ตลาดหุ้น – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 06 May 2024 08:53:37 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 L’Occitane ถอนบริษัทออกจากตลาดหุ้นฮ่องกง คาดเจ้าของปรับโครงสร้างธุรกิจ เตรียมตัว IPO ใหม่ในยุโรป-สหรัฐฯ https://positioningmag.com/1469613 Sun, 05 May 2024 15:10:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469613 ล็อกซิทาน (L’Occitane) แบรนด์ความงามชื่อดังจากฝรั่งเศส เตรียมที่จะถอนบริษัทออกจากตลาดหุ้นฮ่องกงในเร็วๆ ปิดฉากบริษัทต่างชาติอีกรายที่ทำการซื้อขายในตลาดหุ้นดังกล่าวหลังจากเข้าทำการซื้อขายในปี 2010 เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่เตรียมปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อที่จะทำบริษัทเข้า IPO ใหม่อีกครั้งในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือในทวีปยุโรป

L’Occitane แบรนด์ความงามชื่อดังจากฝรั่งเศส เตรียมที่จะถอนบริษัทออกจากตลาดหุ้นฮ่องกงในเร็วๆ นี้หลังจากที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ประกาศซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดในตลาด ปิดฉากบริษัทต่างชาติอีกรายที่ทำการซื้อขายในตลาดหุ้นดังกล่าว

ราคาหุ้นที่ L’Occitane รับซื้อนั้นสูงกว่าราคาเฉลี่ยในเดือนเมษายนไม่น้อยกว่า 60% โดยใช้เม็ดเงินราวๆ 1,780 ล้านเหรียญสหรัฐ ซื้อหุ้นจากนักลงทุนทั้งหมด เพื่อถอนบริษัทออกจากตลาหุ้นฮ่องกง หลังจากที่ได้เข้าซื้อขายครั้งแรกในปี 2010

ในช่วงที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นใหญ่ Reinold Geiger ซึ่งถือหุ้นสัดส่วนราวๆ 72% ได้เจรจาการเงินกับ Blackstone บริษัทลงทุนนอกตลาดหลักทรัพย์ และ Goldman Sachs Asset Management เพื่อที่จะนำเม็ดเงินดังกล่าวซื้อหุ้นบริษัทที่เหลือ

การซื้อหุ้นทั้งหมดทำให้มูลค่ากิจการแบรนด์ความงามชื่อดังจากฝรั่งเศสหลังจะมีมูลค่ากิจการอยู่ที่ราวๆ 6,000 ล้านยูโร แตกต่างกับในปี 2023 ที่บริษัทมีมูลค่ากิจการบริษัทนั้นไม่ถึง 4,000 ล้านยูโรด้วยซ้ำ

แบรนด์ความงามชื่อดังที่มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศสรายนี้มีชื่อเสียงในหลายผลิตภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า หรือแม้แต่เครื่องสำอาง โดยแบรนด์ดังกล่าวได้ตีตลาดหลายประเทศทั้งในยุโรป ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ทวีปเอเชีย โดยการนำบริษัทเข้า IPO ในตลาดหุ้นฮ่องกงในปี 2010 นั้นเพื่อที่ต้องการจะเปิดตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะในเอเชียที่เศรษฐกิจมีการเติบโตสูง

ผลประกอบการของแบรนด์ความงามรายนี้ในปี 2023 บริษัทมีรายได้รวม 2,135 ล้านยูโร รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมากถึง 42% มาจากสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป ขณะที่ 28% เป็นรายได้จากทวีปเอเชีย โดยบริษัทมีกำไรทั้งสิ้น 115 ล้านยูโร

นอกจากนี้ L’Occitane ไม่เคยประสบปัญหาขาดทุน แม้ในช่วงเวลาอย่างการแพร่ระบาดโควิดในปี 2020 จนถึงปี 2022 บริษัทก็ยังมีกำไรเติบโต

มีการวิเคราะห์ว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้ซื้อหุ้นบริษัทที่เหลือทั้งหมดนั้น เพื่อต้องการที่จะปรับโครงสร้างทางธุรกิจอีกรอบ และเตรียมตัวที่จะนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา หรือทวีปยุโรป แทนที่ฮ่องกง เนื่องจากมองว่าบริษัทจะมีมูลค่าได้สูงมากกว่านี้

ที่มา – Reuters, Euronews

]]>
1469613
ยังคงร้อนแรง! ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น Nikkei ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 40,000 จุด เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ https://positioningmag.com/1464958 Mon, 04 Mar 2024 06:12:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1464958 ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นอย่าง Nikkei 225 ได้ทำสถิติใหม่ที่ 40,000 จุดเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยปัจจัยที่ทำให้หุ้นญี่ปุ่นมาถึงจุดนี้ได้คือมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน กำไรของบริษัททำสถิติใหม่ การปฏิรูปด้านธรรมาภิบาล หรือแม้แต่เม็ดเงินจากนักลงทุนชาวต่างชาติ

ดัชนี Nikkei 225 ซึ่งรวบรวมบริษัทในประเทศญี่ปุ่นที่มีขนาดบริษัทใหญ่ที่สุด 225 บริษัท โดยล่าสุดวันนี้ (จันทร์ที่ 4 มีนาคม) ได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ทะลุ 40,000 จุดเป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นได้เอาชนะจุดสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ตั้งแต่ปี 1989 ไว้ได้

ผลกระทบจากสภาวะตลาดหุ้นตกลงอย่างหนักของญี่ปุ่นหลังจากปี 1989 ยังก่อเกิดปัญหาคือ เศรษฐกิจมีปัญหาจากเงินฝืดที่เกาะกินเป็นระยะเวลายาวนานตั้งแต่ยุค 1990 จนทำให้มีการตั้งฉายาว่า ‘ทศวรรษที่หายไป’

มาตรการธนู 3 ดอก ซึ่งถือเป็นมาตรการผ่อนคลายทางการเงินตั้งแต่สมัยนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเกิดสภาวะดังกล่าวซ้ำรอย โดยมาตรการดังกล่าวธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ซื้อสินทรัพย์ต่างๆ ในตลาดหุ้นไม่ว่าจะเป็น ETF หุ้นญี่ปุ่น พันธบัตรรัฐบาล หรือกองทรัสต์ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลทำให้ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา

ในช่วงที่ผ่านมากำไรของบริษัทจดทะเบียนญี่ปุ่นยังทำสถิติสูงสุดติดต่อกันหลายไตรมาส ขณะที่ค่าเงินเยนที่อ่อนค่ายังส่งผลให้บริษัทที่ทำธุรกิจในต่างประเทศมีกำไรเพิ่มสูงขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ญี่ปุ่นเองมีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ส่งผลทำให้ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง

ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นอย่าง Nikkei 225 ทำสถิติสูงสุดใหม่แล้ว / ข้อมูลจาก Google Finance

ขณะเดียวกันญี่ปุ่นยังสนับสนุนให้มียกเว้นการจัดเก็บภาษีจากกำไรและเงินปันผลที่ได้รับจากการลงทุนบางส่วนภายใต้โครงการ Nisa ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเพิ่มมากขึ้น รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นมีนโยบายในการปฏิรูปด้านธรรมาภิบาล ทำให้บริษัทมีความโปร่งใสมากขึ้น

ขณะเดียวกัน การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบริษัทญี่ปุ่นของนักลงทุนชื่อดังอย่าง Warren Buffett ทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเริ่มเป็นที่สนใจของนักลงทุนชาวต่างชาติมากขึ้น นอกจากนี้ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ยังทำให้เม็ดเงินของนักลงทุนยิ่งไหลเข้าไปยังญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น

ในปี 2023 ที่ผ่านมาตลาดหุ้นญีปุ่นถือเป็นอีก 1 ตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในโลก และในปี 2024 ยังทำผลตอบแทนที่ดี นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาดัชนีได้ให้ผลตอบแทนไปแล้วถึง 20.20%

อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจของญี่ปุ่นนั้นถือว่าอยู่ในสภาวะท้าทายจากปัญหาโครงสร้างประชากรที่มีผู้สูงอายุจำนวนมาก ทำให้แรงงานมีจำนวนขาดแคลน ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว

โดยบทวิเคราะห์ล่าสุดจาก Bank Of America นั้นนักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ว่าดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 41,000 จุด จากปัจจัยของกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ยังเพิ่มขึ้นสูงต่อเนื่อง

ที่มา – Al Jazeera, Reuters

]]>
1464958
อินเดียแซงหน้าฮ่องกงเป็นตลาดหุ้นใหญ่อันดับสี่ของโลก จากปัจจัยเม็ดเงินไหลเข้าประเทศ เศรษฐกิจเติบโตสูง https://positioningmag.com/1459808 Tue, 23 Jan 2024 04:23:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1459808 ตลาดหุ้นอินเดีย ถือเป็นตลาดหุ้นหนึ่งในโลกที่กำลังได้รับความนิยมจากนักลงทุนชาวต่างชาติ เนื่องจากเม็ดเงินได้ไหลเข้าแดนภารตะมหาศาลในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ตัวเลขล่าสุดขนาดของตลาดหุ้นอินเดียได้แซงหน้าตลาดหุ้นฮ่องกง กลายเป็นตลาดหุ้นใหญ่อันดับ 4 ของโลกแล้ว

ตลาดหุ้นอินเดีย ล่าสุดมีขนาดของตลาดแซงหน้าตลาดหุ้นฮ่องกงเป็นที่เรียบร้อย และทำให้ตลาดหุ้นอินเดียมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกทันที

ข้อมูลล่าสุดจาก Bloomberg เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (22 มกราคม) ขนาดของตลาดหุ้นอินเดียนั้นอยู่ที่ 4.33 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แซงหน้าขนาดตลาดหุ้นฮ่องกงที่มีขนาดตลาด 4.29 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และการแซงหน้าในครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกด้วย

ก่อนหน้านี้ในเดือนธันวาคมปี 2023 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอินเดียมีขนาดแตะ 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นเป็นต้นมา

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นคือ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียที่อยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกันอินเดียยังมีจำนวนประชากรที่มากกว่าจีน ส่งผลทำให้มีแรงงานจำนวนมาก ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าประเทศ

อีกปัจจัยที่สำคัญคือ ข้อมูลจาก BMI ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Fitch Solutions ได้คาดการณ์ว่า การเติบโตของการใช้จ่ายครัวเรือนต่อหัวของอินเดียจะแซงหน้าเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียได้ภายในปี 2027 และจะทำให้อินเดียเป็นตลาดผู้บริโภคใหญ่อันดับ 3 ยิ่งดึงดูดเม็ดเงินเพิ่มเติม

ขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียถ้าหากดูตัวเลขกำไรการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นอีกตลาดหุ้นที่ทำให้นักลงทุนชาวต่างชาติสนใจมากขึ้นด้วย

ตรงข้ามกับตลาดหุ้นของฮ่องกงในช่วงที่ผ่านมาได้ประสบปัญหาเศรษฐกิจจากการล็อกดาวน์ในช่วงโควิด และอยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัว

ขณะเดียวกันปัญหาเศรษฐกิจในจีนแผ่นดินใหญ่ก็ได้สร้างผลกระทบต่อบริษัทในฮ่องกง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่หลายรายจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง และยังรวมถึงปัจจัยความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ทำให้เม็ดเงินนักลงทุนโยกย้ายออกไปลงทุนในตลาดหุ้นอื่น ซึ่งรวมถึงอินเดียนั่นเอง

]]>
1459808
ปีทองของแท้! ตลาดหุ้น ‘​​อินเดีย’ มูลค่าทะลุ 3.98 ล้านล้านดอลลาร์ ขึ้นแท่นอันดับ 7 ของโลกแซงหน้า ‘ฮ่องกง’ https://positioningmag.com/1455494 Wed, 13 Dec 2023 08:17:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455494 ถือเป็นปีทองของ อินเดีย จริง ๆ หลังจากที่บริษัทผู้ผลิตและแบรนด์ไอทีต่างก็ย้ายฐานการผลิตบางส่วนจากจีนมาอินเดีย อาทิ Apple ซึ่งด้วยการเข้ามาลงทุนจากแบรนด์ไอทียักษ์ใหญ่ ก็ทำให้ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน ตลาดหลักทรัพย์แห่งชาติของอินเดียมีมูลค่า 3.989 ล้านล้านดอลลาร์ แซงหน้า ฮ่องกง เรียบร้อย

มูลค่าตลาดหุ้นของ อินเดีย แซงหน้า ฮ่องกง จนกลายเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่เป็น อันดับ 7 ของโลก โดย ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งชาติของอินเดียอยู่ที่ 3.989 ล้านล้านดอลลาร์ เทียบกับฮ่องกงอยู่ที่ 3.984 ล้านล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลจากสหพันธ์การแลกเปลี่ยนโลก

โดยดัชนี Nifty 50 ของอินเดียพุ่งสู่ถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งในวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยรวมทั้งปี ดัชนี Nifty 50 พุ่งขึ้นเกือบ +16% ในปีนี้และกําลังมุ่งหน้าเติบโตติดต่อกันเป็นปีที่ 8 ในทางตรงกันข้ามดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงร่วงลง -17% เมื่อเทียบเป็นรายปี ทําให้เป็นตลาดหลักในเอเชีย-แปซิฟิกที่มีผลการดําเนินงานแย่ที่สุด

อินเดียถือเป็นตลาดที่โดดเด่นในปีนี้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยขนาดจำนวนประชากรถึง 1.4 พันล้านคน สูงสุดในโลก อีกทั้งยังมีขนาดการเติบโตเศรษฐกิจที่เร็วที่สุดในโลก ซึ่งสะท้อนได้จากการใช้จ่ายด้านอสังหาริมทรัพย์ และสินค้าไฮเอนด์ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้สามารถดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศได้มากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียก็มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ในปีนี้ตลาดหุ้นอินเดียมีผลงานโดดเด่นที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 

สวนทางกับทางดัชนีหุ้นฮ่องกงที่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจจีนสูง ทำให้วิกฤติในภาคอสังหาริมทรัพย์จากจีนส่งผลต่อตลาดหุ้นฮ่องกง อีกทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำ จึงเป็นผลทำให้ดัชนี Hang Seng มีผลดำเนินการแย่ที่สุดในเอเขียแปซิฟิก

จากการประเมินของ HSBC มองว่า ภาคการธนาคาร, การดูแลสุขภาพ, และพลังงาน จะเป็นภาคส่วนที่ดีที่สุดของอินเดียในปีหน้า ขณะที่ภาคส่วนต่าง ๆ เช่น รถยนต์, ค้าปลีก, อสังหาริมทรัพย์ และโทรคมนาคมก็อยู่ในตําแหน่งที่ค่อนข้างดีในปีหน้าเช่นกัน 

Source

]]>
1455494
เวียดนามเตรียมใช้โมเดลจีน อัปเกรดตลาดหุ้นขึ้นไปอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ดึงนักลงทุนต่างชาติ https://positioningmag.com/1449227 Wed, 25 Oct 2023 07:58:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449227 เวียดนามเตรียมใช้โมเดลจีน ในการอัปเกรดตลาดหุ้นขึ้นไปอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติที่มีเม็ดเงินลงทุนหลักหลายแสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ในกลุ่มตลาดชายขอบเท่านั้น

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าว โดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า เวียดนาม เตรียมใช้โมเดลของประเทศจีนในการดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการผลักดันมาตรการที่จะทำให้ตลาดหุ้นของเวียดนามถูกอัปเกรดขึ้นไปอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องของสำนักข่าว Reuters ที่ขอไม่ระบุตัวตน ได้กล่าวว่า ตัวแทนของ FTSE ซึ่งเป็นผู้จัดทำดัชนีลงทุน ได้มาที่ประเทศเวียดนามเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และได้แนะนำแผนรวมถึงการแก้ปัญหาที่จะทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามเวียดนามถูกอัปเกรดขึ้นไปอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

รายงานล่าสุดของ FTSE กล่าวว่าความคืบหน้าในการปฏิรูปตลาดหุ้นของเวียดนามยังคงช้ากว่าแผนที่วางไว้ แต่รัฐบาลเวียดนามได้ให้คำมั่นสัญญาในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ปัญหาสำคัญของตลาดหุ้นเวียดนามในตอนนี้คือการชำระธุรกรรมซื้อขายหุ้นจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของ FTSE โดยมาตรฐานในตลาดหุ้นทั่วโลกจะอยู่ที่ 2 วัน แต่ในเวียดนามจะใช้ภายในวันเดียวกัน ส่งผลทำให้ต้นทุนในการทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นเพิ่มมากขึ้น และยังสร้างความเสี่ยงต่อนักลงทุนชาวต่างชาติ

โมเดลที่จะทำให้เวียดนามถูกอัปเกรดขึ้นไปอยู่ในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา คือ ตลาดหลักทรัพย์และบริษัทหลักทรัพย์ของเวียดนามจะใช้กลไกที่คล้ายคลึงกับที่ใช้ในประเทศจีน โดยบริษัทหลักทรัพย์ในเวียดนามจะรับประกันการชำระเงินของนักลงทุนชาวต่างชาติ โดยให้เครดิตแก่พวกเขาเป็นเวลา 2 วันจนกว่าธุรกรรมในการชำระซื้อขายหุ้นจะเสร็จสิ้น

ปัจจุบันดัชนีการลงทุนทั้ง MSCI และ FTSE นั้นเวียดนามยังอยู่ในดัชนีตลาดชายขอบ (Frontier Markets) ทำให้นักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนรายใหญ่ ไม่สามารถที่จะลงทุนได้

การตัดสินใจของผู้จัดทำดัชนีอย่าง FTSE ที่จะพิจารณาให้เวียดนามเข้าสู่ตลาดหุ้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาได้ไวสุดคือช่วงเดือนกันยายนของปี 2024

ถ้าหากตลาดหุ้นเวียดนามเวียดนามถูกอัปเกรดขึ้นไปอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ก็จะทำให้เม็ดเงินหลายแสนล้านบาทจากนักลงทุนสถาบันไปลงทุนที่เวียดนาม ซึ่งตลาดดังกล่าวมีทั้ง จีน ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อยู่ในกลุ่มดังกล่าวด้วย

]]>
1449227
เดอะวิสดอมกสิกรไทย ชวนกูรูสายวีไอ เฟ้นกลยุทธ์ลงทุนช่วงตลาดผันผวน ดอกเบี้ยขาขึ้น https://positioningmag.com/1433968 Wed, 14 Jun 2023 10:00:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1433968

ภายใต้สภาวะตลาดหุ้นไม่เป็นใจ ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรง และรวดเร็ว ทำให้สินทรัพย์หลายประเภทเกิดความผันผวนอย่างมาก ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยเองก็ได้รับผลดังกล่าวด้วยเช่นกัน และยังรวมถึงปัจจัยสำคัญก็คือการเลือกตั้งในช่วงที่ผ่านมา

คำถามที่น่าสนใจก็คือ ในช่วงนี้เราควรจะลงทุนอะไรดี?

Positioning ได้รวบรวมแนวความคิดจากกูรูชื่อดังอย่าง คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ ซึ่งเป็นนายกสมาคมนักลงทุน เน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือที่เรารู้จักดีคือไทยวีไอ (Thai VI) คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ เซียนหุ้นสายวีไอชื่อดังของเมืองไทย รวมถึง คุณวีระพล บดีรัฐ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า ของธนาคารกสิกรไทย เข้าร่วมให้ความรู้ ในงาน THE WISDOM WEALTH DECODED EXCLUSIVE DINNER TALK ที่บริการเดอะวิสดอม ธนาคารกสิกรไทย จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยการเชิญนักการเงิน ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมาแลกเปลี่ยนมุมมองและโอกาสการลงทุนในช่วงสถานการณ์สำคัญๆ


การเมืองส่งผลกระทบลงทุนระยะสั้น

คุณเฉลิมเดช ได้กล่าวถึงคำตอบในงานนี้อาจไม่เหมือนที่เคยได้ยินมาก่อน เนื่องจากตัวเขาเองเป็นนักลงทุนสายวีไอ ที่เน้นการลงทุนระยะยาว ทำให้แนวคิดการลงทุนอาจแตกต่างกับนักลงทุนทั่วไป โดยดูได้จากจำนวนสมาชิกของสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) นั้นมีสมาชิกเพียงแค่ 10,000 คน เทียบกับจำนวนของบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ 500,000 กว่าบัญชี

นายกสมาคมไทยวีไอ ยังได้ชี้ถึงหลักการของการลงทุนแนวเน้นคุณค่าว่าเหมือนกับนักธุรกิจ คือดูธุรกิจเป็นหลัก หาธุรกิจที่ดี มีหนี้น้อย มีกระแสเงินสด แตกต่างกับนักลงทุนทั่วไปที่ดูกราฟเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็มองการลงทุนเหมือนกับการทำธุรกิจเป็นระยะยาวสิบปีขึ้นไป เขาชี้ว่าการเมืองไม่ได้สร้างผลกระทบต่อการลงทุน ไม่ว่าจะมีการรัฐประหาร หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเชื่อว่าประเทศไทยไม่ว่าจะพรรคการเมืองไหนมา ก็ไม่ต้องตกใจ  เพราะธุรกิจก็ต้องเดินหน้าทำต่อไป

ถ้ามองระยะสั้นนโยบายการเมืองก็อาจกระทบกับบริษัทบ้าง แต่ภาพใหญ่การเปลี่ยนแปลงนั้นค่อยเป็นค่อยไป อย่าไปมองข่าวสารแล้วตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากเกินไป ต้องพิจารณาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปได้หรือไม่ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเชื่อว่าประเทศไทยไม่ว่าจะพรรคการเมืองไหนมา ก็ไม่ต้องตกใจ  เพราะธุรกิจก็ต้องเดินหน้าทำต่อไป

ถ้ามองระยะสั้นนโยบายการเมืองก็อาจกระทบกับบริษัทบ้าง แต่ภาพใหญ่การเปลี่ยนแปลงนั้นค่อยเป็นค่อยไป อย่าไปมองข่าวสารแล้วตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากเกินไป ต้องพิจารณาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปได้หรือไม่

คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ – นายกสมาคมนักลงทุน เน้นคุณค่า (ประเทศไทย)

ท่องเที่ยวไทย แหล่งรายได้ของประเทศไทย

คุณเฉลิมเดช มองว่า ประเทศไทย มีอุตสาหกรรมหลักคือภาคการท่องเที่ยว และภาคการท่องเที่ยวยังเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมอื่นไม่ว่าจะเป็นโรงแรม สปา หรือแม้แต่สนามบิน โดยประเทศไทยได้รับความนิยมต่อเนื่องเพราะระยะทางการบินราว 6 ชั่วโมงเท่านั้น ถือว่าใกล้เคยงกับประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น จีน อินเดีย ทำให้การท่องเที่ยวยังเป็นแหล่งสร้างรายได้ที่สำคัญของประเทศไทย โดยถ้าเทียบกับ GDP นั้น ถือว่าสูงมาก


ตลาดหุ้นจีนและสหรัฐอเมริกายังน่าสนใจ

“เซียนมี่”หรือคุณทิวา ชินดาพงศ์ เซียนหุ้นชื่อดังของเมืองไทย มองว่าตลาดจีนมีอนาคต หากมองภาพการลงทุนในระยะยาวๆ โดยเปรียบตลาดหุ้นจีนเหมือนตลาดหุ้นอเมริกาเมื่อ 40 ปีที่แล้ว หากพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนของมหาเศรษฐี แผนการเพิ่มชนชั้นกลางของรัฐบาลจีน หรือแม้แต่จีนมีคนที่จบการศึกษาด้าน STEM (Science, Technology, Engineering และ Mathematics) สาขาละ 4.6 ล้านคนต่อปี

คุณทิวา มองว่า ปัจจัยดังกล่าวเป็นแรงส่งเศรษฐกิจจีนเติบโตแบบก้าวกระโดด และคาดว่าจะไปอยู่ในจุดที่อเมริกายืนอยู่ในอีก 10 ปีข้างหน้าได้ แต่ในการเข้าลงทุนสำหรับตลาดที่ใหญ่อย่างจีนนั้น ต้องอาศัยจังหวะและกลยุทธ์ที่ดี เนื่องจากหุ้นจีนนั้นเวลาขึ้นก็ขึ้นแรง เวลาลงก็ลงลึกกว่าที่คิด จึงควรศึกษาเป้าหมายของผู้บริหาร ความสามารถทางการแข่งขัน กลยุทธ์ที่จะนำพาธุรกิจเติบโตในระยะยาว

คุณทิวา ชินดาพงศ์ เซียนหุ้นชื่อดังของเมืองไทย แลกเปลี่ยนมุมมองกับ คุณวีระพล บดีรัฐ – ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า ธนาคารกสิกรไทย

ขณะที่หุ้นสหรัฐอเมริกาดัชนีฟื้นตัวขึ้นจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Meta, NVIDIA, Microsoft, Tesla, Google  ที่ออกมาตรการรัดเข็มขัดปลดพนักงานทั่วโลก เพื่อลดต้นทุนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ปีนี้คาดว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย

แต่คุณทิวามองว่าในรอบนี้เป็นเศรษฐกิจถดถอยที่สามารถควบคุมได้ และผู้เล่นรายใหญ่มองข้ามช็อตไปยังศึกเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าแล้ว เขามองว่าอเมริกาจึงนับเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ แต่ต้องตัดสินใจเข้าตลาดให้ถูกจังหวะและถูกกลุ่มอุตสาหกรรมด้วย


ลงทุนในสิ่งที่ตัวเองรู้

คุณเฉลิมเดช ได้ชี้ว่า การลงทุนลองคิดว่าเหมือนเราใส่เงินลงทุนในธุรกิจหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงงาน แล้วคิดว่าเงินที่ลงทุนไปนั้นจะได้กำไรกลับมาเท่าไหร่ ภายในระยะเวลาที่ต้องการ ซึ่งเขาชี้ว่าการลงทุนแบบวีไอก็คิดแบบนักธุรกิจเช่นกัน แค่ดูหุ้นทั้งตลาดหุ้น และมองว่ามีธุรกิจไหนที่มองแล้วเข้าใจ มองระยะยาวว่าลงทุนอะไรที่จะได้กำไรหรือไม่ ถ้าหากคาดการณ์ถูกเราก็จะได้ตังค์ แต่ถ้าคาดการณ์ผิดก็เสียเงิน ไม่ต่างอะไรกับการทำธุรกิจ จำนวนหุ้นในตลาดหุ้นไทยมีราวๆ 800 บริษัท ก็เท่ากับ 800 ธุรกิจ ทำให้เลือกได้ว่าจะลงทุนตัวไหน ตัวไหนระยะยาวจะมีกำไร เพราะท้ายที่สุดหุ้นจะขึ้นได้ก็เพราะบริษัทเหล่านี้มีกำไร และยังรวมถึงลงทุนในราคาที่เหมาะสม

เขาได้ยกตัวอย่างหุ้นเครื่องสำอางที่เคยลงทุนจากมูลค่าบริษัทหลักร้อยล้านบาททุกวันนี้บริษัทมีมูลค่าตลาดถึงหนึ่งหมื่นล้านบาท ภายในระยะเวลา 15 ปี และมองว่าเครื่องสำอางของไทยไม่แพ้กับเครื่องสำอางแบรนด์ดัง ของต่างประเทศ

นายกสมาคมนักลงทุน เน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ยังได้กล่าวว่าแนวทางการลงทุนแบบวีไอก็เปรียบเหมือนกับลูกค้าเดอะวิสดอมที่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จเช่นกัน สำหรับการดูวิธีว่าบริษัทที่เราลงทุนจะประสบความสำเร็จหรือไม่เขาได้ชี้ว่าต้องดูว่าบริษัทมีความสามารถในการแข่งขันแค่ไหน แต่ละธุรกิจก็ไม่เหมือนกัน โดยการหาข้อมูลจากหลายแห่ง หรือแม้แต่การถามคู่แข่ง ซัพพลายเออร์ ฯลฯ ทำให้เราจะเห็นข้อมูลลึกมากขึ้น และจะเห็นว่าบริษัทไหนเป็นผู้ชนะ

คุณเฉลิมเดชชี้ว่าถ้าหากเรารู้ในธุรกิจต่างๆ เราจะเข้าใจในอุตสาหกรรมเป็นยังไง เช่น ถ้าหากเราเป็นซัพพลายเออร์อาหารสัตว์ เราจะรู้ว่าบริษัทที่ผลิตอาหารสัตว์แต่ละรายเป็นเช่นไร ซึ่งเขาแนะนำว่าให้ลงทุนกับอุตสาหกรรมที่เรารู้ก่อน ก่อนที่จะไปลงทุนในอุตสาหกรรมอื่น


ลงทุนสไตล์ VI ยุคนี้ ต้องทำอย่างไร

สำหรับเรื่องพอร์ตการลงทุนสายวีไอนั้น คุณเฉลิมเดชได้ให้แนวคิดว่าส่วนใหญ่แล้วจะมีหุ้นจำนวนไม่มาก และหุ้น 3 ตัวที่มีสัดส่วนการลงทุนมากที่สุดนั้นจะทำผลตอบแทนให้พอร์ตการลงทุนมากที่สุด

เขายังชี้ว่าแต่ถ้าหากใครไม่ชอบลงทุน ชอบทำธุรกิจมากกว่า แล้วพอมีเหลือเงินบ้าง แนะนำให้กระจายการลงทุน ผ่านการซื้อกองทุนรวม หรือแม้แต่การลงทุนในพันธบัตร แต่เขาได้ชี้ว่าจะต้องลดความคาดหวังในการลงทุนลงมาด้วย เช่น ค่าเฉลี่ยหุ้นไทยนั้นเติบโตได้ 7-9% ต่อปี แล้วเรามีความสุขในการลงทุนหรือไม่

สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ เขามองว่าโอกาสที่เศรษฐกิจในต่างประเทศจะถดถอยมีสูง แต่ในไทยกลับกำลังฟื้นตัวจากโควิด แต่การฟื้นตัวนั้นเป็นแบบ K-Shape ควรที่จะลงทุนในช่วงเวลาที่คนไม่สนใจ ไม่เป็นกระแส

แต่ถ้าหากลงทุนแล้วไม่เป็นตามที่คิดคุณเฉลิมเดชแนะนำให้ขาย ไม่ควรเก็บสิ่งที่แย่ๆ ในพอร์ตไว้ เพราะจะทำให้สุขภาพจิตเสีย ถ้าซื้อแล้วควรซื้อกิจการที่ดี เพราะซื้อแล้วจะขึ้นเสมอ ของห่วยไม่ควรเก็บไว้ และไม่ควรที่จะแห่ลงทุนตามคนอื่น อะไรที่คนอื่นแห่กันลงทุนก็เหมือนกับแห่ทำธุรกิจ เพราะท้ายที่สุดแล้วจะขาดทุนหมด

ในกรณีของกองทุนต่างประเทศ คุณวีระพล บดีรัฐ – ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า ธนาคารกสิกรไทย แนะนำว่า กรณีของกองทุนรวมที่ลงทุนในจีน หรือกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกา แล้วลูกค้าขาดทุนมากนั้น ถ้าหากมีสัดส่วนในการลงทุนในพอร์ตการลงทุนมากเกินไป ต่อให้สถานการณ์ดีขึ้น ก็ยังไม่ทำให้ผลตอบแทนของเรากลับมาเท่าเดิม และไม่ควรลงทุนเพิ่มเติมในสิ่งที่เรากำลังกังวลอยู่ แถมไม่มีใครการันตีให้ด้วย

นอกจากนี้คุณวีระพล ยังแนะนำให้ฟังข้อมูลหลายแหล่ง และถ้าหากมีสัดส่วนการลงทุนที่น้อยมาก ก็ค่อยๆ ซื้อเพิ่มได้ อย่าลงทุนเหมือนกับการแทงหวย และอย่าเชื่อในสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดี ควรจะติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ถ้าอยากลงทุนแล้วประสบความสำเร็จเราจะต้องรู้ลึกในการลงทุนหรือถ้าอยากลงทุนแบบสบายใจก็ควรกระจายความเสี่ยงการลงทุนออกมาบ้าง

]]>
1433968
รวมกลยุทธ์รับมือความผันผวนสูงในตลาดหุ้น https://positioningmag.com/1374640 Sun, 20 Feb 2022 14:11:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374640

หากใครติดตามตลาดหุ้นทั่วโลกตั้งแต่ปลายปี 2564 จนถึงต้นปี 2565 นี้ จะพบว่าตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงกัน เนื่องจากเป็นช่วงการเปลี่ยนผ่านการดำเนินนโยบายการเงินการคลังของประเทศมหาอำนาจโลก นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ 

สะท้อนผ่านตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อ และตัวเลขการว่างงาน ที่มีผลต่อการส่งสัญญาณจะปรับลดการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE) รวมถึงการประเมินว่าอาจต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยกี่ครั้งในรอบปีของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ล้วนกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภท โดยเฉพาะสินทรัพย์อย่าง ‘หุ้น’ จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนที่สูงกว่า

ดังนั้น เวลาที่เกิดความผันผวนในตลาดหุ้น ลูกค้าจะตั้งคำถามกับผมอยู่ตลอดว่า ตลาดหุ้นมีความผันผวนหนักควรทำอย่างไรดี และโอกาสการลงทุนอยู่ตรงไหนกันแน่?

ผมก็มักตอบว่า โอกาสการลงทุนมีอยู่ทุกช่วงครับ เพียงแต่ไม่มีใครคาดการณ์ได้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น สิ่งที่คุณควรทำคือ การลงทุนอย่างมีหลักการ เพราะผมเคยเห็นหุ้นบางตัวที่ปรับขึ้นสวนทางกับตลาดหรือราคาเป็นขาลง แต่เมื่อความผันผวนที่เกิดขึ้นนั้นผ่านไป ก็พบว่าราคาจะพลิกกลับขึ้นมา หรือฟื้นตัวเร็วกว่าหุ้นอื่นๆ เพราะเป็นหุ้นที่มีธุรกิจพื้นฐานที่ดี ฟันฝ่าวิกฤติได้ดีกว่า หุ้นลักษณะแบบนี้ถือลงทุนระยะยาวได้ ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี

Photo : Shutterstock

เพราะจริงๆ ในโลกแห่งการลงทุน ไม่มีใครที่ลงทุนแล้วได้กำไรทุกปี ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนชื่อดังหลายๆ ท่านของโลก แม้แต่ปู่ Warren Buffett ก็บอกเองว่า ยังไม่เคยได้กำไรทุกปีเลย เพียงแต่ว่า ถ้ามีหลักการลงทุนที่ดีจริง ในปีที่ตลาดหุ้นขึ้นก็อาจจะได้กำไรเยอะกว่าปกติ และในปีที่ตลาดหุ้นลงก็อาจจะขาดทุนได้บ้าง สุดท้ายแล้วการลงทุนระยะยาวจะช่วยทำให้เห็นอัตราเฉลี่ยกำไรของพอร์ตได้ชัดเจนกว่า ซึ่งการเฟ้นหาหุ้นดีๆ มีการเติบโต จะทำพอร์ตให้เติบโตได้ 

แต่ถ้าเมื่อใดที่หลักการลงทุนไม่ถูกต้อง เลือกหุ้นไม่ดี หรือซื้อๆ ขายๆ โดยไม่มีหลักการ พอร์ตของคุณก็จะวูบวาบ อาจจะเห็นการเติบโตได้เพียงปีสองปีในช่วงที่หุ้นขึ้น เมื่อเกิดช่วงหุ้นตก พอร์ตก็จะเสียหายอย่างหนัก

อย่างที่เคยได้ยินว่า “ทุกๆ 10 ปีตลาดหุ้นจะมีขึ้น 6-7 ปี ลง 3-4 ปี” ซึ่งจริงๆ เป็นการวัดแบบหลายๆ ปี ถึงจะเห็นชัดเจนกว่า นักลงทุนเก่งๆ หลายคนบอกว่าการลงทุนเป็นเหมือนบททดสอบความอดทน บางปีอาจกำไร บางปีอาจจะขาดทุน ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะอยู่ได้นานแค่ไหน

ขยายภาพความผันผวนตลาดหุ้นไทย 43 ปี

วันนี้ ผมขอเอากราฟข้อมูลสถิติมาให้ดูเรื่องความผันผวนของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี 2518-2560 หรือราว 43 ปี ถ้าดูในแต่ละปี ดัชนีจะแกว่งตัวมากเลย แต่ละปีมีกำไรไม่เท่ากัน มีทั้ง 100% หรือ 30% ก็มี บางปีกำไร 70% ส่วนบางปีขาดทุน 30 % หรือขาดทุน 50% ไปเลย หรือติดลบ 40%

ไม่มีใครตอบได้ว่า เราลงทุนแล้วจะเข้าไปอยู่ในปีไหน เพราะบางครั้ง ตลาดหุ้นก็มีความบ้าคลั่งระดับหนึ่ง และเชื่อไหมครับ บางทีเราคิดว่า ‘แพง’ แต่หุ้นก็ยังขึ้นไปได้อีกเยอะ หรือบางทีคิดว่า ‘ถูก’ แล้ว แต่ก็ยังตกลงไปได้อีก

Benjamin Graham ยังบอกเลยว่า ตลาดหุ้นอาจจะไม่ได้สนใจเรื่องของมูลค่านัก เพราะตลาดหุ้นเป็นที่ที่แสดงออกว่า คนจำนวนมากคิดอย่างไร  อย่างถ้าคนกลัวมาก อยากจะขาย ต่อให้ราคาหุ้นถูกยังไง เขาก็ขาย ราคาหุ้นก็ตกลงได้อีก เพราะฉะนั้น เราจะเห็นภาพความวุ่นวายในตลาดหุ้น

ผมขอยกตัวอย่างเพิ่มเติมของตลาดหุ้นไทยช่วง 43 ปีที่ผ่านมา จะเห็นภาพปีที่ตลาดหุ้นขึ้น ‘มีมากกว่า’ ปีที่ตลาดหุ้นลง โดยตลาดหุ้นมีกำไรประมาณ 27 ปี และขาดทุนราว 16 ปี

ปีที่ตลาดหุ้นทำกำไรมากกว่า 20% มีถึง 18 ปี คิดเป็นสัดส่วน 41.8% ของตลอดช่วง 43 ปีที่มีตลาดหุ้นไทย ส่วนปีที่ขาดทุนมากกว่า 20% มี 6 ปี หรือสัดส่วน 13.9% นับว่าปีที่กำไรมีมากกว่า ‘เท่าตัว’ เลย

สำหรับปีที่กำไรมากกว่า 50% มี 6 ปี สัดส่วน 13.9% และปีที่ขาดทุนมากกว่า 50% มี 1 ปี หรือสัดส่วน 2.3% เรียกว่ามีโอกาสขาดทุนมากกว่า 50% จะมีแค่ปีเดียวเท่านั้นในรอบ 40 ปี

เพราะฉะนั้น คนที่รู้สึกกลัวว่าเข้าตลาดหุ้นแล้วตลาดตกจะขาดทุนหนัก จริงๆ ต้องบอกว่า คุณอาจจะคิดถูก แต่ความผิดพลาดของการตัดสินใจแบบนี้ คือคุณก็อาจจะพลาดโอกาสทำกำไรมหาศาลในปีที่ตลาดหุ้นขึ้นเช่นเดียวกัน

ติดอาวุธรับมือกับช่วงผันผวนของตลาดหุ้น

สิ่งที่ผมอยากให้นักลงทุนพยายามทำความเข้าใจ คือ “เราอย่าโฟกัสแค่ใบไม้ เราต้องโฟกัสทั้งป่า” หมายความว่า เราอย่าดูแค่การลงทุนระยะสั้น 3-6 เดือน หรือ 1 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งดูราคาทุกวันหรือดูราคาในระยะสั้น เพราะการลงทุนจะหลอกเราได้มากทีเดียว

Photo : Shutterstock

สิ่งที่นักลงทุนควรทำเพื่อรับมือในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน คือ

  1. การเพิ่มทุน หรือ DCA  (Dollar Cost Averaging) ทุกปี เพื่อเฉลี่ยต้นทุน ถือเป็นกลยุทธ์ที่ดี ถ้ามองผ่านไประยะ 5 ปี ราคาปรับตัวสูงขึ้น แม้ระหว่างทางจะมีความผันผวนและราคาไหลลงบ้าง แต่ผลจากการทำ DCA สุดท้ายก็จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตได้
  2. ถ้าคุณไม่มีเงินจะเพิ่มทุน ก็แนะนำว่า ‘อยู่เฉยๆ’ และรอดูสถานการณ์ก่อน ตั้งสติ อดทน เพื่อถือผ่านมันไปให้ได้ เพราะว่าตลาดหุ้นมีความผันผวนเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่มีใครคาดการณ์อะไรได้ล่วงหน้า คุณไม่ควรต้องกังวลกับผลกระทบที่เกิดขึ้นระยะสั้น ถ้าคุณมั่นใจว่าได้ลงทุนอย่างมีหลักการที่ดี สุดท้ายมันก็กลับมาที่เดิม แต่คุณเชื่อไหมครับว่า คนส่วนมากที่จะขาดทุนจากตลาดหุ้นลงหนักๆ ก็คือคนที่ไม่สามารถอดทนต่อการสวิงหรือความผันผวนของตลาดหุ้นได้นั่นเอง

การอิงข้อมูลสถิติข้างต้น สะท้อนการลงทุนตลาดหุ้นระยะยาว จะมี ‘แต้มต่อ’ ที่มากกว่าระยะสั้น เพราะว่าคุณมีโอกาสเจอปีที่กำไรมากกว่าปีที่ขาดทุน

อดทนช่วงพอร์ตติดลบหนักๆ คว้าโอกาสลงทุนระยะยาว ‘ได้มากกว่าเสีย’

ผมขอยกตัวอย่างแนวทางการลงทุนระยะยาวแบบ ‘จิตตะ เวลธ์’ ที่พิสูจน์มาแล้วว่าทำผลกำไรได้ในระยะยาว หากคุณมีวินัยการลงทุนที่ดี เพราะฉะนั้นแม้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จะขาดทุนบ้าง แต่ในระยะยาว ผลตอบแทนควรจะต้องเติบโตขึ้นตามดัชนีตลาดหุ้น

ในปี 2564 ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนระดับหนึ่ง ก็ยังถือว่าเป็นขาขึ้น ผลตอบแทนของ ‘จิตตะ เวลธ์’ สามารถทำออกมาได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะกลุ่ม Jitta Ranking ทำผลตอบแทนโตขึ้น 2 เท่าของดัชนีทีเดียว

เมื่อคุณดูนโยบาย Jitta Ranking เช่น หุ้นไทย จะผลตอบแทนอยู่ที่ +17.40% ต่อปี ในช่วงปี 2555-2564 และผลตอบแทนรวม คือ +398.05% แต่ในรอบ 10 ปีนั้น หากคุณเลือกที่จะดูมูลค่าพอร์ตของตัวเองทุกวัน คุณจะเห็นตัวเลข โอกาสขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) ได้ถึง -49.55% มันก็คือช่วง Covid-19 ซึ่งทำให้คุณกังวลใจอยู่ไม่น้อย

ตัวเลข Maximum Drawdown มีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา ถ้าคุณเห็นผลตอบแทนรวม Jitta Ranking ไทย แล้วเทียบกับโอกาสขาดทุนสูงสุดรายวัน คุณจะเห็นว่า ผลตอบแทนที่ได้มันคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น มันคือ Risk Reward นั่นเอง หมายความว่า หากคุณอดทนในช่วงที่พอร์ตติดลบหนักๆ ได้ ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจกำลังรอคุณอยู่ในอนาคต

จากตัวเลขเหล่านี้ หากคุณดูมูลค่าพอร์ตรายวัน ยิ่งเป็นในช่วงตลาดหุ้นผันผวน คุณอาจจะรู้สึกกังวลใจ ทั้งๆ ที่ตัวเลข Maximum Drawdown จะลดลง เมื่อคำนวณในระยะเวลาที่นานขึ้น นั่นหมายความว่า หากคุณไม่ตกใจจนรีบขายสินทรัพย์ที่ดีออกจากพอร์ตในช่วงความไม่แน่นอนไปก่อน โอกาสขาดทุนจะน้อยลง

ยิ่งเมื่อเห็นผลตอบแทนระยะยาวที่ชดเชยการขาดทุนได้ คุณคงยอมเสี่ยงอย่างแน่นอน แต่ในโลกแห่งความจริง ไม่มีใครรู้ว่า หุ้นจะขึ้นจะลงวันไหน จะต้องเผชิญการขาดทุนแค่ไหน ดังนั้น การลงทุนที่อิงสถิติระยะยาวด้วยส่วนหนึ่ง เพราะผ่านการพิสูจน์มาแล้ว การ DCA ทุกปี หรือลงทุนระยะยาวไปเรื่อยๆ จะได้กำไรทบต้นขึ้นมาในระดับที่ดีกว่า กรณีแย่ๆ ก็อาจกำไร 6-8% แต่ถ้าบริหารจัดการพอร์ตดีๆ ได้กำไร 10-15% ต่อปี นี่คือสิ่งที่จะทำให้คุณอยู่ฝั่งผู้ชนะได้

สำหรับคนที่รู้สึกหวั่นไหวกับความผันผวนหรือมูลค่าพอร์ตที่ลดลง ผมแนะนำว่า ควร ‘ลดความถี่ในการดูพอร์ต’ แต่ถ้าคุณมีความเข้าใจถึงความผันผวนในตลาดหุ้นมากขึ้น จะทำให้คุณมีความสุขกับการลงทุนมากขึ้น

จะเห็นว่ากลเม็ดเคล็ดลับไม่ได้ยากอะไรนัก สำหรับการบริหารความผันผวนพอร์ตการลงทุน สิ่งสำคัญคือเราจะต้องมีเป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจน และมีพอร์ตการลงทุนที่มีหลักการ และกระจายความเสี่ยงที่ดี แต่หากหน้างานแล้วเรายังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ หวั่นไหวกับความผันผวนของตลาดหุ้นที่ประดังประเดเข้ามา คุณอาจจะต้องมองหาตัวช่วย ที่มาบริหารจัดการพอร์ตลงทุนแทนคุณ โดยยึดมั่นในหลักการ และจัดการกับอารมณ์ได้ดีกว่า แล้วคุณก็ไปใช้ชีวิตอย่างสบายใจ เปิดดูพอร์ตลงทุนเติบโตกันแบบยาวๆ 

]]>
1374640
“Shein” ย้ายสำนักงานใหญ่ไป “สิงคโปร์” คาดเลี่ยงปัญหา “จีน” ห้ามเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ https://positioningmag.com/1374457 Thu, 17 Feb 2022 16:53:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1374457 Shein แพลตฟอร์มขายเสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นยักษ์ใหญ่ ปักหลัก “สิงคโปร์” เป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของบริษัท โดยคาดว่าเป็นเพราะบริษัทต้องการเดินหน้าแผนเปิด IPO ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ท่ามกลางความเข้มงวดของ “จีน” ที่กดดันให้บริษัทจีนถอนตัวออกจากตลาดหุ้นต่างชาติในช่วงปีที่ผ่านมา พร้อมมีข่าวว่า “คริส ซู” ผู้ก่อตั้ง อาจเปลี่ยนสัญชาติเป็นสิงคโปร์ด้วยเพื่อเลี่ยงปัญหาเหล่านี้

Reuters รายงานว่า บริษัท Shein ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2008 ที่เมืองนานจิง และเติบโตจนกลายเป็นมาร์เก็ตเพลสระดับโลกด้านสินค้าแฟชั่น เพิ่งจะปิดบริษัท Nanjing Top Plus Information Technology Co Ltd ซึ่งเป็นบริษัทหลักในจีนไปเมื่อปีก่อน

การจัดการองค์กรของ Shein เป็นไปพร้อมกับแผนของบริษัทที่ต้องการจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก และมีแหล่งข่าววงในระบุด้วยว่า “คริส ซู” ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและซีอีโอ อาจจะเปลี่ยนสัญชาติเป็นสิงคโปร์ เพื่อหลีกเลี่ยงกฎระเบียบของจีนที่กดดันการเข้า IPO ในต่างประเทศของบริษัทจีน

สำหรับการถ่ายโอนบริษัท ซูและกรรมการอีก 3 รายมีการจดทะเบียนบริษัท Roadget Business Pte ในสิงคโปร์ไว้ตั้งแต่ปี 2019 และตั้งแต่ปลายปี 2021 บริษัทนี้กลายมาเป็นบริษัทที่มีอำนาจทางกฎหมายในการบริหารเว็บไซต์ Shein ทั่วโลก และเว็บไซต์ทางการเองยังระบุให้ “สิงคโปร์” เป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัท

รวมถึงบริษัท Roadget ยังเป็นเจ้าของทั้งบริษัท Guangzhou Shein International Import & Export Co Ltd และเจ้าของเครื่องหมายการค้า Shein

บริษัท Shein ถูกประเมินมูลค่าบริษัทไว้ถึง 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท) เมื่อต้นปี 2021

บริษัทนี้ใช้ฐานผลิตในจีน ขายสินค้าเข้าสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย แต่ไม่มีการขายในจีนเลย ด้วยกลยุทธ์สินค้าราคาถูกมาก และใช้อินฟลูเอนเซอร์ผลักดัน ทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จมากในกลุ่มผู้บริโภค “เจนซี” ในตลาดตะวันตก

สำหรับการย้ายสัญชาติของซูนั้น ปัจจุบันซูถือครองสิทธิพำนักถาวร (PR) ในสิงคโปร์แล้ว โดยยังไม่มีแหล่งข้อมูลยืนยันว่าซูได้รับ PR ตั้งแต่เมื่อใด และได้จากโครงการนักลงทุนระดับโลก (global investor programme) หรือไม่ แต่การได้ PR ในสิงคโปร์นั้น หากถือครองครบ 2 ปีก็จะสามารถยื่นขอสัญชาติได้

อย่างไรก็ตาม Shein และซูไม่สะดวกที่จะให้คำตอบเรื่องการขอสัญชาติ และให้คำตอบกับ Reuters เพียงว่า “ซูเป็นประชาชนจีนที่มีรากฐานยาวนานในประเทศจีน”

Shein เข้ามาทำตลาดในไทยเช่นกัน (Photo: IG@Shein_Thailand)

ด้านการขยายงานในสิงคโปร์ Shein ตั้งเป้าขยายตัวเป็น 4 เท่าภายในสิ้นปีนี้ โดยจะทำให้มีพนักงานเพิ่มเป็นประมาณ 200 คน ขณะนี้บริษัทเปิดรับสมัครงานทั้งเจ้าหน้าที่รัฐกิจสัมพันธ์, ทรัพยากรบุคคล, การตลาด และไอที

บริษัทนี้ทำรายได้ไปถึง 1 แสนล้านหยวน (ประมาณ 5.07 แสนล้านบาท) เมื่อปี 2021 และปัจจุบันมีพนักงาน 7,000 คนทั่วโลก (ข้อมูลจากเว็บไซต์ทางการ)

สิงคโปร์ ถือเป็นฐานสำคัญของบริษัทจีนที่ต้องการเลี่ยงสงครามการค้าและการเมืองระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เนื่องจากสิงคโปร์เป็นฮับทางการเงินอยู่แล้ว และมีรากฐานประชากรจีนอยู่จำนวนมาก ล่าสุดทั้งบริษัท ByteDance และ Tencent Holdings ต่างก็ตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคขึ้นที่สิงคโปร์

ด้านแผนการเปิด IPO ที่นิวยอร์กของ Shein หากทำได้สำเร็จ จะถือเป็นบริษัทขนาดใหญ่จากจีนแห่งแรกที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ นับตั้งแต่จีนเริ่มกดดันการจดทะเบียนนอกประเทศมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2021

ส่วนสาเหตุที่บริษัทจีนต้องการจะเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะบริษัทที่มีฐานตลาดหลักในต่างประเทศอยู่แล้ว ก็เป็นเพราะว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีนักลงทุนขาใหญ่อยู่จำนวนมากที่พร้อมลงทุน

Source

]]>
1374457
มองภาพรวมเศรษฐกิจโลก ปี 65 ฟื้นตัว เเต่ตลาดผันผวนมากขึ้น ชูธีมเด่นลงทุนต่างประเทศ  https://positioningmag.com/1371276 Sun, 23 Jan 2022 12:15:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1371276 บลจ.กรุงศรี มองเศรษฐกิจโลก ปี 2565 เริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะสหรัฐฯ ยุโรป เเละกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในเอเชียที่จะทยอยปรับตัวดีขึ้น เเต่ตลาดอาจผันผวนมากขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ เผยธีมลงทุนหุ้นต่างประเทศ “Clean energy -ESG – จีน”  

เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว เเต่ตลาดยังผันผวนรับเงินเฟ้อ

ศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยถึง ภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2565 ว่า มีแนวโนมฟื้นตัวในอัตราที่ชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะในตลาดพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรป

ด้านความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ อาจมีน้อยลงจากอัตราการฉีดวัคซีนทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การพัฒนาวัคซีนและยารักษา Covid-19 ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง

“การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่อาจไม่เท่ากัน คาดว่าเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่จะทยอยปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะในเอเชียอย่างประเทศจีน เนื่องจากแนวโน้มการออกมาตรการควบคุมอุตสาหกรรมของทางการจีนจะมีน้อยลง และรัฐบาลจีนได้ส่งสัญญาณว่าจะกลับมาสนับสนุนสภาพคล่องให้เศรษฐกิจอีกครั้ง”

อย่างไรก็ตาม ตลาดโลกอาจมีความผันผวนมากขึ้น โดยปัจจัยที่ต้องจับตามองคืออัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น และการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกที่จะมีความตึงตัวมากขึ้น นำโดยสหรัฐฯ ที่เตรียมยกเลิกโครงการ QE ในเดือนมีนาคมเพื่อเตรียมขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในลำดับถัดไป ตลาดมองว่าเฟดอาจมีการขึ้นนโยบายการเงินได้ถึง 4 ครั้งในปี 2565 โดยอาจจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม เป็นต้นไป

สำหรับภาพรวมของการลงทุนในตลาดหุ้นโลกนั้น บลจ.กรุงศรี มีมุมมองว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นอาจมีมากขึ้น ตามแรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อ และการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของทางธนาคารกลางทั่วโลก

ขณะที่การฟื้นตัวของแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกัน โดยเราอาจเห็นกลุ่มหุ้นที่มีราคาสูงอย่างกลุ่มเทคโนโลยีถูกกดดัน ในขณะที่ตลาดที่เป็น laggards ทยอยฟื้นตัวโดยเฉพาะในตลาดเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น และจีน  โดยในช่วงที่ตลาดมีความเสี่ยงมากขึ้นการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม defensive จะช่วยลดความผันผวนให้กับพอร์ตการลงทุนได้ 

Photo : Shutterstock

3 ธีมใหญ่ ลงทุนต่างประเทศ 

ธีมการลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่น่าสนใจ ได้แก่

  • ลงทุนในกลุ่ม Clean energy เนื่องจากปัจจุบันนโยบายเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นยุโรป สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน โดยทั้งหมดได้ตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้สำเร็จ และคาดว่าจะเห็นนโยบายสนับสนุนด้าน Clean energy ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
  • ลงทุนในธีม ESG ก็ได้รับความสนใจมากขึ้นจากนักลงทุน อีกทั้งธีมการลงทุนในส่วนของ cyber securities ที่มีความจำเป็นมากขึ้นในปัจจุบันหลังจากเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นก็เป็นธีมการลงทุนที่น่าสนใจเช่นกัน
  • ลงทุนในตลาดจีน ก็กลับมาน่าสนใจอีกครั้งหลังท่าทีของรัฐบาลจีนที่มีต่อการออกกฎหมายควบคุมในหลายอุตสาหกรรมเริ่มลดลง โดยทางธนาคารกลางจีนได้กลับมาให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนสภาพคล่องให้กับตลาดอีกครั้ง นอกจากนั้นการลงทุนในกลุ่มตลาดที่เป็น laggards อย่างตลาดญี่ปุ่นและตลาดเอเซียก็ยังคงมีความน่าสนใจเช่นกัน เนื่องจากราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ไม่สูงจนเกินไปและมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
Photo : Shutterstock

ท่องเที่ยวไทย เริ่มกลับมา 

ด้านเศรษฐกิจไทย คาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ดีในปี 2565 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และจากอัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มสูงขึ้นจนสามารถกลับมาเปิดเศรษฐกิจได้เป็นปกติ โดยภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจะทยอยเริ่มกลับมาหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจได้มากขึ้น

ส่วนการส่งออกจะยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอลงเนื่องจากผลของฐานต่ำหมดไป ในขณะที่ภาคบริการจะเติบโตในอัตราสูงจากผลของฐานต่ำในปี 2564 ด้านการบริโภคคาดว่าจะกลับมาขยายตัวดีขึ้น แต่อาจไม่ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของไทย มีแนวโน้มผันผวนตามตัวเลขเศรษฐกิจและกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศเป็นหลัก

ทั้งนี้ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงตลอดปี 2565 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นจะทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ส่วนอัตราผลตอบแทนระยะกลางถึงยาวอาจมีความผันผวนตามตลาดต่างประเทศที่คาดว่าจะถูกกดดันจากการปรับนโยบายการเงินของสหรัฐเป็นหลัก

ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น บลจ.กรุงศรีมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นไทยในปี 2565 โดยคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนฯ จะสามารถเติบโตได้ในอัตราร้อยละ 11.5 จากการกลับมาเปิดประเทศ โดยคาดว่าการลงทุนในหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนในอัตราร้อยละ 12.5

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามเรื่องโอมิครอนว่าจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหรือไม่ รวมถึงนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ว่าจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในตลาดมากเพียงใด

“การจัดพอร์ตการลงทุนในปี 2565 นักลงทุนควรให้ความสำคัญต่อการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์เพื่อลดความผันผวนและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง แนะนำจัดสรรเงินลงทุนใน ตราสารหนี้ 35% หุ้นไทย 16.5% และหุ้นต่างประเทศ 48.5% 

 

 

 

 

]]>
1371276
Sun Rise “ตลาดหุ้นเวียดนาม” ดาวรุ่งแห่งเอเซีย https://positioningmag.com/1370496 Sun, 16 Jan 2022 13:31:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1370496

ปี 2564 เป็นปีที่นักลงทุนทั่วโลกฮือฮากับตลาดหุ้นเวียดนามที่พุ่งทะยานสุดขีด…เป็นประวัติการณ์ที่ดัชนีฯ ทำสถิติใหม่ถึง 4 ครั้งในรอบ 1 ปี แบบที่ไม่สนใจว่า ภาพเศรษฐกิจหดตัวแรงจากวิกฤต Covid-19 ระลอกใหม่ด้วย  

นับเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนว่านักลงทุนให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของประเทศเวียดนาม ดาวรุ่งแห่งภูมิภาคเอเชียในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ตลาดหุ้นเวียดนามพร้อมทำ New All-Time High 

ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจเวียดนามจะหดตัว แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบหรือกดดันต่อดัชนี VNI ที่เป็นดัชนีหลักในตลาดหุ้นโฮจิมินห์ได้เลย แถมยังทำสถิติใหม่เป็นประวัติการณ์ (New All-Time High) อีกด้วย ทั้งๆ ที่ตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 3 ออกมาติดลบ 6.17% หดตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ประเทศเริ่มมีการทำรายงานตัวเลข GDP เมื่อปี 2529

โดยดัชนี VNI ทำนิวไฮ 4 ครั้งในปี 2564 เริ่มจาก

  • นิวไฮครั้งแรก 1,200 จุด วันที่ 1 เมษายน
  • ครั้งที่ 2 นิวไฮ 1,300 จุด วันที่ 25 พฤษภาคม
  • ครั้งที่ 3 นิวไฮ 1,400 จุด วันที่ 28 มิถุนายน
  • ครั้งที่ 4 นิวไฮ 1,500 จุด วันที่ 25 พฤศจิกายน

ส่งผลให้มาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้น ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา อยู่ที่ 9,193 ล้านล้านดง หรือ 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 37.6% จากสิ้นปีที่แล้ว และมีสัดส่วน 148% ของมูลค่า GDP ประเทศ

Photo : Shutterstock

ส่วนโครงสร้างตลาดหุ้นเวียดนาม ถูกขับเคลื่อนจากฐานนักลงทุนรายย่อยในประเทศ ที่มีสัดส่วนเกือบ 99% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด โดยข้อมูลจาก Vietnam Securities Depository ระบุว่า ณ สิ้นพฤศจิกายน 2564 ตลาดหุ้นเวียดนามมีจำนวนบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนรายย่อยอยู่ที่ 4.083 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้นราว 1.3 ล้านบัญชีจากสิ้นปี 2563 อยู่ที่ 2.771 ล้านบัญชี ถือเป็นปีที่มีจำนวนบัญชีใหม่สูงกว่าตัวเลขรวมที่เปิดบัญชีใหม่ตั้งแต่ช่วงปี 2560 – 2563

ยิ่งไปกว่านั้น เฉพาะเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ตลาดหุ้นเวียดนามทำนิวไฮใหม่ มีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาเปิดบัญชีใหม่มากถึง 2.2 แสนบัญชี

ตอกย้ำปี 2564 เป็นปีทองของตลาดหุ้นเวียดนามจริงๆ ครับ สร้างปรากฏการณ์ตลาดหุ้นที่เติบโตสูงที่สุดในเอเชียต่อเนื่องมาจากปี 2563 สร้าง Mass Participation จากนักลงทุนรายย่อยในประเทศมากมาย ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการจ้างงาน รายได้ครัวเรือน และกำลังซื้อของชนชั้นกลางที่เติบโต นำไปสู่จำนวนเงินสะสมภาคประชาชนที่มากพอ แทนที่จะฝากไว้ในธนาคารกินดอกเบี้ยต่ำ นำเงินมาลงทุนเพื่อให้ผลตอบแทนงอกเงย

ส่วนนักลงทุนรายย่อยต่างชาติ มีจำนวนบัญชีซื้อขายหุ้นเพียง 35,000 บัญชี ซึ่งเป็นผลจากข้อจำกัดการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ (Foreign Ownership Limit หรือ FOL) กำหนดสัดส่วนสูงสุด 49% ของทั้งหมดนั่นเอง

Photo : Shutterstock

เส้นทางการเติบโตของตลาดหุ้นเวียดนามที่ก้าวกระโดด ดันให้ตลาดหุ้นเวียดนามจ่อถูกเลื่อนชั้นขึ้นจากกลุ่มตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) เป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ในราวปี 2565 ก็เป็นได้ หากรัฐบาลมีการปลดล็อกข้อจำกัดนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน 49% ด้วย เพื่อให้เข้าเกณฑ์ Foreign Ownership ของ MSCI หน่วยงานที่จัดกลุ่มตลาดหุ้นทั่วโลก

หากวันใดที่ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ ที่อยู่กลุ่มเดียวกับประเทศจีน อินเดีย และไทย นั่นหมายความว่า เม็ดเงินมหาศาลจากนักลงทุนทั่วโลกไหลทะลักเข้าตลาดหุ้นเวียดนาม ขึ้นแท่น ‘ดาวรุ่งตลาดหุ้นเกิดใหม่ของโลก’ อีกดวง และอาจจะมีโอกาสที่ดัชนีและมาร์เก็ตแคปจะทุบสถิติใหม่ยิ่งกว่าปี 2564

รวมตลาดหุ้นสร้างฐานมั่นคง รับเศรษฐกิจเติบโตสดใส

อีกจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของตลาดหุ้นเวียดนาม ที่ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 3  คือ รัฐบาลเวียดนามได้ปรับโครงสร้างตลาดทุนภายในระยะเวลา 3 ปี ด้วยการรวมตลาดหุ้นโฮจิมินห์ (HOSE) และตลาดหุ้นฮานอย (HNX) แสดงให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพิ่มประสิทธิภาพ ความเท่าเทียม โปร่งใส และมีมาตรฐานสากล โดยขณะนี้รัฐบาลได้จัดตั้งองค์กรใหม่ คือ Vietnam Stock Exchange (VNX) และเข้าถือหุ้น 100% พร้อมดูแลการดำเนินงานใน HOSE และ HNX คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนมิถุนายน 2568

การปรับโครงสร้างรวมตลาดหุ้นดังกล่าว จะมีการโอนหุ้นสามัญทั้งหมดที่ซื้อขายอยู่ในปัจจุบัน เข้าไปใน HOSE ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 และ HOSE จะเป็นตลาดซื้อขายหุ้น ETF (Exchange Traded Fund) กองทุนประเภทอื่นๆ และวอร์แรนต์ด้วย ส่วน HNX จะกลายเป็นตลาดซื้อขายตราสารหนี้อย่างเต็มตัว ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566

Photo : Shutterstock

สำหรับเส้นทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา GDP ขยายตัวแข็งแกร่งมาก เฉลี่ยปีละ 5 -7% แม้ปี 2563 ที่เกิดวิกฤตการแพร่ระบาด Covid–19 เป็นปีแรก ก็ยังสามารถประคอง GDP เป็นบวกได้ สวนทางกับเศรษฐกิจโลกและหลายๆ ประเทศที่ล้วนประสบภาวะเศรษฐกิจหดตัว และปี 2564 นี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF คาดการณ์ GDP ของเวียดนามจะเติบโตได้อีก 2.3% และปี 2565 คาดว่าจะเติบโต 6.6%

โมเมนตัมที่ผลักดันให้เศรษฐกิจหมุนรอบแบบแรงดีไม่มีตกในระยะยาว ประกอบด้วย

เรื่องแรก โครงสร้างประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานมากถึง 70% ของประชากรรวมเกือบ 100 ล้านคน ซึ่งมีเพียงไม่กี่ประเทศในโลกใบนี้ที่มีสัดส่วนคนวัยทำงานสูงระดับนี้ สะท้อนศักยภาพของประเทศที่มีความพร้อมด้านกำลังแรงงาน และยังมีการพัฒนาทักษะแรงงานของประชากร เพื่อรองรับการจ้างงานของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ด้วย ล้วนเป็นปัจจัยผลักดันการพัฒนาประเทศและการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

เรื่องที่สอง รัฐเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคของประเทศอย่างมาก รองรับนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ ดอย เหม่ย (Doi Moi) ที่ปักจุดหมายด้านการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อยกระดับประเทศจาก ‘เกษตรกรรม’ สู่ ‘อุตสาหกรรม’ ภายใต้ระบบการเมืองแบบพรรคเดียว คือ พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ทำให้สามารถดำเนินนโยบายดังกล่าวได้อย่างแน่วแน่

เรื่องที่ 3 รัฐบาลเวียดนามมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ ส่งผลให้ปัจจุบันเป็นประเทศที่มีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากนักลงทุนต่างชาติ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) มูลค่าสูงติดอันดับต้นๆในภูมิภาคนี้ อย่างน้อยก็แซงหน้าไทยไปแล้ว และยังเป็น 1 ในฐานการผลิตใหญ่ๆ ของโลก เป็นอีกหนึ่งประเทศ ‘ห่วงโซ่การผลิต’ รายใหม่ของโลก ทุกวันนี้บริษัทชื่อดังระดับโลกหลั่งไหลเข้ามาลงทุนเปิดโรงงานผลิตสินค้าส่งออกนับเป็นมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ดอลลาร์สหรัฐแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบริษัท Samsung บริษัท LG บริษัท Hyundai บริษัท Intel เป็นต้น กลายเป็นอีกเสาหลัก (Pilar) หนุนให้เศรษฐกิจเติบโตก้าวกระโดด

Photo : Shutterstock

เรื่องที่ 4 ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ตั้งกำแพงภาษีต่างๆ ขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทต่างชาติในจีนต้องปรับแผนการผลิต ด้วยการใช้โมเดล China+ 1 คือ ลดการพึ่งพาห่วงโซ่การผลิตจากประเทศจีนแห่งเดียว หันมาเพิ่มอีกประเทศหลักที่จะเป็น ‘สายพานการผลิตของโลก’ แห่งใหม่ นั่นก็คือ ‘เวียดนาม’ ด้วยจุดแข็ง ‘ค่าแรงไม่สูง’ ปัจจุบันฐานเงินเดือนของแรงงานเวียดนามอยู่ที่ 250 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน และที่สำคัญ สินค้าที่ผลิตในเวียดนาม สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ โดยไม่ติดกำแพงภาษีหนักเหมือนจีน วันนี้ เวียดนามขึ้นแท่น ฮับการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า สำหรับบ้านครัวเรือน

เรื่องที่ 5 การปรับตัวเข้าสู่บริบทโลกดิจิทัล ด้วยโครงสร้างประชากรที่เป็นคนรุ่นใหม่มีความคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ท่ามกลางจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับสูงกว่า 70% ทำให้ตลาดอีคอมเมิร์ซในเวียดนามมีขนาดใหญ่และเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงเป็นประเทศที่มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย ตามทันกระแสโลกดิสรัปชั่น

เวียดนาม จึงเป็นอีกประเทศที่มีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่เกือบ 100 ล้านคน ฐานคนส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานที่มีรายได้มีกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ขณะที่คนสูงอายุมากกว่า 60 ปี ยังมีสัดส่วนไม่สูงนัก ที่สำคัญกว่านั้น คนเวียดนามไม่ค่อยมีหนี้สิน ดังนั้น ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนอยู่ระดับต่ำ นี่คือ ภาพรวมของเศรษฐกิจและการเงิน ที่ผลักดันให้ประเทศยังมีศักยภาพเติบโตก้าวกระโดดได้อีกไม่ต่ำกว่า 10 ปีข้างหน้า

สปอตไลท์ส่องตรง “เวียดนาม” ดาวรุ่งดวงใหม่ของโลก

ภาพจิ๊กซอว์ที่เชื่อมต่อตลาดหุ้น ภาคธุรกิจ เศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ปัจจุบันบริษัทในตลาดหุ้นเวียดนามมีการเติบโตด้านรายได้และกำไรสูงมาก สอดคล้องไปกับคาดการณ์ GDP ที่เติบโตไม่ต่ำกว่า 5% ขณะที่มูลค่าหุ้นยังถูก ทำให้เป็นอีกตลาดที่ดึงดูดนักลงทุนที่เน้นคุณค่า (Value Investor หรือ VI ) ที่หลั่งไหลเข้าลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตสูง

Photo : Shutterstock

ตัวผมก็มองว่า ตลาดหุ้นเวียดนามยังเป็นแหล่งรวม ‘หุ้นดีราคาถูก’ อีกมากมาย ข้อมูลจากการทดสอบ Back Test ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปีของ Jitta Ranking เวียดนาม สามารถสร้างผลตอบแทนทบต้นได้สูงถึง 21.45% ต่อปี และจากการใช้ AI ช่วยวิเคราะห์และคัดเลือก ‘หุ้นดีราคาถูก’ ก็คัดออกมาได้ 5 บริษัทที่อยู่ในอันดับต้นๆ นำโดย

1. Vietnam Technological & Commercial Bank มีมาร์เก็ตแคป 175.0 ล้านล้านดง เป็นธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการแบบครบวงจร ทั้งเงินฝากและสินเชื่อ แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และการซื้อขายกองทุน และยังมีเป้าหมายก้าวสู่ผู้นำอุตสาหกรรมการเงินดิจิทัล

2. Military Commercial Bank มีมาร์เก็ตแคปที่ 106.5 ล้านล้านดง เป็นสถาบันการเงินที่มีทั้งธนาคารพาณิชย์ และการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ ธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัยต่างๆ รวมถึงการลงทุนทางการเงินอื่นๆ

3. Ho Chi Minh City Development Commercial Bank มีมาร์เก็ตแคปที่ 58.7 ล้านล้านดง ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ร่วมทุนแห่งแรกของเวียดนามที่มีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย พร้อมมีเป้าหมายจะขยายสาขาไปในต่างประเทศด้วย

4. Vicostone มีมาร์เก็ตแคป 18.6 ล้านล้านดง เป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายหินควอทซ์ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมในเอเชียและภูมิภาคอื่นๆ มีการส่งออกมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก โดยสินค้าของบริษัทใช้ในการตกแต่งบ้าน เช่น เคาน์เตอร์ครัว โต๊ะเครื่องแป้ง แผ่นผนัง และพื้น

5. Phu Tai มาร์เก็ตแคปที่ 5.0 ล้านล้านดงเวียดนาม บริษัทผลิตและซื้อขายสินค้าประเภทหินและไม้ในเวียดนามและส่งออกไปต่างประเทศ จัดจำหน่ายหินหลายชนิด เช่น หินแกรนิต หินอ่อน กระเบื้อง หินบด และผลิตภัณฑ์อื่นๆ บริษัทยังให้บริการเกี่ยวกับรถยนต์ด้วย ทั้งรับซื้อขาย ตลอดจนให้บริการบำรุงรักษาซ่อมแซมรถยนต์ และยานยนต์อื่นๆ นอกจากนี้ยังประกอบธุรกิจการค้าและการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ด้วย

Ho Chi Minh City, Vietnam – May 2, 2018: colorful perspective of Bui Vien Street with numerous hotel, bar and shop sign boards, crowded with people & motorbikes with a view of Bitexco Financial Tower

การจัดอันดับหุ้นน่าลงทุนตามหลัก ‘ลงทุนในธุรกิจที่ดีในราคาที่เหมาะสม’ โดย Jitta.com แพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น ซึ่งเปิดให้บริการแบบไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ หุ้นดีราคาถูกจาก 3 ใน 5 บริษัทในตลาดหุ้นเวียดนาม จะอยู่ในกลุ่มภาคการเงิน (Financials) ซึ่งเป็นธุรกิจที่สำคัญในตลาดหุ้น ยิ่งเศรษฐกิจมีเม็ดเงินสะพัดจากการลงทุนและจับจ่ายใช้สอย ทำให้ระบบธนาคารของเวียดนามมีความแข็งแกร่ง รายได้และกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ อุตสาหกรรมหลักในตลาดหุ้นเวียดนามยังมีกลุ่มวัสดุก่อสร้าง สาธารณูปโภค สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่มีอำนาจต่อรองสูงในตลาด ส่งผลต่อรายได้และกำไรเติบโตจากภาคการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม หากคุณยังไม่พร้อมที่จะลงทุนและคัดเลือกหุ้นดีราคาถูกด้วยตนเอง ก็ยังมีทางเลือกลงทุนผ่านกองทุน VanEck Vectors Vietnam ETF (VM) ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ค อ้างอิงดัชนี MVIS Vietnam Index เน้นลงทุนใน 28 บริษัท ที่มีมูลค่าการตลาดอย่างน้อย 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งที่จดทะเบียนในประเทศเวียดนามและต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น  แต่มีสินทรัพย์หรือสร้างรายได้อย่างน้อย 50%ในประเทศเวียดนามทีเดียว

หากดูผลตอบแทน ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2564 ของกองทุน VanEck Vectors Vietnam ETF ในช่วง 3 เดือนย้อนหลังและ 6 เดือนย้อนหลัง อยู่ที่ 6.04% และ 3.25% ตามลำดับ ขณะที่ในช่วง 1 ปี 3 ปี และ 5 ปีย้อนหลัง ผลตอบแทนสูงถึง 24.11% 44.3% และ 67.77% ตามลำดับ

Photo : Shutterstock

ทั้งนี้ กองทุนส่วนบุคคล Thematic ของ Jitta wealth ก็มีธีมตลาดหุ้นเวียดนามในบริการกองทุนส่วนบุคคล Thematic และลงทุนใน ETF ดังกล่าวด้วย

จากตัวเลขผลตอบแทนที่ผ่านมา และเส้นทางเติบโตไปข้างหน้าของเวียดนาม ผมเชื่อว่า คุณไม่อาจปฏิเสธว่า เวียดนาม ประเทศเพื่อนบ้านของไทย กำลังเติบโตในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การลงทุนจากภาครัฐและเอกชน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ คุณภาพชีวิตประชากร รวมไปถึงตลาดหุ้น ที่เป็นดัชนีชี้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจล่วงหน้า

แม้แต่นักลงทุนไทยชื่อดัง ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนสาย VI (Value Invester) ยังประเมินว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้า พอร์ตหุ้นเวียดนามของเขาจะใหญ่กว่าพอร์ตหุ้นไทย

หากคุณมีความเชื่อมั่นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามที่กำลังยกระดับสู่ประเทศอุตสาหกรรม และเป็นอีกหนึ่งประเทศ “ห่วงโซ่การผลิต” โลกดิจิทัล ถึงเวลากระจายเงินลงทุนเพื่อเติบโตไปกับโลกของดาวรุ่งแห่งเอเซีย “เวียดนาม”

]]>
1370496