โซเชียลมีเดีย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 28 Dec 2023 11:09:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 นักวิจัยเผย ‘โซเชียลมีเดีย’ ทำเงินเฉพาะแค่ ‘เยาวชน’ รวมกันกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ https://positioningmag.com/1457421 Thu, 28 Dec 2023 05:06:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457421 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ถูกตั้งคำถามว่าส่งผลเสียต่อเยาวชนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาของ Harvard TH Chan School of Public Health พบว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหลาย สามารถสร้างรายได้จากการโฆษณาในสหรัฐฯ รวมกันมากกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์จากเยาวชน

เพื่อหาตัวเลขรายได้ นักวิจัยได้เก็บข้อมูลผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาที่ อายุต่ำกว่า 18 ปี บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ได้แก่ Facebook, Instagram, Snapchat, TikTok, X และ YouTube ในปี 2022 เพื่อประเมินรายได้โฆษณาในสหรัฐฯ ของแต่ละแพลตฟอร์ม และเวลาที่เด็ก ๆ ใช้ต่อวันในแต่ละแพลตฟอร์ม หลังจากนั้น นักวิจัยได้สร้างแบบจำลองเพื่อประเมินรายได้โฆษณาที่แพลตฟอร์มได้รับจากเยาวชนในสหรัฐอเมริกา

จากการศึกษาพบว่า รายได้จากโฆษณาสูงสุดจากผู้ใช้ อายุ 12 ปีหรือต่ำกว่า แพลตฟอร์ม YouTube ทำเงินสูงสุด (959.1 ล้านดอลลาร์) ตามมาด้วย Instagram (801.1 ล้านดอลลาร์) และ Facebook (137.2 ล้านดอลลาร์)

ในส่วนของรายได้โฆษณาจากผู้ใช้ อายุ 13-17 ปี แพลตฟอร์ม Instagram ทำรายได้สูงสุดที่ (4 พันล้านดอลลาร์) ตามมาด้วย TikTok (2 พันล้านดอลลาร์) และ YouTube (1.2 พันล้านดอลลาร์)

นอกจากนี้ นักวิจัยยังคาดการณ์ว่า Snapchat ได้รับส่วนแบ่งสูงสุดของรายได้จากโฆษณาโดยรวมในปี 2022 จากผู้ใช้อายุต่ำกว่า 18 ปี (41%) ตามมาด้วย TikTok (35%), YouTube (27%) และ Instagram (16%)

“การค้นพบนี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการควบคุมโซเชียลมีเดียของรัฐบาล เนื่องจากเด็ก ๆ ยังไม่สามารถควบคุมตัวเองในการใช้แพลตฟอร์มได้ ดังนั้น แพลตฟอร์มควรจะมีความโปร่งใสที่มากขึ้น เพื่อช่วยบรรเทาอันตรายต่อสุขภาพจิตของเยาวชน และลดแนวทางการโฆษณาที่อาจเป็นอันตรายซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่เด็กและวัยรุ่น” นักวิจัยกล่าว

people using smart phone ,Social, media, Marketing concept

ทั้งนี้ นักวิจัยและผู้ร่างกฎหมายได้มุ่งความสนใจไปที่ผลกระทบด้านลบที่เกิดจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมานานแล้ว ซึ่งอัลกอริทึมที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคลสามารถผลักดันให้ เด็ก ๆ ใช้งานมากเกินไป โดยที่ผ่านมา สมาชิกสภานิติบัญญัติในรัฐ เช่น นิวยอร์กและยูทาห์ แนะนำหรือผ่านกฎหมายที่จะควบคุมการใช้โซเชียลมีเดียในหมู่เด็ก โดยอ้างถึงอันตรายต่อสุขภาพจิตของเยาวชนและข้อกังวลอื่น ๆ

ปัจจุบัน Meta ซึ่งเป็นเจ้าของ Instagram และ Facebook กำลังถูกฟ้องโดยรัฐหลายสิบแห่งในข้อหามีส่วนทำให้เกิดวิกฤตสุขภาพจิต และจากผลวิจัยพบว่า เด็กและวัยรุ่นวัยเรียนอาจจำโฆษณาได้ และมักจะไม่สามารถต้านทานโฆษณาได้เมื่อโฆษณานั้นฝังอยู่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กที่เชื่อถือได้ และได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอิทธิพลคนดัง

“แม้ว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอาจอ้างว่าพวกเขาสามารถควบคุมแพลตฟอร์มเพื่อลดอันตรายต่อเยาวชนได้ แต่การศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่า แพลตฟอร์มโซเชียลฯ ยังมีแรงจูงใจทางการเงินอย่างล้นหลามเพื่อชะลอการดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อปกป้องเด็ก ๆ ต่อไป” Bryn Austin ศาสตราจารย์ภาควิชาสังคมและพฤติกรรมศาสตร์ที่ Harvard กล่าว

ทั้งนี้ ตัวแพลตฟอร์มเองไม่ได้เปิดเผยว่าพวกเขาทำรายได้จากเยาวชนมากน้อยแค่ไหน

]]>
1457421
สรุป 15 อินไซต์การใช้ ‘โซเชียลฯ’ ของ ‘ภาคธุรกิจ’ ปี 66 ปีแห่งการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคผ่าน “เรียลไทม์คอนเทนต์” https://positioningmag.com/1455076 Mon, 11 Dec 2023 01:51:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455076 ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) ได้ทำการรวบรวมข้อมูลและสถิติการใช้งาน Facebook, X, Instagram, YouTube และ TikTok ของภาคธุรกิจกว่า 2,000 แบรนด์ชั้นนำจาก 20 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 3 ล้านข้อความ ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี 2566 ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2566 ผ่าน “INSTANT REPORT BUSINESS USAGE ภาพรวมการใช้งานโซเชียลมีเดียเชิงธุรกิจไตรมาส 1-3 2566” โดยมีสรุป 15 สาระสำคัญ ดังนี้

1. ภาคธุรกิจได้รับเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) โดยรวมมากถึง 421 ล้านครั้ง และจากการโพสต์ (Post) รวมมากกว่า 1 ล้านครั้ง โดยที่ 66% ของแบรนด์เน้นใช้พื้นที่บน Facebook เป็นหลัก รองลงมาคือ Instagram ที่มีสัดส่วนประมาณ 20%

2. ช่องทาง TikTok วิดีโอที่มียอดไลก์ (Like) สูง ส่วนมากจะเป็นวิดีโอสั้น เช่น คอนเทนต์โปรโมตสินค้าจากทางแบรนด์และไลฟ์สไตล์ของเจ้าของแบรนด์

3. ช่องทาง TikTok มีจำนวนการรับชม (View) และจำนวนคอนเทนต์สูงกว่า YouTube แต่แนวโน้มการเพิ่มขึ้น-ลดลงตลอดทั้งปีของทั้ง 2 แพลตฟอร์มมีทิศทางเหมือนกัน คือ ยอดการรับชมเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ในเดือนมีนาคม และลดลงเรื่อย ๆ ทุกเดือน ในขณะที่การโพสต์คอนเทนต์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ภาพจาก Pexels

4. พื้นที่บนโซเชียลมีเดียของบัญชีทางการ มีการใช้ Facebook เป็นหลัก โดยแบรนด์เลือกใช้ Facebook มากที่สุด (99%) รองลงมาคือ Instagram (73%), YouTube (50%), TikTok (38%) และ X (34%) ซึ่ง 95% ของแบรนด์ มีบัญชีทางการอย่างน้อย 2 แพลตฟอร์ม โดยใช้ Facebook เป็นหลัก มีเพียงแค่ 5% ของแบรนด์เท่านั้น ที่ยังคงใช้เพียงแค่ 1 แพลตฟอร์มในการทำการตลาดกับผู้บริโภค

5. ในภาพรวมแบรนด์เน้นทำคอนเทนต์สร้างการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหาที่ตลกและสนุกสนานให้ดูเข้าถึงง่าย, เรียลไทม์คอนเทนต์ รวมถึงการเกาะกระแสไวรัลต่าง ๆ สร้างความรู้สึกเป็นกันเอง และทำให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์เพิ่มขึ้น

6. ช่องทาง Facebook Reaction ถูกใช้เป็นฟังก์ชันในการโหวตเพื่อร่วมกิจกรรม และใช้แสดงความรู้สึก โดย Love คือรู้สึกดีชื่นชอบ, Haha คือขำขัน, Wow คือประหลาดใจ, Sad คือแสดงความเสียใจ ต่อการสูญเสีย, Angry คือไม่พอใจการให้บริการ

ภาพจาก Unsplash

7. ช่วงเวลาในการโพสต์คอนเทนต์ของแบรนด์ในทุกแพลตฟอร์ม คือ วันจันทร์-ศุกร์ โพสต์ตามเวลาทำการ (Working Hours) โดยเฉพาะก่อนเวลาพักเที่ยง และก่อนเลิกงาน ส่วนเสาร์-อาทิตย์จะเน้นโพสต์ช่วงครึ่งเช้า

8. กลุ่มธุรกิจที่ใช้แพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram มากที่สุดคือ Department Store แต่เอ็นเกจเมนต์ที่สูงที่สุดอยู่ในกลุ่มธุรกิจ Cosmetics & Skincare

9. กลุ่มธุรกิจที่ใช้แพลตฟอร์ม X มากที่สุดคือ Bank แต่เอ็นเกจเมนต์ที่สูงที่สุดไปอยู่ในกลุ่มธุรกิจ Marketplace & E-Commerce Platform

10. กลุ่มธุรกิจที่ใช้แพลตฟอร์ม YouTube มากที่สุดคือ Hospital, Mobile & Consumer Electronics และ Bank ตามลำดับ

11. กลุ่มธุรกิจที่ใช้แพลตฟอร์ม TikTok มากที่สุดคือ Shopping Center & Department Store, Cosmetics และ Skincare ตามลำดับ

ภาพจาก Shutterstock

12. กลุ่มธุรกิจที่เน้นโปรโมตโดยใช้ศิลปิน คือ กลุ่มธุรกิจ Marketplace & E-Commerce Platform โดยจะใช้แพลตฟอร์ม X และ Instagram ควบคู่กัน

13. แพลตฟอร์มที่แบรนด์เลือกใช้ถัดจาก Facebook จะเป็นไปตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในธุรกิจนั้น เช่น Skincare จะใช้ TikTok ควบคู่กับ Facebook ในขณะที่ Hospitality & Travel Agency และ Restaurant จะใช้ Instagram ควบคู่กับ Facebook ไปด้วย

14. กลุ่มธุรกิจที่ได้รับยอดเข้าชมรวม (View) สูงสุดบน TikTok 5 อันดับ คือ 1. Skincare, 2. Marketplace & E-Commerce Platform, 3. Beverage, 4. Cosmetics และ 5. Food & Snacks

15. กลุ่มธุรกิจที่ได้รับยอดเข้าชมรวม (View) สูงสุดบน YouTube 5 อันดับ คือ 1. Beverage, 2. Marketplace & E-Commerce Platform, 3. Personal Care & Skin Care, 4. Mobile & Consumer Electronics และ 5. Food & Snacks โดยกิจกรรมส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การโปรโมทคลิปโฆษณาที่มีความยาว 15-30 วินาที

]]>
1455076
เปิดสูตรความปังฉบับ ‘เบอร์เกอร์คิง’ กับความปั่นที่สร้างทั้ง ‘ตำนาน’ และ ‘ยอดขาย’ https://positioningmag.com/1444439 Fri, 15 Sep 2023 14:40:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444439 กลายเป็นตัวตึงบนโลกโซเชียลฯ ไปแล้วสำหรับ เบอร์เกอร์คิง (Burger King) ไม่ว่าจะเป็น เบอร์เกอร์ชีสล้วน 20 ชั้น, ไก่ทอดหาดใหญ่ รวมถึง โพสต์ปั่น ๆ ทันกระแส ซึ่ง 2 ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตลาดของแบรนด์ก็คือ ชนินทร์ นาคะรัตนากร Digital Market และ เจริญชัย บำรุงวงศ์ทอง Marketing Director บริษัท เบอร์เกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยทั้งคู่ได้ออกมาเผยถึงเบื้องหลังแนวคิดการปั้นแบรนด์ให้โดดเด่นสุด ๆ บนโลกโซเชียลฯ

เปลี่ยนแบรนด์ให้มีความเป็นคน

จุดแรกเริ่มที่จะทำการสร้างตัวตนแบรนด์บนโซเชียลที่ ชนินทร์ แนะนำก็คือ แบรนด์ต้องมีความเป็นมนุษย์ไม่ใช่เป็นแค่แบรนด์ เพราะต้องยอมรับก่อนว่าผู้บริโภคยุคนี้ไม่ได้อยากเห็นโพสต์โฆษณาจ๋า ๆ ที่เน้นขายของ แต่สิ่งที่เขาอยากเห็นคือ คอนเทนต์ที่เขาสามารถเอนเกจได้เหมือนกับโพสต์ของเพื่อน ดังนั้น บทบาทของเบอร์เกอร์คิงจึงมีความเป็นมนุษย์ โดยหยิบเอากระแสต่าง ๆ ในโลกโซเชียลมาเล่น เมื่อแบรนด์เป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง ลูกค้าก็จะมีอารมณ์ร่วมได้มากกว่า และเลือกที่จะสนทนาจะสื่อสาร

“เมื่อก่อน Facebook มันเหมือนแดชบอร์ด แบรนด์ก็โพสต์ขายของ ลูกค้าก็มาคอมเพลน แต่ไม่มีการพูดคุยกันแบบที่คนคุยกัน เราเลยเริ่มทำแคมเปญที่แบรนด์มาคุยกัน เราก็เห็นเทรนด์การตอบของลูกค้าที่เปลี่ยนไป เริ่มมาคุยเล่นกับเรามากขึ้น เราก็ฟอลโล่ตามเทรนด์นั้น” ชนินทร์ อธิบาย 

ศึกษาเพื่อเข้าใจในความต่าง

การศึกษาอินไซต์ของลูกค้าหรือผู้ชม (Audience) ที่อยู่ในแฟนเพจว่าเป็นคนกลุ่มไหน ชอบคอนเทนต์แบบไหน มีความสนใจแบบไหน จะทำให้นักการตลาดเข้าใจว่า ควรสื่อสารกับเขาด้วยภาษาไหน เพราะการจะเป็นเพื่อนกับลูกค้า ต้องพูดภาษาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ลูกค้าสมัยนี้มีความ แยกย่อย (Fragment) บางคนชอบเล่นเกม, ชอบฟุตบอล หรือเพลง แบรนด์ก็ควรพยายามที่จะตอบโต้ให้ได้

“ที่แฟนเพจเรามีการตอบโต้เยอะเพราะเขามาคุยอะไรกับเรา เราก็ตอบได้ ลูกค้าก็จะรู้สึกเซอร์ไพรส์ ชวนคุยอะไรก็คุยได้ ตอบได้ เขาก็อยากกลับมาอยากชวนแอดมินคุย ซึ่งคาแรกเตอร์เราจะเหมือนกับ Audience ที่พบ คือ ตลก จิกกัด แต่ไม่หยาบคาย”

(ขวา) เจริญชัย บำรุงวงศ์ทอง Marketing Director, ชนินทร์ นาคะรัตนากร Digital Market (กลาง), ธนวรรธ ดำเนินทอง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (ซ้าย)

ใช้อินไซต์ผู้บริโภคนำทาง

หลังจากที่แบรนด์สามารสื่อสารกับลูกค้าได้ มีเอนเกจอย่างสม่ำเสมอ แบรนด์ก็จะสามารถ ฟังเสียง ลูกค้าได้ สามารถนำอินไซต์ความต้องการต่าง ๆ มาพัฒนาเป็น สินค้าและโปรโมชั่น ที่ตรงใจ ไม่ว่าจะเป็น เบอร์เกอร์ชีสล้วน 20 ชั้น ซึ่งเกิดจากอินไซต์ที่พบว่าผู้บริโภคไทยชอบทานชีส หรือ ไก่ทอดหาดใหญ่ ที่ลูกค้าบอกอยากให้มี หรือล่าสุดที่โพสต์ถามความเห็นลูกเพจว่า อยากจะเห็นเบอร์เกอร์อะไรกลับมาขายอีกครั้ง ก็ทำให้เบอร์เกอร์คิงนำเอาเมนู Black and Pink Burger ที่เคยเปิดจำหน่ายในปีก่อนกลับมาขายอีกครั้ง พร้อมปรับปรุงสูตรให้ดีขึ้นกว่าเดิม

“การที่เราสื่อสารกับเขาอย่างจริงใจ ผู้บริโภคก็จะฟีดแบกอินไซต์กลับมา ดังนั้น ก่อนจะทำเมนูใหม่ ๆ เราจะใช้ผู้บริโภคนำ จากนั้นก็มาคิดว่าเหมาะกับซีซันนอลนั้น ๆ หรือเปล่าแล้วก็นำมาปลั๊กอินกัน โดยเราก็ต้องทำงานร่วมกับ R&D หรืออย่างแคมเปญเบอร์เกอร์ชีสล้วนเราไม่ได้คาดหวังว่าลูกค้าจะทานได้ทุกคน แต่ตอบโจทย์คนที่อยากตามกระแสมากกว่า เจริญชัย บำรุงวงศ์ทอง กล่าว

ที่ผ่านมา เบอร์เกอร์คิงมีโปรดักส์ใหม่เกือบ 20 เมนูต่อปี โดยจะมีเมนูออกใหม่ทุกเดือนเพื่อดึงดูดผู้บริโภคใหม่ ๆ เพื่อให้มีสักเมนูที่เขาสามารถทานได้แม้ไม่ใช่เบอร์เกอร์ รวมถึงมีการจัดโปรโมชั่นควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ลูกค้าได้สามารถ ทดลองได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ใช่ทุกคนที่อยากเข้าเบอร์เกอร์คิงเพราะเจอเมนูที่ชอบหรืออยากลองเมนูใหม่ ๆ

เอนเกจเมนต์เพิ่ม 3,000%

จากทั้งการตลาด, สินค้าใหม่, โปรโมชั่น และโลเคชั่นที่ครอบคลุม ทำให้ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่โดดเด่นมาก ๆ ของเบอร์เกอร์คิง เพราะแบรนด์มีจำนวน ลูกค้าใหม่ เพิ่มขึ้นถึง +50% ยอดการ สมัครสมาชิก บนแพลตฟอร์มเบอร์เกอร์คิงก็พุ่ง 4 เท่า ขณะที่ยอด เอนเกจเมนต์ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ก็ทะยานถึง 3,000% และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ ยอดขาย ในเดือนกรกฎาคมที่มีแคมเปญเบอร์เกอร์ชีสล้วน 20 ชั้นก็ เป็น New High ตลอดการของบริษัท โดยคาดว่าจบปีนี้เบอร์เกอร์คิงจะเติบโตไม่ต่ำกว่า +20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

“เมื่อแบรนด์มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ลูกค้าก็จะมองแบรนด์เป็นคนคนหนึ่ง เขาก็จะไม่มาคอมเพลนหรือคอมเมนต์อะไรที่รุนแรง กลับกันถ้าเขามองแบรนด์เป็นก็จะคอมเพลนโดยที่ไม่สนใจว่าแบรนด์จะรู้สึกอะไรไหม” ชนินทร์ ทิ้งท้าย

]]>
1444439
Meta ฆ่าไม่ตาย! ฟันรายได้ Q2 ทะลุ 3 หมื่นล้านโต 11% ผู้ใช้รวมกันกว่า 3.88 พันล้าน/เดือน https://positioningmag.com/1439201 Thu, 27 Jul 2023 04:43:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439201 ดูเหมือนขาลงของ Meta จะหมดไปแล้ว เพราะล่าสุด หุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นเกือบ 7% ในการซื้อขายระยะยาวในวันพุธหลังจากผลประกอบการดีกว่าที่คาดไว้ โดยกลับมาเติบโตได้ 2 หลัก ขณะที่จำนวนผู้ใช้งาน Facebook ก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

สำหรับรายได้ของ Meta ใน Q2/2023 อยู่ที่ 31,999 ล้านดอลลาร์ เติบโต 11% มีกำไรสุทธิ 7,788 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม รายได้ในส่วนของ Reality Labs ซึ่งเป็นส่วนของการพัฒนา Metaverse อยู่ที่ 276 ล้านดอลลาร์ ลดลง 39% ซึ่งอาจไม่น่าแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาส่วนในการพัฒนาด้าน Metaverse นั้นขาดทุนมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

ด้านจำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์มของตระกูล Meta ทั้งหมด ได้แก่ Facebook, WhatsApp, Instagram, Messenger และ Threads มีผู้ใช้งานรวมกันกว่า 3.88 พันล้านคนต่อเดือน หรือ เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลก โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม Facebook มีผู้ใช้งานมากกว่า 3 พันล้านคนต่อเดือน

อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์ม Facebook ที่ดูจะเสื่อมความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น แต่ปัจจุบันแพลตฟอร์มนี้ก็ยังห่างไกลจากความตาย จากที่จำนวนผู้ใช้รายวันลดลงทุกไตรมาสนับตั้งแต่ Q4/2021 แต่ใน Q2/2023 จำนวนผู้ใช้ที่ใช้งานรายวันก็เติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 2.037 พันล้านคนต่อวัน เป็น 2.064 พันล้านคนต่อวัน

ที่น่าสนใจคือ การเติบโตดังกล่าวอาจถูกขับเคลื่อนโดย Reels ซึ่งเป็นฟีเจอร์วิดีโอสั้นเหมือนกับของ TikTok ที่ Meta พยายามผลักดันอย่างหนักทั่วทั้งในแพลตฟอร์ม Instagram และ Facebook โดย Mark Zuckerberg CEO ของ Meta เปิดเผยว่า Reels มีการใช้ถึง 2 แสนล้านครั้งต่อวัน

ด้านแพลตฟอร์มใหม่ถอดด้ามอย่าง Threads ก็มีผู้ใช้ถึง 100 ล้านคนภายใน 5 วัน และ ผู้ใช้ราว 10 ล้านคนเข้ามาใช้งานทุกวัน ซึ่ง Mark Zuckerberg มองว่าตัวเลขดังกล่าวค่อนข้างน่าประทับใจ

ในส่วนของต้นทุนและค่าใช้จ่ายของ Meta ใน Q2/2023 ทั้งหมดอยู่ที่ 2.221 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนจำนวนพนักงานในปัจจุบันอยู่ที่ 71,469 คน ลดลง 14% เมื่อเทียบเป็นรายปี

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา หุ้นของ Meta เติบโตขึ้นกว่า 160%

TechCrunch/CNBC

]]>
1439201
เปิดลิสต์ตัวแทน ‘Twitter’ นอกจาก ‘Threads’ มีแอปฯ ไหนน่าใช้อีกบ้าง? https://positioningmag.com/1436868 Thu, 06 Jul 2023 08:25:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1436868 เปิดให้โหลดเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ Threads แพลตฟอร์มใหม่จาก Meta ที่เรียกได้ว่ามาแทนที่ Twitter ที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงนับตั้งแต่ที่ อีลอน มัสก์ เข้ามาเป็นเจ้าของ โดยเพียงแค่ 7 ชั่วโมงที่เปิดให้โหลด Threads ก็มียอดผู้ใช้กว่า 10 ล้านรายไปแล้ว ว่าแต่ถ้าไม่อยากใช้ Threads แทน Twitter เราสามารถใช้งานแอปอะไรได้บ้าง

Bluesky

แพลตฟอร์มที่ถูกสร้างโดย Jack Dorsey อดีต CEO ของ Twitter ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มันจะคล้ายกับ Twitter โดยวิธีการใช้งานของเจ้า Bluesky นั้นก็มีความคล้าย Twitter อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหน้าฟีดที่จะแสดงโพสต์ที่น่าสนใจ, การจำกัดตัวอักษรในการเขียนโพสต์สูงสุด 256 ตัวอักษร, มีปุ่มรีโพสต์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะแตกต่างจาก Twitter ก็คือ ผู้ใช้ใหม่จะต้องมีคน เชิญ เท่านั้น (คล้าย ๆ กับ Clubhouse) ดังนั้น แพลตฟอร์ม Bluesky จึงยังไม่ได้มีการใช้งานที่แพร่หลายมากนักในปัจจุบัน

Mastodon

ถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีมานานต้ังแต่ปี 2016 และที่น่าสนใจคือ Mastodon เป็นแพลตฟอร์มแบบ Decentralized ที่จะประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์อิสระมากมาย ซึ่งจุดนี้เองทำให้ผู้ใช้สามารสร้าง Mastodon (หรือที่เรียกว่าการสร้างเซิร์ฟเวอร์) ของตัวเอง สามารถสร้างกฎเกณฑ์ต่าง ๆ หรือปรับแต่งได้ตามใจชอบ 

นอกจากนี้ ในหน้าฟีดของ Mastodon แสดงตามบุคคลที่เราติดตามและ แสดงตามลำดับเวลาเท่านั้น เนื่องจากแพลตฟอร์มไม่มีอัลกอริทึมมาคอยจัดการว่าโพสต์ไหนควรขึ้นก่อน ขึ้นหลัง ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ก็มีให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นการตอบกลับ, รีโพสต์ เป็นต้น และที่น่าจะถูกอกถูกใจผู้ใช้หลายคนก็คือ ไม่มีโฆษณา เพราะ Mastodon ถูกพัฒนาโดย องค์กรไม่แสวงหากำไร ดังนั้น จึงไม่มีการขายโฆษณา

Minds

จุดเด่นของ Minds ก็คือ เป็นแพลตฟอร์มที่ ไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นชื่อจริง เบอร์โทรศัพท์ หรือแม้แต่หมายเลข IP Address ของผู้ใช้งาน แค่เพียงกรอกชื่อ รหัสผ่าน และอีเมล (รอเมลยืนยัน) ก็ใช้งานได้เลย ซึ่งฟีเจอร์ต่าง ๆ ก็มีครบ อาทิ ปุ่ม Remind ที่เปรียบเสมือปุ่ม Retweet และที่สำคัญคือ ไม่มีการจำกัดเนื้อหาที่โพสต์ 

อย่างไรก็ตาม เพราะแพลตฟอร์มไม่เช็คข้อมูลส่วนตัวใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น หลายคนเลยมีความกังวลด้าน ความปลอดภัย หรือการ แอบอ้าง เป็นบุคคลต่าง ๆ ได้

Hive Social

แพลตฟอร์มที่ก่อตั้งโดย วัยรุ่นอายุ 24 ปี นาม Raluca Pop ซึ่งหลังจากเปิดตัวก็มียอดดาวน์โหลดถึง 2 ล้านครั้ง โดยจุดเด่นของ Hive Social ที่ผู้พัฒนาต้องการเน้นก็คือ สุขภาพจิตของผู้ใช้ ดังนั้น เอไอของแพลตฟอร์มจะเน้นทำหน้าที่คัดกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แถมยังไม่สนับสนุนข้อความที่สื่อถึงความเกลียดชังทุกรูปแบบอีกด้วย และที่สำคัญ ไม่มีโฆษณาคั่น

ในส่วนของการใช้งานจะ ไม่มีจำกัดจำนวนตัวอักษร ในการโพสต์ ส่วนเนื้อหาที่ขึ้นฟีดก็จะอิง ตามลำดับเวลา เหมือนกับ Mastodon แต่ที่น่าสนใจคือ สามารถเพิ่มเพลงลงในหน้าโปรไฟล์ได้อีกด้วย

CounterSocial 

แพลตฟอร์มที่ระบุเลยว่า ไม่มีโฆษณา ข่าวปลอม หรือการละเมิดใด ๆ บนแพลตฟอร์ม โดย CounterSocial เน้นนําเสนอข่าวสาร การสตรีมสด และความสามารถในการสร้างชุมชน ผู้ใช้กําหนดเนื้อหาบน CounterSocial นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างคอลัมน์บนอินเทอร์เฟซผู้ใช้เพื่อจัดเรียงโพสต์ตามหัวข้อ แฮชแท็ก และผู้ใช้ ผู้ใช้สามารถแชร์ กดไลก์ และแสดงความคิดเห็นในโพสต์ได้ มีคุณสมบัติวิดีโอแชทด้วย

นี่เป็นแค่แพลตฟอร์มบางส่วนเท่านั้น เพราะจริง ๆ ยังมีอีกหลายแพลตฟอร์มที่การใช้งานคล้ายกับ Twitter เช่น Tumblr, Reddit ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในตลาดมานาน แต่ก็มีบางแพลตฟอร์มอย่าง Gettr แพลตฟอร์มที่สร้างโดยอดีตโฆษกของ Donald Trump ที่มีเป้าหมายเพื่อการสนับสนุนกลุ่มอนุรักษนิยมอเมริกัน ดังนั้น แม้จะมีความคล้ายกับ Twitter แบบสุด ๆ แต่ก็มองว่าอาจจะไม่ได้เหมาะกับผู้ใช้ไทยนัก ว่าแต่ นอกจาก Threads แล้ว สนใจอยากลองใช้แพลตฟอร์มไหนกันอีกบ้าง

]]>
1436868
ท้าชิงบัลลังก์! Meta ซุ่มพัฒนาแอปฯ แข่งกับ Twitter โดยใช้ Instagram เป็นฐานส่งต่อผู้ใช้งาน https://positioningmag.com/1431106 Sat, 20 May 2023 09:23:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431106 Twitter จะมีอีกหนึ่งผู้ท้าชิงบัลลังก์ หลังจากมีข่าวหลุดออกมาว่า Meta กำลังพัฒนาทดสอบแอปพลิเคชันใหม่ เป็นโซเชียลมีเดียที่เน้นการส่งข้อความ (Text-Based) โดยเลือก Instagram เป็นฐานสร้างและส่งต่อผู้ใช้งาน

“ลีอา ฮาเบอร์แมน” วิทยากรการสอนด้านการตลาดโซเชียลและอินฟลูเอนเซอร์ ที่มหาวิทยาลัย UCLA ทวีตข้อความและรูปภาพบนบัญชี Twitter ของเธอว่า Meta กำลังพัฒนาแอปฯ ใหม่ขึ้นมา และหน้าตานั้นเหมือนกับ Twitter มาก

ภาพตัวอย่างแอปฯ ใหม่ที่ฮาเบอร์แมนได้มานั้นยังไม่ระบุชื่อแอปฯ แต่เป็นภาพการตลาดเพื่อสื่อสารกับกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์/ครีเอเตอร์ว่า Instagram กำลังจะมีโซเชียลมีเดียใหม่ที่เน้นการส่งข้อความ (Text-Based) และเชิญชวนให้ครีเอเตอร์เปิดบัญชีกับแอปฯ ใหม่นี้ ซึ่งจะทำให้โต้ตอบข้อความกับกลุ่มเพื่อน แฟนคลับ และครีเอเตอร์คนอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น

ภาพหลุดหน้าตาแอปฯ ใหม่ของ Meta ที่จะมาแข่งกับ Twitter จากบัญชี @liahaberman

ทาง Meta อธิบายแอปฯ ใหม่นี้ว่าเป็น “Instagram for your thoughts” หรือเป็น Instagram สำหรับสื่อสาร ‘ความคิด’ ของคุณ

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข้อมูลที่สอดคล้องกับฮาเบอร์แมน โดยอ้างอิงแหล่งข่าววงในพบว่า แอปฯ ได้เปิดให้อินฟลูเอนเซอร์ คนดัง คอนเทนต์ครีเอเตอร์ ที่ได้รับเลือกหลายคนทดสอบการใช้งานมานานหลายเดือนแล้ว

รายงานยังบอกด้วยว่า โซเชียลมีเดียใหม่นี้จะทำให้เชื่อมต่อกับ Instagram ได้โดยตรง ความหมายคือ ผู้ที่มีบัญชี Instagram อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องสมัครใหม่ สามารถใช้ชื่อ username และ password เดิมได้เลย และแอปฯ จะดึงข้อมูลการตั้งค่าต่างๆ จาก Instagram มาโดยอัตโนมัติ เช่น ข้อความแนะนำตัว (bio), บัญชีที่ถูกบล็อกไว้, คำที่ถูกบล็อกไว้

ฮาเบอร์แมนยังให้รายละเอียดด้วยว่า แอปฯ ใหม่ของ Meta จะอนุญาตให้ผู้ใช้ส่งข้อความได้สูงสุดครั้งละ 500 ตัวอักษร ใส่ภาพในข้อความได้ และอัปโหลดวิดีโอได้ยาวสูงสุด 5 นาที

ถือว่าให้มากกว่า Twitter ในยุคอีลอน มัสก์ เพราะบัญชีที่ไม่ได้สมัคร Twitter Blue ไว้จะทวีตได้สูงสุดครั้งละ 280 ตัวอักษร และอัปโหลดวิดีโอได้ยาวสูงสุดไม่เกิน 2 นาที 20 วินาที

ที่ผ่านมามีแอปฯ จำนวนไม่น้อยที่พยายามจะดึงผู้ใช้ออกจาก Twitter หลังจากอีลอน มัสก์เข้าควบคุมกิจการแล้วเกิดกระแสความไม่พอใจ แต่ยังไม่มีแอปฯ ไหนที่สามารถดึงมวลชนให้มาใช้งานได้มากจริงๆ จนนับว่าเป็นคู่แข่งใหม่ของ Twitter

ในรายงานของสำนักข่าวต่างๆ คาดกันว่า Meta น่าจะประกาศการเปิดตัวแอปฯ ใหม่ดังกล่าวได้ภายในฤดูร้อนนี้ และเร็วที่สุดที่เป็นไปได้คือเปิดตัวเดือนมิถุนายนนี้เลย ต้องมาติดตามกันว่า ความพยายามแย่งตลาดของ Meta จะทำสำเร็จหรือไม่

Source

]]>
1431106
‘TikTok’ เตรียมจำกัดเวลาใช้งานไม่เกิน 60 นาที/วัน ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี https://positioningmag.com/1421807 Fri, 03 Mar 2023 09:44:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1421807 เนื่องจากข้อกังวลในการใช้งานโซเชียลมีเดียของเยาวชนในหลายประเทศ ทำให้แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นสุดฮิตในกลุ่มวัยรุ่นอย่าง TikTok ได้เตรียมออกกฎใหม่ โดยทุกบัญชีที่มีผู้ใช้อายุต่ำกว่า 18 ปี จะมีการจำกัดเวลาการใช้งานที่ไม่เกิน 60 นาทีต่อวัน

Cormac Keenan หัวหน้าฝ่ายความไว้วางใจและความปลอดภัยของ TikTok กล่าวว่า แพลตฟอร์มกำลังออกฟีเจอร์ใหม่ทำให้ เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี สามารถใช้งาน TikTok ได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง/วัน โดยเมื่อครบเวลาที่กำหนด ผู้ใช้จะถูกบังคับให้ใส่รหัสผ่านเพื่อยืนยันว่าจะใช้งานต่อ สำหรับบัญชีที่ ผู้ใช้อายุต่ำกว่า 13 ปี ต้องใช้งาน TikTok for Younger Users โดยพ่อแม่หรือผู้ปกครองจะต้องตั้งหรือป้อนรหัสผ่าน เพื่อให้สามารถรับชม TikTok ได้เพิ่มขึ้น 30 นาที หลังจากใช้งานครบขีดจำกัด 1 ชั่วโมง

เบื้องต้น แพลตฟอร์มจะเริ่มกระตุ้นให้เยาวชนกำหนดเวลาการใช้งาน ซึ่งหากพวกเขาเลือกไม่ใช้ค่าเริ่มต้น 60 นาที บริษัทจะส่งการแจ้งเตือนกล่องจดหมายรายสัปดาห์ไปยังบัญชีผู้ใช้ พร้อมสรุปเวลาหน้าจอ นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ Family Pairing สำหรับผู้ปกครองที่จะสามารถเชื่อมต่อบัญชีของบุตรหลานเข้ากับบัญชีของตัวเอง เพื่อดูระยะเวลาการใช้ TikTok และกำหนดระยะเวลาใช้งานในแต่ละวันได้

ไม่ใช่แค่ความกังวลถึงการใช้เวลาบน TikTok ที่มากเกินไปในหมู่เยาวชน แต่แพลตฟอร์มกำลังถูกรัฐบาลในหลายประเทศจับตา ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกา แคนาดา รัฐสภายุโรป คณะกรรมาธิการยุโรป และสภาสหภาพยุโรป ที่สั่งห้ามไม่ให้อุปกรณ์ไอทีของรัฐบาลติดตั้งแพลตฟอร์ม TikTok บนอุปกรณ์ เนื่องจากข้อกังวลด้านความปลอดภัยของข้อมูล

]]>
1421807
กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์โดย สยามพารากอน และไอคอนสยาม ยืนหนึ่งในใจ คว้ารางวัลสุดยอดแบรนด์ที่มีผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดียในงาน THAILAND SOCIAL AWARDS ครั้งที่ 11 https://positioningmag.com/1420342 Thu, 23 Feb 2023 13:00:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1420342 กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกชั้นนำ ตอกย้ำความสำเร็จของการเป็นผู้นำในการพัฒนาจุดหมายปลายทางระดับโลก โดยสยามพารากอน คว้ารางวัลชนะเลิศ Best Brand Performance on Social Media เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สาขากลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า และไอคอนสยาม ได้รับรางวัล Finalist เป็นหนึ่งในห้าของแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย ในงานประกาศรางวัล THAILAND SOCIAL AWARDS จัดโดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด

รางวัลครั้งนี้สะท้อนความแข็งแกร่งของกลุ่มสยามพิวรรธน์ ผู้นำความคิดสร้างสรรค์ นำเสนอประสบการณ์เหนือระดับที่โดดเด่นและแตกต่างให้ทุกศูนย์การค้าในเครือผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ และครองความเป็นที่หนึ่งในใจของกลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดีย

นางธณพร ตันติยานนท์ ผู้บริหารหน่วยธุรกิจศูนย์การค้าสยามพารากอน กล่าวว่า “รู้สึกยินดีและภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่สยามพารากอนได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะเลิศ เป็นแบรนด์ที่มีผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย ในสาขาห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า รางวัลนี้ตอกย้ำความสำเร็จของสยามพารากอนในการสร้างประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้าในทุกมิติ ด้วยกิจกรรมการตลาดหลากหลายรูปแบบ งานอีเว้นท์ และการเปิดตัวสินค้าแบรนด์ดังระดับโลกมากมายในหลายธุรกิจ ทำให้สยามพารากอนยังคงเป็นแลนด์มาร์คยืนหนึ่งในใจผู้คน จนได้รับการพูดถึงในสื่อโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สยามพารากอนกำลังอยู่ระหว่างการทรานสฟอร์มครั้งใหญ่ ที่จะยกระดับความเป็นแลนด์มาร์คระดับโลกให้เป็นที่สุดของความเลิศล้ำ เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของผู้คน ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแห่งโลกอนาคตได้มากขึ้นกว่าเดิมในทุกมิติ”

นางสุมา วงษ์พันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า การได้รับรางวัลด้านโซเชียลมีเดียในปีนี้ เป็นผลจากแผนงานที่มุ่งมั่นนำเสนอกิจกรรมการตลาดในรูปแบบประสบการณ์พิเศษที่โดดเด่น รวมถึงการบริการที่ตอบโจทย์ตรงใจของลูกค้าจริงๆ การทำงานบนสื่อโซเชียลในปัจจุบันเราสามารถวิเคราะห์ข้อมูลทั้งจากระบบของแพลตฟอร์มเอง ร่วมกับข้อมูลจากการมอนิเตอร์สื่อบนออนไลน์ต่างๆ ทำให้เราเข้าใจลูกค้าแต่ละกลุ่มมากขึ้นและสามารถนำเสนอคอนเทนท์ บริการ และรายการส่งเสริมการตลาดต่างๆ แบบเฉพาะกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนั้น ไอคอนสยามยังได้รับการคัดเลือกเป็นสถานที่จัดกิจกรรมทั้งงานประชุม สัมมนา และกิจกรรมบันเทิงจากศิลปินระดับโลกมากมายตลอดทั้งปี ทำให้ปีนี้ ไอคอนสยามมีลูกค้าและผู้สนใจเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์และกิจกรรมการตลาดผ่านสื่อโซเชียลมีเดียมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เราติดอันดับหนึ่งในห้าของแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดียครั้งนี้ นอกจากนั้น รางวัลครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความสำเร็จตอกย้ำปณิธานที่ต้องการสร้างไอคอนสยามให้เป็นหมุดหมายปลายทางระดับโลก โดยเป็นตัวแทนประเทศไทยนำเอกลักษณ์และสิ่งที่ดีที่สุดของไทยไปบรรจบกับสิ่งที่ดีที่สุดของโลกบนแลนด์มาร์คริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

นายกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลการพิจารณารางวัล Thailand Social Awards ในปีนี้ แบรนด์ Siam Paragon ได้รับรางวัล Winner ของกลุ่มรางวัล Best Brand Performance on Social Media สาขา Shopping Center & Department Store เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สาขาห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า โดยรางวัล Thailand Social Awards มีการเก็บข้อมูลบนโซเชียลมีเดียของแบรนด์มากกว่า 2,000 แบรนด์ เฉพาะกลุ่มธุรกิจในสาขาศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้านี้ มีการเก็บข้อมูลนำมาวัดผลทั้งสิ้นมากกว่า 80 แบรนด์ จากนั้น นำข้อมูลมาพิจารณาร่วมกับคณะที่ปรึกษาอีก 18 ท่าน โดยวัดจากทั้งช่องทางโซเชี่ยลของแบรนด์ตนเอง และช่องทางจากการที่คนอื่นพูดถึงแบรนด์ ผ่าน 4 แพลตฟอร์มหลัก คือ Facebook, Instagram, Twitter และ YouTube

“โดยปีนี้ ศูนย์การค้าในกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมติดอันดับถึงสองแห่ง ได้แก่ Siam Paragon เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอันดับ 1 บนโซเชียลมีเดีย ในสาขาห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า โดยมีผลคะแนนโดดเด่นในกลุ่มเดียวกัน นอกจากนั้น ยังมีแบรนด์ไอคอนสยาม ที่ได้รับรางวัล Finalist ติดอันดับหนึ่งในห้าของแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดียเช่นกัน”

“THAILAND SOCIAL AWARDS” เป็นงานประกาศรางวัลโซเชียลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จัดโดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียล และมีการประกาศรางวัล ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม ปีนี้ ได้จัดต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 11 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์ และยกระดับวงการโซเชียล ผ่านการมอบรางวัลเพื่อเชิดชูแบรนด์ อินฟลูเอนเซอร์ และบุคคลในวงการบันเทิงที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโลกโซเชียลในสาขาต่างๆ ผ่านการวัดประสิทธิภาพความสามารถในการทำกิจกรรมการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเป็นรูปธรรม

]]>
1420342
นักวิเคราะห์คาด ‘Meta Verified’ จะมีผู้ใช้กว่า 12 ล้านราย ฟาดรายได้ 1.7 พันล้านเหรียญภายในปีหน้า https://positioningmag.com/1420267 Wed, 22 Feb 2023 03:30:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1420267 เป็นข่าวฮือฮาเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ เมื่อ Facebook และ Instagram เดินตามรอย Twitter ที่ออกฟีเจอร์ Meta Verified หรือ เครื่องหมายติ๊กถูกหลังชื่อ เพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นเพจจริง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องบัญชีปลอม หรือแอบอ้างเป็นบุคคล

จากการคาดการณ์ของ Bank of America (BoFA) มองว่าบริการ Meta Verified ที่จะคิดค่าบริการ 11.99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 400 บาท จะมีผู้ใช้งานทั่วโลกประมาณ 12 ล้านรายภายในปี 2024 ซึ่งแปลว่า Meta จะสามารถสร้างรายได้ราว 1.7 พันล้านดอลลาร์ หรือ 5.6 หมื่นล้านบาท

BoFA อธิบายว่า สมัครสมาชิกของ Meta นั้นพุ่งเป้าหมายไปที่ Influencers และ เพจ Official ต่าง ๆ มากกว่าจะเป็นผู้ใช้งานทั่วไป เพราะนอกจากจะช่วยยืนยันว่าเป็นตัวจริงแล้ว แต่ยังช่วย เพิ่มการมองเห็น รวมถึง จะเห็นชื่อในการค้นหาก่อน ให้กับเพจนั้น ๆ ด้วย

“ด้วยการเข้าถึงผู้ชมที่กว้างขึ้นและโอกาสในการสร้างรายได้ที่มากขึ้นสำหรับเจ้าของเพจ เราเชื่อว่าบริการนี้ของ Meta สามารถเพิ่มรายได้ได้ดีกว่าการเพิ่มสมาชิก”

สำหรับฟีเจอร์ Meta Verified ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยหลังจากที่ Meta ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ดังกล่าว ก็มีหลายคนมองว่าเป็นการเดินตามรอยฟีเจอร์ Blue ของ Twitter ที่เปิดตัวในเดือนธันวาคม ซึ่งมีค่าใช้จ่าย 8 ดอลลาร์ต่อเดือน โดยบริการดังกล่าวมีสมาชิกเกือบ 300,000 รายทั่วโลก ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยี The Information

นอกจากนี้ก็มี Snap ยังมีบริการสมัครสมาชิกที่เรียกว่า Snapchat+ ซึ่งบริการส่งข้อความโซเชียลเปิดตัวในเดือนมิถุนายนด้วยราคา 3.99 ดอลลาร์ต่อเดือน Snap กล่าวเมื่อปลายเดือนมกราคมระหว่าง รายงานรายได้ล่าสุดว่าตอนนี้ Snapchat+ มีผู้ใช้มากกว่า 2 ล้านคนแล้ว

Source

]]>
1420267
เปิดเทคนิคสร้างธุรกิจผ่านฐาน “คอมมูนิตี้” จาก “มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์” ดิจิตัลเอเยนซี่ที่กำลังบูม https://positioningmag.com/1417451 Wed, 01 Feb 2023 10:00:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1417451

แบรนด์จะเติบโตได้ไม่ใช่แค่สร้างด้วยการตลาดที่เน้นเฉพาะยอดขายตรงหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีเทคนิคที่เข้าใจพฤติกรรมคนยุคนี้ “มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์” บริษัทเอเยนซี่โฆษณาสัญชาติไทย ที่กำลังมาแรงในยุคนี้ จึงเลือกชูจุดขายการสร้างแบรนด์ผ่าน “คอมมูนิตี้” เปิดให้ลูกค้าได้สนทนากันเองเพื่อสร้างความผูกพัน หมัดเด็ดที่จะทำให้ผู้บริโภคอยู่กับแบรนด์อย่างยั่งยืน

“วันแรกๆ ที่เราเปิดบริษัท ช่วงนั้น Facebook กำลังบูม โพสต์และช่วยขายของได้ง่าย ค่าโฆษณายังค่อนข้างถูก บวกกับเราเริ่มการใช้กระแสกับคอนเทนต์เป็นเจ้าแรกๆ ทำให้สามารถสร้างฐานให้ธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว” ลิษา เลาหกรวัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด กล่าวย้อนถึงเมื่อแรกก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2559 โดยเริ่มจากการตลาดบนโซเชียลมีเดียและดิจิทัล

นางสาวลิษา เลาหกรวัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด

อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวต่อว่าบริบทของการทำการตลาดดิจิทัลวันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะผู้บริโภคมีความซับซ้อนมากขึ้นทั้งในแง่พฤติกรรมผู้บริโภคและแพลตฟอร์มที่ใช้งาน โซเชียลมีเดียมีจำนวนมากขึ้น และผู้บริโภคมีความสนใจที่หลากหลาย ตลาดที่เปลี่ยนทำให้ “มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์” เองมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริษัทสามารถสร้าง “Business Solutions” ให้กับลูกค้าได้รอบด้าน ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยปัจจุบัน มาสเก็ตฯ มีการให้บริการแบ่งเป็น 3 ด้านหลัก คือ

  •  Conversation Solutions – การทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย, สร้างฐานคอมมูนิตี้ผ่านโซเชียลมีเดีย, รวบรวมและเข้าถึงอินฟลูเอนเซอร์ทุกแขนง
  •  Creative Solutions – สร้างสรรค์การตลาดและสร้างแบรนด์ โดยใช้ดาต้าและเทคโนโลยี
  • Tech Solutions – ผนึกพันธมิตรเพื่อใช้เทคโนโลยีทำการตลาด เช่น AI, Virtual Influencer, NFT, Gamification

“คอมมูนิตี้” กุญแจสำคัญที่ทำให้แบรนด์ยั่งยืน

ความซับซ้อนของผู้บริโภคเชื่อมโยงกับการสร้างแบรนด์ด้วย “คอมมูนิตี้” อย่างไร? ลิษาอธิบายว่า เจ้าของธุรกิจและนักการตลาดยุคนี้ไม่ควรแบ่งกลุ่มลูกค้าเพียงแค่ เพศ วัย ภูมิลำเนา ฯลฯ เหมือนในอดีต เพราะ “ความสนใจ” หรือ “ไลฟ์สไตล์” ของคนไม่ได้แบ่งตาม “demographic” ที่ใกล้เคียงกันอีกแล้ว

“วันนี้เด็กอายุ 15 ปี อาจจะมีสิ่งที่ชอบต่างกันหลายอย่าง ขณะที่ผู้ใหญ่วัย 30 ปี อาจจะชอบสิ่งเดียวกับเด็กวัย 15 ปีก็ได้ อายุไม่ใช่กรอบจำกัดอีกต่อไปว่าจะต้องชอบเหมือนๆ กัน ยกตัวอย่างเช่น ทั้งคู่อาจชอบฟังเพลงเหมือนกัน ชอบออกกำลังกายเหมือนกัน หากแบรนด์เข้าใจไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคสินค้าตัวเอง จะสามารถสร้างสังคมความชอบเหมือนกัน ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์เข้าไปอยุ่ในใจผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น” ลิษากล่าว

อีกประเด็นหนึ่งคือ ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้รอฟังแบรนด์สื่อสารทางเดียวเท่านั้น แต่ชอบที่จะพูดคุยกันเองมากกว่า แบรนด์มีหน้าที่จับกระแสที่สังคมพูดคุยกันมาต่อยอดเป็นการตลาด หรือเรียกว่า “Reverse Marketing”

เมื่อต้องเจาะกลุ่มเป้าหมายตาม “ความสนใจ” และผู้บริโภคยังชอบการพูดคุยกันเอง ทำให้ “คอมมูนิตี้” คือคำตอบที่ใช่

มาสเก็ตฯ ได้หยิบวิธีการนี้มาเป็น “จุดแข็ง” ของบริษัทในการบริการลูกค้าแบรนด์มาตลอด โดยมีทั้งการ “สร้าง” คอมมูนิตี้ให้กับแบรนด์โดยเฉพาะ ผ่านกลยุทธ์ที่กระตุ้นให้เกิดความสนใจโดยกลุ่ม Influencer เพื่อให้เกิดบทสนทนาอย่างต่อเนื่องในคอมมูนิตี้เพื่อที่ในที่สุดผู้บริโภคจะสร้างการสนทนากันเองอย่างเป็นธรรมชาติ จนเกิดความผูกพันกับคอมมูนิตี้และแบรนด์ต่อไป

อีกส่วนหนึ่งคือความเข้าใจของทีมงานต่อคอมมูนิตี้นั้นๆ เพื่อจะจับกระแสในการทำการตลาดต่อได้ เช่น จากการศึกษาอินไซต์ของผู้ใช้รถยนต์รุ่นหนึ่ง พบว่ามีกลุ่มใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง ทำให้มาสเก็ตฯ เข้าไปทำการตลาดผ่านความสนใจของการเป็นผู้ปกครองนักเรียน จนทำให้เกิดกระแสการแนะนำต่อแบบปากต่อปากทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์

ตัวอย่างงานของมาสเก็ตฯ ที่ใช้กลยุทธ์นี้จนประสบความสำเร็จ เป็นแคมเปญแบรนด์ยาชนิดหนึ่ง ซึ่งในทางกฎหมายผลิตภัณฑ์ยาไม่สามารถโฆษณาได้ มาสเก็ตฯ จึงได้ใช้การสร้างคอมมูนิตี้ผ่านโซเชียลมีเดีย ในการให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพผู้หญิง จัดกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ จนกลายเป็นชุมชนที่ผู้หญิงสามารถมาพูดคุยปัญหากัน มีผู้ติดตามกว่า 250,000 คน ซึ่งแพลตฟอร์มนี้กลายเป็นพื้นที่ที่ส่งเสริมผู้หญิงกล้าที่จะปรึกษาเภสัชกรได้ทั่วประเทศ


รวดเร็ว ล้ำสมัยเรื่องดิจิตัล เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจ

อีกหนึ่งจุดแข็งของมาสเก็ตฯ คือการปรับตัวใช้เครื่องมือเทคโนโลยีได้รวดเร็ว และนำมาใช้กับการสร้างสรรค์งานให้ลูกค้า ตัวอย่างเช่น แคมเปญของ TRAFFIC องค์กรไม่แสวงหากำไร ที่ต้องการรณรงค์ให้คนไทยหยุดสนับสนุนเครื่องรางที่ทำมาจากอวัยวะสัตว์ป่า เช่น งาช้าง มาสเก็ตฯ จึงสร้างสรรค์ไอเดียร่วมกับการใช้เทคโนโลยี “ยันต์ออนไลน์” ที่ customized เฉพาะบุคคล เป็นการสร้างตัวเลือกใหม่ให้คนเปลี่ยนมาเลือกใช้แทนการใช้เครื่องรางจากสัตว์ป่า

แนวทางของบริษัทที่เน้นเทคโนโลยีมาเป็นแกนหลัก ทำให้ล่าสุดบริษัทมีการพัฒนา Virtual Influencer ขึ้นมาในชื่อ “พะพราว” อินฟลูฯ เสมือนจริงภายใต้คอนเซ็ปต์ “Powerful” ผู้หญิงแกร่ง แข็งแรง มีพลังเหนือธรรมชาติ แตกต่างจากที่มีมาก่อนในตลาดเอเชียซึ่งอินฟลูฯ เสมือนจริงมักจะเป็นหญิงสาวน่ารัก ตัวเล็ก ทำให้พะพราวน่าจะเป็นตัวเลือกใหม่ในวงการได้

ลิษาเชื่อว่า Virtual Influencer น่าจะเริ่มติดตลาดในไทยในปีนี้ และอนาคตน่าจะเป็นที่นิยมมากขึ้นเหมือนกับในญี่ปุ่น ขณะที่แบรนด์จะได้ประโยชน์จากการเลือกใช้อินฟลูฯ เสมือนจริง เพราะสามารถนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ร่วมกันได้ง่ายกว่า เช่น ใช้ระบบ AI ปรับคำพูดหรือท่าทางของพะพราวได้อัตโนมัติเพื่อ personalized ทำโฆษณาที่แตกต่างแยกย่อยให้ลูกค้าแต่ละกลุ่ม หรือให้พะพราว Live ขายสินค้าได้หลายภาษาพร้อมๆ กัน

พะพราว (PAPROUD) อินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริง มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “1st Powerful Virtual Woman”


2023 จัดสมดุลออนไลน์-ออฟไลน์

สำหรับเทรนด์การตลาดปี 2023 ลิษาเชื่อว่าข้อแตกต่างสำคัญคือ ปีนี้จะเป็นปีที่ผู้บริโภค “Digital Balancing” เริ่มจัดสมดุลการรับสื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แตกต่างจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงโควิด-19 ทำให้น้ำหนักการรับสื่อแทบจะอยู่ในโลกออนไลน์ 100% เธอมองว่า สื่อดั้งเดิม เช่น สื่อ Out of Home, สื่อวิทยุ, อีเวนต์การตลาด ฯลฯ จะกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง และต้องใช้งานผสมผสานกับสื่อออนไลน์ ทำให้นักการตลาดต้องปรับกลยุทธ์ให้ทันกระแสของผู้บริโภค

“ยุคนี้ 3-4 เดือนเราต้องรีวิวและปรับใหม่แล้ว เพราะทุกอย่างเปลี่ยนเร็วขึ้น เช่น เมื่อต้นปี 2022 TikTok ยังถูกมองว่าเป็นพื้นที่ของเด็ก Gen Z แต่พอถึงปลายปี 2022 ไม่ว่าวัยไหนก็เข้ามาเหมือนกัน และคอนเทนต์ก็มีหลากหลาย ไม่ใช่แค่ความบันเทิงแต่เป็นแหล่งความรู้ คอมมูนิตี้ของผู้ใช้ก็เกิดขึ้น ทำให้แบรนด์ไม่ควรมองข้าม” ลิษากล่าว

ปัจจุบัน มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์ให้บริการลูกค้าแล้วกว่า 100 รายจากหลากหลายวงการ เช่น ยานยนต์ ธนาคาร พลังงาน อาหารและเครื่องดื่ม โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ค้าปลีก บิวตี้ ฯลฯ และปีนี้บริษัทจะยังคงยึดมั่นในหัวใจการทำธุรกิจคือ ‘Move Us Forward’ ต่อไป พร้อมเคียงข้างลูกค้า พนักงาน และผู้บริโภคปลายทางให้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน

มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์

ติดต่อ มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์ ได้ที่

เว็บไซต์ www.masketcommunications.com

เฟซบุ๊ก Masket Communications : https://bit.ly/PRMasketFB1

อีเมล Client.service@masketcommunications.com

]]>
1417451