ไทยยูเนี่ยน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 17 Nov 2022 03:27:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 TU สปินออฟ “ไอ-เทล” บริษัท OEM “อาหารสัตว์เลี้ยง” Top 10 โลก IPO เคาะราคา 30-32 บาท/หุ้น https://positioningmag.com/1408531 Wed, 16 Nov 2022 09:38:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1408531 ไทยยูเนี่ยน (TU) สปินออฟบริษัทลูก “ไอ-เทล” เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิด IPO ราคา 30-32 บาท/หุ้น โดยบริษัทนี้เป็นผู้ผลิต “อาหารสัตว์เลี้ยง” รายใหญ่ในระดับ Top 10 ของโลก มองเทรนด์อนาคตเข้าทางเพราะคนทั่วโลกหันมาเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกครอบครัว ยอมใช้จ่ายสูงขึ้นเพื่อดูแลสัตว์เลี้ยงแสนรัก คาดการณ์ตลาดโลกโตเฉลี่ยปีละ 7.1%

บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC เริ่มเดินหน้าโรดโชว์ก่อนเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) โดยประกาศเปิดขายหุ้น IPO จำนวนรวมไม่เกิน 660 ล้านหุ้น ด้วยช่วงราคาเสนอขาย 30-32 บาทต่อหุ้น รวมคิดเป็นมูลค่าเสนอขายไม่เกิน 21,120 ล้านบาท โดยหุ้น IPO จะคิดเป็นไม่เกิน 22% ของจำนวนหุ้นสามัญหลัง IPO

ITC จะพร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นได้ระหว่างวันที่ 22-25 พฤศจิกายน 2565 และเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในเดือนธันวาคม 2565

คณะผู้บริหาร ITC

“ไอ-เทล” ทำธุรกิจอะไร?

ชื่อบริษัท “ไอ-เทล” อาจฟังไม่คุ้นหูนัก แต่จริงๆ บริษัทดำเนินธุรกิจผลิต “อาหารสัตว์เลี้ยง” มานาน 45 ปี ภายใต้เครือไทยยูเนี่ยน (TU) และเพิ่งปรับโครงสร้าง เปลี่ยนชื่อบริษัทเพื่อเตรียมเข้าตลาดหุ้นเมื่อปี 2564 นี้เอง

“พิชิตชัย วงศ์ปิยะ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงประวัติบริษัทว่า แต่เดิมเริ่มต้นจากการนำ by-products เศษเหลือของการผลิตอาหารทะเลที่เป็นอาหารมนุษย์ของ TU มาเพิ่มมูลค่าด้วยการผลิตเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง

แต่พฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ TU ตั้ง “Global Pet Care Business Unit” ขึ้นในปี 2558 เห็นได้ชัดว่า วันนี้อาหารสัตว์เลี้ยงไม่ใช่ by-products ของอาหารคนอีกต่อไป แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องสร้างนวัตกรรมเพื่อสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ

 

ตลาดใหญ่อยู่ในอเมริกา เน้นหนักอาหาร “แมว”

ลักษณะธุรกิจของไอ-เทล ทำรายได้ 99% จากการรับจ้างผลิต (OEM) มีรายได้จากแบรนด์ของตนเอง (own brand) เพียง 1% โดยมีแหล่งผลิตอยู่ 2 แห่ง คือ โรงงานจ.สมุทรสาคร และโรงงานจ.สงขลา

การรับ OEM อาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัท ถือเป็นรายใหญ่ระดับ Top 10 ของโลก ปัจจุบันไอ-เทลส่งออกไปกว่า 45 ประเทศทั่วโลก มีคู่ค้าสำคัญที่สั่งซื้อสินค้าไปขายภายใต้แบรนด์อย่าง Mars Petcare และ The J.M.Smucker Co. ซึ่งเป็นแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำในสหรัฐฯ รวมถึง Aixia แบรนด์ชั้นนำของญี่ปุ่น

ITC ไอ-เทล IPO

หากคิดเป็นสัดส่วน ขณะนี้ตลาดใหญ่ที่สุดของไอ-เทล คือ ทวีปอเมริกา 46.2% รองมาคือทวีปเอเชียและโอเชียเนีย 34.4% และตามด้วยทวีปยุโรป 19.4%

พิชิตชัยยังอธิบายถึง “ความแข็งแรง” ของบริษัท มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงประเภท “อาหารเปียก” และ “ขนมสัตว์เลี้ยง” และสัดส่วนใหญ่ของสินค้าจะอยู่ในกลุ่มอาหารแมวถึง 83% ที่เหลือ 17% เป็นอาหารสุนัข

IPO ไอ-เทล

ความแข็งแรงในนวัตกรรมขนมสัตว์เลี้ยงและอาหารแมวนั้นไอ-เทลคาดว่าจะเป็นข้อได้เปรียบของบริษัท โดยพิชิตชัยเสนอให้เห็นเทรนด์การเลี้ยงสัตว์ของคนในปัจจุบันมีการ ‘Humanization’ เลี้ยงสัตว์เหมือนเป็นสมาชิกของครอบครัวคนหนึ่ง ทำให้ตลาดจะต้องการ “ขนมสัตว์เลี้ยง” มากขึ้น

รวมถึงไอ-เทลยังพบว่า ตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่นนั้นนิยมเลี้ยงแมวมากขึ้น โอกาสเติบโตของ “อาหารแมว” จะมีมากกว่าอาหารสุนัข

 

OEM ที่คิดค้นนวัตกรรมพร้อมเสิร์ฟลูกค้า

ด้าน “นคร นิรุตตินานนท์” ประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฏิบัติการของ ITC อธิบายถึงจุดแข็งของบริษัทที่ทำให้ได้เปรียบคู่แข่ง มาจากการเน้นหนักการเป็นอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียมที่มาจากการคิดค้น “นวัตกรรม” ทำให้ลอกเลียนแบบสูตรได้ยาก

“ฐานข้อมูลด้านสารอาหารของเราเชื่อว่านำหน้าคนอื่นไปกว่า 10 ปี” นครกล่าว

ปัจจุบันไอ-เทลจึงมีสินค้าถึง 5,187 SKUs และมีการคิดค้นเพิ่มปีละกว่า 1,000 รายการ เพื่อตอบโจทย์ทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงทุกช่วงวัย ทุกความต้องการทางสุขภาพ ลักษณะอาหารหรือรสชาติที่ต้องการ และบริษัทยังพร้อมจะ ‘customize’ ให้ลูกค้าที่ต้องการลักษณะเฉพาะสำหรับแบรนด์ตนเอง ซึ่งทำได้ก็เพราะมีศูนย์ R&D ของตนเอง จึงเป็น OEM ที่ไม่ได้หยุดนิ่งรอการสั่งซื้อเท่านั้น

 

กินตลาดใหญ่แล้วแต่ยังโตได้อีก

ITC รายงานผลประกอบการปี 2564 ทำรายได้ 14,500 ล้านบาท และมีการเติบโตเฉลี่ย 15% ในช่วง 3 ปีย้อนหลัง (2562-64) โดยมีอัตราการทำกำไรจากการดำเนินงานเฉลี่ยอยู่ในช่วง 15-20% มาโดยตลอด

ขณะที่รอบ 9 เดือนแรกปี 2565 ทำรายได้ไป 15,829 ล้านบาท เติบโต 52.5% YoY และทำกำไรสุทธิ 3,700 ล้านบาท

ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกมีการเติบโตที่ดี โตเฉลี่ยปีละ 5.8% ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (2558-2564) แต่แนวโน้มอนาคตก็ยังจะโตมากขึ้น อ้างอิงการวิจัยโดย Frost & Sullivan คาดว่าตลาดมูลค่า 5 ล้านล้านบาทนี้ จะโตเฉลี่ยปีละ 7.1% ในรอบ 5 ปีข้างหน้า (2565-69) เพราะเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในครอบครัว และเทรนด์ครัวเรือนที่ไม่มีบุตรแต่จะเลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนแทน

ทำให้แผนของไอ-เทลต้องการจะหาโอกาสเติบโตต่อไป “พรชัย ตติยชัยทวีสุข” รักษาการประธานเจ้าหน้าที่ด้านการพาณิชย์ของ ITC เปิดกลยุทธ์ 3 ด้านที่จะสร้างการเติบโตให้ ITC ดังนี้

1.ขยายส่วนแบ่งในตลาดเดิม เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น
  • เจาะกลุ่มลูกค้าห้างค้าปลีกที่ต้องการมีแบรนด์ของตนเอง (Private Label)
  • เพิ่มสินค้านวัตกรรม เช่น ขนมสัตว์เลี้ยง ซึ่งคาดว่าจะโต 11.0% ต่อปีในรอบ 5 ปีข้างหน้า (สูงกว่าค่าเฉลี่ยรวมของตลาด)
2.เพิ่มน่านน้ำใหม่ ในตลาดใหม่ที่กำลังเติบโตสูง เช่น จีน อังกฤษ
  • ร่วมมือกับแบรนด์คู่ค้านอกประเทศจีนที่ต้องการส่งแบรนด์เข้าเจาะตลาดจีน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้าสู่ตลาดจีนได้ง่ายขึ้น
  • รับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ท้องถิ่นจีนซึ่งต้องการสินค้าระดับพรีเมียม โดยขณะนี้บริษัทมีข้อตกลงกับอีคอมเมิร์ซรายใหญ่รายหนึ่งให้ผลิตสินค้าภายใต้ Private Label ของอีคอมเมิร์ซเรียบร้อยแล้ว
  • รับจ้างผลิตให้กับห้างค้าปลีกที่ต้องการ Private Label ของอังกฤษ โดยไอ-เทลมีจุดแข็งที่สนองตลาดอังกฤษได้เนื่องจากมีนโยบาย ESG ร่วมกับ TU บริษัทแม่มาโดยตลอด
3.ผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มมูลค่า
  • อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณค่าทางสารอาหารและให้ผลจริง
  • อาหารสัตว์เลี้ยงที่ทำจากโปรตีนทางเลือก เช่น แมลง
  • อาหารและเครื่องดื่มสัตว์เลี้ยงที่ผลิตเลียนแบบอาหารคน ตอบโจทย์ Humanization เช่น เบียร์สัตว์เลี้ยง ให้เจ้าของได้ทำกิจกรรมร่วมกับสัตว์เลี้ยงในแบบเดียวกัน
อาหารสัตว์เลี้ยง ไอ-เทล
อาหารสัตว์เลี้ยงที่ทำเลียนแบบอาหารคน ให้สัตว์เลี้ยงได้มีไลฟ์สไตล์เดียวกับเจ้าของ

 

ระดมทุนสร้างโรงงานใหม่และการ R&D

จากแผนการเติบโตทั้งหมดของไอ-เทล ทำให้การระดมทุนครั้งนี้มีขึ้นเพื่อนำไปใช้ในการลงทุนต่างๆ เหล่านี้

  • สร้างโรงงานแห่งใหม่ ในบริเวณเดียวกับโรงงาน จ.สมุทรสาคร จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 7%
  • ซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์เพิ่มเติมสำหรับโรงงานต้นแบบ
  • ปรับปรุงโรงงานและเครื่องจักรในโรงงานเดิม
  • ระบบอัตโนมัติในการติดฉลากและบรรจุสินค้า
  • เพิ่มคลังสินค้าระบบอัตโนมัติทั้งที่สมุทรสาครและสงขลา
  • สร้างศูนย์ปฏิบัติการทดสอบรสชาติอาหารแมว “Cattery”
  • ดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
]]>
1408531
“มอบน้ำใจ…ให้ตัวเอง” ไทยยูเนี่ยนสนับสนุนภูมิต้านทานวิกฤตด้วย “สุขภาพที่ดี” เริ่มจากตัวเองสู่คนรอบข้าง https://positioningmag.com/1361185 Wed, 17 Nov 2021 10:00:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1361185

กว่า 18 เดือนที่เราต้องเผชิญโรคระบาดครั้งร้ายแรงของโลก กลายเป็นสถานการณ์วิกฤตที่เปลี่ยนชีวิตทุกคน แต่เรายังฝ่าฟันผ่านจุดเลวร้ายมาได้ด้วย “การแบ่งปันน้ำใจ” และการดูแล “สุขภาพ” ซึ่งจะเป็นภูมิต้านทานที่ดีให้กับทุกคน และในขณะที่เราส่งต่อน้ำใจและความห่วงใยให้กับคนที่เรารัก ครอบครัว คนรอบข้าง รวมไปถึงผู้คนที่เดือดร้อนนั้น เราอาจจะหลงลืมคนที่สำคัญที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งก็คือตัวเราเอง

ไทยยูเนี่ยนสนับสนุนให้ทุกคนดูแลสุขภาพ และหันกลับมา “มอบน้ำใจ ให้ตนเอง” เพื่อเป็นภูมิต้านทาน สร้างสุขภาพที่ดี เพื่อเป็นพลังในการดูแลตนเองและคนที่เรารัก และเมื่อวิกฤตนี้ผ่านพ้นไป เราจะกลับมาใช้ชีวิตด้วยสุขภาพที่แข็งแรงไปด้วยกัน

โรคระบาด COVID-19 กลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของทุกคน ความกังวลด้านสุขภาพทำให้ทุกคนต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเป็นหลัก ลดการพบปะครอบครัวและญาติมิตร จากที่เคยได้เจอหน้ากันบ่อยๆ กลับกลายเป็นต้องห่างไกลกัน

วิถีชีวิตคนต้องเปลี่ยนไป หลายธุรกิจปรับตัวให้เข้ากับการระบาดของโรค เช่น ร้านอาหาร ปรับไปสู่ระบบฟู้ดเดลิเวอรี งดการนั่งทานในร้าน ธุรกิจบางประเภทถึงกับต้องปิดชั่วคราวหรือถาวร เช่น สถานบันเทิง โรงแรม สายการบิน กลายเป็นเกือบ 2 ปีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว และ “ยากลำบาก” อย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ในความมืดหม่นยังมีประกายความหวังจาก “น้ำใจ” ที่มีให้แก่กันของเพื่อนร่วมโลกที่ช่วยประคับประคองให้ผ่านวิกฤตเลวร้ายไปได้ เราได้เห็นความช่วยเหลือที่มีให้กัน ไม่ว่าจะด้วยพลังการบริจาคทรัพย์และสิ่งของให้กับสถานพยาบาลหรือหน่วยจิตอาสา และยังเลือกจัดซื้ออาหารจากร้านอาหารที่ขาดรายได้เพื่อช่วยเหลือกันแบบสองต่อ

หลายคนบริจาคแรงกายร่วมเป็นอาสาสมัครช่วยส่งของให้ผู้ป่วย รับส่งผู้ติดเชื้อ ก้าวผ่านความกลัวเดินทางไปบริจาคโลหิตในภาวะขาดแคลน กระทั่งบริจาคความคิดสร้างสรรค์ เปิดตลาดออนไลน์ฟรีให้ผู้ค้าที่ประสบวิกฤตได้มีพื้นที่ค้าขายเพิ่ม หรือลงทุนสร้างแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่างๆ ที่ช่วยให้ผู้ป่วยรับความช่วยเหลือได้เร็วขึ้น

เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นความมหัศจรรย์ของสังคมที่ยินดีช่วยเหลือกันแม้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และทำให้เราเดินทางผ่านช่วงที่เลวร้ายที่สุดมาได้

แต่หนึ่งในเป้าหมายการส่งมอบ “น้ำใจ” ที่คุณไม่ควรลืมคือ “ตัวคุณเอง” เพราะท่ามกลางวิกฤต สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือ “สุขภาพ” ทั้งร่างกายและจิตใจที่ดี แข็งแรง เพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมเผชิญกับเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นอีก โดยการเตรียมสุขภาพตนเองมีทั้งรับประทานอาหารที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หมั่นล้างมือและสวมหน้ากากอนามัย พร้อมดูแลใจครอบครัวและคนใกล้ชิดของคุณ


ตลอดระยะเวลาที่เกิดวิกฤตนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ยังเป็นส่วนหนึ่งในแรงสนับสนุนส่งต่อ “น้ำใจ” ให้กับสังคม โดยการปฏิบัติงานภายใต้ โครงการไทยยูเนี่ยนแคร์ (Thai Union Cares) ได้ร่วมส่งมอบอาหารให้กับชุมชนทั่วโลกมากกว่า 3.3 ล้านชิ้น ผ่านหน่วยงานราชการ องค์กรนอกภาครัฐ มูลนิธิ และโรงพยาบาล

รวมถึงบริจาคอาหารสัตว์เลี้ยง ทั้งอาหารแมวเบลล็อตต้าและอาหารสุนัขมาร์โว่จำนวนรวมกว่า 78,000 กระป๋อง และอาหารสุนัขชนิดเม็ดกว่า 4,000 กิโลกรัมให้กับสถานสงเคราะห์สัตว์ ศูนย์พักพิงสัตว์เลี้ยง องค์กรสัตว์เลี้ยง และอาสาสมัครที่ดูแลสัตว์เลี้ยง เป็นการให้ความช่วยเหลือที่ครอบคลุมสมาชิกทุกชีวิตในสังคม

ไทยยูเนี่ยนยังสนับสนุนการมี “สุขภาพที่ดี” ผ่านมื้ออาหารที่มีคุณภาพ สร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คน เพราะ “สุขภาพที่ดีจะเป็นภูมิต้านทานให้กับคุณ” ให้คุณและคนที่คุณรักก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยกัน

]]>
1361185
“ไทยยูเนี่ยน” ขอแหวก! เตรียมส่ง “Plant-based” อาหารทะเล ซุ่มพัฒนาเนื้อปูจากพืช https://positioningmag.com/1322576 Tue, 09 Mar 2021 10:11:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1322576 “ไทยยูเนี่ยน” ย้ำทิศทางบริษัทก้าวสู่ปี 2025 ทำรายได้โตสม่ำเสมอปีละ 5% ที่สำคัญกว่านั้นคือ “อัตรากำไร” วางเป้าเพิ่มเป็น 10% ด้วยกลุ่มธุรกิจใหม่ “อาหารเสริม” และ “Plant-based” รวมถึงกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงที่กำลังเติบโตดี ยังคงเน้นการค้าแบบ B2B รับผลิตแบบ OEM พ่วงขายปลีกผ่านซูเปอร์มาร์เก็ต

2563 เป็นหนึ่งในปีที่ท้าทายของ “ไทยยูเนี่ยน” จากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้บริษัทต้องบริหารจัดการสายการผลิตให้ปลอดภัย โดยเฉพาะช่วงสิ้นปีที่เกิดเหตุระบาดระลอกสองที่ จ.สมุทรสาคร แม้จะต้องลดกำลังผลิตบ้างเพื่อตรวจเชิงรุกทั้งโรงงาน แต่ยังคงเดินเครื่องได้และกลับมาโหมผลิตชดเชยได้ในภายหลัง

ขณะเดียวกัน ผลเชิงบวกของ COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคซื้อปลากระป๋องเพื่อกักตุนไว้ในยามรัฐประกาศล็อกดาวน์ ซึ่งทำให้ไทยยูเนี่ยนได้รับอานิสงส์จนมียอดขายที่ดีขึ้น สรุปถึงสิ้นปี 2563 บริษัทรายงานผลประกอบการมีรายได้ 1.32 แสนล้านบาท เติบโต 4.9% และทำกำไรสุทธิ 6.2 พันล้านบาท เติบโตแรง 63.7%

 

5 ปีข้างหน้าขอเน้น “บรรทัดสุดท้าย”

ปี 2563 เป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อของการก้าวสู่ยุคใหม่ของไทยยูเนี่ยนเช่นกัน โดย “ธีรพงศ์ จันศิริ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กางแผนวิสัยทัศน์ “ไทยยูเนี่ยน 2025” หรืออีก 5 ปีข้างหน้านี้ ต้องการให้บริษัททำรายได้เติบโตสม่ำเสมอปีละ 5% ซึ่งจะทำให้รายได้ขึ้นไปแตะ 1.6 แสนล้านบาท

ที่สำคัญกว่านั้นคือเป้าหมาย “อัตรากำไร” วางเป้าอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มจากปัจจุบัน 17.5% เป็น 20% และ อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มจากปัจจุบัน 7% เป็น 10%

การหันมาเน้น “บรรทัดสุดท้าย” ของงบผลประกอบการ เกิดจากทัศนคติที่เปลี่ยนไปในการบริหาร จากมองเรื่องการขยายขนาดบริษัท มาเป็นการทำกำไรที่ยั่งยืน ซึ่งจะเห็นได้ว่าไทยยูเนี่ยนมีการปรับตัวมาแล้วก่อนหน้านี้ 3 ปี โดยมุ่งเน้นลดต้นทุน ยุบสายผลิตที่ไม่ทำกำไร และรวมแผนกที่สามารถรวมได้ เป็นรากฐานที่แข็งแรงไปสู่อนาคต

 

ธุรกิจใหม่เป็นหัวหอกดันกำไร

จากวิสัยทัศน์ทำกำไรสูง ธีรพงศ์กล่าวว่า ธุรกิจดั้งเดิมคือ อาหารทะเลแช่เย็น-แช่แข็งและอาหารแปรรูป น่าจะทำรายได้เติบโตราวๆ 3% ต่อปี และปกติอัตรากำไรจะไม่สูงมาก เน้นขายปริมาณ ดังนั้น กลุ่มธุรกิจที่จะเติบโตสูงทั้งรายได้และกำไรจะเป็นธุรกิจอื่น ที่มีจำหน่ายในตลาดมานานคือ “อาหารสัตว์เลี้ยง” และมี “กลุ่มธุรกิจใหม่” เข้ามาเสริมทัพ ได้แก่

1. กลุ่มอาหารเสริม – ปัจจุบันกลุ่มอาหารเสริมของบริษัทที่มีจำหน่ายจะเป็นผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าที่เป็น by-products จากปลาทะเล เช่น น้ำมันทูน่าสกัด, คอลลาเจน, แคลเซียม, โปรตีนไฮโดรไลเซต ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นสารอาหารที่สามารถจำหน่ายเป็นอาหารเสริม หรือใช้เติมคุณค่าในผลิตภัณฑ์อื่นได้ เช่น นมผงทารก เครื่องดื่มเวย์โปรตีน ผลิตภัณฑ์ยา วางเป้าทำรายได้แตะ 1,500 ล้านบาท ภายใน 5 ปี

ผลิตภัณฑ์อินกรีเดียนท์ของไทยยูเนี่ยน : น้ำมันปลาทูน่า และ แคลเซียมจากกระดูกปลาทูน่า

2.กลุ่มโปรตีนทางเลือก (Plant-based Food) – เนื้อทำจากพืชของไทยยูเนี่ยนจะผลิตจากถั่วลันเตาและถั่วเหลืองเป็นหลัก มีทั้งเนื้อเลียนแบบอาหารทะเล และเนื้อเลียนแบบเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ เน้นการขายแบบ OEM รับผลิตให้แบรนด์ต่างๆ เป็นหลัก และเสริมด้วยแบรนด์ของบริษัทเอง วางเป้ารายได้กลุ่มนี้แตะ 1,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี

ไทยยูเนี่ยนเปิดแบรนด์เนื้อทำจากพืช (Plant-based) แบรนด์ OMG

 

ส่ง Plant-based อาหารทะเลลงสนาม

ธีรพงศ์กล่าวว่า สินค้าแบบ Plant-based ของบริษัท ที่ผ่านมาเคยจำหน่ายแบบ B2B ให้กับซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหารมาแล้ว แต่ปีนี้เป็นปีที่จะเปิดตลาดรายย่อยด้วย โดยมีแบรนด์ของตนเองเตรียมวางจำหน่ายครั้งแรก 15 มีนาคม 2564 ใช้ชื่อแบรนด์ “OMG” เริ่มจำหน่ายในกูร์เมต์ มาร์เก็ตก่อนจะขยายไปยังห้างค้าปลีกอื่นๆ หลังประเมินผลตอบรับในไทยแล้วจะขยายไปต่างประเทศในเขตทวีปเอเชียต่อไป

“การแข่งขันของธุรกิจนี้คือ ทำออกมาแล้วต้องเหมือนจริง ไม่เหมือนเนื้อเจสมัยก่อนที่ทานแล้วรู้ว่าไม่ใช่ หรือเหมือนทานเต้าหู้ธรรมดา” ธีรพงศ์กล่าว โดยมองว่าจุดแข็งของบริษัทคือ มีเนื้อทำจากพืชที่เลียนแบบ “อาหารทะเล” เช่น เนื้อปู ทำให้แตกต่างจากตลาด รวมถึงซุ่มวิจัยมานาน 6 ปีให้สินค้ามีรสชาติดี เชื่อว่าสินค้าจะแข่งขันได้ในตลาด

ตัวอย่างอาหาร Plant-based จากแบรนด์ OMG

ดร.ธัญญวัฒน์ เกษมสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มด้านนวัตกรรมของไทยยูเนี่ยน กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันตลาด Plant-based ทั่วโลกมีมูลค่า 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในมูลค่าดังกล่าวมีเนื้อที่ทำเลียนแบบอาหารทะเลเพียง 0.1% แต่ในตลาดเนื้อสัตว์ปกติจะมีสัดส่วนอาหารทะเลอยู่ 10% จึงมองว่า Plant-based ที่เทียบเคียงกับอาหารทะเล อนาคตน่าจะมีดีมานด์ใกล้เคียงกันซึ่งเป็นโอกาสของไทยยูเนี่ยน แต่บริษัทยังพัฒนาเนื้อ Plant-based เลียนแบบเนื้อหมูและเนื้อไก่ด้วย เพื่อรองรับความต้องการลูกค้า

หลังปักหลักในธุรกิจใหม่ ธีรพงศ์มองว่ารายได้กลุ่มนี้จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 10% ของรายได้รวม แต่จะมีสัดส่วนเป็น 15% ของกำไรทั้งบริษัท และยังเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพซึ่งคนทั่วโลกให้ความสำคัญสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

]]>
1322576
“ไทยยูเนี่ยน” ตรวจ COVID-19 พนักงานกว่า 27,000 คน ตรวจแล้ว 85% พบติดเชื้อ 69 คน https://positioningmag.com/1313034 Wed, 06 Jan 2021 04:20:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1313034 ไทยยูเนี่ยน ลงทุนตรวจหาเชื้อ COVID-19 ให้กับพนักงานทุกคนที่อยู่ใน จ.สมุทรสาคร จำนวนกว่า 27,000 คน ตรวจแล้ว 85% ของพนักงานทั้งหมด พบติดเชื้อ 69 คน หรือคิดเป็น 0.29% คาดตรวจครบภายในสัปดาห์หน้า ยืนยันเปิดโรงงานตามปกติ

ข่าวจาก บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) แจ้งการดำเนินงานภายในบริษัท บริษัทได้เร่งตรวจหาเชื้อโรคระบาด COVID-19 ให้กับพนักงานไทยยูเนี่ยนทุกคนในจังหวัดสมุทรสาคร รวม 27,522 คน

ณ วันที่ 5 มกราคม 2564 พนักงานไทยยูเนี่ยนจำนวน 23,630 คน หรือมากกว่า 85% ได้รับการตรวจหาเชื้อโรคระบาด COVID-19 แล้ว โดยจำนวนพนักงานที่ปฏิบัติงานในจังหวัดสมุทรสาครมีทั้งสิ้น 27,552 คน โดยใช้วิธีการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี PCR พบมีพนักงานติดเชื้อ 69 คน หรือคิดเป็น 0.29% บริษัทได้ทำการแยกพนักงานกลุ่มดังกล่าวเพื่อกักตัวและส่งรักษากับทางภาครัฐต่อไป ทั้งนี้การตรวจทั้งหมดจะแล้วเสร็จในช่วงสัปดาห์หน้า

“ผมขอย้ำตรงนี้ว่าพนักงานของเราทุกคนจะได้รับการตรวจหาเชื้อ COVID-19 เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานของเราทุกคนจะได้รับการดูแลอย่างดี โดยไม่จำกัด อายุ เพศ หรือเชื้อชาติ เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่าการผลิตของไทยยูเนี่ยนจะดำเนินอย่างต่อเนื่อง” ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว

บรรยากาศการตรวจหาเชื้อ COVID-19 โรงงานไทยยูเนี่ยน ใน จ.สมุทรสาคร

ไทยยูเนี่ยนได้ปฏิบัติตามระเบียบวิธีและแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข มีการกักตัวและดูแลพนักงานที่ติดเชื้อ ระบุผู้ใกล้ชิดผู้ที่ติดเชื้อ และมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อ big cleaning บริเวณต่างๆ

ธีรพงศ์ย้ำว่า โรงงานของไทยยูเนี่ยนทุกโรงยังคงเปิดดำเนินการตามปกติ เนื่องจากจำนวนพนักงานที่ได้รับผลกระทบมีอัตราและจำนวนที่น้อยมาก

นอกจากนี้ บริษัทมีการเพิ่มมาตรการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย คัดกรองผู้ที่จะเข้ามาปฏิบัติงานที่โรงงาน งดการประชุมติดต่อซึ่งครอบคลุมทั้งพนักงานบริษัทและผู้ที่มาติดต่อ ยกเว้นธุรกรรมที่จำเป็นเท่านั้น และต้องได้รับอนุญาตจากคณะผู้บริหารของบริษัท รวมถึงสนับสนุนให้พนักงานทำงานจากบ้านหากเป็นไปได้ และให้พนักงานปฏิบัติตามข้อแนะนำด้านสุขภาพอย่างเคร่งครัด

ไทยยูเนี่ยนยังอ้างอิงรายงานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกาและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ระบุว่า ไม่มีความเสี่ยงที่เกิดการแพร่เชื้อ COVID-19 ผ่านผลิตภัณฑ์อาหารหรือบรรจุภัณฑ์อาหาร

]]>
1313034
ไทยเบฟ-ไทยยูเนียน-GC สร้างปรากฎการณ์ของ “พลังร่วม” ด้านความยั่งยืนแห่งปี คนร่วมงานคึกคักใน“Thailand Sustainability Expo 2020” https://positioningmag.com/1300002 Tue, 06 Oct 2020 04:00:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1300002

เรียกว่าเป็นการร่วมพลังสร้างปรากฎการณ์งานด้านความยั่งยืนแห่งปีที่ได้รับความสนใจ และมีผู้ร่วมกันกันอย่างคึกคักตลอดทั้ง 4 วัน สำหรับงาน Thailand Sustainability Expo 2020 (TSX) ที่จัดขึ้นครั้งแรกของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก”

จากความร่วมมือของ 3 องค์กรผู้นำด้านความยั่งยืนที่นำโดย ภายใต้การนำของ 3 บิ๊ก คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย คุณธีรพงศ์ จันศิริ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที  โกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยองค์กรภาคีเครือข่ายด้านความยั่งยืนที่มาช่วยกันขับเคลื่อนให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนในครั้งนี้ ที่ได้รับเกียรติจาก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา มาเป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมกล่าวย้ำให้ความสำคัญเรื่องหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากและง่ายต่อความเข้าใจ ขอเพียงเราใส่ใจแล้วนำมาใช้ในชีวิตจริง พร้อมทั้งกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ได้เห็นภาคเอกชนได้มารวมตัวกันขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืน และดีใจที่ได้เห็นคนรุ่นใหม่มาสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนตระหนักในเรื่องนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของความร่วมมือกันทุกภาคส่วนเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศไทย

โดยมีผู้บริหารจากองค์กรชั้นนำต่าง ๆ เข้าร่วม อาทิ คุณมีชัย วีระไวทยะ ประธานมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ คุณนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเอสซีจี คุณวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองผู้จัดการอาวุโส CPF คุณวีระศักดิ์ สุตัณฑบูลย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)  ดร. ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ คุณสาโรช ชยาวิวัฒน์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบเวอร์เรจแคน จำกัด ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล รศ.ดร. กฤษติกา คงสมพงศ์ อาจารย์ประจำสถาบันศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) Mr. Renaud Meyer ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNDP) พร้อมด้วย คุณอาทิวราห์ คงมาลัย หนึ่งในบุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจเรื่องความยั่งยืน ร่วมด้วยเครือข่าย Thailand Supply Chain Network (TSNC) และบริษัทที่มีแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

โดยภายในงานจัดเต็มกับกิจกรรมมากมาย แบ่งเป็น 5 โซนหลัก  ดังนี้

  1. โซน Main Exhibition เป็นการจัดแสดงแนวทางการจัดการปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม การบริหารโครงการด้านความยั่งยืนและการลดผลกระทบที่เกิดแก่สังคมในวงกว้างจากเครือข่ายองค์กรภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐ รวมไปถึงมูลนิธิขนาดใหญ่ในประเทศไทย จัดบริเวณชั้น 5
  1. โซน Win Win WAR Village เป็นการแสดงไอเดียธุรกิจเพื่อสังคมจาก 12 นักธุรกิจแบ่งปันจากรายการ Win Win WAR Thailand ที่จะบอกเล่าเรื่องราวของการทำธุรกิจที่สร้างผลกระทบด้านดีให้กับสังคม จัดบริเวณชั้น 5
  2.  โซน Sustainable Lifestyle เป็นการให้ความรู้และจัดแสดงแนวคิดการนำหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาใช้ในการทำธุรกิจ พร้อมกันนี้มีการจัดแสดงภาพถ่ายที่ได้รับรางวัลจากโครงการ Sustainability Action Hero Photo Contest จัดบริเวณชั้น 3
  1. โซน Food and Drinks for Sustainability เป็นการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมกันนี้ได้มีการให้ความรู้เรื่องการผลิตอาหารให้มีระบบที่ยั่งยืน เพื่อลดปัญหาเรื่องอาหารขาดแคลนในอนาคตด้วยการนำเรื่องระบบนิเวศมาเชื่อมโยงเข้ากับการทำเกษตรของมนุษย์ จัดบริเวณชั้น G
  2. 5. โซน Design for Sustainability เป็นการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าประเภทของใช้ พร้อมกันนี้ได้มีการให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องการทำ Sustainable Design หรือการออกแบบสินค้าที่ลดปริมาณการใช้ทรัพยากร การนำกลับมาใช้ใหม่ รวมไปถึงการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อโลกให้น้อยที่สุด จัดบริเวณชั้น G    

Highlight แต่ละวันไม่ธรรมดา อาทิ

  • CEO Panel Discussion “Decade of Sustainability Actions” โดย 3 CEO หัวเรือหลักของการจัดงานครั้งนี้ ไทยเบฟ ไทย ยูเนี่ยน และ GC ที่ดำเนินรายการโดย คุณสุทธิชัย หยุ่น ที่มาร่วมแบ่งปันแนวความคิด งานด้านความยั่งยืน และประสบการณ์ในการช่วยเหลือสังคมในแง่มุมต่าง ๆ
  • กิจกรรม Talk โดยอเล็กซ์ เรนเดล ผู้ก่อตั้ง “ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา” (EEC Thailand) ขึ้นเวทีทอล์ค​เรื่อง​ศูนย์​การเรียนรู้​และกิจกรรม​ที่​ ทำกับเยาวชน​ เช่น​ เห็น​การเปลี่ยนแปลง​อย่างไรบ้าง​จากตลอด​เวลา​ที่ทำงานด้านนี้มา​ รวมไปถึงการปลูกฝังจิตสำนึกสิ่งแวดล้อม​ด้วย​กิจกรรม​นอกห้องเรียน​ ส่งผลต่อการเรียนรู้​อย่างไร​
  • กิจกรรม Policy Talk หัวข้อ “The Global Scale: Global Scorecard & Way Forward”
    โดย Renaud Meyer, UNDP Resident Representative to Thailand ในหัวข้อ “ความก้าวหน้าของไทยในการอนุวัติเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” โดยกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ
  • เปิดตัวรายการ Win Win WAR Special Online Edition การกลับมาอีกครั้งของรายการแข่งขันเฟ้นหาและบ่มเพาะผู้ประกอบการเพื่อสังคมหนึ่งเดียวในประเทศไทย ที่สร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับการทำ “ธุรกิจแบ่งปัน” (Social business) ในสังคมวงกว้าง
  • กิจกรรมอนุรักษ์ด้านความยั่งยืน งานศิลปะเพื่อสื่อสารและสร้างแรงบันดาลใจ งานสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อนร่วมสังคม มาร่วมรับฟังแนวคิดเปลี่ยนโลก อาทิ ศิลปะและความยั่งยืน โดย ม.ล. จิราธร จิระประวัติ , การเสวนา “การพัฒนารูปแบบวัสดุสำหรับการฟื้นฟูปะการัง” โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ เอสซีจี , การเสวนา “ทะเลไทยในยุคหลังโควิด-19” โดย ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ฯลฯ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
  • Trash to Treasure workshop: กิจกรรมเวิร์คช็อปสร้างสรรค์สิ่งของ/ ของเล่น จากเศษวัสดุเหลือใช้ ซึ่งสามารถนำไปตกแต่งบ้านหรือสร้างรายได้จริงกับผู้เข้าร่วมงาน และลดปัญหาด้านขยะที่มีมากขึ้นในปัจจุบัน
  • ประกวดสุนทรพจน์เยาวชนอาเซียนรอบชิงชนะเลิศ “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” (ASEAN Youth Speech Contest “Sufficiency for Sustainability”) เวทีที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้แบ่งปันมุมมองและชี้ให้เห็นความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งแสดงความคิดเห็นและเสนอวิธีแก้ปัญหาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
  • พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาหลักสูตรและครูฝึกสอนด้านการขับขี่ยานพาหนะอย่างปลอดภัยและโอกาสการทำธุรกิจร่วมกัน ระหว่าง บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ โลจิสติก จำกัด และ บริษัท เอสซีจี สกิลล์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด

เรียกได้ว่าเป็น Big Event ด้านความยั่งยืนแห่งปีที่เป็นการรวมตัวขององค์กรต้นแบบด้านความยั่งยืนของประเทศไทยที่จะมาร่วมกันสร้างพลังร่วมในครั้งนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนอย่างแท้จริง

]]>
1300002
ไทยยูเนี่ยน ทุ่ม 2 หมื่นล้านลงทุนภัตตาคาร เรด ล็อบสเตอร์ https://positioningmag.com/1105534 Tue, 11 Oct 2016 04:32:37 +0000 http://positioningmag.com/?p=1105534 การลงทุนเชิงกลยุทธ์ใน เรด ล็อบสเตอร์ และการเติบโตในตลาดโลก เป็นอีกก้าวในเชิงกลยุทธ์ของไทยยูเนี่ยน เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง โกลเดนเกท แคปิตอล ยังคงถือหุ้นส่วนใหญ่และเป็นผู้ควบคุมบริหารงาน เรด ล็อบสเตอร์

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ไทยยูเนี่ยน ผู้ผลิตทูน่าบรรจุกระป๋องของไทย บริษัท เรด ล็อบสเตอร์ ซีฟู้ด (Red Lobster Seafood Co.) และ โกลเดนเกท แคปิตอล (Golden Gate Capital) ได้เปิดเผยถึง การที่ไทยยูเนี่ยนได้เข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ใน เรด ล็อบสเตอร์ ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของภัตตาคารอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 575 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา หรือกว่า 20,000 ล้านบาท โดยโกลเดนเกท แคปิตอล จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และมีอำนาจควบคุมการบริหาร  เรด ล็อบสเตอร์ เช่นเดิมต่อไป

ทำไมต้องเป็นเรด ล๊อบสเตอร์

ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กล่าวว่า สาเหตุที่ลงทุนใน เรด ล็อบสเตอร์ เพราะ

1. เป็นแบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย (Iconic Brand) มีตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจร้านอาหารทะเล

2. มีทีมบริหารที่มีความเชี่ยวชาญระดับโลก นอกจากนั้นยังมีผลการดำเนินงานที่ดีนับตั้งแต่ โกลเดนเกท เข้าซื้อกิจการในปี 2557″    

3. การลงทุนครั้งนี้นับได้ว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งในเชิงกลยุทธ์ มุ่งเน้นที่จะเพิ่มช่องทางที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง และจะทำให้เราได้รับประโยชน์จากทีมผู้บริหาร เรด ล็อบสเตอร์ และ โกลเดนเกท ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมร้านอาหารทะเลอย่างครอบคลุมและกว้างขวาง

ทั้งนี้ ไทยยูเนียน ได้ทำงานร่วมกับ เรด ล็อบสเตอร์ อย่างใกล้ชิดมาเป็นระยะเวลามากกว่าสองทศวรรษ และได้สนับสนุนกลยุทธ์ของ เรด ล็อบสเตอร์ ภายใต้การดำเนินงานของ โกลเดนเกท เรามั่นใจว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของไทยยูเนี่ยนจะได้รับประโยชน์จาก เรด ล็อบสเตอร์ ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จด้วยดีตลอดมา

เรด ล็อบสเตอร์เลือกเปิดทางไทยยูเนี่ยน

ส่วนทางด้าน มร.คิม ลอฟดรัฟ (Mr.Kim Lopdrup) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ เรด ล็อบสเตอร์ มองว่า ไทยยูเนี่ยน ถือเป็นหนึ่งในบริษัทอาหารทะเลระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดและมีระบบการบริหารจัดการได้ดีอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบในเชิงกลยุทธ์ที่ได้รับความไว้วางใจของ เรด ล็อบสเตอร์ ตลอดระยะเวลามากกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งความเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดเช่นนี้จะช่วยเร่งให้กลยุทธ์ของ เรด ล็อบสเตอร์ ที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญอาหารทะเลที่ดีที่สุดในทุกพื้นที่การค้าที่ให้บริการ โดยจัดหาอาหารทะเลที่มีคุณภาพมาสู่โต๊ะอาหาร และมอบประสบการณ์ร้านอาหารทะเลที่ยอดเยี่ยม ในราคาที่ยอมรับได้ให้แก่ลูกค้า

มุมมองของผู้ลงทุน

มร.จอช โอลแชนสกี้ (Mr.Josh Olshansky) กรรมการผู้จัดการ โกลเดนเกท แคปิตอล กล่าวถึงการลงทุนของไทยยูเนี่ยนในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสที่ดี ที่จะทำให้ เรด ล็อบสเตอร์ สามารถดำเนินกิจการและเพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต

“นับแต่โกลเดนเกทซื้อกิจการมา เรด  ล็อบสเตอร์ ได้รายงานผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้รับความพึงพอใจจากลูกค้าในระดับยอดนิยมนับแต่ที่เคยมีมา และเราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เรด ล็อบสเตอร์กับไทยยูเนี่ยนจะกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ยิ่งขึ้นและช่วยให้ เรด ล็อบสเตอร์ เติบโตอย่างรวดเร็วต่อไป”

“เรามีความยินดีต้อนรับไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้ลงทุนใน เรด ล็อบสเตอร์ และหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เอื้อประโยชน์จากฐานธุรกิจและเครือข่ายทั่วโลกและความเชี่ยวชาญในธุรกิจของไทยยูเนี่ยน” มร.จอช โคนเฮน (Mr.Josh Cohen) กรรมการผู้จัดการ โกลเดนเกท แคปิตอล กล่าว “โกลเดนเกท ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ของ เรด ล็อบสเตอร์ และยินดีที่จะเป็นพันธมิตรกับ มร.คิมและทีมผู้บริหารเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจนี้ต่อไป

เจพี มอร์แกน (J.P. Morgan) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (Exclusive Financial Advisor) ให้แก่ไทยยูเนี่ยน

]]>
1105534