โมเดิร์นเทรด – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 07 Jun 2023 09:31:54 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “บิ๊กซี” รีโนเวตไฮเปอร์มาร์เก็ตเป็น “Big C Place” เริ่ม 2 สาขาแรกที่ “ลำลูกกา” – “รัชดาฯ” https://positioningmag.com/1433372 Wed, 07 Jun 2023 07:05:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1433372 “บิ๊กซี” เตรียมรีโนเวตไฮเปอร์มาร์เก็ตสาขา “ลำลูกกา” และ “รัชดาภิเษก” เป็นรีเทลโมเดลใหม่ Big C Place” เน้นพื้นที่เช่าประเภทแหล่งช้อปปิ้ง-ไลฟ์สไตล์ พร้อมเปิดให้เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง ตอบสนองคนยุคใหม่ชอบใช้ชีวิตในห้างฯ

“อัศวิน เตชะเจริญวิกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ BRC เปิดเผยกลยุทธ์การปรับโมเดลรีเทลรูปแบบใหม่ของบริษัทในชื่อ “Big C Place” ที่จะเริ่มเห็นสาขาแรกในปี 2566

คอนเซ็ปต์ของ Big C Place คือการปรับพื้นที่ไฮเปอร์มาร์เก็ตให้มีพื้นที่เช่ามากขึ้น บรรยากาศเหมาะกับการมาแฮงเอาต์ เดินช้อปปิ้ง ทานอาหาร ซึ่งตรงกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ไม่ได้มาไฮเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของที่ต้องการเท่านั้น แต่ต้องการมาใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ ด้วย

ในภาพนำเสนอการปรับเป็น Big C Place ระบุว่าจะมีการเพิ่มพื้นที่ช้อปปิ้ง พื้นที่เล่นเกม พื้นที่ด้านการศึกษาผสานความบันเทิง (Edutainment) บริการสุขภาพและความงาม ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม และพื้นที่ไลฟ์สไตล์ต่างๆ เช่น Co-working Space, Event Space นอกจากนี้ยังจะปรับให้เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง (Pet-Friendly)

อัศวินกล่าวเพิ่มเติมว่า เป้าหมายของการปรับเปลี่ยนจะทำให้ลูกค้าใช้เวลาในพื้นที่นานขึ้น มีการใช้บริการหลากหลาย มียอดใช้จ่ายที่สูงขึ้นในการมาแต่ละครั้ง

ภาพการออกแบบเบื้องต้น Big C Place สาขารัชดาฯ

แผนงานไฮเปอร์มาร์เก็ต 2 สาขาแรกที่จะรีโนเวตปรับเป็น Big C Place ก่อน ได้แก่ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาลำลูกกา และ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า สาขารัชดาภิเษก ทั้ง 2 สาขานี้มีการสำรวจมาแล้วว่าลูกค้าโดยรอบมีความต้องการไลฟ์สไตล์ในห้างฯ ในลักษณะนี้ คาดว่าจะใช้งบในการรีโนเวตแต่ละสาขาไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยสาขาแรกคือที่ลำลูกกาจะเปิดตัวก่อนภายในปี 2566

สำหรับโมเดลร้านค้าของ “บิ๊กซี” ในไทยปัจจุบันมีอยู่หลายรูปแบบ เช่น “บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์” ซึ่งเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต “บิ๊กซี มาร์เก็ต” ซูเปอร์มาร์เก็ตเน้นทำเลในชุมชน “บิ๊กซี ฟู้ดเพลส” ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่เน้นอาหารสด-ของสด เป็นต้น

ปัจจุบันเฉพาะกลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ต บิ๊กซีถือเป็นอันดับ 2 ในตลาด มีส่วนแบ่งตลาด 41.9% บริษัทจึงต้องแข่งขันหาโมเดลและกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อดึงลูกค้าเพิ่มขึ้น

]]>
1433372
ตำนาน ‘เจ้าสัว’ ข้าวตังพันล้านจากโคราช รีแบรนด์สลัดภาพ ‘ของฝาก’ สู่ตลาดสแน็ก https://positioningmag.com/1323010 Thu, 18 Mar 2021 11:14:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1323010 ย้อนกลับไปเมื่อปี 2501 บ้านหลังเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองโคราช เริ่มทำหมูหยอง หมูแผ่น กุนเชียง ส่งขายในท้องถิ่นจนเป็นที่เลื่องลือในรสชาติ ได้โอกาสขยายกิจการต่อ ด้วยการเปิดร้านขายของฝากในชื่อว่าเตียหงี่เฮียง

จากความอร่อยที่บอกเล่าปากต่อปาก ทำให้สินค้าของเตียหงี่เฮียง กลายเป็นของเด็ดที่เหล่านักท่องเที่ยวและผู้สัญจรไปมาต้องแวะซื้อ

หลายปีผ่านไป แม้กิจการร้านขายของฝากจะไปได้สวย แต่ก็เริ่มมีคู่เเข่งทำผลิตภัณฑ์เดียวกันออกมา ทำให้ทายาทรุ่นสองต้องคิดหา ‘เมนูชูโรง’ เพื่อสร้างความแตกต่าง จึงนำมาสู่การเปิดตัวข้าวตังหมูหยอง ขึ้นในปี 2531 และเริ่มขยายตลาดไปวางขายในหลายจังหวัด รวมถึงส่งออกไปต่างประเทศด้วย

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปเตียหงี่เฮียงกลายเป็นชื่อจดจำได้ยากและดูไม่ทันสมัย ทางครอบครัวจึงตกลงกันเปลี่ยนชื่อใหม่ให้จำง่ายและคุ้นหูกันมากขึ้น โดยใช้ชื่อแบรนด์ใหม่นี้ว่าเจ้าสัวนับตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา

และวันนี้เจ้าสัวการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับตัวครั้งสำคัญก็มาเยือนอีกครั้ง ภายใต้การนำของทายาทรุ่นสาม กับการรีแบรนด์ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ เปลี่ยนภาพลักษณ์ ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ขยายสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้น พร้อมใช้พรีเซ็นเตอร์ครั้งแรกในรอบ 63 ปี 

ก้าวออกจาก ‘ของฝาก’ สู่ตลาดสแน็ก

ณภัทร โมรินทร์’ หรือ กิ๊ฟ เริ่มเรียนรู้การทำงานในกิจการของครอบครัว มามากกว่า 10 ปี จากฝ่ายเซลส์ก้าวขึ้นมากุมบังเหียนเป็นซีอีโอ แบรนด์เจ้าสัวท่ามกลางความท้าทาย หลังธุรกิจท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาด

เธอยอมรับว่า การที่ผู้คนเดินทางท่องเที่ยวน้อยลงนั้นมีผลต่อการวางแผนธุรกิจใหม่ในครั้งนี้ไม่น้อย แต่ก็ทำให้รู้ว่าทิศทางต่อไปของ แบรนด์เจ้าสัวจะไม่เป็นแค่ร้านขายของฝากที่รอให้คนมาซื้ออีกต่อไป แต่จะต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค

จากไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เร่งรีบ แข่งกับเวลา และคนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น แม้จะเป็นอาหารทานเล่นหรือของขบเคี้ยวก็ตาม อีกทั้งตลาดในไทยยังมีของว่างทานเล่น ประเภทเนื้อสัตว์แปรรูป’ ที่อร่อยและมีประโยชน์ทางสารอาหาร สามารถทานรองท้องระหว่างมื้อได้ ‘ไม่มากนัก’ 

จึงเป็นช่องว่างตลาดที่เจ้าสัวจะปรับภาพลักษณ์ใหม่ จากสินค้าของฝากสู่สินค้าอาหารที่ทานได้ทุกวัน ในรูปแบบสแน็ก และ Ready to eat และ Ready to cook meal ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาของว่างเพื่อรองท้อง รวมไปถึงอาหารที่สามารถปรุงง่าย ๆ หรือพร้อมทานได้ที่บ้าน ช่วยประหยัดเวลา และดีต่อสุขภาพ

ณภัทร โมรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เตีย หงี่ เฮียง จำกัด เจ้าของแบรนด์เจ้าสัว

นอกจากนี้ ยังมองเห็นโอกาสของตลาดสแน็กในประเทศไทย ที่มีมูลค่ามากกว่า 40,000 ล้านบาท เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในกลุ่มสแน็ก ที่เป็น Meat หรือเนื้อสัตว์นั้น กลับมีมูลค่ารวมตอนนี้เพียง 100 กว่าล้านบาทเท่านั้น และผู้ประกอบการคู่แข่งยังน้อยจึงมองว่าเป็นโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก

ทั้งนี้ กลุ่มสแน็กที่เป็นเนื้อสัตว์ ตอนนี้มีแบรนด์อองเทร่ของเจ้าใหญ่อย่าง ส. ขอนแก่นครองตลาดอยู่

เบรกขยายสาขา หันมาบุกโมเดิร์นเทรด’

ในปี 2563 ที่ผ่านมา แม้นักท่องเที่ยวจะหายไปอย่างมาก แต่จากการที่แบรนด์ได้ ปรับกลยุทธ์รองรับ โดยเฉพาะการขยายช่องทางจำหน่าย จากเดิมที่เน้นเพิ่มสาขา เปลี่ยนมาเป็นบุกโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำต่างๆ ทำให้ยอดขายรวมของปีที่แล้วเติบโต 15% และมีรายได้รวมเกินหลักพันล้านบาทเป็นครั้งแรก

ปีนี้เราตั้งเป้าจะเติบโตถึง 30% จากการรุกตลาดขนมขบเคี้ยวเต็มตัว ทำตลาดทุกช่องทางเพื่อปั้นแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก เปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งให้ทันสมัย พกพาง่าย ออกสินค้าเละปรับราคาใหม่ ให้เข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยเน้นเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่มากที่สุด

ปัจจุบันร้านของฝากเจ้าสัว  มีจำนวนกว่า 100 สาขา แบ่งเป็นร้านค้าของตัวเอง (Stand Alone) ประมาณ 14 สาขา และแฟรนไชส์ 80 กว่าสาขา กระจายอยู่ในปั๊มนำ้มันปตท. ทั่วประเทศ พร้อมช่องทางออนไลน์ในหลายแพลตฟอร์ม ทั้งโซเชียลมีเดียและมาร์เก็ตเพลส โดยมีผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่มไลน์โปรดักต์ ได้แก่ 

กลุ่มขนมทานเล่น สัดส่วนรายได้ 50% 

ของว่างรองท้อง ได้แก่ ข้าวตัง, ข้าวแต๋น ราคาตั้งแต่ 20-60 บาท

ของว่างทานเพลิน ได้แก่ หมูแผ่นกรอบ, หมูแท่งกรอบ และหมูทุบ ราคาตั้งแต่ 30-110 บาท

กลุ่มอาหาร สัดส่วนรายได้ 50%

อาหารพร้อมปรุง ได้แก่ กุนเชียง, หมูยอ, แหนม และไส้กรอกอีสาน ราคาตั้งแต่ 39-209 บาท

อาหารพร้อมรับประทาน ได้แก่ หมูหยอง, หมูแผ่นใหญ่

สำหรับสินค้าขายดีที่สุดของแบรนด์เจ้าสัวก็คือเบอร์หนึ่งอย่างข้าวตังตามมาด้วย หมูหยองและหมูแผ่น

ด้านการส่งออกไปต่างประเทศจะเน้นไปที่ตลาดเอเชียเป็นหลัก เช่น ฮ่องกง จีน เวียดนาม สิงคโปร์ ฯลฯ ขณะที่ตลาดในยุโรปนั้น ยังติดข้อจำกัดด้านการนำเข้าสินค้าที่ทำจากเนื้อหมู จึงจะหันไปเน้นส่งสินค้ากลุ่มธัญพืชอบกรอบไปทำตลาดแทน

เมื่อถามถึงผลิตภัณฑ์อาหารเนื้อสัตว์ที่ทำจากพืช หรือ Plant-based ที่กำลังเทรนด์อาหารแห่งอนาคต ที่มีผู้ผลิตอาหารหลายเจ้าลงมาเล่นในตลาดนี้ ผู้บริหารแบรนด์เจ้าสัว ตอบว่ามีแผนการจะพัฒนากลุ่มสินค้า Plant-based ในเร็วๆ นี้

ทุ่ม 100 ล้าน พลิกโฉมใหม่รอบ 63 ปี

สิริณัฏฐ์ ชญาน์นันท์ กรรมการผู้จัดการ แบรนด์เจ้าสัว บอกว่า ตลอดทั้งปี 2564 บริษัทตั้งงบประมาณไว้ถึง 100 ล้านบาท เพื่อลุยทำการตลาดและขยับขยายธุรกิจ ซึ่งถือว่าเป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ที่สุด ไม่เคยทำขนาดนี้มาก่อน นับตั้งแต่เปิดกิจการมากว่า 63 ปี

โดยจะสื่อสารรอบด้านทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งโปรโมตผ่านหนังโฆษณาถึง 3 เรื่องในปีนี้

จากแผนการโฟกัสไปที่กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ และครอบครัวสมัยใหม่ จึงเป็นที่มาของการเลือกครอบครัวของ ลีเดีย ศรัณย์รัชต์แมทธิว น้องดีแลนและน้องเดมี่ ดีน มาเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อนำเสนอภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่อบอุ่น เข้าถึงง่าย ทันสมัยและใส่ใจในสุขภาพ

“แบรนด์เจ้าสัวเป็นแบรนด์ที่มีลูกค้าคนไทยเป็นหลัก แต่ในอนาคต หลังการท่องเที่ยวทั่วโลกกลับมาปกติ เราก็หวังจะเป็นแบรนด์ที่ชาวต่างชาติหิ้วกลับบ้าน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน

สำหรับกลยุทธ์หลัก ๆ ที่จะนำพาให้แบรนด์เจ้าสัวเติบโตได้แบบก้าวกระโดดในช่วง 3-5 ปีนี้ สิริณัฏฐ์ สรุปให้ฟังว่า

  1. ปั้นแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ผ่านการใช้พรีเซ็นเตอร์ การไปอยู่ในสายตาของผู้บริโภคในช่องทางต่างๆ ทั้ง
    โซเชียลมีเดียและสื่อนอกบ้าน
  2. ออกสินค้าให้หลากหลาย โดยตั้งเป้าจะจะมีสินค้าใหม่ 8-10 ตัวต่อปี เพิ่มปัจจุบันที่มีอยู่ราว 300 SKU พร้อมกับปรับไซส์และราคา ให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นด้วย
  3. ขยายช่องทางการขายเพิ่มขึ้น เน้นเข้าไปกระจายในโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ร้านโชห่วย โดยปีนี้จะไม่มีการขยายสาขาเพิ่มในประเทศไทย แต่จะมีการเจรจากับพาร์ตเนอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหาโอกาสขยายตลาดในอาเซียนมากขึ้น
  4. ลงทุนขยายโรงงานแห่งใหม่ ในพื้นที่เดิมที่จังหวัดนครราชสีมา นำเครื่องจักรมาใช้มากขึ้น เพื่อเพิ่มกำลังผลิตมากขึ้นอีก 40% รวมถึงทุ่มงบในระบบหลังบ้านเพื่อให้ทันยุคดิจิทัล

ต้องจับตาดูว่าการรีแบรนด์ของเจ้าสัว จากของฝากท้องถิ่น สู่ตลาดอาหารพร้อมทานอยู่ใกล้ๆ ในชีวิตประจำวัน จะสร้างอิมแพคในใจผู้บริโภคได้มากน้อยแค่ไหน

 

]]>
1323010
มองกลยุทธ์ “ไฮเซ่นส์” เขย่าวงการเครื่องใช้ไฟฟ้า กับเป้าหมายสู่ Top 3 เเบรนด์ที่คนไทยต้องนึกถึง https://positioningmag.com/1292517 Sat, 11 Jul 2020 15:00:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1292517

เเม้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยจะมีการเเข่งขันสูง ถึงขั้นดุเดือด เเต่ก็ยังมีช่องว่างเปิดโอกาสให้ผู้เล่นใหม่ๆ กระโจนลงสนามนี้เสมอ ในช่วงที่ผ่านมา เราจึงได้เห็น การเข้ามาของเเบรนด์จีนที่น่าจับตามองอย่าง “ไฮเซ่นส์” (Hisense) เข้ามาเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ไทย ชูจุดขายฟังก์ชั่นครบ แต่ราคาถูกกว่า 10-15 % ซึ่งกำลังขายดิบขายดีในเเพลตฟอร์มออนไลน์ ท่ามกลางกระเเสเศรษกิจชะลอตัวจากวิกฤต COVID-19

@เส้นทาง “ไฮเซ่นส์” เจาะตลาดไทย 

ชื่อของ “ไฮเซ่นส์” เครื่องใช้ไฟฟ้าจากเเดนมังกร เริ่มคุ้นหูชาวไทยมากยิ่งขึ้น หลังเข้าบุกตลาดไทยอย่างเต็มตัว ตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ในตลาดจีนนั้น เเบรนด์นี้ครองเเชมป์ยอดขายอันดับ 1 ต่อเนื่องมายาวนานกว่า 15 ปี

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2559 ไฮเซ่นส์ ยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในไทยเลย นับเป็นการเข้ามาตีตลาดที่เริ่มต้นจากศูนย์ ท่ามกลางสมรภูมิการเเข่งขันของเเบรนด์ญี่ปุ่น เเบรนด์เกาหลีที่กำลังเเย่งฐานลูกค้ากันอย่างดุเดือด

ในช่วงปีเเรก ไฮเซ่นส์ เดินเกมทำความรู้จักกับลูกค้า โดยชูจุดเด่นความเป็น “สินค้าที่ดี ราคาจับต้องได้” มีพระเอกคือ “ทีวี” ซึ่งตอนนั้นทีวี 4K เพิ่งเริ่มทำตลาดในไทยเเละสมาร์ททีวีก็กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น

ไฮเซ่นส์ ประเดิมเปิดช่องทางการขายผ่าน “โมเดิร์นเทรด” ก่อน ด้วยการจับมือกับพาร์ทเนอร์รายใหญ่อย่าง “เทสโก้ โลตัส” ที่มีสาขาในไทยกว่า 2,100 สาขา (ข้อมูล ปี 2562) กระจายอยู่ทั่วถึงทุกจังหวัดในประเทศไทย เป็นการปูทางเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคทั้งกรุงเทพเเละต่างจังหวัด

จากนั้นไม่นาน เมื่อยอดขายเริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงเริ่มขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น จากเทสโก้ โลตัส ขยายไปจับมือกับพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ อย่างพาวเวอร์ บาย ,โฮมโปร , เมกาโฮม , บิ๊กซีเเละเเม็คโคร

ฉันท์ชาย พันธุฟัก ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไฮเซ่นส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เล่าว่า ในปีเเรกบริษัทเน้นจะทำตลาดทีวีให้เป็นที่รู้จักก่อน เริ่มขยับจาก 4K ขยายสินค้าเป็น ULED TV จากนั้นในปีที่ 2 ได้เพิ่มไลน์สินค้า Home Appliance เครื่องใช้ภายในบ้านเข้ามาทำตลาดในไทย อย่างตู้เย็นเเละเครื่องปรับอากาศ เเละกำลังมีเเผนจะขยายไลน์สินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านให้เยอะยิ่งขึ้น อย่างเครื่องฟอกอากาศ ไมโครเวฟ เตาอบ เครื่องซักผ้า ฯลฯ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคดิจิทัล


@ลุยเทรนด์ทีวีจอใหญ่ เทคโนโลยีล้ำ เปิดใจคนรุ่นใหม่ 

เทรนด์ผู้บริโภคในการเลือกซื้อ “ทีวี” เริ่มเปลี่ยนไปในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด ด้วยราคาที่ถูกลงมาก เเถมได้ทีวีที่ “ฉลาด” มากขึ้น ผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับโฮมเอ็นเตอร์เทนเมนท์ หันมาดูหนังเเละซีรีส์ผ่านเเพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง

การได้มีทีวีจอใหญ่ คมชัด เสียงดีเเละมีเทคโนโลยีล้ำๆ จึงเป็นความต้องการพื้นฐานของลูกค้ายุคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้อง “อยู่บ้าน” มากขึ้นในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19

“ทีวีขนาด 55 นิ้วกลายเป็นไซส์ตลาดที่คนทั่วไปนิยมซื้อมากที่สุด ตอนนี้ทุกเเบรนด์ รวมถึงไฮเซ่นส์ ก็พยายามจะผลักดันทีวีขนาด 65-75 นิ้ว ขึ้นมาตีตลาดมากขึ้น ด้วยเหตุผลด้านราคาที่ถูกลงเเละความต้องการของตลาดที่ยังมีสูง”

ในปี 2562 มูลค่าตลาดทีวีอยู่ที่ราว 3.1 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าคนไทย เเบ่งตามไลฟ์สไตล์ ได้ 3 กลุ่มหลักๆ ได้เเก่

  • กลุ่มที่เลือกซื้อเพราะเเบรนด์
  • กลุ่มที่เปิดโอกาสให้ผลิตภัณฑ์ใหม่ เเละใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ
  • กลุ่มที่เน้นเรื่องราคาถูกไว้ก่อน

โดย “ไฮเซ่นส์” เลือกที่จะมุ่งไปเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ ที่มีเเนวโน้มจะตอบรับกับเเบรนด์ใหม่มากกว่า เเละพร้อมใช้ข้อมูลในการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ พร้อมกันนั้นก็เจาะกลุ่มที่เน้นเรื่องราคาไปด้วย 

“ด้วยสินค้าสเปกเดียวกันกับเเบรนด์ที่มีราคาสูงกว่า เราจะพยายามตั้งราคาให้ถูกลงประมาณ 10-15% ซึ่งถ้าเป็นสินค้าที่ตั้งใจจะเจาะลูกค้าที่เน้นเรื่องราคาอย่างเดียว เราก็จะมีสินค้ารุ่นเเมสรองรับพวกเขาอยู่”

ทั้งนี้ สินค้าขายดีของไฮเซ่นส์ ได้เเก่ กลุ่มทีวีรุ่น Hisense B8000 4K ULED TV เเละ Hisense android TV 4K B7700 ตามมาด้วยตู้เย็น เเละเครื่องปรับอากาศ

เเม้ทุกวันนี้สินค้าทีวีทุกเเบรนด์เเทบจะไม่หนีกันมาก ในเเง่ของขนาดจอเเละเเต่ละเเบรนด์สามารถผลิตสินค้าได้ในระดับเดียวกัน ทางไฮเซ่นส์ ยืนยันว่าสิ่งที่ทำให้เเบรนด์เเตกต่างก็คือ การมี Core Technology เป็นของตัวเอง อย่างเรื่องระบบการประมวลผลภาพ ระบบเสียงเเละการเป็นสมาร์ททีวีที่มีระบบปฏิบัติการของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันในตลาดมีเพียง 3 เเบรนด์เท่านั้นที่มีระบบ OS เป็นของตัวเอง

ไฮเซ่นส์ มียอดขายทีวีติด Top 3 ทั่วโลกจากการวางขายใน 170 ประเทศ มีโรงงาน 15 เเห่ง เเละขยับไล่เก็บแบรนด์ญี่ปุ่นไปทีละน้อย จากการเข้าซื้อโรงงาน Sharp ในเม็กซิโก เเละถือสิทธิ์การผลิตทีวีแบรนด์ Sharp ในสหรัฐฯ โดยทีวี Sharp ที่ขายในทวีปอเมริกาเหนือและใต้ จะเขียนว่าผลิตโดยไฮเซ่นส์  จากนั้นเริ่มรุกคืบด้วยการประกาศซื้อธุรกิจโทรทัศน์จาก Toshiba ในช่วงปี 2560 ที่ผ่านมา


@มองธุรกิจระยะยาว ต้องรู้ใจ “พาร์ทเนอร์”

กลับมาที่กลยุทธ์การเจาะตลาดในประเทศไทย ไฮเซ่นส์ถือเป็นเเบรนด์เเรกๆ ที่ให้ประกันสินค้า 3 ปี เเละมีบริการหลังการขายถึงบ้าน สำหรับสินค้าทุกขนาด ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในเเบรนด์เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันอีกส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ นั่นก็คือการจับมือกันกับพาร์ทเนอร์ สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ

การได้คุยกันอย่างจริงจังว่ามีเเผนอย่างไรให้เติบโต เรียนรู้ซึ่งกันเเละกัน เเลกเปลี่ยนข้อมูลเเละการทำโปรโมชั่นร่วมกัน เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เเบรนด์เเตกต่าง

“เรามองความสัมพันธ์กับพาร์ทเนอร์ เป็นความร่วมมือทางธุรกิจระยะยาว เพราะความเชื่อใจกันจะสามารถสร้างตลาดได้ดีกว่า ไฮเซ่นส์ ไม่ได้โฟกัสไปที่การเพิ่มช่องทางการขายให้ได้มากที่สุด เเต่เรามองว่าทำอย่างไรให้ performence ของเราในช่องทางของคู่ค้าที่เรามีอยู่ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเเละพัฒนาไปด้วยกันให้ได้”


@บูมออนไลน์ สร้างปรากฎการณ์ New High

อีกหนึ่งความสำเร็จที่มีส่วนจากการมีพาร์ทเนอร์ที่ดี นั่นก็คือการจับมือกับ “อี-มาร์เก็ตเพลส” เจ้าใหญ่อย่าง Shopee , Lazada เเละ JD  เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งได้รับกระเเสตอบรับ “เกินคาด” มียอดขายถล่มทลาย

โดยแคมเปญ Shopee 6.6 Brands Festival ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไฮเซ่นส์สร้าง New High ด้วยยอดขายกว่า 6,000 คำสั่งซื้อภายใน 24 ชั่วโมง กิจกรรมไลฟ์สตรีมมิ่ง บน Shopee Live มียอดเข้าชมมากกว่า 12,000 วิว เเละสามารถขายสินค้าได้ถึง 120 ชิ้น ภายใน 30 วินาทีหลังจากเริ่มกิจกรรม โดยสินค้ายอดนิยม 3 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องปรับอากาศติดผนังระบบ KA, เครื่องปรับอากาศติดผนัง Hisense Inverter R32, และ สมาร์ททีวีรุ่น Hisense 55B7100UW ขนาด 55 นิ้ว

ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน การทำตลาดออนไลน์เริ่มเห็นผล จากยอดผู้ติดตามบนของ Official Account ทั้งใน Shopee เเละ Lazada  เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จากเดิมราว 2 พันคนขึ้นเป็น 5 หมื่นคน ในเวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น โดยเเผนระยะยาวไฮเซ่นส์ ตั้งใจจะเพิ่มสัดส่วนการขายออนไลน์ให้ได้ถึง 30% ขณะที่หน้าร้านอยู่ที่ 70%

“ในตลาดออนไลน์การขายราคาถูก ไม่ได้จะขายได้เสมอไป เพราะต่อให้ราคาถูกเเค่ไหน ก็ต้องมีระยะเวลาปูทางที่จะวางเเคมเปญ อย่างน้อย 10 วัน ดังนั้นการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อ “ช่วยกันทำ” เป็นสิ่งสำคัญมาก นอกจากนี้เรายังได้เรียนรู้ประสบการณ์จากบริษัทเเม่ในจีนที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาประยุกต์ใช้ในไทยด้วย” 

ผู้บริหาร ไฮเซ่นส์ บอกถึงเคล็ดลับการทำยอดขายบน อี-มาร์เก็ตเพลส คร่าวๆ ว่า 

  • ต้องทำหน้าบ้านให้ดูดี เผยให้เห็นข้อมูลที่ครบถ้วน เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อของลูกค้า
  • ดึงดูดให้คนมาติดตาม เช่น มีข้อเสนอว่าหากกดติดตามเเล้วจะได้รับ Voucher ขณะเดียวกันก็ต้องเริ่มเเคมเปญสร้างการรับรู้ เช่นการปล่อยทีเซอร์ เเละมีกิจกรรม Live
  • ตอบคำถามลูกค้าทันที โดยทีมต้องพร้อมในการตอบข้อสงสัยของลูกค้าได้รวดเร็วเเละเเม่นยำ รวมถึงด้านขนส่งสินค้าเเละบริการหลังการขาย

“ให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ที่ดี สินค้าโดนใจ ในราคากับโปรโมชั่นที่ใช่ ก็จะเกิดการติดตามเเละซื้อสินค้าชิ้นต่อไป” 

ล่าสุดกับเเคมเปญ Hisense Brand Day ที่กำลังจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งในวันที่ 18 สิงหาคมนี้ บนเเพลตฟอร์มออนไลน์ของ Shopee , Lazada เเละ JD รวมถึงส่วนออฟไลน์ที่วางขายตามโมเดิร์นเทรดไปพร้อมๆกัน เเม้สินค้าที่ลดราคาจะไม่ได้เหมือนกัน 100% เเต่หน้าร้านก็ต้องมีรุ่นที่ไม่ต่างกันมาก เเละมีราคาที่ลดไม่ต่างกันมาก

โดยมีโปรโมชั่นดึงดูดใจลูกค้าออนไลน์ อย่างเช่น การเเจก iPhone SE ให้ 10 ออเดอร์เเรกเมื่อซื้อสินค้าทีวีรุ่นที่กำหนดไว้ หรือการให้ “แคชแบ็ก” (เงินคืน) กว่า 50% สำหรับทีวี 50 ออเดอร์เเรก เเละสินค้า Home Appliance 20 ออเดอร์เเรก โดยต้องซื้อตามเงื่อนไขที่กำหนด รวมถึงการเเจกคูปองพิเศษต่างๆ เเละการจัด Flash Sale ราคาพิเศษ เป็นต้น


@ก้าวต่อไปสู่ Top 3 เครื่องใช้ไฟฟ้าไทย 

จากช่วงมาตรการล็อกดาวน์ที่ผ่านมา ด้วยความที่ไฮเซ่นส์ มีช่องทางการขายผ่านโมเดิร์นเทรดเยอะ จึงต้องมีการปรับทัพกลยุทธ์ใหม่ โดยมีเเนวทางที่น่าสนใจซึ่งเป็นกรณีศึกษาได้ดีไม่น้อย

“สิ่งเเรกที่ทางเเบรนด์ทำ คือยอมรับว่ายอดขายคงไม่เหมือนเดิมเเน่นอน เเต่ว่าสิ่งที่ต้องทำให้ดีที่สุด คือการพัฒนาพนักงานขาย เรามีการทำเทรนนิ่งออนไลน์เยอะมาก ทุกสัปดาห์ เพื่อปูความพร้อมของพนักงาน เพิ่มความรู้เเละทักษะ”

จากนั้นคือการตั้งทีมเพื่อ “รุกออนไลน์” ต่อยอดหลังเริ่มทำมาในช่วงปลายปี 2019 ทำให้มีเวลามาโฟกัสเรื่องออนไลน์เยอะขึ้น ถือเป็นการได้ลงสนามจริงในช่วงวิกฤต COVID-19

ส่วนกลยุทธ์ต่อไปของไฮเซ่นส์ในการตีตลาดไทย เเน่นอนว่ายังคงเป็นการให้ความสำคัญกับ “คุณภาพเเละบริการ” ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในราคาที่เหมาะสมควบคู่กับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในเชิงลึกกับพาร์ทเนอร์ เเละพัฒนาช่องทางการขายออนไลน์ให้ต่อเนื่อง รวมถึงนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าหมวดอื่นๆ มาวางจำหน่ายให้ครบวงจรมากขึ้น

ส่วนการสร้างเเบรนด์ดิ้งเเละการโปรโมทนั้น ยังคงเน้นไปที่การใช้ Sport Marketing ที่เเม้จะสะดุดเมื่อเจอสถานการณ์ COVID-19 ไปบ้าง เเต่ก็ถือว่ายังเป็นจุดสำคัญที่เป็นของคู่กับสินค้าทีวี โดยได้เซ็นสัญญาเป็นพาร์ทเนอร์กับสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เพื่อเจาะลูกค้าท้องถิ่น รวมถึงยังคงยืนยันการเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 หรือ UEFA EURO 2020 ที่เลื่อนออกไปด้วย

ขณะเดียวกันก็ยังคงเน้นการใช้โซเชียลมีเดียให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) เเละการรีวิวผลิตภัณฑ์จากผู้ใช้งานจริง เพราะต้องการให้ผู้บริโภครับรู้ถึงคุณสมบัติที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์

สำหรับการเติบโตของไฮเซ่นส์ ประเทศไทย ในปี 2561-62 โตขึ้นเกือบ 100% จากจำนวนสินค้าที่เพิ่มขึ้น ช่องทางการขายที่หลากหลาย เเละฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,500 ล้านบาท จากปีที่เเล้วที่อยู่ที่ราว 800 ล้านบาท ซึ่งหากมองตามสถานการณ์ตอนนี้ ก็ถือว่ายังมีความท้าทาย จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง เเต่โดยรวมมองว่าตลาดยังมีช่องทางการเติบโตได้อีกมาก

“เราตั้งเป้าว่าในช่วง 3-5 ปีต่อจากนี้ ไฮเซ่นส์จะต้องเป็นเเบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า Top 3 ที่ผู้บริโภคชาวไทยรู้จักเเละนึกถึง”

]]>
1292517
เทสโก้ โลตัส เดินหน้า “รับซื้อผักโดยตรงจากเกษตรกร” ตั้งเป้า 1,000 ครัวเรือน ภายในสิ้นปีนี้ https://positioningmag.com/1263795 Mon, 10 Feb 2020 10:52:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1263795 เทสโก้ โลตัส เดินหน้า “รับซื้อผักจากเกษตรกร” ไม่ผ่านคนกลาง ครบทั้ง 4 ภาคทั่วประเทศ ตั้งเป้าขยายโครงการจากเกษตรกร 600 รายเป็น 1,000 ราย ภายในสิ้นปีนี้ ยกระดับสินค้าเกษตรปลอดภัยสู่โมเดิร์นเทรด

“เป็นการสานต่อนโยบายเกษตรปลอดภัยไปสู่เกษตรอินทรีย์ในอนาคต ตามเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพและอาหารปลอดภัยมากขึ้น”

สลิลลา สีหพันธุ์ ประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัท เทสโก้ โลตัส กล่าวถึงที่มาของโครงการซื้อผลิตผลทางการเกษตรโดยตรงจากเกษตรกร (direct sourcing) ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2553 และเพิ่มปริมาณการรับซื้อขึ้นทุกปี

ที่ผ่านมาเทสโก้ โลตัส ได้ทำงานร่วมกับ กรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อเชื่อมโยงการผลิตเเละการตลาด สรรหากลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ผักใบที่มีศักยภาพ เเละลงพื้นที่เป็น “พี่เลี้ยง” ให้คำเเนะนำด้านเทคโนโลยี การตลาดเเละการวางเเผนจัดการผลผลิต

โดยโครงการรับซื้อ “ผักใบ” จากเกษตรแปลงใหญ่ 4 แหล่งหลักครอบคลุมทั้ง 4 ภูมิภาค ได้เเก่

  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    กลุ่มเกษตรกรทำสวนบ้านโนนเขวา ต.ดอนหัน อ.เมือง จ.ขอนแก่น ปริมาณรับซื้อ 70 ตันต่อเดือน เพื่อจำหน่ายในเทสโก้ โลตัส 120 สาขาทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
  • ภาคใต้
    กลุ่มแปลงใหญ่ผักบางท่าข้าม อ.พูนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ปริมาณรับซื้อ 97 ตันต่อเดือน เพื่อจำหน่ายในเทสโก้ โลตัส 55 สาขาทั่วภาคใต้
  • ภาคกลาง
    กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านนาคูร่วมใจพัฒนา ต.นาคู อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ปริมาณรับซื้อ 72 ตันต่อเดือน จำหน่ายในเทสโก้ โลตัส 54 สาขาทั่วภาคกลาง
  • ภาคเหนือ
    วิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ผักปลอดภัย ต.อุโมงค์ อ.เมือง จ.ลำพูน ปริมาณรับซื้อ 35 ตันต่อเดือน เพื่อจำหน่ายในเทสโก้ โลตัส 120 สาขาทั่วภาคเหนือ

“การรับซื้อผักตรงจากทั้ง 4 แหล่ง มีปริมาณกว่า 270 ตันต่อเดือน สร้างรายได้ที่เป็นธรรมและมั่นคงให้เกษตรกร 600 ครัวเรือน โดยเทสโก้ โลตัส ตั้งเป้าหมายขยายโครงการสู่เกษตรแปลงใหญ่กลุ่มอื่นๆ ในอนาคต ภายในสิ้นปี 2563 จะครอบคลุมเกษตรกร 1,000 ครัวเรือน”

เเละเพื่อยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตร ทางโครงการได้มีการผลักดัน “ผักปลอดภัย” ได้มาตรฐาน GAP รวมไปถึงการใช้สารชีวภัณฑ์ทดแทนการใช้สารเคมี เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

สลิลลา สีหพันธุ์ ประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัท เทสโก้ โลตัส

“เราต้องการจะขยายการรับซื้อให้มากขึ้น เพิ่มจากเดิมที่เป็นพืชผักใบไปสู่ผลผลผลิตการเกษตรอื่นๆ เช่น เเตงกวา เเตงร้าน เเละมะนาว จึงเป็นโมเดลใหม่ที่จะช่วยให้เทสโก้ โลตัสร่วมมือกับเกษตรกรได้ตามเป้าที่วางไว้ 1,000 ครัวเรือนภายในปีนี้ เเละตอนนี้เราก็เริ่มรับซื้อฟักทองจากเกษตรกรเเล้ว นอกเหนือจากจะนำไปขายสดให้แก่ผู้บริโภค เรายังจะนำไปต่อยอดเป็นขนมปังฟักทองด้วย”

สำหรับโครงการรับซื้อผลผลิตตรงจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ผักปลอดภัย ต.อุโมงค์ จ.ลำพูน มีการรับซื้อ “ฟักทองพันธุ์ทองอำไพ” จากชมรมส่งเสริมพัฒนาอาชีพอิสระคนพิการ พื้นที่ปลูกฟักทองรวมกว่า 90 ไร่ ใน จ.เชียงใหม่และเชียงราย ผลผลิตทั้งหมดรวบรวมเข้าโรงคัดบรรจุ ต.อุโมงค์ เพื่อส่งจำหน่ายในร้านค้าของเทสโก้ โลตัส ในภาคเหนือ

“เเต่ก่อนการปลูกพืชผลการเกษตรมีความเสี่ยงหลายอย่าง ทั้งด้านภูมิอากาศ ฟ้าฝนที่มีผลต่อปริมาณผลผลิต ทำให้ราคาตลาดไม่เเน่นอนเเละบางครั้งก็ถูกเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง ผลผลิตถูกตีกลับต้องเสียเงินทุนจำนวนมาก” อรรถพล กันธะอุดม ประธานชมรมส่งเสริมพัฒนาอาชีพอิสระคนพิการ กล่าว

อรรถพล กันธะอุดม ประธานชมรมส่งเสริมพัฒนาอาชีพอิสระคนพิการ ต.อุโมงค์ จ.ลำพูน

เขาเล่าต่อว่า หลังจากได้ร่วมโครงการรับซื้อผลผลิตตรงจากเทสโก้ โลตัส เป็นโอกาสที่ทางกลุ่มได้ขยายช่องทางการตลาดมากขึ้น มีปริมาณการรับซื้อที่แน่นอน ให้ราคารับซื้อที่เป็นธรรม สร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับกลุ่มผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์และเกษตรกรในโครงการ

สำหรับการส่งขายสินค้าเกษตรเเต่ละครั้งนั้น ชมรมส่งเสริมพัฒนาอาชีพอิสระคนพิการที่มีสมาชิกที่ปลูกฟักทองอยู่ 35 คน มีรายได้ขั้นต่ำ 5,000 บาทต่อรอบ เเบ่งเป็นการนำส่งเข้ามาในกรุงเทพที่ตลาดไท ส่งขายตรงให้เทสโก้ โลตัส เเละมีบางส่วนที่ขายให้กับพ่อค้าเเม่ค้าท้องถิ่น

ล่าสุดเทสโก้ โลตัส เเละกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ พัฒนาและส่งเสริมกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรสู่ตลาดนำการผลิต เพื่อผลักดันให้เกษตรกรมีช่องทางการจำหน่าย ตลอดจนสามารถวางแผนการซื้อ-ขาย ผลผลิตสินค้าเกษตรตามความต้องการของตลาด เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาและสร้างความมั่นคงทางอาชีพแก่เกษตรกร

เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงนโยบาย “ตลาดนำการเกษตร” เเละความร่วมมือครั้งนี้ว่า เป็นการยกระดับภาคเกษตรของไทย แก้ไขปัญหาผลผลิตล้นตลาดเเละราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ร่วมมือกับ “โมเดิร์นเทรด” ที่มีความพร้อมทั้งช่องทางจัดจำหน่าย มีการตลาดที่ดีเเละการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมร่วมกัน

“สิ่งสำคัญคือเกษตรกรมีแหล่งรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรที่แน่นอน มีรายได้ที่มั่นคง ทราบถึงความต้องการของตลาด และสามารถนำมาวางแผนการผลิตให้สอดคล้องทั้งด้านคุณภาพและปริมาณ จึงหวังว่าต่อไปจะมีการขยายผลสู่กลุ่มสินค้าเกษตรอื่นๆ อีก เกษตรกรก็จะมีความมั่นคงทางอาชีพ ส่วนลูกค้าผู้บริโภคก็จะได้บริโภคผักสดที่มีคุณภาพ ปลอดภัย”

จากข้อมูลของกรมส่งเสริมการเกษตร ระบุว่า ตั้งแต่ ปี 2559 ถึงปัจจุบัน มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ของรัฐบาล จำนวน 365,884 ครัวเรือน พื้นที่ 6,020,845.77 ไร่ จำนวนแปลงใหญ่ 6,534 แปลง มีสินค้าเกษตรประมาณ 70 รายการ โดยในภาคเหนือพืชเศรษฐกิจที่ได้รับการปลูกมากที่สุดคือ “ลำไย” ประมาณ 2.5 เเสนไร่ คิดเป็นมูลค่าการเกษตรกว่า 6 พันล้านบาท

 

]]>
1263795
กำลังซื้อดิ่ง “เทสโก้ โลตัส” เทงบ 520 ล้าน ส่ง “โรลแบ็ค” บิ๊กแคมเปญ “ลดราคา” พันรายการ ลง 1,900 สาขาทุกไซส์ https://positioningmag.com/1161827 Thu, 15 Mar 2018 15:49:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1161827 แม้จะมีการประเมินว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ช่วงต้นปีกำลังเริ่ม “ฟื้นตัว” แต่ผลการสำรวจพฤติกรรมความต้องการเชิงลึก (Insight) ของผู้บริโภค ที่ “เทสโก้ โลตัส” โมเดิร์นเทรดยักษ์ใหญ่ของเมืองไทยสอบถามกับลูกค้า 1,000 คน ในช่วงมกราคมที่ผ่านมา สะท้อนถึง “ความกังวลใจ” ต่อการจับจ่ายใช้สอยอย่างมาก

โดยผู้บริโภค 58% มีความพะวงต่อภาวะราคาสินค้าแพง ตามด้วย 51% กลัวค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือนจะขยับขึ้น และ 47% กังวลเรื่องหนี้สินที่มีจะกระทบการใช้จ่าย

ความกังวลของผู้บริโภคชาวไทย

ยิ่งเมื่อรวมกับข้อมูลของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค” เดือนกุมภาพันธ์กลับ “ดิ่งลง” เป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน

สัญญาณลบแบบนี้ เทสโก้ โลตัส ต้องเข็นแคมเปญใหญ่ “โรลแบ็ค” ออกมา เพื่อดึงกำลังซื้อเข้าห้างให้เร็วขึ้น จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค.-15 มิ.ย.61

เแคมเปญ “โรลแบ็ค” ถือเป็นหมัดเด็ดด้าน “ราคา” ที่ผู้บริโภคจดจำได้เป็นอย่างดี เมื่อค่ายค้าปลีกห้ำหั่นด้วยราคา (Red Ocean) เมื่อไหร่ เทสโก้ฯ จะเป็นแบรนด์ลำดับต้น ๆ ที่คนนึกถึง เพราะโรลแบ็คเป็นแคมเปญที่จัดต่อเนื่องมา 15 ปี เริ่มในปี 2546

ด้วยการทุ่มงบก้อนโต 520 ล้านบาท มากสุดรอบ 15 ปี เพื่อเป็นส่วนลดสินค้ากว่า 1,000 รายการ ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค.-15 มิ.ย.61 ซึ่งช่วงดังกล่าวผู้บริโภคค่อนข้าง “ระมัดระวังการใช้จ่าย” เพราะผ่านพ้นตรุษจีนที่คนใช้จ่ายเงินหนักไปแล้ว และยังเป็นรอยต่อในการประหยัดเงินเพื่อรับการเปิดเทอม จึงต้องรีบส่งแคมเปญ เพื่อดึงกำลังซื้อให้กลับมา เพราะอาจมีผลต่อการเติบโตของยอดขาย  

ปีนี้ได้ “ทุ่มงบก้อนโต 520 ล้านบาท” ใหญ่สุดรอบ 15 ปี ใช้เป็นส่วนลดสินค้ากว่า 1,000 รายการ โดยใช้พร้อมกันกว่า 1,900 สาขา มีทุกฟอร์แมตที่ร้านมีทั้งเทสโก้ โลตัส ดีพาร์ทเมนสโตร์, ไฮเปอร์มาร์เก็ต, โลตัส เอ็กซ์เพรส เป็นต้น จากเดิมทำเพียงสาขาใหญ่ หรือไฮเปอร์มาร์เก็ต

ฟอร์แมตและจำนวนสาขาของห้างเทสโก้โลตัส

“เป็นครั้งแรกที่เราทำแคมเปญโรลแบ็คข้ามฟอร์แมต หลังพบพฤติกรรมผู้บริโภคของเทสโก้โลตัสกว่า 40% มีการซื้อสินค้าข้ามฟอร์แมตทั้งร้านใหญ่ ไปร้านสะดวกซื้อโลตัสเอ็กซ์เพรสของเรา รวมถึงออนไลน์ และเรามองว่าแนวโน้มการซื้อข้ามฟอร์แมตดังกล่าวจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ” มาร์ค รัฟลีย์ ประธานกรรมการฝ่ายการตลาด เทสโก้ โลตัส กล่าว

การเลือกทำแคมเปญโรแบ็คในร้านโลตัสเอ็กซ์เพรส ส่วนหนึ่งเป็นพฤติกรรมผู้บริโภคยุคปัจจุบันซื้อสินค้าน้อยชิ้นลง แต่เพิ่มความถี่มากขึ้น อีกทั้งร้านสะดวกซื้อยังเป็นช่องทางที่ “แบรนด์สินค้าต่าง ๆ” มัก “เล่นโปรโมชั่นลดราคา” หมุนเวียนกันตลอดทั้งปีด้วย ดังนั้น หากเทสโก้ฯ ต้องการรักษาฐานลูกค้าไว้ให้เหนียวแน่น ก็ต้องลงไปถึงฟอร์แมตร้านสะดวกซื้อ

ส่วนสินค้าหัวหอกในการลดราคา คือ “หมวดอาหารสด” ซึ่งเป็นอีกหมวดที่ “โตแรง” สำหรับเทสโก้ฯ เพราะขึ้นชื่อว่า “ของกิน” จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีก็ต้องซื้ออยู่ดี ดังนั้น การลดราคาจะช่วยเพิ่มการเติบโตให้กับสินค้าหมวดนี้ได้มากขึ้นด้วย ขณะที่ผ่านมา โรลแบ็คให้น้ำหนักการหมุนเวียนลดราคาสินค้าเบ็ดเตล็ด ข้าวสาร อาหารแห้ง (Grocery) เป็นหลัก

“เราจัดโรลแบ็คปีละ 3-4 ครั้ง มีสินค้าหมุนเวียนลดราคาตั้งแต่ 100 ไปจนมากกว่า 1,000 รายการ และการโฟกัสลดราคาอาหารสดเพิ่งเริ่มปีที่ก่อน และปีนี้เราเน้นหนักมากขึ้น จากโรลแบ็คสินค้ากว่า 1,000 รายการ เป็นอาหารสดมากกว่า 200 รายการ”

นอกจากนี้ งบลดราคายังเทไปให้การหั่นราคา “ค่าธรรมเนียม” ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำ ค่าไฟ จาก 10 บาทต่อบิล เหลือ 5 บาทต่อบิลด้วย เพราะต้องยอมรับการที่ห้างค้าปลีกหันมา “เพิ่มความสะดวก” ในการจ่ายบิล เป็นหนึ่งในบริการที่ “ดึง” ลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการในห้างด้วย เรียกว่ามาซื้อของแล้ว ชำระหนี้ บิลให้เสร็จเป็น One Stop Service จุดเดียวไปเลย

หมุนเวียนลดราคาอาหารสดมากสุด และพ่วงลดค่าธรรมเนียมจ่ายบิลต่าง ๆ

การเทงบหนัก และจัดแคมเปญทั่วทุกสาขา แถมพ่วงออนไลน์ด้วย คงต้องมาดูว่าพลังของแคมเปญครั้งนี้ จะปั๊มยอดขายและบูสต์กำลังซื้อให้โตสมใจหรือไม่ ต้องติดตาม!.

]]>
1161827
เมียงดง มิดิโอะ รีเทลเกาหลีบุกไทย https://positioningmag.com/1157448 Mon, 19 Feb 2018 06:00:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1157448 โมเดิร์นเทรดเริ่มมีสีสันแปลกตามากขึ้น เมื่อทุนเกาหลีเริ่มเข้ามาบุกตลาดค้าปลีกเมืองไทย ต่อยอดจากธุรกิจร้านอาหาร ร้านกาแฟ เครื่องสำอาง และธุรกิจศัลยกรรมความงาม ที่ได้รับความนิยมตามกระแสคลื่นวัฒนธรรมเกาหลีที่ไหลเข้ามาต่อเนื่อง มีกลุ่มแฟนคลับเกาะติดเทรนด์อย่างเหนียวแน่น

แม้ขณะนี้ยังไม่มีนักลงทุนเกาหลีเข้ามาบุกเบิกศูนย์การค้าขนาดใหญ่ แต่มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการชิมลางขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทล็อตเต้ (Lotte) ผู้ประกอบกิจการธุรกิจขนาดใหญ่และร้านค้าสินค้าปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี) รายใหญ่ในเกาหลีใต้ โดยเช่าพื้นที่ขนาด 10,000 ตร.. เปิดร้านค้าระดับเวิลด์คลาส เพื่อทดลองใช้ไทยเป็นฐานการลงทุน และทำตลาดแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากขยายสาขาดิวตี้ฟรีชอปในประเทศอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และญี่ปุ่น เนื่องจากกลุ่มล็อตเต้มีธุรกิจในเครือข่ายจำนวนมาก ทั้งธุรกิจอาหาร ร้านค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า โรงแรม สวนสนุก ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจการเงิน ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์ไอที รวมถึงธุรกิจที่อยู่อาศัย กลุ่มเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์

ล่าสุด กลุ่มสเปเชียลตี้สโตร์ของเกาหลีเริ่มบุกรีเทลตามมาอีกระลอก อย่าง อาร์โควา (Arcova Korean Lifestyle Stores) ร้านจำหน่ายสินค้าราคาเดียว เริ่มต้นที่ 50 บาท ซึ่งเน้นสินค้าเจาะกลุ่มวัยรุ่น คนทำงาน คนรุ่นใหม่ มีสินค้ามากกว่า 10,000 เอสเคยู ทั้งกลุ่มเครื่องสำอาง ของใช้ในชีวิตประจำวัน สินค้าแฟชั่น ตุ๊กตา สินค้าจิปาถะ โดยเปิดตัวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จนล่าสุดเปิดแล้ว 5 สาขา ได้แก่ สาขาเอ็มบีเค เซ็นเตอร์พอยท์ โชว์ดีซี จีทาวเวอร์ และซีคอนสแควร์

ส่วนร้านมิดิโอะ (Midio Korean Selections) ร้านนี้เพิ่งเปิดตัวสาขาแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 ที่ศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ล่าสุดขยายเพิ่มอีก 2 สาขาที่ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์และยูเนี่ยนมอลล์ รวมถึงมีแผนเดินสายจัดอีเวนต์สร้างการรับรู้แบรนด์ร่วมกับกลุ่มเดอะมอลล์กรุ๊ปอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

สุรชัย ปิยวัชรวิจิตร กรรมการผู้จัดการบริษัท ซี.เอ.พี. มิวสิค จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายซีดี ดีวีดี วีซีดี คาราโอเกะ เพลงและภาพยนตร์ต่างประเทศ ภายใต้ชื่อร้าน “CAP” เปิดเผยกับผู้จัดการ 360” ว่า บริษัทตัดสินใจขยายไลน์ธุรกิจใหม่ หลังจากธุรกิจจำหน่ายซีดี ดีวีดี เริ่มชะลอตัวตามเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของทั่วโลก โดยลงทุนซื้อสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ร้าน “Midio” จากบริษัทร่วมทุนเกาหลีจีนในประเทศจีน โดยถือเป็นแบรนด์ร้านค้าปลีกที่มีความแข็งแกร่งมากในตลาดเซาท์อีสต์เอเชีย มีเครือข่ายสาขาจำนวนมากในประเทศจีน ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ จนล่าสุดเข้ามาเปิดสาขาในไทย

ทั้งนี้ ชื่อ “Midio” เป็นชื่อที่แปลงมาจาก “Myeong-dong” หรือที่นักชอปแฟนคลับเกาหลีเรียกว่าเมียงดงซึ่งถือเป็นย่านชอปปิ้งสุดฮิตและคึกคักมากที่สุดในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ประมาณสยามสแควร์เมืองไทย เป็นทั้งศูนย์กลางของการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารนับไม่ถ้วน ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเคยได้รับการจัดอันดับเป็นชอปปิ้งสตรีทที่มีมูลค่าแพงที่สุดด้วย

สุรชัยกล่าวว่า แบรนด์มิดิโอะมีความเป็นเกาหลีชัดเจนและมีความแข็งแกร่งทั้งรูปลักษณ์และตัวสินค้า ขณะที่แบรนด์คู่แข่งส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น บางแบรนด์เป็นสินค้าจากจีนหรือเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นที่คนไทยทำเอง แต่มิดิโอะเน้นสินค้านำเข้าและรูปแบบสไตล์เกาหลี มีความฟรุ้งฟริ้งมากและลวดลายความน่ารักต่างจากสินค้าสไตล์ญี่ปุ่น มั่นใจว่าจะเป็นจุดแตกต่างที่โดนใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งวัยรุ่น คนรุ่นใหม่และแฟนคลับเกาหลีในไทยที่มีฐานจำนวนมาก

สินค้ามีทั้งสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง ของใช้ส่วนตัว อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ของขวัญ สินค้าที่ระลึก ราคาขายในไทยเริ่มต้นที่ 69 บาท โดยกลุ่มสินค้ายอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ ตุ๊กตา น้ำหอม หมอนรองคอ น้ำหอมปรับอากาศ และหน้ากากปิดตา ซึ่งยอดขายหลักในขณะนี้ยังมาจากหน้าร้าน แต่บริษัทจะเร่งขยายฐานลูกค้าผ่านออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ ทั้งขายส่งและขายปลีก โดยเฉพาะการขายผ่านออนไลน์มีโอกาสเติบโตสูงมากเนื่องจากช่วงทดลองตลาด 3 เดือนแรก สินค้าได้รับการตอบรับอย่างดี กลุ่มลูกค้ามองความนิยมสินค้าสไตล์เกาหลีตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามากกว่าสไตล์ญี่ปุ่น ทั้งในแง่แฟชั่น สีสันความสดใส

นอกจากนี้ ซี.เอ.พี.มิวสิค อยู่ระหว่างการติดต่อกับบริษัทแม่ เพื่อเพิ่มกลุ่มสินค้าไลเซนส์ตัวการ์ตูนและดาราเกาหลีที่คนไทยรู้จักและชื่นชอบ เพื่อเปิดกลยุทธ์รุกตลาดและสร้างการรับรู้แบรนด์ โดยเฉพาะกลุ่มแฟนคลับแดนกิมจิ

ด้านแผนการขยายสาขาในปี 2561 บริษัทเตรียมเปิดร้านมิดิโอะเพิ่มอีก 2 แห่งในศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และเซ็นทรัล พื้นที่เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 80 ตารางเมตร งบลงทุนต่อสาขาประมาณ 5 ล้านบาท

สำหรับการขายแฟรนไชส์ยังต้องรอเวลาอีกระยะ เพื่อให้ระบบต่างๆ มั่นคงก่อน หรืออาจไม่ขายแฟรนไชส์ด้วย เนื่องจากบริษัทเน้นหาลูกค้ากลุ่มเอสเอ็มอีที่สนใจซื้อสินค้าไปจำหน่าย โดยใช้จุดขายเรื่องสินค้ามีมาตรฐานและคุณภาพมากกว่าสินค้าราคาเดียวตามท้องตลาดทั่วไป ซึ่งผู้สนใจสามารถซื้อสินค้าและไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์เหมือนแบรนด์อื่นๆ

แหล่งข่าวในวงการธุรกิจค้าปลีกระบุว่า ธุรกิจร้านค้าราคาเดียวยังมีแนวโน้มเติบโตสูง เหตุผลสำคัญมาจากภาวะเศรษฐกิจที่กดดันให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าในราคาประหยัดและกลุ่มลูกค้าขยายฐานมากขึ้น จากอดีตที่เป็นกลุ่มประชาชนระดับล่างที่เลือกซื้อสินค้าราคาเดียวตามตลาดนัดหรือร้านค้าตามชานเมือง ปัจจุบันกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มวัยรุ่น คนทำงาน กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่และมีความต้องการสินค้าไลฟ์สไตล์ ผู้ค้าส่วนใหญ่จึงพยายามสร้างแบรนด์ตามความนิยม โดยเฉพาะแบรนด์ญี่ปุ่นและเกาหลี

แต่เนื่องจากภาพลักษณ์แบรนด์ญี่ปุ่นถูกนำมาใช้ช่วงระยะหนึ่งทำให้แบรนด์เกาหลีกลายเป็นจุดขายใหม่บวกกับกระแสวัฒนธรรมเกาหลียังมีความแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากศิลปินดารา นักร้อง ซึ่งมีฐานแฟนคลับขนาดใหญ่

ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากสมาคมผู้ค้าปลีกไทยระบุว่า ตลาดรวมค้าส่งค้าปลีกของไทยมีมูลค่ากว่า 3.1 ล้านล้านบาท แยกเป็นค้าปลีกค้าส่งแบบออฟไลน์ประมาณ 3 ล้านล้านบาท และอีก 1 แสนล้านบาทเป็นค้าปลีกค้าส่งในรูปแบบออนไลน์ หากเปรียบเทียบธุรกิจค้าปลีกทุกรูปแบบพบว่า ซูเปอร์มาร์เกตมีอัตราเติบโตเพียง 7% กลุ่มไฮเปอร์มาร์เกตเติบโต 2% คอนวีเนียนสโตร์เติบโต 3% ห้างสรรพสินค้าเติบโต 3% แต่โมเดลค้าปลีกกำลังมาแรงนับจากนี้ คือร้านค้าเฉพาะทาง หรือสเปเชียลตี้สโตร์ หรือร้านขายสินค้าประเภทราคาเดียว

เหมือนในสหรัฐอเมริกาที่เกิดกระแสสมรภูมิร้านดอลลาร์สโตร์ ผู้ค้าปลีกรายใหญ่หันมารุกตลาดเซกเมนต์นี้ หวังชิงส่วนแบ่งเม็ดเงินจับจ่ายของเหล่ามิลเลนเนียลที่มีมูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

การรุกธุรกิจรีเทลของกลุ่มทุนเกาหลีจึงไม่ใช่แค่รายสองรายเท่านั้นแน่.

สนับสนุนข่าวโดย : gotomanager.com

]]>
1157448
“โกลบอลเฮ้าส์” สู้สมรภูมิโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้าง ปักหมุดลงทุน 600 ล้านบาท ลุยขยายดีซี 100 ไร่ อ.วังน้อย https://positioningmag.com/1142970 Tue, 10 Oct 2017 17:52:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1142970 ภาวะเศรษฐกิจกำลังซื้อจะชะลอตัวมา 2-3 ปี จนกระทบภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตลาดวัสดุก่อสร้าง แต่นั่นไม่ทำให้ “บิ๊กโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้าง” ที่เป็นโมเดล Big Box อย่าง “โกลบอลเฮ้าส์” เบรกการลงทุน เพราะ “ขุมทรัพย์” ค้าปลีกวัสดุก่อสร้างที่มีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท หากนิ่งฉยไม่ขยายธุรกิจ “คู่แข่ง” อาจแบ่งเค้กก้อนโตไปครองได้

ดังนั้น วิทูร สุริยวนากุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หนึ่งใน “ผู้เล่นรายใหญ่” ของตลาดค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง จึงต้องลุยลงทุนเปิดสาขา นอกจากสร้างการเจริญเติบโตของยอดขายและรายได้ ยังต้องย้ำ “วิสัยทัศน์” ในการผลักดันให้ “โกลบอลเฮ้าส์” เป็นช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านที่ดีที่สุดในภูมิภาคอาเซียน

ทีมบริหาร วิทูร สุริยวนากุล,อภิสิทธิ์ รุจิเกียรติกำจร,เกรียงไกร สุริยวนากุล

ก่อนไปถึงอาเซียน ในบ้านต้องแกร่งปึ้ก ล่าสุดทุ่มทุนกว่า 600 ล้านบาท สร้างศูนย์กระจายสินค้า (ดีซี) บนเนื้อที่กว่า 1000 ไร่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยความน่าสนใจของศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้คือการอัตโนมัติที่ติดตั้งระบบบริหารคลังสินค้าอัตโนมัติ ASRS (Automated Storage Retrieval System) ทั้งหมดควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการจัดการทั้งความรวดเร็ว สะดวก แม่นยำ และประหยัดเวลาแก่ลูกค้ายิ่งขึ้น  

สำหรับดีซีแห่งใหม่นี้ มีการพัฒนาเป็นเฟส โดยเฟสแรกจะเป็นคลังสินค้าขนาด 3 หมื่นตารางเมตร เก็บสินค้าในส่วนของ ASRS ได้กว่า 4.3 หมื่นพาเลท เก็บเหล็กได้กว่า 5,000 ตัน กระเบื้องเซรามิกกว่า 5,000 พาเลท

“ศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติแห่งนี้ มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ามากที่สุดในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างของเมืองไทย ที่สำคัญศูนย์ดังกล่าวจะทำให้บริษัทฯ ลดการเสียโอกาสในการขาย และช่วยเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้กับลูกค้า รวมทั้งช่วยให้ต้นทุนในการบริหารจัดการทั้ง Supply Chain อยู่ในระดับที่เหมาะสม และตอบโจทย์ลูกค้าด้านราคาที่สมเหตุสมผลยิ่งขึ้น” 

ศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่

ปัจจุบัน “โกลบอลเฮ้าส์” มีห้างค้าปลีกจำหน่ายวัสดุก่อสร้างทั้งสิ้น 52 สาขาทั่วไทย และเป็นสาขาที่ใช้ระบบ ASRS แล้ว 16 แห่ง โดยแผนการขยายสาขาจนถึงสิ้นปีนี้ เบื้องต้นจะเปิดเพิ่มอีก 1 สาขาที่จ.พัทลุง เดือนพฤศจิกายนนี้

ที่น่าสนใจคือ แผนการขยายสาขาจากนี้ไปจะมุ่งเจาะย่อยลงไปในพื้นที่ “ระดับอำเภอ” มากขึ้น เช่น 3 สาขาที่ อ.เมือง , อ.บ้านไผ่ และ อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น และ 2 สาขาที่ อ.เมือง และ อ.พังโคน จ.สกลนคร ส่วนแผนลุยอาเซียนนั้นมีเป้าหมายจะเปิดสาขาให้ได้ทั่วทั้งภูมิภาค เล็งเปิด 3 สาขาเจาะประเทศเมียนมา ลาว และกัมพูชา จากปัจจุบันมีสาขาในประเทศลาว 5 แห่ง เมียนมา 5 แห่ง และกัมพูชา 1แห่ง 

“เกรียงไกร สุริยวนากุล” ซัพพลายเชน ไดเร็กเตอร์ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า ความพิเศษของศูนย์กระจายสินค้าวังน้อย มี 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.ผู้จัดจำหน่ายสามารถจองคิวส่งสินค้าในระบบได้เองอย่างสะดวกสบาย ลดปัญหาการรอคิวเป็นเวลานานๆ 2.ระบบจัดเก็บและกระจายสินค้าถูกออกแบบมาเพื่อลดความผิดพลาดและเพิ่มความรวดเร็วของการกระจายสินค้า โดยทุกๆ จุดสัมผัสจะถูกบันทึกและสามารถตรวจสอบได้ (Track and Trace) มีการนำระบบการชั่งสินค้าแทนการนับมาใช้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนสินค้าด้วย และ 3.ระบบ ASRS มีส่วนที่ออกแบบมาเป็นพิเศษให้สามารถจัดเก็บและจ่ายสินค้าที่มีขนาดใหญ่พิเศษได้ยาวสูงสุดถึง 2.40 เมตร รองรับความหลากหลายของสินค้าที่มีอยู่ในร้าน

จัดเก็บสินค้ายาวสูงสุดถึง 2.40 เมตร

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดค้าปลีกวัสดุก่อสร้างปีนี้คาดการณ์จะหดตัวลง 8% แต่ “แม่ทัพโกลบอลเฮ้าส์” ยังตั้งเป้ายอดขายทั้งปีทะลุ 2.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อนมียอดขาย 1.94 หมื่นล้านบาท ผ่านไปครึ่งทางหรือ 6 เดือนแรกมียอดขายกว่า 1.09 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 916.28 ล้านบาท

โกลบอลเฮ้าส์รุกหนัก คงต้องจับตาดูคู่แข่งทั้ง ไทวัสดุ เมกาโฮม ดูโฮม จะเดินเกมอย่างไรช่วงโคงสุดท้ายปลายปี.

]]>
1142970