ดิสนีย์พลัส – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 05 Apr 2024 04:04:22 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 CEO ของ ‘ดิสนีย์’ เผย “มาตรการห้ามแชร์รหัสผ่าน Disney+ จะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายนนี้ในบางประเทศ” https://positioningmag.com/1469175 Fri, 05 Apr 2024 02:09:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469175 CEO ของ ‘ดิสนีย์’ ได้เปิดเผยว่ามาตรการห้ามแชร์รหัสผ่าน Disney+ จะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายนนี้ในบางประเทศ และจะมีการใช้งานทั่วโลกภายในเดือนกันยายน ซึ่งมาตรการดังกล่าวนั้นบริษัทมองว่าจะทำให้ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นเติบโตเพิ่มมากขึ้น หลังจากคู่แข่งอย่าง Netflix ได้เริ่มมาตรการดังกล่าวเป็นรายแรก

Bob Iger ซึ่งเป็น CEO ของ ดิสนีย์ (Disney) ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ CNBC โดยเขาเผยว่ามาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านของ Disney+ จะทดลองในบางประเทศก่อนในเดือนมิถุนายน และจะใช้งานทั่วโลกภายในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวนั้นช่วยทำให้บริษัทสามารถทำให้แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งสามารถกลับมามีกำไรได้

CEO ของ Disney ยังกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวถือเป็นเรื่องสำคัญของบริษัทที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้น แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดว่าในมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านที่จะใช้ในเดือนมิถุนายนนั้นจะมีการทดลองในประเทศใดบ้าง

ในช่วงที่ผ่านมามาตรการดังกล่าวเริ่มใช้โดยแพลตฟอร์มคู่แข่งอย่าง Netflix ซึ่งชี้ว่าสมาชิกของบริษัทมากกว่า 100 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 43% ได้มีการแชร์รหัสผ่าน ส่งผลทำให้บริษัทสูญเสียความสามารถในการลงทุนในคอนเทนต์ใหม่ๆ จนทำให้บริษัทออกมาตรการดังกล่าว ส่งผลทำให้มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นทันที

ผลที่เกิดขึ้นยังทำให้ Disney ได้ออกมาตรการดังกล่าวตามมาเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2023 เพื่อที่จะลดการขาดทุนของแพลตฟอร์ม โดยตัวเลขในผลประกอบการไตรมาส 4 ของบริษัท ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นขาดทุนลดลงเหลือแค่ 387 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

สัมภาษณ์พิเศษดังกล่าวนั้น หัวเรือใหญ่ของ Disney ยังได้ชื่นชมการทำงานของ Netflix ว่าคู่แข่งรายนี้ได้สร้างมาตรฐานของวงการวิดีโอสตรีมมิ่ง และทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม และเขายังกล่าวเสริมว่า “ถ้าเราสามารถบรรลุผลสำเร็จในสิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คงจะดีมาก”

ขณะเดียวกัน Bob ยังได้กล่าวว่า บริษัทเองก็เตรียมงัดมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการลดงบด้านการตลาด และพยายามที่จะทำความเข้าใจลูกค้า มีการส่งคอนเทนต์เพื่อเอาใจลูกค้านอกสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น หรือแม้แต่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อที่จะเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

นอกจากนี้ CEO ของ Disney เองยังคาดว่าธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งจะกลับมามีกำไรได้ภายในช่วงสิ้นปีนี้

]]>
1469175
‘ดิสนีย์’ ประกาศจะ ‘ลดต้นทุน’ อีก 2 พันล้านเหรียญฯ มั่นใจธุรกิจ ‘สตรีมมิ่ง’ ทำกำไรภายในปีหน้า https://positioningmag.com/1451093 Thu, 09 Nov 2023 03:18:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1451093 ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลาย ๆ เรื่องรายได้ไม่เข้าเป้า แถมค่อนไปทางขาดทุน เลยทำให้ ดิสนีย์ (Disney) ต้องวางแผนลดต้นทุนอีกระลอกหรือเปล่า หลังจากที่เคยประกาศว่าต้องการลดต้นทุนให้ได้ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ดิสนีย์ ประกาศว่า จะลดค่าใช้จ่ายลงอีก 2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มเติมจากที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลดต้นทุน 5.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้บริษัทต้อง ลดจ้างงาน 7,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม แผนการลดต้นทุนในครั้งนี้ บริษัทยืนยันว่า ไม่มีแผนเลิกจ้างเพิ่มเติม

โดย Bob Iger ซีอีโอ ดิสนีย์ กล่าวว่า ที่บริษัทยังคงลดต้นทุน เนื่องจากบริษัทกำลัง การสร้างธุรกิจใหม่ ในสภาพแวดล้อมของสื่อที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน บริษัทยังคง ขาดทุน ในธุรกิจสตรีมมิ่ง Disney+ แม้ว่าบริษัทจะลดการขาดทุนได้อย่างมากแล้วก็ตาม โดยในไตรมาส 4 ตามปีงบประมาณ (ก.ค.-ต.ค.) บริษัทลดการขาดทุนในธุรกิจสตรีมมิ่งเหลือ 420 ล้านดอลลาร์ จากเดิมขาดทุนถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรายได้ในกลุ่มสตรีมมิ่งเพิ่มขึ้น +12%

“ผลประกอบการของเราในไตรมาสนี้สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าที่สำคัญที่เราได้ทำในปีที่ผ่านมา แต่เรายังมีงานที่ต้องทำ ความพยายามเหล่านี้ช่วยให้เราก้าวข้ามช่วงเวลาแห่งการแก้ไขนี้ และเริ่มสร้างธุรกิจของเราอีกครั้ง” Bob Iger ซีอีโอกล่าว

สำหรับรายได้ของดิสนีย์ในไตรมาส 4 อยู่ที่ 2.12 หมื่นล้านดอลลาร์ แม้รายได้จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดเล็กน้อย แต่หุ้นของดิสนีย์สูงขึ้นมากกว่า 3% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ โดยถือว่า ดีดตัวจากระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 10 ปี

ทั้งนี้ รายได้ในช่วงไตรมาส 3 ของดิสนีย์ถือเป็นช่วงที่หยักหน่วงของบริษัท เพราะต้องดันธุรกิจสตรีมมิ่งที่ต้องใช้เงินสด, ความล้มเหลวของภายนตร์ฟอร์มยักษ์หลาย ๆ เรื่อง รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างการที่นักแสดงประท้วงหยุดงาน แต่ธุรกิจ สวนสนุก กลายเป็นดาวเด่นของดิสนีย์ โดยเติบโตขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ในส่วนของ Disney+ ที่ดิสนีย์ทุ่มเงินไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2562 จำนวนสมาชิกยังคงเติบโตขึ้น โดยฐานในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเพิ่มขึ้น +1% ส่วนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น +11% โดยเฉพาะแพ็กเกจโฆษณา สามารถเพิ่มการสมัครสมาชิกมากกว่า 2 ล้านครั้ง โดย Bob Iger มั่นใจว่า ธุรกิจสตรีมมิ่งจะ ทำกำไร ภายในสิ้นปี 2567

Source

]]>
1451093
ตี้แตกอีกหนึ่ง! ‘Disney+’ เตรียมออกระบบป้องกันการแชร์รหัสผ่านตามรอย ‘Netflix’ https://positioningmag.com/1440492 Thu, 10 Aug 2023 02:35:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1440492 หลังจากที่ เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ผู้นำในตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งของโลกได้ออกมาตรการห้าม แชร์รหัสผ่าน จนทำให้จำนวนผู้ใช้ช่วง Q2/2023 เพิ่มขึ้นถึง 5.9 ล้านราย ทำให้สตรีมมิ่งรายใหญ่อย่าง ดิสนีย์พลัส (Disney+) ก็ขอเดินตามรอยรุ่นพี่ เตรียมออกมาตรการห้ามแชร์รหัสผ่านบ้าง

Bob Iger ซีอีโอ ดิสนีย์ กล่าวว่า บริษัทกำลังสำรวจการแชร์บัญชีของผู้ใช้และจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายที่จะ ควบคุมการแชร์รหัสผ่านของผู้ใช้ ในปลายปีนี้ ก่อนที่จะออกมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านภายในปี 2024 อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้เปิดเผยว่าจะใช้วิธีใดเพื่อลดการใช้บัญชีร่วมกัน

“แน่นอนว่าเราเชื่อว่ามาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านจะส่งผลต่อการเติบโตของสมาชิกแน่นอน แต่เราไม่ได้คาดเดาได้ว่าจะเป็นในทางไหน”

โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่เหมือนกับบริการสตรีมมิ่งรายอื่น ๆ ก็คือ เพิ่มกำไร เพราะนอกจากมาตรการดังกล่าวแล้ว บริการสตรีมมิ่งหลายรายพยายามลดค่าใช้จ่ายในการผลิตคอนเทนต์ รวมถึงการออกแพ็กเกจราคาถูกลงโดยเพิ่มโฆษณาเข้ามา ซึ่งปัจจุบัน ดิสนีย์กำลังทำทั้งหมด

นอกจากนี้ ดิสนีย์ยัง ขึ้นราคา บริการสตรีมมิ่งเกือบทั้งหมด โดยแพลตฟอร์ม Disney+ แบบไม่มีโฆษณาจะมีราคา 13.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ราว 490 บาท) เพิ่มขึ้น 27% ส่วน Hulu เพิ่มขึ้นเป็น 17.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ราว 630 บาท) เพิ่มขึ้น 20% ส่วนแพ็คเกจโฆษณาของทั้ง 2 บริการยังมีราคาเท่าเดิม ส่วนค่าบริการรายเดือนในไทยมีการปรับเป็น 289 บาท และรายปีปรับเป็น 2,290 บาท ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายที่ผ่านมา

ทั้งนี้ Netflix ถือเป็นผู้บุกเบิกในการออกมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่าน เนื่องจากพบว่ามากกว่า 100 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 43% ของฐานผู้ใช้ทั่วโลกใช้บัญชีร่วมกัน และด้วยเหตุนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการลงทุนในคอนเทนต์ใหม่ ๆ ซึ่งหลังจากที่ Netflix ออกมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้ในช่วง Q2/2023 เพิ่มขึ้น 5.9 ล้านราย

Source

]]>
1440492
‘ดิสนีย์’ ประกาศปรับโครงสร้างเตรียมปลดพนักงาน 7,000 คน หวังลดต้นทุน-เพิ่มโอกาสทำกำไรให้สตรีมมิ่ง https://positioningmag.com/1418519 Thu, 09 Feb 2023 04:03:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1418519 หลังจากที่ ‘บ็อบ ไอเกอร์’ (Bob Iger) อดีตซีอีโอของดิสนีย์ได้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2022 ที่ผ่านมา และได้มีการระบุว่า เขามีแผนจะปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ ล่าสุด ดิสนีย์ ก็เตรียมลดคนประมาณ 3% และจัดระเบียบใหม่เป็น 3 หน่วยงาน พร้อมตั้งเป้าลดต้นทุนให้ได้ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ย้อนไปช่วงปลายปี 2022 ที่ บ็อบ ไอเกอร์ ได้กลับมารับตำแหน่ง ซีอีโอของดิสนีย์ อีกครั้ง สิ่งแรกที่บ็อบปรับเปลี่ยนในวันแรกก็คือ ไล่หัวหน้าฝ่ายสื่อและความบันเทิงของบริษัท ซึ่งถือเป็น มือขวา ของอดีตซีอีโอ บ็อบ ชาเพ็ก (Bob Chapek) ออก พร้อมระบุว่า ดิสนีย์เตรียมปรับโครงสร้างใหม่ โดยล่าสุด ดิสนีย์ก็ได้ประกาศแผนที่จะจัดระเบียบใหม่เป็น 3 ส่วนแผนก ได้แก่

  • Disney Entertainment : โดยจะเป็นการรวมหน่วยงานด้านสื่อรวมถึงแพลตฟอร์มสตรีม
  • แผนก ESPN : หน่วยงานดูแลเครือข่ายทีวีและบริการสตรีมมิ่ง ESPN+ ที่เป็นสตรีมมิ่งเกี่ยวกับกีฬา
  • สวนสนุก ประสบการณ์ และผลิตภัณฑ์

การปรับโครงสร้างดังกล่าว ทำให้ดิสนีย์ประกาศว่าจะ เลิกจ้างงานพนักงาน 7,000 ตำแหน่ง หรือราว 3% ของพนักงานทั้งหมด 220,000 คน โดยแบ่งเป็นในสหรัฐฯ 166,000 คน และประมาณ 54,000 คนในต่างประเทศ โดยการปรับโครงสร้างใหม่นี้ ถือเป็นหนึ่งในแผนในการลดต้นทุนบริษัทให้ได้ 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำให้ ธุรกิจสตรีมมิ่งมีกำไร จากที่ก่อนหน้านี้ดิสนีย์เคยโดนนักลงทุนบ่นว่า ใช้เงินลงทุนในธุรกิจสตรีมมิ่งมากเกินไป

โดยในช่วง Q4/2022 ที่ผ่านมา สมาชิกของ Disney+ ลดลง 2.4 ล้านราย และนับเป็นการสูญเสียสมาชิกครั้งแรกของแพลตฟอร์ม นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2019 ซึ่งการลดลงดังกล่าวนี้ ดิสนีย์คาดว่าบริษัทสูญเสียรายได้ราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับการลดต้นทุนมูลค่า 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะแบ่งเป็นการลดต้นทุนจากการผลิตคอนเทนต์ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอีก 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะมาจากการลดต้นทุนในส่วนอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการผลิตคอนเทนต์ โดยผู้บริหารของดิสนีย์ระบุว่า บริษัทได้ดำเนินการลดต้นทุนมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเป้าหมายดังกล่าวตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่แล้ว

ปัจจุบัน การแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่งนับวันยิ่งดุเดือด โดยผู้เล่นแต่ละรายลงเงินไปกับการผลิตคอนเทนต์จำนวนมาก ทำให้ต้องมีการลดพนักงานและตัดส่วนงานที่ไม่จำเป็นเพื่อลดต้นทุน นอกจากนี้ แพลตฟอร์มดัง ๆ อย่าง Netflix และ Disney+ ต่างก็มีแผนที่จะออกแพ็กเกจโฆษณาราคาถูกเพื่อสร้างรายได้

Source

]]>
1418519
‘Disney+’ เตรียม ‘ขึ้นราคา’ พร้อมออกแพ็กเกจ ‘โฆษณา’ เนื่องจาก ‘ขาดทุน’ แม้ผู้ใช้เติบโต https://positioningmag.com/1395890 Thu, 11 Aug 2022 00:58:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1395890 ดิสนีย์ (Disney) เคยออกมาประกาศเมื่อช่วงเดือนมีนาคมว่าบริการสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ จะเพิ่มแพ็กเกจแบบมีโฆษณาแทรกในราคาประหยัด ล่าสุด ดิสนีย์ก็ประกาศว่าจะเริ่มเพิ่มแพ็กเกจดังกล่าวในช่วงเดือนธันวาคม เริ่มจากใน อเมริกา นอกจากนี้จะขึ้นราคาแพ็กเกจปกติ เพื่อเพิ่มกำไรให้บริษัท เพราะแม้ฐานผู้ใช้จะเติบโต แต่ต้นทุนการผลิตคอนเทนต์ที่สูง

ดิสนีย์ เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมขึ้นราคาบริการสตรีมมิ่ง Disney+ โดยเพิ่มจาก 6.99 ดอลลาร์ เป็น 10.99 ดอลลาร์ แต่ก็จะเพิ่มแพ็กเกจราคาประหยัดที่มีโฆษณาแทรกในราคา 7.99 ดอลลาร์ โดยแพ็กเกจดังกล่าวจะเริ่มให้บริการในวันที่ 8 ธันวาคม เฉพาะในสหรัฐอเมริกาก่อน

ส่วนราคาบริการสตรีมมิ่งของ Hulu จะปรับจาก 12.99 ดอลลาร์ เป็น 14.99 ดอลลาร์ต่อเดือน มีผล 10 ตุลาคม ส่วนแพ็กเกจโฆษณาจะปรับจาก 6.99 ดอลลาร์ เป็น 7.99 ดอลลาร์ ส่วน ESPN+ จะขึ้นราคา 43% เป็น 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน

แม้ว่าจำนวนสมาชิกใหม่ของบริการสตรีมมิ่งจะมีถึง 15 ล้านราย ในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ถึง 5 ล้านราย แต่ที่ดิสนีย์ต้องขึ้นราคาก็สะท้อนให้เห็นถึงต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นสำหรับบริการสตรีมมิ่งของดิสนีย์ Disney+, Hulu และ ESPN+ ซึ่งรวมแล้วบริษัท ขาดทุนถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 300 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อผู้ใช้สำหรับ Disney+ ลดลง 5% สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

โดยรวมแล้ว ไตรมาสที่ผ่านมามีรายได้ 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยรายได้จากฝั่งสวนสนุก และสินค้าต่าง ๆ เติบโต 72% มีรายได้รวม 7.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนจำนวนสมาชิกของบริการสตรีมมิ่งทั้งหมดของดิสนีย์ (Disney+, ESPN+ และ Hulu) มีสมาชิกรวมถึง 221 ล้านคน แค่เฉพาะ Disney+ มีสมาชิกถึง 152.1 ล้านราย โดยดิสนีย์ตั้งเป้าที่จะเพิ่มเป็น 230-260 ล้านราย ภายในปี 2024

Source

]]>
1395890
‘ดิสนีย์’ ยืนยัน! ภาพยนตร์ที่เหลือของปีจะฉายโรง 45 วัน ก่อนสตรีมลง ‘Disney+’ https://positioningmag.com/1351549 Mon, 13 Sep 2021 10:56:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1351549 เพราะพิษ COVID-19 ทำให้โรงภาพยนตร์ต้องปิดลงชั่วคราว แม้ว่าในปี 2021 นี้ โรงภาพยนตร์จะเริ่มกลับมาเปิดอีกครั้ง แต่ค่ายภาพยนตร์หลายค่ายก็ตัดสินใจที่จะฉายหนังไปพร้อมกับการสตรีมมิ่งบนแพลตฟอร์มของตัวเอง อาทิ ‘Black Widow’ ของค่ายดิสนีย์ (Disney) แต่ล่าสุด ทางค่ายก็ตัดสินใจจะฉายภาพยนตร์ในโรงก่อนที่จะลงสตรีมมิ่ง 45 วัน

ย้อนไปเดือนกรกฎาคมดิสนีย์ตัดสินใจที่จะฉายภาพยนตร์ Black Widow พร้อมกับลงสตรีมมิ่ง ‘Disney+’ นับเป็นภาพยนตร์จากสตูดิโอ Marvel เรื่องแรกที่เข้าฉายพร้อมกัน แต่เป็นในรูปแบบ Premier Access (ผู้เป็นสมาชิกต้องจ่ายเงิน 30 ดอลลาร์ หรือราว 980 บาท เพื่อรับชม)

แม้ Black Widow จะเป็นภาพยนตร์ที่เปิดตัวแรงสุดในยุคโควิด โดยสามารถเก็บเงินไปได้ถึง 140 ล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นโรงภาพยนตร์ 80 ล้านดอลลาร์ และ Disney+ 60 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากรวมจำนวนเงินที่ทำได้จากการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ประเทศอื่น ๆ อีก 78 ล้านดอลลาร์ ก็จะทำให้ตัวเลขเงินเปิดตัวในสัปดาห์แรกอยู่ที่ 218 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ผ่านไปเพียง 1 สัปดาห์ รายได้ของ Black Widow ในโรงหนังลดต่ำลงมาอยู่ที่ 26.3 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นอัตราที่ลดลงถึง 67% จนนำไปสู่การฟ้องร้องของ ‘สการ์เลตต์ โจแฮนสัน’ นักแสดงนำว่าดิสนีย์ละเมิดสัญญา เพราะนอกจากค่าตัวที่ค่ายหนังจ่ายให้แล้ว เธอจะได้ส่วนแบ่งจากรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศด้วย ซึ่งการนำหนังออกฉายในโรงพร้อมกับทางสตรีมมิ่งจึงเป็นการแบ่งรายได้ที่นักแสดงควรจะได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปนั่นเอง

ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่ล่าสุดค่ายดิสนีย์ประกาศชัดว่า ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่เหลือในปีนี้จะ ‘ฉายโรง’ ก่อนเป็นเวลา 45 วัน ถึงจะลงในสตรีมมิ่ง โดยให้ความเห็นว่าเริ่มเห็นทิศทางที่ดีของผู้ชมที่กลับมาชมในโรงภาพยนตร์ แม้ว่าการระบาดจะเริ่มกลับมาอีกครั้งจากสายพันธุ์เดลตา

“ขณะนี้ความมั่นใจในการรับชมภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราหวังว่าจะสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมในโรงภาพยนตร์ ในขณะเดียวกันก็รักษาความยืดหยุ่นในการมอบของขวัญให้กับสมาชิก Disney+ ของเราในช่วงเทศกาลวันหยุดนี้” Kareem Daniel ประธาน Disney Media & Entertainment Distribution กล่าวในแถลงการณ์

สำหรับปีนี้ ภาพยนตร์ใหม่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เป็นเวลา 45 วัน ได้แก่ Eternals ของ Marvel จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 5 พฤศจิกายน และ West Side Story ฉบับรีเมกจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 10 ธันวาคม ภาพยนตร์อื่น ๆ ที่เข้าฉายในปีนี้ ได้แก่ The Last Duel, Ron’s Gone Wrong และ The King’s Man

ที่ผ่านมา Shang-Chi ของ Marvel ที่เปิดฉายเฉพาะในโรงภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ได้ทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศวันแรงงาน ภาพยนตร์มาร์เวลเรื่องแรกที่นำแสดงโดยซูเปอร์ฮีโร่ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย โดยทำรายได้ไปทั่วโลก 247.6 ล้านเหรียญนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อสองสัปดาห์ก่อน โดยยังคงครองอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศในช่วงสัปดาห์ที่สองเช่นกัน หลายคนมองว่าการเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จนี้เป็นสัญญาณที่ให้กำลังใจแก่โรงภาพยนตร์

ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ในพื้นที่สีแดง เช่น กรุงเทพมหานคร และจังหวัดใหญ่ ทำให้ภาพยนตร์หลายเรื่องถูกยกเลิกที่จะฉาย อาทิ Black Widow ที่จะไม่ลงฉายในโรงภาพยนตร์ไทย ส่วน Shang-Shi จะฉายในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ แต่อาจจะต้องรอลุ้นอีกทีว่าจะได้ฉายหรือไม่

Source

]]>
1351549
ไม่มีหนังฉายก็ยังปัง! ของเล่น ‘Star Wars’ ยอดพุ่ง 70% เพราะซีรีส์ใน ‘Disney +’ https://positioningmag.com/1319806 Wed, 17 Feb 2021 08:20:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1319806 ในปี 2020 ถือเป็นปีแรกนับตั้งแต่ปี 2014 ที่ค่าย ‘Disney’ ไม่มีภาพยนตร์ในจักรวาล ‘Star Wars’ เข้าฉาย โดยเรื่องสุดท้ายที่เข้าฉายก็คือ ‘Star Wars: The Rise of Skywalker’ ช่วงปลายปี 2019 แต่แม้จะไม่มีหนังฉายโรง แต่ยอดขายของเล่นของ Star Wars ในปี 2020 กลับเพิ่มขึ้น 70% ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าต่อให้ไม่มีหนังฉายแต่ของเล่นก็ยังขายได้

เมื่อโรงภาพยนตร์ถูกปิดเพราะการระบาดของ COVID-19 ทำให้คอนเทนต์ของหลายสตูดิโอถูกเลื่อนฉายไป แต่ Disney ก็ชดเชยด้วย ‘Disney +’ โดยมีซีรีส์แม่เหล็กอย่าง ‘The Mandalorian’ ซึ่งซีรีส์ดังกล่าวช่วยให้ยอดขายของเล่นจากจักรวาล Star Wars เพิ่มขึ้น 70% โดยเฉพาะ ‘Grogu’ หรือ ‘Baby Yoda’ นอกจากนี้ ‘ดาบไลท์เซเบอร์’ ก็ยังช่วยกระตุ้นการเติบโตของแฟรนไชส์ของเล่น

โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ‘Hasbro’ บริษัทของเล่นรายใหญ่ของโลกได้เปิดเผยรายรับในไตรมาส 4 ที่เพิ่มขึ้น 21% เป็น 1.72 พันล้านดอลลาร์ แต่ถึงแม้ของเล่นจะขายดี แต่ Hasbro ยังเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นเนื่องจากปัญหาการผลิต ซึ่งรวมถึงความล่าช้าจากการขนส่ง

อย่างไรก็ตาม Disney + ยังมีของดีมากกว่า The Mandalorian เพราะเตรียมเปิดตัวคอนเทนต์ทั้งภาพยนตร์และซีรีส์ในจักรวาล Star Wars อีกอย่างน้อย 9 เรื่อง รวมถึงซีรีส์ที่มีตัวละครยอดนิยมเช่น Ahsoka Tano, Lando Calrissian, Obi-Wan Kenobi และ Boba Fett ซึ่งจำนวนคอนเทนต์ดังกล่าวทำให้แฟน ๆ และ Hasbro มีตัวละครใหม่ ๆ ได้เล่นจนถึงปี 2023 และนอกจากจักรวาล Star Wars แล้ว Disney + ยังมีซีรีส์ Marvel อีกเกือบ 12 เรื่อง อย่างตอนนี้ก็กำลังฉายซีรีส์ ‘WandaVision’ ขณะที่ซีรีส์ ‘The Falcon and the Winter Soldier’ และ ‘Loki’ มีกำหนดเปิดตัวก่อนกลางปี

“เราเห็นการเติบโตของการสมัครสมาชิกอย่างรวดเร็วของ Disney + และการเข้าถึงเนื้อหาของ Disney สำหรับผู้ชมใหม่ ๆ เป็นตัวเร่งสำคัญที่ผลักดันความต้องการสินค้าของผู้บริโภค Hasbro เป็นหนึ่งในพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดของดิสนีย์ในการทำให้แฟน ๆ ทุกวัยมีส่วนร่วมกับแบรนด์ในรูปแบบสินค้าที่จับต้องได้” Stephanie Wissink กรรมการผู้จัดการของ Jefferies กล่าว

ทั้งนี้ Hasbro ขยายความร่วมมือ Star Wars และ Marvel กับ Disney ในช่วงต้นปี 2020 ยังไม่มีความชัดเจนว่าสัญญาฉบับใหม่จะกำหนดไว้นานแค่ไหน แต่ครั้งสุดท้ายที่ผู้ผลิตของเล่นเจรจาใบอนุญาตของเล่นหลักสำหรับแฟรนไชส์เหล่านั้นคือปี 2013

ที่ผ่านมา Hasbro ได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์กับดิสนีย์มายาวนาน โดยในปี 2019 รายได้จากแบรนด์พันธมิตรของ Hasbro เพิ่มขึ้น 24% เป็น 1.22 พันล้านดอลลาร์ โดยรายได้นั้นมาจากลิขสิทธิ์ของแฟรนไชส์สุดแกร่งอย่าง ‘Frozen 2’ ‘ Avengers’ ‘Spider-Man’ และ ‘Star Wars’ ที่เพิ่มขึ้น

จากลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่มีในมือของ Hasbro ทำให้บริษัทมีมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวในปี 2021 เนื่องจากวัคซีนป้องกันไวรัส COVID-19 ที่ได้รับการเผยแพร่สู่ชาวอเมริกันจำนวนมากขึ้น และผู้ชมภาพยนตร์สามารถกลับมาที่โรงภาพยนตร์ได้ในจำนวนที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม Hasbro ไม่ได้ระบุการคาดการณ์รายได้ที่เจาะจงว่าจะมีเท่าไหร่ในปี 2021

Source

]]>
1319806
‘Disney’ เตรียม ‘ยกเครื่อง’ ธุรกิจบันเทิงเน้น ‘สตรีมมิ่ง’ https://positioningmag.com/1301249 Tue, 13 Oct 2020 04:44:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1301249 หลังจากได้ลองชิมลางฉาย ‘มู่หลาน’ ไปช่วงต้นเดือนกันยายน ซึ่งทำรายได้ไป 261 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างและค่าประชาสัมพันธ์รวมกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรายได้ที่ไปไม่ถึงจุดคุ้มทุนนี้ส่วนหนึ่งมาจากการระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้โรงภาพยนตร์ทั่วโลกยังไม่สามารถกลับมาเปิดบริการได้ตามปกติ ส่งผลให้ ‘ดิสนีย์’ (Disney) ตัดสินใจเลื่อนฉายหนังฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ อย่าง ‘Black Widow’ ยาวไปกลางปีหน้า

แต่เป็นที่รู้กันว่าดิสนีย์นั้นได้ตัดสินใจปล่อยมู่หลานลง ‘ดิสนีย์ พลัส’ (Disney+) แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งของตัวเองที่มีผู้ใช้กว่า 60.5 ล้านบัญชี โดยให้เช่าซื้อในราคา 29.99 เหรียญสหรัฐ หรือราว 900 บาท ซึ่งผลออกมาว่า 29% ของผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาได้ซื้อภาพยนตร์มู่หลานหรือประมาณ 9 ล้านบัญชี นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นให้มียอดสมัครบริการ Disney+ เพิ่มขึ้นถึง 68%

Disney ยื้อไม่ไหว! ยอดตัดใจปล่อย ‘มู่หลาน’ ลงสตรีมมิ่ง หลังรายได้ลด 42%

ตรวจรายได้ “Mulan” แพ้ศึกในโรงหนัง แต่ชนะสงครามบนสตรีมมิ่ง Disney+

และเมื่อรวมผู้ใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งทั้งหมดชองดิสนีย์ อาทิ Disney+, ESPN +, Hulu และ Hotstar ในอินเดีย ส่งผลให้มีผู้ใช้กว่า 100 ล้านรายทั่วโลก เมื่อธุรกิจออนไลน์กลายเป็นดาวเด่นขนาดนี้ ส่งผลให้ดิสนีย์ประกาศการปรับโครงสร้างธุรกิจสื่อและความบันเทิงครั้งใหญ่โดยจะมุ่งเน้นไปที่บริการสตรีมมิ่ง

“นี่เป็นข้อพิสูจน์เพิ่มเติมว่าโมเดลที่ส่งตรงถึงผู้บริโภคไม่เพียงแต่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญยิ่งกว่าที่เคยมีต่ออนาคตของดิสนีย์ และการเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลให้เนื้อหามีคุณภาพมากขึ้น แต่ยังช่วยให้บริษัท สามารถปรับปรุงความซับซ้อนขององค์กรและอาจจะลดค่าใช้จ่ายลงด้วย Trip Miller นักลงทุนจากดิสนีย์และหุ้นส่วนผู้จัดการของกองทุนป้องกันความเสี่ยง Gullane Capital Partners

ภายใต้การปรับโครงสร้างใหม่ ดิสนีย์จะสร้างกลุ่มการกระจายสื่อและความบันเทิงใหม่ ซึ่งจะรับผิดชอบการสร้างรายได้จากเนื้อหาผ่านการจัดจำหน่ายและการขายโฆษณา ซึ่งกลุ่มนี้จะนำโดย Kareem Daniel ซึ่งเคยเป็นประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์เกมและสิ่งพิมพ์ของดิสนีย์

“การปรับตัวครั้งนี้จะช่วยให้ดิสนีย์สามารถสร้างรายได้จากคอนเทนต์ที่มีความต้องการเพิ่มเติมและอาจชดเชยรายได้และกำไรที่หายไปในส่วนอื่น ๆ ของปีนี้”

อย่างไรก็ตาม แม้การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้จะเป็นการประกาศครั้งใหญ่ แต่ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า Disney+ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่ส่วนของการสร้างภาพยนตร์, การฉาย และดิสนีย์แลนด์ ต่างก็ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งได้ทำลายผลกำไรและนำไปสู่การปลดพนักงานจำนวนมาก

(Photo by Carl Court/Getty Images)

ด้าน Dan Loeb Activist Investor มองว่า ดิสนีย์ ควรระงับการจ่ายเงินปันผลประจำปีมูลค่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐอย่างถาวร และนำเงินนั้นกลับไปลงทุนใน Disney+ แทน “เรามั่นใจว่าดิสนีย์สามารถสร้างธุรกิจส่งตรงถึงผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้รายได้จากเคเบิลทีวีและบ็อกซ์ออฟฟิศในปัจจุบันมีความหมายมากกว่าเดิม แต่ก็ต่อเมื่อบริษัทสามารถคว้าโอกาสนี้และลงทุนในเชิงรุกมากขึ้นเท่านั้น”

ทั้งนี้ ดิสนีย์ได้ตั้งเป้าว่า Disney+ จะมีสมาชิกทั่วโลก 90 ล้านคนภายในปี 2567

Source

]]>
1301249
Disney ยื้อไม่ไหว! ยอดตัดใจปล่อย ‘มู่หลาน’ ลงสตรีมมิ่ง หลังรายได้ลด 42% https://positioningmag.com/1291378 Thu, 06 Aug 2020 10:26:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1291378 เรียกได้ว่าหักปากกานักเคราะห์เลยทีเดียว หลังจากที่ ‘ดิสนีย์’ (Disney) ประกาศที่จะนำ ‘มู่หลาน’ (Mulan) ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของดิสนีย์ที่ลงทุนกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลง ‘สตรีมมิ่ง’ ในประเทศที่ให้บริการ ‘ดิสนีย์ พลัส’ (Disney +) ส่วนประเทศที่ไม่มีก็จะได้ฉายปกติ อย่างประเทศไทยก็เคาะแล้วว่าวันที่ 4 กันยายนนี้แน่นอน ว่าแต่ทำไมดิสนีย์ถึงได้ยอมที่จะฉายมู่หลานในสตรีมมิ่ง ไปหาคำตอบกัน

ตลาดออฟไลน์ฉุดรายได้ ความหวังเดียวคือ ออนไลน์

ดิสนีย์ต้องเจ็บหนักจากวิกฤติ COVID-19 แค่เฉพาะช่วงไตรมาส 3 ที่สิ้นสุดเมื่อเดือน 27 มิถุนายน ดิสนีย์สูญเงินถึง 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการปิดตัวของสวนสนุก Disneyland ซึ่งรายได้ส่วนนี้ลดลงถึง 85% อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากการเลื่อนฉายภาพยนตร์อีก ส่งผลให้รายได้รวมลดลง 42% อยู่ที่ 1.18 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบเป็นรายปี

แม้ในส่วนของรายได้ออฟไลน์จะเจ็บหนัก แต่ในส่วนของ ‘สตรีมมิ่ง’ กลับไปได้สวย โดยหลังจากที่เดือนพฤศจิกายน 2562 ได้เปิดตัวบริการสตรีมมิ่งดิสนีย์ พลัสในสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นขยายไปสู่ตลาดอื่น ๆ รวมถึงสหราชอาณาจักร จนปัจจุบันสามารถโดกยผู้ใช้ได้ถึงกว่า 60.5 ล้านบัญชี และเมื่อรวมผู้ใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งทั้งหมด อาทิ ESPN +, Hulu และ Hotstar ในอินเดีย ส่งผลให้มีผู้ใช้กว่า 100 ล้านรายทั่วโลก และล่าสุด ดิสนีย์ได้เล็งเพิ่มบริการใหม่ ‘สตาร์’ (Star) แพลตฟอร์มที่คล้ายกับ Hulu แต่จะเน้นเจาะตลาดนอกสหรัฐฯ

ลงมู่หลานในสตรีมแต่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 900 บาท

สำหรับมู่หลานที่ Bob Chapek ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวว่าขณะนี้ Disney มีแผนที่จะปล่อยลงใน Disney + นั้นไม่ได้ปล่อยให้ดูฟรี ๆ แต่จะเป็นการเข้าถึงแบบ ‘Premier Access’ ราคา 30 เหรียญสหรัฐ หรือราว 900 บาท ภายในเดือนกันยายนนี้ ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ที่ไม่มีบริการ Disney + จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ปกติในเดือนเดียวกัน ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวเป็นเพราะความไม่แน่นอนว่าเครือโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ จะกลับมาเปิดอีกครั้งได้เมื่อใด

ทั้งนี้ Paolo Pescatore นักวิเคราะห์จาก PP Foresight กล่าวว่า จำนวนสมาชิกสตรีมมิ่งของดิสนีย์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดนั้นน่าประทับใจ แต่ถ้าจะแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Netflix หรือ Amazon Prime ก็ต้องเพิ่มรายการและเนื้อหาใหม่ ๆ

“จะต้องดำเนินการส่งเสริมบริการวิดีโอสตรีมมิ่งที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากลักษณะการแข่งขันของตลาดนี้มีบริการมากเกินไปที่จะไล่ตามเงินดอลลาร์ที่น้อยเกินไป” เขากล่าว

สตรีมมิ่งเป็นโฉมงามหรืออสูรกันแน่?

เพราะแม้ว่าบริการสตรีมมิ่งจะมีผู้สมัครสมาชิกเพิ่มขึ้น แต่ธุรกิจสตรีมมิ่งของดิสนีย์ยังไม่สามารถสร้างผลกำไร โดย Nicholas Hyett นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ของ Hargreaves Lansdown กล่าว ส่วนหนึ่งของธุรกิจขาดทุนจากการดำเนินงานประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นต้นทุนดังกล่าวดูจะเป็น อสูร มากกว่า โฉมงาม

“เป็นเรื่องที่ดีที่ Disney + และเเพลตฟอร์มทั้ง 3 มีการเติบโตที่ดี แต่ความจริงคือ รายได้จากสตรีมมิ่งยังไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนได้”

Source

]]>
1291378