop มีการทำธุรกรรมเกิดขึ้นประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีอัตราการเติบโตธุรกิจไม่ต่ำกว่า 10% ต่อเนื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่ภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซ มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 20-30%

    ณัฐวิทย์ ผลวัฒนสุข ณัฐวิทย์ ผลวัฒนสุข กรรมการผู้จัดการบริษัท แอลเอ็นดับเบิ้ลยูช็อป จำกัด (ซ้าย) เเละ
    ปฐมพล แสงอุไรพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แอลเอ็นดับเบิ้ลยูช็อป จำกัด (ขวา) สองผู้ร่วมก่อตั้ง LnwShop

    LnwShop กับ 1 ทศวรรษที่ผ่านมา

    “สิ่งที่ทำให้ Lnw Shop สามารถดำเนินกิจการจนถึงในปัจจุบันได้ ท่ามกลางการเเข่งขันของธุรกิจออนไลน์ โดยเฉพาะการเข้ามาของแพลตฟอร์ม E-MarketPlace รายใหญ่ คือการปรับตัวเสมอ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไปเร็วเเค่ไหน ผู้ประกอบการรายย่อยก็ต้องปรับตัวเช่นกัน”

    ซีอีโอ Lnw ทิ้งท้ายไว้ว่า ท่ามกลางการเเข่งขันที่สูงมากเเละกำลังมีบริษัทใหญ่ๆ เข้ามาทำธุรกิจเดียวกันกับเทพช็อป สิ่งที่เราจะทำต่อไปที่นอกเหนือจากการพัฒนาเเพลตฟอร์มเเละการเชื่อมต่อกับอีคอมเมิร์ซรายอื่นๆ เเล้วก็คือการชูการให้บริการความเอาใจใส่ ความไว้วางใจเเละการจับมือไปด้วยกันกับผู้ประกอบการรายย่อยของไทยให้มีการขยายธุรกิจต่อไปได้

     

    ]]>
    1257766