ไปรษณีย์ไทย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 31 Jul 2025 12:03:39 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “เครื่องรางของขลัง“ ติด TOP5 สินค้าไทยส่งไปจีน ‘พระ-เหรียญ-ตะกรุด’ ฮิตเกิน 10 ปี https://positioningmag.com/1531904 Thu, 31 Jul 2025 11:46:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531904 ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา การขนส่งพัสดุจากไทยไปจีนเติบโตเฉลี่ยกว่า 3% โดยมียอดส่งออก 60,000 ชิ้น/ปี คิดเป็นค่าขนส่ง 50 ล้านบาท

โดยสิ่งของที่ได้รับความนิยมในการส่งผ่านไปรษณีย์จากไทยไปปลายทางประเทศจีน 5 อันดับแรก ได้แก่
  • เอกสาร
  • ของเล่น
  • เสื้อผ้าคอตตอน
  • อาหารเสริม
  • เครื่องรางของขลัง

“ในอดีตขนส่งระหว่างไทยจีน จะเป็นจดหมาย เงิน และโทรเลข ที่คนไทยเชื้อสายจีนส่งกลับไปให้พ่อแม่ แต่ปัจจุบันสัดส่วนการส่งจดหมาย/เอกสารถูกแซงด้วย การส่งสินค้าแทน โดยมีแรงหนุนจากอีคอมเมิร์ซของทั้ง 2 ประเทศขยายตัว”

ทั้งนี้ สินค้า “เครื่องรางของขลัง” อาทิ พระห้อย พระพุทธรูป ตะกรุด และเหรียญพระ เป็นที่นิยมในกลุ่มคนจีน รวมถึงคนชาติอื่น ๆ ทั้งญี่ปุ่น ฮ่องกง ติดลิสต์สินค้าส่งออกยอดฮิตของไปรษณีย์ไทยนานกว่า 10 ปี

โดยสินค้าเหล่านี้ จะมีเซียนพระในส่วนภูมิภาค เช่น ในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นต้น นำมาฝากขายในที่ทำการไปรษณีย์ไทยบริเวณใกล้เคียง ซึ่งไปรษณีย์ไทยก็ได้สินค้าในช่องทาง ThailandPostMart

ตัวอย่างหมวดสินค้าพระพุทธรูป ในแพลตฟอร์ม ThailandPostMart

อย่างไรก็ดี ในแง่สินค้านำเข้าหมวดเครื่องรางของขลัง ก็เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคไทยสายมูเตลูเช่นกัน อาทิ เครื่องรางนำโชคด้านการเงินและความรัก ทั้งจากฮ่องกง และจีน

จากการเห็นโอกาสในการส่งสินค้าระหว่างไทย-จีน ไปรษณีย์ไทย จึงมีแผนพัฒนาการขนส่งทางบกจากต้นทางจีน เพื่อให้บริการสำหรับลูกค้ากลุ่ม B2B และกลุ่ม B2C โดยใช้การขนส่งในช่องทางพาณิชย์ เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการในการลดต้นทุนค่าขนส่ง สามารถขนส่งได้ในปริมาณมากขึ้นเมื่อเทียบกับการขนส่งทางอากาศ

ขณะเดียวกัน ยังเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าทั้งต้นทางและปลายทางได้มากขึ้น เช่น มีบริการดำเนินพิธีการภาษีศุลกากรทั้งที่ต้นทางและปลายทาง

นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังอยู่ระหว่างศึกษาการใช้ประโยชน์จากช่องทางการขนส่งทั้งทางรถและทางราง (Multimodul Transport) ไปปลายทางจีน และพร้อมเป็นจุดกระจายสินค้าเข้าไทย โดยใช้เครือข่ายในประเทศและส่งต่อไปทั่วโลก ทั้งทางอากาศและทางภาคพื้น

อย่างไรก็ตาม ปี 2568 สถานการณ์การส่งสินค้าจากไทยไปยังจีนและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ยังมีปัจจัยที่คาดการณ์ได้ยาก ด้วยเศรษฐกิจและกำลังซื้อทั่วโลกชะลอตัว รวมถึงประเด็นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้รูปแบบการส่งออกต้องปรับเปลี่ยนเร็วขึ้น

โดยปัจจุบันไปรษณีย์ไทยส่งออกสินค้ามากสุด ใน 5 ประเทศ คือ อเมริกา จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย

]]>
1531904
ถอดรหัสกลยุทธ์ 6A ‘คุณค่า’ ของไปรษณีย์ไทยที่ Gen Z เทใจให้เป็นแบรนด์ขนส่งเบอร์ 1 https://positioningmag.com/1526664 Wed, 25 Jun 2025 03:37:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1526664

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แม้ปัจจุบันจะมีแบรนด์ขนส่งเจ้าใหม่เกิดขึ้นไม่น้อย แต่ “ไปรษณีย์ไทย” ที่อยู่มานานกว่า 142 ปี กลับเป็นแบรนด์เบอร์หนึ่งที่ชนะใจคน Gen Z ได้อย่างสง่างาม การันตีด้วยรางวัล GEN Z TOP Brand Award 2025 จากเว็บไซต์ BrandBuffet และ INTAGE (Thailand) ตอกย้ำความแข็งแกร่งของ “พี่ไปรฯ” แบรนด์ไทยที่จริงใจไม่ต้องใช้ฟิลเตอร์

ไปรษณีย์ไทย มีกลยุทธ์หรือจุดเด่นอย่างไร ถึงก้าวเข้าไปยืนหนึ่งในใจคนรุ่นใหม่ที่ให้ความเชื่อมั่นและใช้บริการกับไปรษณีย์ไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะอะไร จังหวะหัวใจของ “พี่ไปรฯ” ถึงเต้นในจังหวะเดียวกันกับ Gen Z ทุกบรรทัดถัดจากนี้มีคำตอบ…

ขณะที่โลกการตลาดมีความพยายามคิดหากลยุทธ์มากมายเพื่อมัดใจผู้บริโภคให้เกิดความรักในแบรนด์ แต่ในวันที่กระแสโซเชียลเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่คาดเดาได้ยากขึ้นทุกวัน กลยุทธ์การตลาดแบบเดิม ๆ อาจจะเสื่อมมนต์ขลังลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับผู้บริโภครุ่นใหม่วัย Gen Z ที่เติบโตมากับอินเตอร์เน็ตและความหลากหลายทางความคิดที่แต่ละแบรนด์จะพิชิตใจพวกเขาได้ไม่ง่ายนัก

ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลเชิงลึกและทำวิจัยโดยเว็บไซต์ BrandBuffet และ INTAGE (Thailand) ระบุว่า การที่คนรุ่นใหม่ Gen Z จะเกิดความรักหรือ Loyalty กับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญมาเป็นอันดับต้น ๆ คือ “คุณค่า” ที่สัมผัสและรู้สึกได้จริง

โดยคุณค่าที่ว่านั้น สามารถถอดรหัสออกมาเป็น Gen Z’s Brand Love Code หรือกลยุทธ์ 6A ที่คนรุ่นใหม่ใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกแบรนด์ในดวงใจ และไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใดที่ไปรษณีย์ไทยทำได้ครบทุกข้อจนได้รับการโหวตให้เป็นขนส่งเบอร์หนึ่งขวัญใจคน Gen Z

เรามาดูกันว่า กลยุทธ์ 6A แต่ละข้อนั้นมีอะไรบ้าง รวมทั้งชวนมองผ่านเลนส์ของคนรุ่นใหม่ว่าไปรษณีย์ไทยตอบโจทย์ทั้ง 6 ข้อนั้นอย่างไรบ้าง?

  1. Affordability ไม่ใช่ขายถูก แต่ต้องขายแบบมีทางเลือก

แม้สิ่งของอย่างอื่นจะแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาค่าบริการของไปรษณีย์ไทยยังคงเป็นราคาที่เข้าถึงและจับต้องได้ เป็นเหตุผลโดนใจกลุ่ม Gen Z ข้อแรกที่นำไปสู่การใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

  1. Accessibility อยู่ใกล้ และเข้าถึงง่ายในทุกช่องทาง

เพราะความสะดวกคือสิ่งที่ Gen Z ให้ความสำคัญมากที่สุดกับชีวิตแบบ On Demand ซึ่งไปรษณีย์ไทยตอบโจทย์ข้อนี้ได้อย่างสมบูรณ์ เพราะไม่ว่าจะอยู่พื้นที่ไหน ก็สามารถใช้บริการได้ง่าย ทั้งจากที่ทำการไปรษณีย์ที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ รวมทั้งมีแอปพลิเคชันอำนวยความสะดวกไปอีกขั้น หรือจะเรียกให้ “พี่ไปรฯ” ให้ไปรับพัสดุที่บ้านฟรีผ่านไลน์ออฟฟิเชียล

  1. Agile Experience มีเทคโนโลยีที่เป็นมิตร ไม่ซับซ้อน

ไปรษณีย์ไทยมีการปรับปรุงประสบการณ์ให้มีความยืดหยุ่นและทันใจอยู่เสมอ โดยเฉพาะความเรียลไทม์ โดยไปรษณีย์ไทยได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน พร้อมทั้งมีความว่องไวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเพื่อนำมาปรับปรุงคุณภาพในการให้บริการ รวดเร็วในการทำความเข้าใจ และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกะทันหัน ยิ่งกว่านั้นยังเรียนรู้ไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ ๆ ของคนในสังคมเพื่อให้การทำงานมีความยืดหยุ่นและตอบโจทย์อยู่เสมอ

  1. Affinity ความรู้สึกว่าแบรนด์คือพวกเดียวกัน

จากงานวิจัย Gen Z Top Brand 2025 โดย INTAGE Thailand พบว่า Gen Z มองไปรษณีย์ไทย เป็นแบรนด์ที่เชื่อถือได้ซึ่งใช้ความสัมพันธ์และความเข้าใจเป็นหัวใจของบริการ จนเกิดเป็นภาพจำว่า “พี่ไปรฯ” คือคนรู้ใจ ใกล้ชิด และไว้ใจได้ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่หาไม่ได้จากแบรนด์ขนส่งอื่น ๆ

นอกจากนั้น ในวันที่โลกหมุนเร็ว และทุกอย่างดูเร่งรีบ ไปรษณีย์ไทยกลับให้ความรู้สึก “คุ้นเคย-จริงใจ-วางใจได้” เพราะ “พี่ไปรฯ” ใส่ใจทุกรายละเอียด ซึ่งเป็นหัวใจของการส่ง ที่ไม่ใช่เพียงแค่การส่งของ แต่ยังช่วยส่งต่อความรู้สึกดี ๆ ไปพร้อมกับพัสดุทุกชิ้น

  1. Authenticity มีความเรียล ไม่เฟค ไม่พยายามจนเกินไป

Gen Z ให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่มีตัวตนชัดเจน รวมทั้งเห็นความสำคัญของการสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการของคนไทยด้วยกันเองซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ที่แพร่หลายมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่คนรุ่นใหม่จะกดไลก์ไปรษณีย์ไทยซึ่งเป็นแบรนด์ที่ดำเนินงานมานานกว่า 142 ปี มีตัวตนที่ชัดเจน เป็นแบรนด์ของไทย และยังคงรักษาคุณค่าดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี

  1. Accountability ความรับผิดชอบที่จับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม ความเท่าเทียม หรือความโปร่งใสทางธุรกิจ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไปรษณีย์ไทยได้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงความรับผิดชอบต่อสังคมที่ไม่ใช่เพียงแค่โครงการ CSR แต่เป็นการลงมือทำจริง เช่น การสนับสนุนชุมชน และการสร้างเครือข่ายเติบโตอย่างยั่งยืน

จากกลยุทธ์ 6A หรือ Gen Z’s Brand Love Code ที่กล่าวมา ตอกย้ำถึง “คุณค่า” ของไปรษณีย์ไทยที่ทัชใจกลุ่ม Gen Z จนยกให้เป็นแบรนด์ขนส่งเบอร์หนึ่งในดวงใจ

นอกจากนั้นแล้ว Gen Z ยังชื่นชมไปรษณีย์ไทยที่ให้การสนับสนุนความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างสม่ำเสมอ เช่นการจัดกิจกรรมและนำผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความงามและคุณค่าของแต่ละท้องถิ่นมาส่งต่อให้กับคนไทยทั่วทุกภูมิภาคและต่างประเทศ เป็นการส่งเสริมสินค้าตัวท็อปจากผู้ประกอบการท้องถิ่นและผู้ประกอบการรายย่อยในแต่ละภูมิภาคให้สามารถเข้าถึงตลาดในวงกว้างได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการตอกย้ำอย่างหนักแน่นว่า ไปรษณีย์ไทยไม่ได้เพียงทำหน้าที่ “ส่งของ” แต่ยังช่วย “ส่งคุณค่า” จากชุมชนไปสู่โลกกว้างอีกด้วย

สุดท้ายแล้วต้องบอกว่า ทั้งหมดนี้คือมุมมองเกี่ยวกับเรื่องของ “คุณค่า” ที่ Gen Z มีต่อไปรษณีย์ไทย ซึ่งไม่เพียงแค่เป็นผู้ให้บริการขนส่งที่น่าเชื่อถือ แต่ยังมี “ความจริงใจที่จับต้องได้” ทุกครั้งที่ใช้บริการ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอต่อการทำให้ “พี่ไปรฯ” กลายเป็นแบรนด์ขนส่งขวัญใจ Gen Z และคนรุ่นต่อ ๆ ไปอีกยาวนาน

]]>
1526664
ไปรษณีย์ไทย ลุยเพิ่ม “ส่งยาสัตว์เลี้ยง” บาลานซ์ความเสี่ยงในวันที่ “อีคอมเมิร์ซ” อาจไม่ใช่คำตอบเดียวของขนส่งไทย https://positioningmag.com/1525901 Thu, 12 Jun 2025 17:50:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1525901 ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ธุรกิจขนส่งไทย ยังเผชิญความท้าทายต่อเนื่อง และการแข่งขันสูงในบางตลาด อาทิ ตลาดอีคอมเมิร์ซ ที่แต่ละเจ้าใช้กลยุทธ์สงครามราคา เพื่อช่วงชิงมาร์เก็ตแชร์

แม้การขนส่งสินค้าให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ จะได้วอลลุ่มขนส่งสินค้าจำนวนมหาศาล และดันการเติบโตรายได้เพิ่มขึ้น 20% ในปีที่ผ่านมา

แต่ก็มีความเสี่ยงสูงมาก หากพึ่งพาน่านน้ำรายได้จากอีคอมเมิร์ซเพียงอย่างเดียว เพราะมีการแข่งขันสูง ขณะที่ปัจจุบันแพลตฟอร์มฯ มีอำนาจในการควบคุมและเลือกบริษัทขนส่งที่มีราคาคุ้มค่ามากที่สุด

ไปรษณีย์ไทย
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด

ดังนั้น ปี 2568 ไปรษณีย์ไทย บาลานซ์ความเสี่ยงหันเน้น การขนส่งสินค้าและดูแลสินค้าเฉพาะเจาะจง (Special life logistics) อาทิ ทุเรียน ปลากัด ยารักษาโรคของคน และล่าสุดกับขนส่งยาสำหรับสัตว์เลี้ยง    ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่มีคู่แข่งในตลาดทำ

“ปีที่ผ่านมากลุ่ม Special life logistics สร้างการเติบโตถึง 10% แม้วอลลุ่มจะไม่เท่าตลาดอีคอมเมิร์ซก็ตาม แต่มีความเสี่ยงต่ำกว่ามาก”

สอดรับกับ เทรนด์เลี้ยงสัตว์เป็นลูก (Pet Parent) ในไทยที่กำลังเติบโต สะท้อนจากตลาดสัตว์เลี้ยงที่มีมูลค่าสูง 6.64 แสนล้านบาท โดยปี 2568 คาดเติบโตเพิ่มอีก 6% จากจำนวนสัตว์เลี้ยงในไทยที่มีอยู่ราว 5.38 ล้านตัว ซึ่งหมาและแมวได้รับความนิยมสูงสุด

“ที่ผ่านมา เรามีเครือข่าย 50,000 จุด และมีพี่ไปรฯ ถึง 25,000 คน ที่สนิทกับคนรวมถึงสัตว์เลี้ยงในแต่ละบ้าน อาทิ ก่อนหน้านี้มีเคสน้องหมาชื่อไข่เจียวที่หงอยเพราะคิดถึงพี่ไปรฯ จนกลายเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดีย แม้ตามสถิติ 90% ของพี่ไปรฯ จะเคยโดนน้องหมาน้องแมวสวบก็ตาม”

หมาแมว

เบื้องต้น ได้นำร่องโครงการ “พี่ไปรฯ ส่งยา สัตวแพทย์จุฬาส่งรัก” โดยไปรษณีย์ไทยจะรับหน้าที่ส่งยารักษาสัตว์เลี้ยงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย กับคณะสัตวแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลสัตว์กรุงเทพก่อน โดยใช้วิธีขนส่งที่เหมาะสมเพื่อรักษาประสิทธิภาพยา อาทิ ยาบางตัวขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ เป็นต้น ในราคาเริ่มต้น 120 บาท/ครั้ง

โดยเน้นลูกค้า 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสัตว์เลี้ยงที่มีอาการโรคคงที่ แต่ยังต้องมารับยาเป็นประจำที่ รพส. อาทิ โรคไขข้อ และกลุ่มสัตว์เลี้ยงที่เข้ารักษาและปรึกษาสัตวแพทย์ทางออนไลน์ (Televet) พร้อมให้พี่ไปรฯ ส่งยาสัตว์เลี้ยงตามบ้านได้

“ตลาดสัตว์เลี้ยงโอกาสเยอะมาก รพส. ทั่วประเทศมีมากกว่า 3,000 แห่ง และยังขยายไปกลุ่มอื่น ๆ ได้ อาทิ กลุ่มอาหารสัตว์ เมื่อเราส่งยาให้สัตว์เลี้ยง จะยิ่งหนุนดาต้าข้อมูลสัตว์เลี้ยงของเราให้แข็งแกร่งขึ้น”

ขณะเดียวกัน ปี 2568 ไปรษณีย์ไทยยังเตรียมลงทุน 1,000 ล้านบาท ทำระบบอัตโนมัติในศูนย์กระจายและคัดแยกสินค้า จ.ราชบุรี เพื่อนำสินค้าที่ปลายทางต่างจังหวัดมาไว้ที่จุดนี้ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านเข้าคลังที่ กทม.

ทั้งนี้ การทำระบบอัตโนมัติจะช่วยเรื่องการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านแรงงานและ Outsource ลงไปได้ เพราะต้นทุนทรัพยากรมนุษย์เราต่างจากเอกชน โดยปีก่อนมีการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการ ส่งผลให้กระทบค่าใช้จ่ายบริษัทให้เพิ่มขึ้นพอสมควร

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนเจาะกลุ่มลูกค้า รีเทลเลอร์ (retailer) หรือค้าปลีกที่ออกมาทำแพลตฟอร์มขายสินค้าของตนเอง โดยไม่พึ่งพิงช่องทางมาร์เก็ตเพลสของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ โดยลูกค้ารีเทลเลอร์มักเซ็นสัญญาระยะยาว 1 ปี

สำหรับไปรษณีย์ไทย ไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ผ่านมา ทำรายได้รวม 5,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.83% และมีกำไรสุทธิ 534 ล้านบาท โตขึ้น 227% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)

]]>
1525901
“EMS ไปรษณีย์ไทย” ย้ำภาพพี่ใหญ่วงการโลจิสติกส์ เน้นความสำคัญของ “พัสดุใจ” มากกว่าพัสดุคือใจที่ให้กัน https://positioningmag.com/1522395 Mon, 02 Jun 2025 06:39:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1522395

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ หนึ่งในธุรกิจดาวรุ่งคงหนีไม่พ้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ที่มีการเติบโตแบบคู่ขนานมากับธุรกิจโลจิสติกส์ เพราะเป็นจักรวาลที่เกื้อกูลกันในการขายและส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภค โดยเฉพาะหลังการเกิด COVID-19 ที่มีช้อปปิ้งออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ยิ่งทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์เฟื้องฟูกันเลยทีเดียว


“ไปรษณีย์ไทย” มาตรฐานที่อยู่คู่คนไทย

เราจึงได้เห็นบรรดาผู้เล่นตลาดโลจิสติกส์มากหน้าหลายตา ทั้งแบรนด์ไทย และต่างชาติ ล้วนเป็นผู้เล่นยักษ์ใหญ่ทั้งสิ้น  ซึ่งเป็นสมรภูมิที่ไม่มีใครยอมใคร งัดกลยุทธ์หมัดเด็ดต่างๆ ทั้งหั่นราคา ทำโปรโมชั่นหวังช่วงชิงเม็ดเงินจากผู้บริโภค

สำหรับคนไทยแล้วจะคุ้นเคยกับ “ไปรษณีย์ไทย” เป็นพี่ใหญ่อยู่คู่วงการมาอย่างยาวนาน ด้วยประสบการณ์มืออาชีพที่สั่งสมกว่า 141 ปี ทำให้ไปรษณีย์ไทยยังครองใจคนไทยได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ ด้วยจุดแข็งหลักอย่างคีย์แมนคนสำคัญ “พี่ไปรฯ” หรือบุรุษไปรษณีย์ ทำได้มากกว่าการส่งอย่างเดียว แต่พี่ไปรฯ มีสกิลในการรู้ทุกตอกซอกซอยของเมืองไทยลงระดับตำบล และหมู่บ้าน เรียกได้ว่าถ้าเขียนที่อยู่ผิด พี่ไปรฯ ยังไปส่งให้ถูกได้ ถือเป็นจุดแข็งที่แบรนด์อื่นยากที่จะลอกเลียนแบบได้

ด้วยสภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไปรษณีย์ไทยก็ได้ปรับตัวบริการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อคงความเป็นเจ้าตลาด เน้นการพัฒนาบริการ EMS ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้น  และรองรับการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซที่มีการขายสินค้าที่หลากหลาย ด้วยการออกแบบระบบขนส่งให้สอดคล้องกับพัสดุ (Parcel Defined Logistics)

บริการส่งด่วน EMS ตอบโจทย์การส่งสินค้าเกือบทุกประเภทตั้งแต่ของชิ้นเล็กที่ส่ง EMS แบบปกติได้ ส่วนของใหญ่ ของน้ำหนักเยอะ ส่งผ่านบริการ EMS Jumbo ส่งด่วนของใหญ่ ของหนัก หรือจะเป็นของสด ผลไม้ ก็ส่งผ่าน EMS ส่งด่วนผลไม้ได้ ใครที่ต้องการส่งสิ่งของที่ต้องเดินทางไกลไปยังต่างประเทศก็มี EMS World ส่งด่วนทั่วโลก หรือแม้แต่ส่งต้นไม้ สิ่งมีชีวิต เช่น ปลากัด ก็สามารถส่งผ่าน EMS ได้เช่นกัน


ผู้บริโภควางใจ ดัน EMS โตพุ่ง

ในปี 2567 ที่ผ่านมาไปรษณีย์ไทยได้เผยยอดการเติบโตของบริการส่งด่วน EMS มีปริมาณงานเติบโตถึง 6.99% คิดเป็นสัดส่วน 42.76% ของรายได้ไปรษณีย์ไทยทั้งหมด รวมถึงเป็นกลุ่มบริการที่ผู้ใช้บริการให้ความเชื่อมั่นสูงสุด กลุ่มสินค้าที่ใช้บริการส่งEMS สูงสุด คือ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร ชิ้นส่วน ยานยนต์ อุปกรณ์แม่เละเด็ก เฟอร์นิเจอร์ เอกสาร หนังสือ และสินค้าเบ็ดเตล็ดทั่วไป

สอดรับกับการคาดการณ์เศรษฐกิจดิจิทัลไทยในปี 2568 ที่จะพุ่งทะยานมากกว่า 46,000ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีอีคอมเมิร์ซเป็นตัวแปรสำคัญซึ่งคาดว่าจะโตถึง 19% มีมูลค่า 26,000ล้านดอลลาร์สหรัฐ เชื่อมั่นว่าจะทำให้ดีมานด์การส่ง EMS ในประเทศเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เรียกว่าไปรษณีย์ไทยเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ และสังคมเช่นกัน

ซึ่งบริการส่งด่วน EMS ได้รับความไว้วางใจจากทั้งกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป และผู้ประกอบการรายใหญ่ และ SME ซึ่งไปรษณีย์ไทยได้วางกลยุทธ์ในการสร้างจุดเด่น และความเชื่อมั่นให้กับตลาด ได้แก่

  • ความคุ้มค่า: โดย EMS จะคิดค่าส่งจริงตามน้ำหนัก ราคาที่เท่ากันทุกพื้นที่ อีกทั้งยังมีราคาพิเศษสำหรับภาคธุรกิจ
  • และกลุ่มค้าขายสินค้าออนไลน์ที่มีการส่งเป็นจำนวนมาก ทำให้ช่วยควบคุมด้านต้นทุนการขนส่งได้
  • ความรวดเร็วในการขนส่ง: การันตีระยะเวลาการขนส่งเพียง 1 – 2 วัน เพื่อช่วยให้สินค้าทุกประเภท ถึงทุกปลายทางในระยะเวลาที่รวดเร็ว โดยมีมาตรฐานการขนส่งแบบเดียวกันทั่วประเทศ พร้อมด้วยการควบคุมระยะเวลาในการจัดส่ง Service Level Agreement ที่สามารถระบุเวลาการส่งที่ชัดเจนซึ่งผู้ส่งและผู้รับสามารถรู้ระยะเวลาได้ตั้งแต่พัสดุเข้าสู่ระบบ
  • การรองรับสิ่งของฝากส่ง: ครอบคลุมกับทุกความต้องการ การปรับแต่งระบบขนส่งให้สอดคล้องกับพัสดุ Parcel Defined Logistics ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต เช่น ปลาสวยงาม ของชิ้นใหญ่ไซส์จัมโบ้ ที่มีพิกัดน้ำหนักมากถึง 200 กิโลกรัม เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า รถจักรยานยนต์ ต้นไม้ สินค้าที่มีมูลค่าสูง ยาและเวชภัณฑ์ งานศิลปหัตถกรรมไทย ผลไม้และพืชผลทางการเกษตรตามฤดูกาล เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ทุกความต้องการได้รับความสะดวก และสร้างจุดได้เปรียบด้านการส่งที่มีความรวดเร็วให้กับหลากหลายธุรกิจ
  • ฟังก์ชันที่พร้อมดูแลทุกการส่งด่วน: ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบสถานะได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทีมแคร์ที่ช่วยดูแลบริการหลังการขาย ซึ่งมีอยู่ในทุกจังหวัด การใช้สายด่วนเบอร์พี่ไปรฯ 1505 เพื่อแจ้งให้ผู้รับได้ทราบเวลาที่จะไปนำจ่ายสิ่งของ มีระบบที่ช่วยสนับสนุนร้านค้า เช่น การช่วยจัดทำจ่าหน้า การเตรียมข้อมูลฝากส่ง คลังสำหรับจัดเก็บสินค้า บริการนัดหมายเรียกรถเข้ารับพัสดุฟรี รวมถึงรองรับการเก็บเงินปลายทาง (COD)
  • เครือข่ายทั่วไทย: ปัจจุบันไปรษณีย์ไทยมีเครือข่ายเพื่อรองรับความต้องการส่งด่วนกว่า 50,000 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่ทำการไปรษณีย์ ร้านไปรษณีย์ไทย ไปรษณีย์ไทย @ธงฟ้า ร้านสะดวกซื้อต่างๆ รวมถึง EMS Point ที่เปิดโอกาสให้ร้านค้าและผู้ที่มีพื้นที่ว่าง สามารถเปิดจุดรับฝากสิ่งของและนำส่งกับไปรษณีย์ไทย นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายด้านการส่งที่มีศักยภาพสูงไม่ว่าจะเป็นบุรุษไปรษณีย์ กว่า 25,000 คน ที่เชี่ยวชาญทุกเส้นทาง รวมถึงศูนย์ไปรษณีย์ทั่วประเทศ 20 แห่ง ที่มีกระบวนการคัดแยกที่ทันสมัย รองรับพัสดุได้ต่อวันรวมกว่า 6 ล้านชิ้น

“พัสดุใจ” มากกว่าพัสดุ คือใจที่ให้กัน

แคมเปญ “พัสดุใจ” เป็นสื่อที่จะสื่อสารไปยังผู้บริโภคถึงการพัฒนาบริการให้ยิ่งกว่าการส่งพัสดุธรรมดาทั่วไป แต่เป็นการส่งใจ หรือความรู้สึกดีๆ ให้กันระหว่างผู้ส่ง และผู้รับ ซึ่งไปรษณีย์ไทยโดยพี่ไปรฯ หรือพนักงานที่เคาน์เตอร์บริการ พวกเขาทุกคนทำหน้าที่ด้วยความใส่ใจเป็นตัวกลางในการนำส่งอย่างทะนุถนอม เพื่อให้ความรู้สึกดีๆ นั้นส่งถึงผู้รับอย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะอยู่ใกล้ไกลกันแค่ไหนก็ไปถึงได้ และให้น้ำหนักความสำคัญในเรื่องของ “คุณภาพ” และ “ความไว้วางใจ” ในบริการ เพราะ Pain Point ที่หลายคนเจอในตลาดก็คือ การส่งช้า หรือพัสดุเสียหาย สูญหายระหว่างทาง

แต่ไปรษณีย์ไทยมุ่งเน้นให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในการใช้บริการ EMS ว่าจะได้รับประสบการณ์ที่เหนือกว่าแบรนด์อื่นๆ อย่างแน่นอน

สัมผัสประสบการณ์คุณภาพได้ที่ไปรษณีย์ไทยทุกสาขา กับบริการ EMS ส่งด่วนทั่วไทย พร้อมฟีเจอร์สุดสะดวกทั้งเก็บเงินปลายทาง (COD) ชำระเงินสด หรือสแกนจ่าย QR Code ได้ทุกธนาคาร และบริการ EMS World ส่งด่วนทั่วโลก 95 ประเทศ ครอบคลุม 106 ปลายทางทั่วโลก โดยทั้งบริการ EMS และ EMS World สามารถเรียกพี่ไปรฯ เข้ารับฝากถึงที่ (Pick Up Service) ได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม พร้อมเช็กสถานะได้ทุกขั้นตอน ตลอด 24 ชั่วโมง ทางไลน์ออฟฟิเชียล @Thailandpost

]]>
1522395
‘ไปรษณีย์ไทย’ เผย ‘สินค้าต่างประเทศ’ เข้าไทยปีละกว่า 1 แสนล้านบาท 70% อยู่บนแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลส เร่งดัน ‘SMEs’ โกอินเตอร์ เพิ่มวอลลุ่มระหว่างประเทศ https://positioningmag.com/1521754 Thu, 15 May 2025 07:40:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1521754 แม้ว่าสหรัฐฯ และจีนได้เห็นพ้องที่จะระงับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) ระหว่างสหรัฐฯ และจีนเป็นเวลา 90 วัน แต่ก็ยังไม่มีอะไรแน่นอน และเพียงแค่สหรัฐฯ และจีนทำสงครามภาษีกัน เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สินค้าจีนก็ทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้น 28%

จับตาสงครามภาษี

แม้ว่าไตรมาสแรก 1/2025 ไปรษณีย์ไทย จะมีรายได้รวม 5,945.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.83% กำไรสุทธิอยู่ที่ 534.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 227% แต่ ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ก็ยังไม่กล้าฟันธงว่าปีนี้ ไปรษณีย์ไทยจะเติบโตมีกำไรหรือไม่ เนื่องจาก ความไม่แน่นอนของสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ

เพราะหากผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบจากไปรษณีย์ไทยก็มีความเสี่ยง โดยเฉพาะในส่วนของ CROSS BORDER ซึ่งปีที่ผ่านมา ไปรษณีย์ไทยมีรายได้จากส่วนนี้ประมาณ 2,100 ล้านบาท แต่ปัจจุบันยอดการส่งออกไปต่างประเทศ ลดลง 10% และยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่ารายได้ส่วนนี้จะเติบโตหรือลดลง

“เพราะภาษีจะทำให้ทราฟฟิกทั้งโลกเปลี่ยน จากเดิมไปอเมริกา 100 ชิ้น อาจไปอเมริกา 20 ชิ้น อีก 80 ชิ้นไปประเทศอื่น ดังนั้น ใครทำต้นทุนได้ดีสุดในอีก 80 ชิ้น ทำให้สินค้าจะไหลไปตรงนั้น ซึ่งเรามีการจับตาดูทุกเดือน ถ้าเรารีแอคไม่ทัน จำนวนสินค้าจะไหลออกไปหมด”

สินค้า CROSS BORDER 70% มาจากอีมาร์เก็ตเพลส

ดร.ดนันท์ เล่าว่า มูลค่าสินค้า CROSS BORDER ในไทยอยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท โดย 70% เป็นสินค้าใน อีมาร์เก็ตเพลส ดังนั้น กลุ่มที่จะได้ผลกระทบก็คือ SMEs ผู้ประกอบการรายย่อย และสินค้าเหล่านี้ไม่ใช้บริการไปรษณีย์ไทย

“เราเห็นแล้วว่าจะมีการทะลักของสินค้า CROSS BORDER และอาจไม่ได้ใช้เรา เพราะมีขนส่งจากต่างประเทศที่คุยภาษาเดียวกัน ดังนั้น เราต้องการวอลลุ่มจากภายในประเทศส่งออกไปต่างประเทศ”

ปัจจุบัน ไปรษณีย์ไทยสามารถจัดส่งสินค้าได้ครอบคลุม 205 ปลายทาง 193 ประเทศ และกำลังเจรจากับพาร์ทเนอร์อีก 4-5 ราย เพื่อขยายไปในเส้นทางอื่น ๆ ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกา คือ 1 ใน 5 ประเทศปลายทางที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุด ที่เหลือคือ ญี่ปุ่น เกาหลี อังกฤษ และอิสราเอล

หนุน SMEs Go Inter ดันวอลลุ่ม

ดร.ดนันท์ ย้ำว่า ไปรษณีย์ไทยอยู่ได้หากมีการ ซื้อ-ขาย ดังนั้น ไปรษณีย์ไทยจึงต้อง ยกระดับ SMEs ไทย โดยร่วมมือกับ สภาเอสเอ็มอี เพื่อช่วยพัฒนาและยกระดับใน 8 ด้านหลัก ได้แก่

  • การเข้าถึงแหล่งทุน
  • ระบบชำระเงิน
  • ระบบขนส่ง
  • โครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ
  • กฎหมาย
  • ช่องทางอีคอมเมิร์ซ
  • การส่งเสริมองค์ความรู้และรวมกลุ่มผู้ประกอบการ

“บางทีไม่เกี่ยวกับเรา แค่เขาขายไม่ดี เขาก็ใช้เราลดลง ดังนั้น ธุรกิจเราอยู่ได้เมื่อเขาขายของได้ เราจึงต้องไปช่วย SMEs ให้เขามีศักยภาพในการขายของมากขึ้น เพราะเราไม่สามารถรอเป็นแค่คนรับของไปส่ง เราต้องขับเคลื่อน SMEs ให้สร้างวอลลุ่มให้ได้จริง”

ย้ำ สู้คู่แข่งด้วยคุณภาพ

แม้จะมีความไม่แน่นอนที่จะกระทบกับบริการส่งออกพัสดุไปต่างประเทศ แต่ไปรษณีย์ไทยยังเป็น เบอร์ 1 โดยมีส่วนแบ่งตลาด 30% รองลงมาคือ Flash Express (27%) และ J&T อยู่ที่ 23% โดย ดร.ดนันท์ ย้ำว่า ไปรษณีย์ไทยยังแข็งแรงเพราะแข่งที่คุณภาพ สะท้อนได้จากจำนวนพัสดุ และรายได้ โดย รายได้ต่อชิ้นสูงขึ้น 10% โดยเฉลี่ย ในขณะที่วอลลุ่มก็สูงขึ้น แสดงให้เห็นว่าลูกค้ายินดีจะจ่ายแลกกับคุณค่าที่ได้

“ตอนแรกเรายังต้องลงราคาบ้างในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา แต่เราก็ทำควบคู่ไปกับการสร้างแบรนด์ ซึ่งไม่ใช่แค่การเปลี่ยนโลโก้ ชุดยูนิฟอร์ม แต่เป็นเรื่องบริการ คุณภาพ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจ ไว้วางใจ ส่งผลให้ความไว้วางใจของแบรนด์สูงถึง 97% และยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อบริการที่มั่นใจได้”

]]>
1521754
ไปรษณีย์ไทย จับมือ สนง.สถิติแห่งชาติ ส่ง ‘พี่ไปรฯ’ ร่วมสำรวจสำมะโนครัวประชากร https://positioningmag.com/1514844 Sat, 15 Mar 2025 06:29:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1514844 ‘ไปรษณีย์ไทย’ เดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำด้าน Information Logistics โดยเปิดตัวโครงการ Postman Cloud ที่ใช้จุดแข็งของเครือข่ายบุรุษไปรษณีย์ หรือ ‘พี่ไปรฯ’ ที่มีอยู่ทั่วประเทศเปิดบริการใหม่ ได้แก่  Survey – Express – Matching ล่าสุดจับมือสำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจสำมะโนครัวประชากร ปี 68

‘ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทยให้ความสำคัญกับการนำข้อมูลมาใช้ในการพัฒนาภาคเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้เข้าถึงทุกความต้องการ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจสื่อสารและการขนส่ง ที่ผ่านมาจึงได้พัฒนาโซลูชันภายใต้โครงการ Postman Cloud ขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากจุดแข็ง ‘เครือข่ายบุรุษไปรษณีย์’ หรือ ‘พี่ไปรฯ’ ที่มีความเชี่ยวชาญและรู้ข้อมูลเชิงลึกในแต่ละพื้นที่ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาการนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ พร้อมกับปรับปรุงประสิทธิภาพตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

รวมถึง ‘แบ่งปันข้อมูล’ ที่ถูกเก็บและวิเคราะห์ให้กับธุรกิจพันธมิตรที่ต้องการใช้ประโยชน์ของข้อมูลให้สอดคล้องกับภารกิจ โดย Postman Cloud จะมีด้วยกัน 3 กลุ่มบริการ ได้แก่

Survey : ‘บริการเก็บข้อมูลและสำรวจทรัพย์’ แบ่งเป็นบริการปักหมุดสถานที่ ทรัพย์สินหรือสิ่งปลูกสร้างทั่วประเทศ บริการสำรวจสภาพทรัพย์สิน และบริการเก็บเอกสารและยืนยันตัวตน ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (Checklist + KYC) รวมถึงการเก็บใบสมัคร ตรวจเช็กเอกสาร การกรอกข้อมูลให้ถูกต้อง ฯลฯ

Express : ‘บริการรับ-ส่งสิ่งของ’ แบบ Point to Point ตามความต้องการพันธมิตรมีทั้งบริการแบบ Same Day รับสินค้าจากจุดกระจายสินค้าและดำเนินการส่งให้แก่ผู้รับภายในวันเดียวกัน, แบบ Next Day Delivery รับสินค้าจากจุดกระจายสินค้าและดำเนินการจัดส่งให้แก่ผู้รับในวันถัดไป และแบบ High – Value Delivery บริการรับ-ส่ง สิ่งของที่มีมูลค่าสูง อาทิ สินค้าแบรนด์เนม ทองคำและอื่น ๆ ตามมาตรฐานการควบคุมพิเศษ

Matching : เชื่อมโยงความต้องการของธุรกิจและลูกค้าจากความเชี่ยวชาญของพี่ไปรฯ ซึ่งรู้จัก รู้ใจผู้คนในแต่ละพื้นที่เป็นอย่างดี ทำให้ไปรษณีย์ไทยสามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการของพันธมิตรแก่ลูกค้าได้อย่างตรงใจ

ก่อนหน้านี้ พี่ไปรฯ ได้ทำงานร่วมกับบริษัท บางกอกเทลลิ้ง จำกัด สำรวจและรื้อถอนตู้บริการเติมเงิน (True Mini Kiosk) กว่า 1 หมื่นตู้ทั่วประเทศ หลังจาก บมจ.ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น ประกาศยุติการให้บริการไปเมื่อ 1 ธันวาคม 2567 โดยพี่ไปรฯ ทั่วประเทศได้สำรวจและดำเนินการรื้อถอนตู้ดังกล่าว พร้อมดูแลความเรียบร้อยต่าง ๆ ของจุดรื้อถอนทั่วประเทศ

รวมถึงล่าสุด ไปรษณีย์ไทย จับมือกับสำนักงานสถิติแห่งชาติและสำนักพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์กรมหาชน) ในการให้พี่ไปรฯ ร่วมสำรวจข้อมูลประชากรไทยกว่า 70 ล้านคนเพื่อนำประโยชน์มาใช้พัฒนาประเทศ

ส่วนบริการอื่น ๆ ที่ใช้จุดแข็งของพี่ไปรฯ ในอนาคตจะทยอยออกมาให้เห็นอีกแน่นอน

]]>
1514844
จับตา ‘สงครามราคา’ ตลาดโลจิสติกส์จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ หลัง ‘ไปรษณีย์ไทย’ เตรียมปรับค่าส่งพื้นฐานระยะ 2 เริ่ม 1 ม.ค. 2568 https://positioningmag.com/1505217 Fri, 27 Dec 2024 09:42:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505217 ย้อนไปช่วงที่ COVID-19 ระบาด ช่วงปี 2020-2022 ถือเป็นช่วงที่ อีคอมเมิร์ซ เติบโตอย่างก้าวกระโดด และอีกธุรกิจที่เติบโตตามก็คือ โลจิสติกส์ ที่แข่งขันกันดุเดือด ไม่สนใจ ต้นทุน ที่พุ่งขึ้นจากราคาน้ำมัน และที่น่าสนใจคือ สงครามราคาจะกลับมาอีกไหม หลังจากที่พี่ใหญ่เบอร์ 1 อย่าง ไปรษณีย์ไทย ถึงเวลาปรับอัตราค่าบริการระยะที่ 2 ในปีหน้านี้

ย้อนรอยไปรษณีย์ ขึ้นราคาในรอบ 18 ปี

หากใครยังจำกันได้ ช่วงปี 2022 เป็นช่วงที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเท่าตัว เมื่อเทียบกับราคาในปี 2020 ที่ COVID-19 ระบาดใหม่ ๆ ส่งผลให้ผู้เล่นรายแรกที่ขยับปรับขึ้นราคาก็คือ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) ที่ได้ขอปรับอัตราค่าบริการเป็น ครั้งแรกในรอบ 18 ปี

แน่นอนว่าที่สาเหตุของไปรษณีย์ไทยต้องปรับราคาเป็นเพราะ ต้นทุน ที่เพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ ประกอบกับการมาของคู่แข่งรายใหม่ ๆ ที่ตบเท้าเข้ามาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้นับตั้งแต่ปี 2021 ไปรษณีย์ไทยก็ประสบปัญหา ขาดทุน โดย 

  • ปี 2021 รายได้ 21,226 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 1,730 ล้านบาท
  • ปี 2022 รายได้ 19,546 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 3,018 ล้านบาท

ฉวยโอกาสดัมพ์ราคา

หลังจากที่พี่ใหญ่ของตลาดต้องปรับราคา แม้จะไม่ใช่ราคาที่ปรับสูงมาก โดยมีการปรับราคาเพิ่มเติมตามแต่ละน้ำหนัก เช่น จาก 10-20 กรัม 3 บาทก็ปรับเป็น 5 บาท, น้ำหนัก 20-100 กรัม จาก 5 บาทเป็น 10 บาท เป็นต้น แต่คู่แข่งก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป โดยถือโอกาส ดัมพ์ราคา ออกโปรโมชั่น เพื่อแย่งมาร์เก็ตแชร์จากเบอร์ 1 ทันที

อย่างเช่น Kerry หรือ KEX ปัจจุบัน ที่นับตั้งแต่ไปรษณีย์ประกาศขึ้นราคา ก็ทำการออกโปรโมชั่นเปิดราคาใหม่เริ่มต้นเพียง 15 บาท ต่ำกว่า J&T ที่เริ่มต้น 19 บาท ส่วน Flash Express ก็ลดราคาลง 10% สำหรับการส่งพัสดุที่มีขนาด 1 กิโลกรัม หรือความยาว x กว้าง x สูง ไม่เกิน 40 เซนติเมตร

จับตาจะเกิดสงครามราคาอีกหรือไม่?

จะเห็นว่าในช่วงที่ไปรษณีย์ไทยปรับราคา ทำให้บรรดาคู่แข่งต่างชิงโอกาสลดราคาเพื่อแย่งลูกค้า ดังนั้น คงต้องรอดูว่าการ ปรับอัตราค่าบริการช่วงที่ 2 ที่จะเริ่ม 1 ม.ค. 2025 นี้ บรรดาคู่แข่งในตลาดจะทำโปรโมชั่นเพื่อมาแข่งขันหรือไม่ โดยปัจจุบันอัตราค่าบริการเริ่มต้นของผู้ให้บริการแต่ละราย ดังนี้

  • KEX : กรุงเทพฯ ปริมณฑล เริ่มต้น 30 ต่างจังหวัดเริ่มต้น 50 บาท
  • Flash Express : กรุงเทพฯ ปริมณฑล เริ่มต้น 25 ต่างจังหวัดเริ่มต้น 35 บาท
  • DHL : กรุงเทพฯ ปริมณฑล เริ่มต้น 23 ต่างจังหวัดเริ่มต้น 28 บาท
  • J&T : กรุงเทพฯ ปริมณฑล เริ่มต้น 24 ต่างจังหวัดเริ่มต้น 26 บาท
  • Ninja Van : กรุงเทพฯ ปริมณฑล เริ่มต้น 23 ต่างจังหวัดเริ่มต้น 30 บาท
  • Best Express : เริ่มต้น 40 บาททุกพื้นที่

สำหรับไปรษณีย์ไทยที่จะปรับอัตราค่าบริการระยะที่ 2 ได้แก่ จดหมายประเภทซอง จดหมายประเภทหีบห่อ จดหมายประเภทซองลงทะเบียน จดหมายประเภทหีบห่อลงทะเบียน ของตีพิมพ์ ไปรษณียบัตร และพัสดุไปรษณีย์จดหมายลงทะเบียนแบบซอง ดังนี้

หรือคุณภาพสำคัญกว่าราคา?

อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าการแข่งขันในช่วงที่ผ่านมาของตลาดโลจิกสติกส์ จะไม่ค่อยเห็น สงครามราคา ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผู้เล่นรายยังคง ขาดทุน ต่อเนื่องทุกปี อาทิ

  • Kerry ปี 2023 มีรายได้ 11,470.3 ล้านบาท ขาดทุน 3,880.6 ล้านบาท 
  • Flash Express ปี 2023 มีรายได้ 20,093 ล้านบาท ขาดทุน 559 ล้านบาท
  • J&T ปี 2023 มีรายได้ 18,511 ล้านบาท ขาดทุน 7,093 ล้านบาท

ดังนั้น หากจะ หั่นราคา ก็อาจจะต้องไปหาทาง ลดต้นทุน ในภาคส่วนอื่น ๆ ซึ่งก็อาจไม่ส่งผลกระทบต่อ คุณภาพการทำงาน โดย แหล่งข่าวในแวดวงโลจิสติกส์ มองว่า แผนกที่มักจะได้รับผลกระทบจากการลดต้นทุนก็คือ พนักงานขนส่ง ที่อาจจะมีการ จ้างน้อยลง หรือ ลดผลตอบแทน จนนำไปสู่เหตุการณ์ คลังแตก

ซึ่งปัญหาคลังแตก ถือเป็นอีกประเด็นที่ผู้ให้บริการหลายรายเริ่มกังวล เพราะต่อให้ทำราคาได้ดี แต่หากลูกค้ารู้สึก ไม่ไว้วางใจ เพราะกังวลว่าพัสดุจะตกหล่น ก็อาจจะยอม จ่ายแพงกว่า เพื่อซื้อความสบายใจ ส่งผลให้ผู้เล่นหลายรายหันมาเน้นที่เรื่องของความเชื่อมั่นโดยเฉพาะ ไปรษณีย์

iPost บริการจุดส่งไปรษณีย์ (ภาพจากไปรษณีย์ไทย)

นับตั้งแต่ไปรษณีย์ไทยปรับราคา ทำให้กลยุทธ์ของบริษัทก็หันไปเน้นที่ คุณภาพ เพื่อสร้างแบรนด์ ทำให้บริษัทกลับมามีกำไรอีกครั้ง หลังจากขาดทุนต่อเนื่อง 2 ปี โดยในปี 2566 รายได้รวม 20,934.47 ล้านบาท เติบโต +7.40% มีกำไร 78.54 ล้านบาท โดยรายได้จาก ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ที่มีสัดส่วนรายได้สูงสุดเติบโต +19.35% 

ขณะที่รายได้ 9 เดือนแรกของปี 2024 มีรายได้รวม 15,858.67 ล้านบาท มีกำไร 31 ล้านบาท โดยธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์เติบโต +3.34% และ ระดับความเชื่อมั่นแบรนด์ สูงถึง 91.87% และยังคงครองตำแหน่งเบอร์ 1 ของตลาด โดย

  • ไปรษณีย์ไทย : มีส่วนแบ่งการตลาด 23.5%
  • KEX : มีส่วนแบ่งการตลาด 20.1%
  • Flash Express : มีส่วนแบ่งการตลาด 17.4%
  • DHL Express : มีส่วนแบ่งการตลาด 16.5%
  • J&T Express : มีส่วนแบ่งการตลาด 13.9%

ทั้งนี้ SHIPPOP ผู้ให้บริการออนไลน์เชื่อมโยงระบบขนส่ง ประเมินว่า ตลาดโลจิสติกส์ปีนี้จะมีมูลค่า 1.07 แสนล้านบาท เติบโต +12% ซึ่งก็คงต้องรอดูว่าจะมีผู้เล่นคนไหนจะยอมลดราคาเพื่อจะแย่งชิงลูกค้าเหมือนที่ไปรษณีย์ขึ้นราคาระยะแรกเมื่อปี 2022 หรือไม่ เพราะต้องยอมรับว่าการตัดสินใจของผู้บริโภคในปัจจุบันนี้ แค่ราคาอาจไม่พอ แต่เป็นเรื่องของความเชื่อมั่นด้วย

]]>
1505217
เปลี่ยนจุดแข็งเป็นจุดขาย! กลยุทธ์ ‘ไปรษณีย์’ สร้างการเติบโตโดยไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ https://positioningmag.com/1487249 Fri, 23 Aug 2024 05:02:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487249 กลายเป็นว่า ไปรษณีย์ไทย ถือเป็นผู้ให้บริการ โลจิสติกส์รายเดียวในตลาดที่มีกำไรสองปีซ้อน แต่นั่นก็ทำให้ ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เอ่ยปากว่า กดดัน จากความคาดหวังที่สูงขึ้นเรื่อย ขณะที่ตลาดกลับมีความท้าทายใหม่ ๆ โดยเฉพาะการมาของ อีคอมเมิร์ซรายใหม่

ยืมจมูกคนอื่นหายใจมันเสี่ยง

ในปีที่ผ่านมา ไปรษณีย์ไทย มีรายได้รวม 20,934.47 ล้านบาท เติบโต +7.40% มี กำไร 78.54 ล้านบาท ขณะที่ปี 2567 ผ่านไปครึ่ง ไปรณีย์ไทยมีรายได้รวม 10,602.30 ล้านบาท มี กำไร 136.60 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ไปรษณีย์ไทยเติบโตและทำกำไรได้มาจากการบริหารต้นทุน และธุรกิจโลจิสติกส์ที่โตขึ้น เพราะปัจจุบัน รายได้จากธุรกิจโลจิสติกส์คิดเป็นสัดส่วนถึง 45%

แต่อย่างที่รู้กันว่า ธุรกิจโลจิสติกส์จะเติบโตหรือไม่นั้น ปัจจัยสำคัญ ๆ มาจากธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ ในวันที่กำลังซื้อของคนไทยลดลง จำนวนทรานแซ็คชั่นที่เกิดขึ้นก็ลดลงไปด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้เล่นใหม่อย่าง Temu เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดของผู้เล่นดั้งเดิมซึ่งเป็น พันธมิตร กับไปรษณีย์ไทย ดังนั้น หากคำสั่งซื้อของแพลตฟอร์มเหล่านี้ลดลง ก็แปลว่ายอดของไปรษณีย์ไทยก็จะลดลงไปด้วย ทำให้ ดร.ดนันท์ ย้ำว่า ไปรษณีย์ไทยต้องไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ

“อ้างอิงจากปริมาณการจัดส่งพัสดุให้กับอีมาร์เก็ตเพลสของไปรษณีย์ไทย เราเห็นเลยว่าจำนวนลดลงตั้งแต่ Temu เข้ามา บางแพลตฟอร์มยอดลดลงถึง 10-20% ต่อวัน ดังนั้น อีมาร์เก็ตเพลสไทยถูกจีนครองตลาดหมด และเขาจะใช้ขนส่งเจ้าไหนก็ได้ นี่เป็นความเสี่ยงมหาศาล เพราะต่อให้คุณภาพดีแค่ไหน เขาไม่ใช้เราก็ได้” ดร.ดนันท์ เล่า

เปลี่ยนจุดแข็งเป็นจุดขาย

กลยุทธ์แรกของไปรษณีย์สำหรับสร้างการเติบโตก็คือ เปลี่ยนจุดแข็งให้เป็นจุดขาย ที่หมายความว่า ขายจริง ๆ เริ่มจากจุดแข็งที่สุดของไปรษณีย์ก็คือ บุรุษไปรษณีย์ หรือ พี่ไปร กว่า 25,000 คน ที่ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในพื้นที่ ความเชี่ยวชาญด้านเส้นทาง ทำให้มีความเข้าใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่

โดยไปรษณีย์จะค่อย ๆ เพิ่ม Job Value เช่น นำเสนอ ขายสินค้า หรือ ทำ Survey บริการเก็บข้อมูลและสำรวจทรัพย์ หรือแม้แต่บริการ รับ-ส่ง สิ่งของ แบบ Point to Point ตามความต้องการของลูกค้า/พันธมิตร ซึ่งส่วนนี้ก็จะช่วยสร้างรายได้ใหม่ ๆ ให้กับไปรษณีย์โดยที่ไม่มีต้นทุนเพิ่ม ลดการพึ่งพาอีคอมเมิร์ซ และบุรุษไปรษณีย์เองก็มีรายได้เสริม โดย ดร.ดนันท์ วางเป้าจะเพิ่มรายได้ให้บุรุษไปรษณีย์ที่ 20% จากเงินเดือน โดยในปีที่ผ่านมา บุรุษไปรษณีย์มีรายได้จากธุรกิจเสริมกว่า 2.2 ล้านบาท

“เพราะพี่ไปรรู้จักคนพื้นที่ดี สามารถ Matching ดีมานด์-ซัพพลาย รู้ว่าคนแต่ละบ้านอายุเท่าไหร่ สนใจอะไร และเราก็มี Sandbox สำหรับบริษัทที่สนใจทำธุรกิจร่วมกัน”

อีกจุดที่จะสร้างรายได้ใหม่ ๆ ให้กับไปรษณีย์ก็คือ ที่ทำการไปรษณีย์ โดยที่ผ่านมา ไปรษณีย์ใช้เป็นจุด กระจายสินค้าชุมชน เพื่อเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ให้ชุมชน ขณะที่ไปรษณีย์เองจะได้ ค่าคอมมิชชั่น ซึ่ง ดร.ดนันท์ มองว่า นี่เป็นอีกกลยุทธ์ในการ สร้างทราฟฟิกของไปรษณีย์ โดยไม่ต้องพึ่งอีมาร์เก็ตเพลส ล่าสุด ไปรษณีย์ก็ได้นำร่องปรับโฉมสาขาสามเสนในเป็น โพสต์ คาเฟ่ ซึ่งก็จะเป็นอีกโมเดลในการใช้ประโยชน์จากที่ทำการไปรษณีย์ และใช้เป็นอีกช่องทางช่วยเกษตรกรผู้ผลิตกาแฟของไทย นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังมีเครื่องข่าย ไปรษณีย์อาเซียน ในการแลกเปลี่ยนสินค้า ดังนั้น มีโอกาสที่จะนำสินค้าของเกษตรกรไทยไปขายในตลาดต่างประเทศด้วย ปัจจุบัน รายได้จากการขายสินค้าชุมชนอยู่ที่ 600 ล้านบาท ตั้งเป้าแตะ 1,000 ล้านบาทใน 3 ปี

“เราทำตรงนี้แปลว่าชุมชนขายของได้มากขึ้น และระบบขนส่งเป็นของใครไม่ได้นอกจากเรา อีกสิ่งที่เราได้คือ จากการทำโพสต์ คาเฟ่ คือ พนักงานใกล้ชิดลูกค้าขึ้น ก็ยิ่งเข้าใจลูกค้า เป็นการสร้างความสัมพันธ์ และจะช่วยปรับบริการอย่างเข้าใจมากขึ้นกว่าคิดไปเอง”

สู่ยุค Information Logistics 

อีกบริการที่ค่อย ๆ หายไปก็คือ การส่งจดหมาย มีเพียงการส่งจากหน่วยงานหรือบริษัทต่าง ๆ ไม่ใช่การส่งจากคนถึงคนอีกต่อไป ดังนั้น ไปรษณีย์ไทยจึงหันมาทำบริการ บริหารจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ครบวงจร หรือ Prompt Post โดยแบ่งเป็น 4 บริการหลัก ได้แก่

  • Trust Service การรับรองและลงลายมือชื่อบนเอกสารดิจิทัลด้วยใบรับรองดิจิทัลและกุญแจส่วนบุคคล 
  • Digital Postbox การจัดเก็บเอกสารสำคัญได้อย่างรวดเร็วและมีความน่าเชื่อถือ 
  • One-stop service การสนับสนุนการให้บริการของภาครัฐและภาคเอกชนผ่านช่องทางดิจิทัล ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว 
  • Prompt pass บริการจัดเก็บเอกสารสำคัญส่วนบุคคล เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งข้อมูลระหว่างประชาชนกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน

นอกจากนี้ยังมีบริการ D/ID (ดีไอดี) ซึ่งเป็น Digital Post ID ส่วนบุคคล ในรูปแบบการจ่าหน้าแบบใช้รหัส ช่วยปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลระหว่างการจัดส่งสิ่งของ บอกพิกัดแนวดิ่งได้ทำให้สามารถระบุที่อยู่สำหรับผู้ที่อยู่ในอาคารสูง และเมื่อผู้ใช้งานมีการแก้ไขข้อมูลที่อยู่ในระบบ D/ID ข้อมูลที่อยู่ซึ่งเดิมไว้ใช้ติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ไปยังหน่วยงานปลายทางโดยอัตโนมัติ คาดว่าจะเปิดให้ใช้บริการในไตรมาส 4

“พฤติกรรมคนเปลี่ยน เราทำอะไรไม่ได้ ดังนั้น เราเลยทำเน็ตเวิร์กอิเล็กทรอนิกส์มาซับพอร์ตส่วนนี้ เพื่อรับกับพฤติกรรมคนที่เปลี่ยนไป อย่างน้อยเราก็มีรายได้ดีกว่าหายไป แต่ต้องยอมรับว่าคงไม่ได้ไปชดเชยรายได้ทั้งหมด”

ใช้พลังงานทดแทน ดีต่อโลกและลดต้นทุน

เพราะธุรกิจโลจิสติกส์เป็นธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนสูง ดังนั้น ไปรษณีย์ไทยวางเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2573 และลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจนเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2593 โดยภายในปี 2573 จะปรับไปใช้ ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ให้ได้ 85% และ ติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ 60% ของการใช้พลังงาน นอกจากนี้ ศึกษาพลังงานทางเลือกอื่น และปรับเส้นทางให้มีประสิทธิภาพ

ที่ผ่านมา ไปรษณีย์ไทยได้ ลดการปล่อยคาร์บอน 400 ตัน ลดค่าใช้จ่ายน้ำมัน 18% โดยในปีนี้จะเริ่มใช้ รถอีวี 250 คัน และ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 200 คัน 

ต่อให้เป็นแค่ผู้รับก็คือ ลูกค้า

ดร.ดนันท์ ทิ้งท้ายว่า อีกความท้าทายของไปรษณีย์ไทยก็คือ รักษาคุณภาพของบริการ โดยไปรษณีย์ไทยพยายามจะบริหารระบบ CRM อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ลูกค้าที่ไม่เคยใช้บริการไปรษณีย์มาใช้บริการ รวมไปถึงผู้รับปลายทางด้วย

“ลูกค้าไปรษณีย์ไม่ใช่แค่คนจ่ายเงิน แต่คนรับปลายทางก็คือลูกค้า และเรากำลังเก็บข้อมูลเพื่อจะเปลี่ยนเขามาเป็นคนส่ง ตอนนี้เราสามารถเปลี่ยนมาได้ 1 ล้านคน ซึ่งทุกการเติบโตไม่ได้ประทานมาจากฟ้า แต่มาจากความพยายามในการปรับปรุงคุณภาพ”

]]>
1487249
‘ไปรษณีย์ไทย’ ไม่ขอเป็นแค่ Last-Mile ดัน ‘พี่ไปร’ ขายตรง Silver Gen ก่อนเตรียมอัพสกิลให้บริการ ‘Virtual Bank’ สร้างรายได้ใหม่ ๆ https://positioningmag.com/1484425 Tue, 30 Jul 2024 10:22:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484425 คงไม่ต้องบอกว่าตลาด โลจิสติกส์ แข่งขันกันดุเดือดแค่ไหน ยิ่งผลประกอบการของผู้ให้บริการหลายเจ้าออกมา ขาดทุน ก็ยิ่งย้ำภาพให้ชัดยิ่งขึ้นไปอีก แต่ท่ามกลางผู้เล่นต่างชาติทุนหนาที่ตบเท้าเข้ามาในไทย ไปรษณีย์ไทย ก็ยังกลับสามารถพลิกกลับมา กำไร ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จนถึงครึ่งปีแรกของปี 2567 ก็ยังกำไรอยู่

ไปรษณีย์โตไม่ใช่เพราะตลาดโต

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรกไปรณีย์ไทยมีรายได้รวม 10,602.30 ล้านบาท กำไร 136.60 ล้านบาท โดยธุรกิจโลจิสติกส์มีสัดส่วนประมาณ 45% ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ไปรษณีย์ไทยเติบโตและทำกำไรได้มาจากการบริหารต้นทุน และธุรกิจโลจิสติกส์ที่โตขึ้น

อย่างไรก็ตาม ดร.ดนันท์ มองว่า ภาพรวมของตลาดโลจิสติกส์ที่มีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท อาจ เติบโตได้เล็กน้อย เพราะเนื่องจาก กำลังซื้อที่ลดลง ส่งผลต่อจำนวนทรานแซ็คชั่นที่เกิดขึ้น ดังนั้นเชื่อว่าตลาด อีคอมเมิร์ซ ปีนี้จะ เติบโตได้หลักเดียว

“สิ่งที่จะทำให้เราแต่งต่าง ไม่ใช่แค่เรื่องราคา เราต้องทำให้ลูกค้ารู้ว่าแวร์ลูเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น ที่เราโตไม่ใช่เพราะตลาดโตขึ้น แต่ที่เราโตเพราะศักยภาพของเราที่ดีขึ้น ทำให้ดึงมาร์เก็ตแชร์จากคู่แข่งได้ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกเราเติบโต”

ไม่ขอเป็นแค่ Last Mile

หนึ่งในกลยุทธ์ที่จะสร้างการเติบโตและรายได้ใหม่ ๆ ให้กับไปรษณีย์ไทยก็คือ การเพิ่ม Job Value ให้บุรุษไปรษณีย์ไทย โดย ดร.ดนันท์ มองว่า ไปรษณีย์ไทยไม่ควรเป็นแค่ Last Mile แต่ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็น First Mile โดยใช้เครือข่ายของพี่ไปรกว่า 25,000 คน ซึ่งมีจุดแข็งที่ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในพื้นที่ ที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบและต่อยอดได้

โดยล่าสุดได้ทดลองให้พี่ไปร ขายของ เช่น แก้ปวดเมื่อย ช่วยคนที่นอนไม่หลับ เน้นจับกลุ่ม Silver Marketing กับกลุ่ม Gen X และ Baby Boomer ที่ไม่ถนัดใช้งานอีคอมเมิร์ซ เบื้องต้นได้ทดลองในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยพบว่าได้รับการตอบรับที่ดี มียอดคำสั่งซื้อเฉลี่ยถึง 3,000 บาท

“ที่เราเลือกภาคตะวันออกก่อนเพราะเป็นเขตเศรษฐกิจ และต่างจังหวัดก็มักมีความสัมพันธ์อันดีกับพี่ไปร และเราเห็นว่าคนกลุ่มนี้ไม่ชอบใช้อีคอมเมิร์ซ แต่เขาเจอกับพนักงานไปรษณีย์ไทยบ่อย ๆ เราก็จะเอาโบรชัวร์ที่มีตัวหนังสือใหญ่ ๆ ไปให้เขาเลือก”

วางเป้าเพิ่มรายได้พี่ไปร 20%

นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังสนใจจะ ยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) คาดว่าจะความชัดเจนหลังเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมบอร์ดในเดือน ส.ค. เพราะมองว่าจะเป็นอีกช่องทางในการหารายได้ จากสินทรัพย์ที่มีประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะเครือข่ายของบุรุษไปรษณีย์

“เรามั่นใจในเน็ตเวิร์ก กับตัวตนของบริษัทที่จะยิ่งทำให้คนมั่นใจ และเรายังเห็นเคสตัวอย่างจากประเทศอินเดียที่มี India Post International และมี India Post Payments Bank แปลว่าเราไม่ได้มโน มีคนทำแล้ว และไม่ได้ต่างจากที่เราคิด”

ทั้งนี้ ในอนาคตไปรษณีย์ไทยมีแผนจะแบ่งระดับทักษะความสามารถของพนักงานออกเป็น Tier ต่าง ๆ ด้วย โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ เพิ่มรายได้บุรุษไปรษณีย์ขึ้น 20%

ดันบริการระหว่างประเทศสู้ธุรกิจสีเทา

สำหรับธุรกิจ บริการระหว่างประเทศ ของไปรษณีย์ไทยมีรายได้ 1,293.31 ล้านบาท คิดเป็น 12.20% ของรายได้รวม โดย ดร.ดนันท์ ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ส่วนนี้เป็น 15% หรือ 1,800 ล้านบาท โดยความท้าทายของตลาดนี้ก็คือ ข้อกำหนดระหว่างประเทศในการนำเข้าสินค้า ซึ่งข้อกำหนดที่เปลี่ยนไป ทำให้ลูกค้าหันไปใช้ธุรกิจสีเทา ที่จะลักลอบนำสินค้าส่งไปยังประเทศปลายทาง

“ธุรกิจระหว่างประเทศเคยคิดเป็นสัดส่วนสูงสุด 20% แต่ก็ลดลงมาเรื่อย ๆ เพราะเมื่อประเทศปลายทางเปลี่ยนกฎ คนก็หันไปส่งกับผู้ให้บริการเทา เพราะว่าส่งได้เยอะ ได้สเกล และส่งของที่ผิดกฎได้ ดังนั้น ถ้าแต่ละประเทศไม่เปลี่ยนกฎ พวกสีเทาก็จะไม่เกิด ทำให้วอลลุ่มที่มหาศาลหลุดไป และปัจจุบันมีผู้ให้บริการเป็นร้อย ๆ เจ้า”

อย่างไรก็ตาม ไปรษณีย์ไทยมี 5 กลยุทธ์ ที่จะสู้ในตลาดระหว่างประเทศ ได้แก่

  • เพิ่มการขนส่งที่หลากหลาย ทั้งการขนส่งทางอากาศโดยสายการบินพาณิชย์, การขนส่งทางภาคพื้น และการขนส่งทางราง และการขนส่งทางเรือ
  • การเสริมสร้างความร่วมมือกับการไปรษณีย์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหภาพสากลไปรษณีย์ Universal Postal Union – UPU การไปรษณีย์สมาชิกอาเซียน ASEANPOST และ ASEANPOST++ (จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย) การไปรษณีย์กลุ่ม KPG (Kahala Posts Group) เพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการไปรษณีย์ระหว่างประเทศให้ดียิ่งขึ้น
  • ดึงพันธมิตรร่วมปิดช่องว่างการขนส่งและนำจ่ายปลายทาง โดยร่วมมือกับกลุ่มผู้รับรวบรวม / บริษัทตัวแทนนำเข้าและส่งออก ซึ่งสามารถขนส่งในลักษณะสินค้า cargo พร้อมด้วยการจัดการเอกสาร Airway Bill และดำเนินพิธีการศุลกากรได้ที่ปลายทาง พร้อมด้วยการนำสิ่งของไปฝากส่งกับผู้ให้บริการนำจ่าย ซึ่งอาจเป็นผู้ให้บริการขนส่งเอกชน รวมทั้งผู้ให้บริการไปรษณีย์ด้วยอัตราค่าบริการในประเทศ ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในส่วนของการนำจ่ายในประเทศปลายทางถูกลง
  • สร้างพันธมิตรในกลุ่มแพลตฟอร์ม ได้แก่ eBay ซึ่งมีความร่วมมือด้านการจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศสำหรับ ผู้ค้าขายในเอเชียแปซิฟิกผ่านอีเบย์ ซีพาส อีกทั้งยังสนับสนุนผู้ขายไทยด้วยการจัดโปรโมชัน eBay Seller ที่เป็นสมาชิก POST Family ให้ได้รับค่าส่งพิเศษในบริการ ePacket และ EMS World สำหรับปลายทางยอดนิยม ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อังกฤษ อิตาลี เยอรมนี และ Amazon FBA ที่กำลังพัฒนาบริการสำหรับผู้ขายสินค้าบนเว็บไซต์ที่ต้องการขนส่งข้ามพรมแดน เพื่อนำส่งสินค้าเข้าคลังในต่างประเทศ โดยจะสามารถฝากส่งผ่านเครือข่ายไปรษณีย์ไทยที่มีครอบคลุมทั่วประเทศภายในไตรมาส 4 ปี 2567 นี้
  • เปิดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศเพิ่มเติม ซึ่งได้ประสานงานกับพันธมิตรต่างประเทศ และสายการบินในการสร้างเครือข่ายการขนส่งและให้บริการไปรษณีย์ระหว่างประเทศไปยังปลายทางต่าง ๆ เพิ่มขึ้น และหาเส้นทางสำหรับปลายทางที่ยังไม่มีบริการเส้นทางบินไป โดยประสานงานกับการไปรษณีย์ที่เป็นประเทศกลางทางเพื่อขอขนส่งผ่าน ทั้งแบบ closed transit และ open transit

ปัจจุบัน ปลายทางที่ได้รับความนิยมในการส่งระหว่างประเทศ 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย สินค้าที่นิยมส่ง คือ เสื้อผ้า ขนมและอาหารแห้ง สินค้ากลุ่มสุขภาพและความงาม เอกสาร ของสะสม

“เป้าหมายทั้งปีวางไว้ที่ 22,000 ล้านบาท แต่จะ กำไรไหมต้องรอดู ซึ่งเราเชื่อว่าครึ่งปีหลังคิดว่าเป็นอะไรที่สนุก และต้องทำอะไรอีกเยอะ โดยเฉพาะการเพิ่มจุดให้บริการ เพื่อให้บริการอย่างทั่วถึง เพราะเราเข้าใจว่าการเพิ่มความสะดวกเป็นหัวใจของประสบการณ์ โดยตอนนี้ไปรษณีย์ไทยเรามีจุดให้บริการรวมกว่า 5 หมื่นจุด”

]]>
1484425
ไปรษณีย์ไทย เผยกลยุทธ์ เปลี่ยนภาพจำของลูกค้าให้ดีกว่าเดิม เพิ่มคุณภาพการส่งสินค้า เข้าถึงบริการง่าย https://positioningmag.com/1443670 Thu, 07 Sep 2023 05:37:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1443670 ไปรษณีย์ไทย ครบรอบ 140 ปี ได้เปิดเผยกลยุทธ์ที่จะเจาะกลุ่มลูกค้าเพิ่มมากขึ้น โดยเน้นไปยังเรื่องมุมมองของผู้บริโภค ผ่านคุณภาพการให่้บริการ รวมถึงบริการที่เข้าถึงง่าย และทำมากกว่าที่ผู้บริโภคคาดหวังเพื่อที่จะเปลี่ยนมุมมอง

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้กล่าวถึงการฉลองครบรอบ 140 ปี ว่าจากในอดีตไปรษณีย์ไทยเปรียบเหมือนกับคนส่งสาร แต่ปัจจุบันกลายเป็นส่งสินค้า เขามองว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไว และก้าวกระโดดมาก ทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยนไป เช่น จากการส่งข้อความแบบ Physical เปลี่ยนเป็นข้อความแบบดิจิทัล

สิ่งที่เกิดขึ้นต้องทำให้ไปรษณีย์ไทยก็ต้องปรับเปลี่ยนเช่นกัน เขาได้ยกตัวอย่างแม้แต่การแพร่ระบาดของโควิดก็เปลี่ยนพฤติกรรม ขณะเดียวกันคู่แข่งอย่างบริษัทเทคโนโลยีก็หันมาทำธุรกิจ Logistics เช่นกัน ส่งผลทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคา

สำหรับกลยุทธ์ของไปรษณีย์ไทยล่าสุดคือ 1-4-0 โดย 1 คือ การเป็นที่หนึ่งเรื่องคุณภาพ 4 คือ เส้นทางขนส่งทางรถยนต์ ทางรถไฟ ทางอากาศ และทางดิจิทัล รวมถึง 0 คือ การลดข้อร้องเรียนให้เป็นศูนย์ หรือแก้ปัญหาให้ผู้ใช้บริการอย่างรวดเร็วที่สุด และ Net Zero เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2065

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ – กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ภาพจากบริษัท)

ขณะเดียวกันสิ่งที่จะได้เห็นบริการจากไปรษณีย์ไทยหลังจากนี้ เช่น 

  • บริการ Prompt Post ที่จะเปลี่ยนเอกสารทุกรูปแบบสู่เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ การแปลงระบบจ่าหน้าหรือที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลผ่านระบบ Digital Post ID การให้บริการในรูปแบบ Postman as a service
  • บริการและโซลูชันผ่าน Post Family ที่ทำให้ผู้ประกอบการสามารถใช้บริการของไปรษณีย์ไทยขนส่งสินค้าที่หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าขนาดใหญ่ สินค้าที่ใช้ความยุ่งยากในการส่ง สินค้าที่ส่งยาก หรือแม้แต่ส่งสินค้าที่ควบคุมความเย็นก็ทำได้ และจะมีสิทธิพิเศษต่างๆ เพิ่มเติมให้กับลูกค้ากลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ปัจจุบัน ลูกค้าที่ใช้บริการของ Post Family เป็นประจำมีมากถึง 600,000 รายในครึ่งปีแรก และดนันท์ตั้งเป้าที่จะมีลูกค้าขาประจำที่ใช้บริการดังกล่าวมากถึง 1 ล้านรายหลังจากนี้

กรรมการผู้จัดการใหญ่ฯ ไปรษณีย์ไทย ยังกล่าวถึงการปรับปรุงเรื่องของการคัดแยกสินค้าที่ใช้ระบบอัตโนมัติเข้ามาเพิ่มขึ้น เขาชี้ว่าการที่สินค้าส่วนใหญ่เสียหายเพราะว่าพัสดุผ่านมือคนจำนวนมาก ฉะนั้นการลงทุนในระบบคัดแยกสินค้านั้นช่วยเพิ่มคุณภาพในการขนส่งด้วย

ทางด้านผลประกอบการในครึ่งปีแรกของปี 2023 นั้น ไปรษณีย์ไทยมีรายได้รวม 10,833.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 12.67% และมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 157.72 ล้านบาท

บริการ Digital Post ID คาดว่าจะได้เห็นในหลังจากนี้ (ภาพจากไปรษณีย์ไทย)

ถ้าแยกสัดส่วนรายได้ของไปรษณีย์ไทยในครึ่งปีแรก กลุ่มบริการขนส่งและโลจิสติกส์ครองสัดส่วนมากถึง 44.11% กลุ่มบริการไปรษณียภัณฑ์ 36.04% กลุ่มบริการระหว่างประเทศ 13.60% กลุ่มบริการค้าปลีก 2.35% กลุ่มบริการการเงินและบริการอื่นๆ 2.84% และรายได้อื่นๆ 1.06% ตามลำดับ

ดนันท์ชี้ว่า ไปรษณีย์ไทยเปลี่ยนแปลงไปมาก ตอนนี้มีขอบข่ายของการให้บริการมากกว่านั้น และองค์กรมีการปรับโครงสร้างภายในหลายอย่าง จากผลการขาดทุนในปี 2021 และปี 2022 ซึ่งมีผลขาดทุน 1,730 ล้านบาท และขาดทุน 3,018 ล้านบาท ตามลำดับ

เขาชี้ว่าการปรับปรุงระบบหลังบ้านของไปรษณีย์ไทย 2 ปีที่ผ่านมา ยังส่งผลให้ Gross Profit Margin ดีขึ้นกว่าเดิม และยังลดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ลงมาได้ด้วย

ขณะที่กลยุทธ์การตลาดครบรอบ 140 ปี ไปรษณีย์ไทยได้ใช้กลยุทธ์เรื่องของความสัมพันธ์ที่มีมายาวนาน นอกจากนี้ผู้บริหารของไปรษณีย์ไทยยังกล่าวว่าบริษัทได้โฟกัสมากคือการนำระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) เพื่อทำความรู้จักลูกค้ามากขึ้น และมองว่าบริษัทมีข้อมูลมหาศาลจากเครือข่ายของบุรุษไปรษณีย์

iPost บริการจุดส่งไปรษณีย์ (ภาพจากไปรษณีย์ไทย)

นอกจากนี้ ดนันท์ ยังกล่าวว่าไปรษณีย์ไทยจะต้องเปลี่ยนมุมมอง (Perception) ของผู้บริโภคว่าเข้าถึงง่าย แตกต่างกับราชการ แต่ต้องทำตัวเหมือนเอกชน และทำให้มากกว่าที่ผู้บริโภคคาดหวังในเรื่องของบริการ รวมถึงต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรด้วย

ท่ามกลางการแข่งขันดุเดือดของตลาดขนส่งพัสดุ กรรมการผู้จัดการใหญ่ฯ ไปรษณีย์ไทย มองว่าถึงระยะเวลาหนึ่งจะมีผู้เล่นควบรวมกิจการกัน เนื่องจากจำนวนผู้เล่นจะต้องเหมาะสมกับขนาดของตลาด ขณะที่เรื่องสงครามราคา เขามองถึงเรื่องคุณภาพการให้บริการมากกว่า เพราะในที่สุดถ้าหากสงครามราคาเกิดขึ้นมาก ผู้บริโภคอาจได้รับผลกระทบ จากในช่วงที่ผ่านมา ผู้เล่นบางรายมีข่าวที่ผู้บริโภคต้องไปหาพัสดุของตัวเองที่ศูนย์คัดแยก เป็นต้น

ดนันท์ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่าอุตสาหกรรมขนส่งพัสดุยังต้องการให้มีหน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาดูแลการแข่งขัน เนื่องจากกังวลถึงการทุ่มตลาดจากผู้เล่นต่างประเทศ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพการบริการ และยังทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ และเขายังมองว่าไปรษณีย์ไทยเป็นโครงสร้างพื้นฐานซึ่งเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ

]]>
1443670