ทำงาน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 24 Apr 2023 07:50:48 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 หมดยุคเดินทางประชุม! ผลสำรวจเผย “การเดินทางเพื่อธุรกิจ” เริ่มลดความถี่ เน้นพาพนักงานเที่ยวและไปงานแสดงสินค้า https://positioningmag.com/1428319 Mon, 24 Apr 2023 07:24:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1428319 ในปี 2023 นี้ เราอาจจะเห็นภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกกลับมาคึกคัก เพราะ 3 ปีที่ผ่านมาคนต้องอัดอั้นอยู่แต่บ้าน ไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 แต่กลับกัน การเดินทางเพื่อธุรกิจ อาจจะไม่กลับไปเหมือนเดิมอีกต่อไป เนื่องจากองค์กรก็ต้องการลดค่าใช้จ่ายที่อาจไม่จำเป็น

ตามรายงานฉบับใหม่ของบริษัทวิจัย Morning Consult พบว่า การเดินทางเพื่อธุรกิจจะไม่มีวันกลับคืนสู่ปกติ โดยจากการสำรวจชาวอเมริกันประมาณ 4,400 คน พบว่า การเดินทางเพื่อธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศในปี 2022 เพิ่มขึ้นเพียง 1% เมื่อเทียบกับปี 2019 ที่ก่อนเกิดการระบาดของโควิด โดย

  • 60% ของบริษัทพวกเขาได้เปลี่ยนนโยบายการเดินทางเพื่อธุรกิจ
  • 56% ลดความถี่ของการเดินทางหรือส่งพนักงานเดินทางน้อยลง
  • 54% มีการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการเดินทางมากขึ้น

ดังนั้น จะเห็นว่ารูปแบบการเดินทางเพื่อธุรกิจเริ่มเปลี่ยนแปลงไปและอาจจะกลายเป็น New Normal โดยรายงานระบุว่า ปัจจุบันนักเดินทางเพื่อธุรกิจ มีอายุน้อยลงและมีแนวโน้มที่จะบินในชั้นประหยัดมากขึ้น เนื่องจากงบประมาณขององค์กรที่ต้องเข้มงวดขึ้นและการใช้งานเทคโนโลยีก็ได้เข้ามาช่วยให้ไม่จำเป็นต้องเดินทาง ดังนั้น การเดินทางแบบ First Class จะเริ่มเห็นน้อยลง ขณะที่การเดินทางส่วนใหญ่ขององค์กรในปัจจุบันจะเน้นที่ การพาพนักงานไปท่องเที่ยวประจำปี และ การไปงานแสดงสินค้า

“พวกเขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นทำขึ้นเพื่อลดค่าใช้จ่าย เพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน และเนื่องจากการประชุมออนไลน์ก็ได้เข้ามาทำลายข้อจำกัดของการบินไปประชุมในต่างพื้นที่”

work from anywhere
Photo : Shutterstock

ตามรายงานของ Deloitte พบว่า ในปีที่ผ่านมา การใช้จ่ายด้านการเดินทางขององค์กรในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว และกำลังจะไปถึงระดับก่อนเกิดโรคระบาดในช่วงปลายปี 2024 หรือต้นปี 2025 โดยรายงานระบุว่า ธุรกิจต่าง ๆ ต้องใช้จ่ายมากขึ้นเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อและค่าเดินทางที่สูงขึ้น

“ตั๋วเครื่องบินและราคาห้องพักที่สูงขึ้นเป็นตัวการใหญ่ที่สุดที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และยังกลายเป็นปัจจัยอันดับ 1 ที่ขัดขวางจำนวนการเดินทาง”

โดยมีบริษัทถึง 59% ระบุว่า พวกเขาสามารถประหยัดเงินได้โดยการเลือกที่พักที่ถูกกว่า 56% ประหยัดได้เมื่อจองตั๋วเครื่องบินที่ถูกกว่า และ 45% มองว่า การจำกัดความถี่ในการเดินทางก็ช่วยให้ประหยัดได้ นอกจากนี้ เกือบ 70% กำลังชั่งน้ำหนักความจำเป็นในการเดินทางอย่างมีกลยุทธ์

Photo : Shutterstock

นอกจากเรื่องของการลดต้นทุน อีกปัจจัยที่ส่งผลต่อการเดินทางก็คือ แรงกดดันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน โดย 1 ใน 7 ขององค์กรที่ตอบแบบสอบถามพบว่ามีความพยายามจะสนับสนุนด้านความยั่งยืน ขณะที่บริษัทอเมริกันราว 1 ใน 3 แห่ง และบริษัทในยุโรปราว 40% ระบุว่า จำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของพนักงานลงมากกว่า 20% เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศในปี 2030 และความกังวลด้านสภาพอากาศน่าจะส่งผลกระทบต่อการเดินทางของบริษัทในอีกหลายปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม การลดจำนวนการเดินทางเพื่อธุรกิจนั้นอาจไม่เท่ากันในแต่ละประเทศ โดยจากผลสำรวจนักธุรกิจที่ต้องเดินทางไปทำงานในต่างประเทศอย่างน้อย 3 ครั้ง/ปี ในช่วงก่อนเกิดโรคระบาดพบว่า ประเทศในฝั่งยุโรปกว่า 50% มองว่าอาจไม่มีการเดินทางอีกเลยในอนาคต ขณะที่ประเทศอย่าง อินเดีย จีน และบราซิล คาดว่าเป็นประเทศที่มีการเดินทางเพื่อธุรกิจมากที่สุด

ถึงแม้ว่าเดินทางเพื่อธุรกิจมีแนวโน้มลดลง แต่ด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ทำให้มีการคาดการณ์ว่า การใช้จ่ายด้านการเดินทางเพื่อธุรกิจระหว่างประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปี 2023 โดยในยุโรปส่วนใหญ่จะเป็นการเดินทางหาลูกค้า ส่วนในสหรัฐอเมริกาเพื่อติดต่อประชุมกับเพื่อนร่วมงานทั่วโลก

และเกือบ 2 ใน 3 ของพนักงานที่ต้องเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจ คาดว่า พวกเขาคาดว่าจะเข้าร่วมการประชุมหรือสัมมนาในปีนี้เช่นกัน และการเดินทางแบบ Bleisure ซึ่งผสมผสานระหว่างการเดินทางเพื่อธุรกิจและการพักผ่อนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยได้รับแรงกระตุ้นจากการทำงานทที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

]]>
1428319
‘โคเปนเฮเกน’ ขึ้นแท่นเมืองที่มี Work Life Balance อันดับ 1 ของโลก https://positioningmag.com/1421731 Fri, 03 Mar 2023 06:48:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1421731 ตามรายงานฉบับใหม่จาก MoneyNerd เว็บไซต์การเงินส่วนบุคคลที่ใช้ข้อมูลจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD), รายงานความสุขโลก, Glassdoor, LinkedIn เพื่อพิจารณาว่า 25 เมืองใหญ่สุดของโลก เมืองไหนมี ผู้อยู่อาศัยที่มีความสุขที่สุดและมีโอกาสเข้าถึงงานที่มีค่าตอบแทนสูงมากที่สุด โดยวัดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ค่าครองชีพ เงินเดือนเฉลี่ย จำนวนโอกาสในการทำงาน โดย 5 อันดับเมืองที่มีความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและการใช้จ่าย ได้แก่

1.โคเปนเฮเกน

รายได้เฉลี่ย: 44,474 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี (ราว 1,556,000 ล้านบาท)

คะแนนความสมดุลในชีวิตการทำงาน: 8.6 เต็ม 10

คะแนนความสุข: 7.6 เต็ม 10

2.อัมสเตอร์ดัม

รายได้เฉลี่ย: 44,367 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี (ราว 1,552,000 บาท)

คะแนนความสมดุลในชีวิตการทำงาน: 8.3 เต็ม 10

คะแนนความสุข: 7.4 เต็ม 10

อัมสเตอร์ดัม
(Photo: Shutterstock)

3.นิวยอร์ก

รายได้เฉลี่ย: 71,401 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี (ราว 2,499,035 บาท)

คะแนนความสมดุลในชีวิตการทำงาน: 5.2 เต็ม 10

คะแนนความสุข: 7 เต็ม 10

ภาพจาก Shutterstock

4.ออสโล

รายได้เฉลี่ย: 46,196 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี (ราว 1,161,000 บาท)

คะแนนความสมดุลในชีวิตการทำงาน: 8.5 เต็ม 10

คะแนนความสุข: 7.4 เต็ม 10

5.ซูริก

รายได้เฉลี่ย: 82,191 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี (ราว 2,876,000 บาท)

คะแนนความสมดุลในชีวิตการทำงาน: 7.7 เต็ม 10

คะแนนความสุข: 7.5 เต็ม 10

โคเปนเฮเกนได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองอันดับ 1 ของโลกที่มีความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตที่ดีและให้เงินเดือนที่แข่งขันได้ โดยเมืองหลวงของเดนมาร์กมีเงินเดือนเฉลี่ยโดยรวมอยู่ที่ 44,474 ดอลลาร์/ปี แม้ไม่ใช่ค่าเฉลี่ยเงินเดือนที่สูงที่สุด แต่คะแนนความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานสูงถึง 8.6 เต็ม 10 คะแนน เนื่องจากโคเปนเฮเกนได้รับการยกย่องว่า เป็นเมืองที่ปลอดภัย สินค้าอุปโภคบริโภคราคาย่อมเยา มีสวัสดิการที่น่าสนใจแก่คนงาน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบ Remote Working และนโยบายการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร

ที่น่าสนใจคือการติดอันดับของ นิวยอร์ก เพราะเป็นหนึ่งในเมืองที่มี ค่าครองชีพแพงสูงสุดของโลก และถือเป็นเมืองที่ต้อง เร่งรีบ แต่กลายเป็นว่านิวยอร์กกลับมีคะแนนความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานสูงกว่าเมืองอื่น ๆ ทั่วโลก เช่น ฮ่องกงและดูไบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าชาวนิวยอร์กมีรายได้มากกว่า

ในขณะเดียวกัน ปักกิ่ง ลิสบอน และ บูดาเปสต์ ถือเป็นเมืองที่เลวร้ายที่สุดสำหรับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน จากข้อมูลของ เนื่องจากทั้ง  เมืองนี้มี เงินเดือนเฉลี่ยต่อปีต่ำกว่าที่อื่น เมืองเหล่านี้มีเงินเดือนเฉลี่ยต่อปีต่ำตั้งแต่ 12,664-18,366 ดอลลาร์ (ราว 443,000-642,000 บาท) นอกจากนี้ยัง มีตำแหน่งงานที่ว่างน้อย ทำให้การหางานมีการแข่งขันที่สูง

ส่วนอันดับ 4 และ 5 ของเมืองยอดแย่ ได้แก่ ดูไบ และ ฮ่องกง ตามลำดับ แม้ว่าช่วงเงินเดือนเฉลี่ยจะดีขึ้นเป็น 34,271-50,853 ดอลลาร์ (1,199,000-1,779,000 บาท) แต่เมืองเหล่านี้ก็ยังขาดคะแนนความสุข (6.6 และ 5.4 ตามลำดับ) และคะแนนค่าครองชีพเทียบกับเงินเดือนเฉลี่ยของเมือง (ตั้งแต่ 57.2 ถึง 70.6)

]]>
1421731
‘UK’ เริ่มแล้ว! ทดลองให้พนักงานกว่า 3.3 พันคน ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ ‘สเปน-สกอตแลนด์’ เล็งเริ่มสิ้นปี https://positioningmag.com/1388378 Fri, 10 Jun 2022 07:14:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1388378 พนักงานในสหราชอาณาจักรหลายพันคนเริ่มทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ ผ่านโครงการนำร่องของรัฐบาลที่จะทดลองเป็นเวลา 6 เดือน นอกจากนี้ สเปน และ สกอตแลนด์ มีแผนจะเอาบ้างโดยคาดว่าเริ่มก่อนสิ้นปีนี้
โครงการดังกล่าวดำเนินการโดยองค์กรไม่แสวงผลกำไร ได้แก่ 4 Day Week Global, Autonomy, Think Tank และ 4 Day Week UK Campaign และได้ความร่วมมือจากนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และวิทยาลัยบอสตัน
โดยโครงการนี้มีระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งจะเริ่มทดลองใช้กับ 70 บริษัท มีพนักงานเข้าร่วมรวม 3,300 คน ตั้งแต่ผู้ให้บริการทางการเงิน ไปจนถึงพนักงานร้านอาหาร โดยระหว่างโปรแกรม ผู้ปฏิบัติงานจะได้รับค่าจ้าง 100% สำหรับการทำงานเพียง 80% ของสัปดาห์ปกติ แต่ต้องรักษาประสิทธิภาพการทำงานไว้ได้ 100% เหมือนการทำงาน 5 วัน/สัปดาห์
Sienna O’Rourke ผู้จัดการแบรนด์ที่ Pressure Drop Brewing ซึ่งเป็นโรงเบียร์อิสระในลอนดอน กล่าวว่า เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทคือการพัฒนาสุขภาพจิตและสวัสดิภาพของพนักงาน
“โรคระบาดได้ทำให้เราคิดมากเกี่ยวกับงานและวิธีที่ผู้คนจัดระเบียบชีวิตของพวกเขา เรากำลังทำสิ่งนี้เพื่อปรับปรุงชีวิตพนักงานของเราและเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้าในโลก”
ไอซ์แลนด์ ถือเป็นอีกประเทศที่ได้ดำเนินการนำร่องที่ใหญ่ที่สุดในการลดวันทำงานลงเหลือ 4 วัน/สัปดาห์ โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2015-2019 โดยมีพนักงานภาครัฐ 2,500 คนที่เกี่ยวข้องกับการทดลองขนาดใหญ่สองครั้ง โดยการทดลองพบว่าประสิทธิภาพการทำงานไม่ลดลงในกลุ่มผู้เข้าร่วม และความสุขของพนักงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการเรียกร้องให้ลดระยะเวลาการทำงานในหลายประเทศ ในขณะที่พนักงานหลายล้านคนเปลี่ยนไปทำงานทางไกลในช่วงการระบาดใหญ่ ซึ่งลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ยุ่งยากลง การเรียกร้องความยืดหยุ่นที่มากขึ้น และรัฐบาลหลายประเทศเริ่มตอบรับ เช่น สเปนและสกอตแลนด์ ที่จะเริ่มทดลองภายในปลายปีนี้
Joe O’Connor ซีอีโอของ 4 Day Week Global กล่าวว่า คนงานได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถทำงานได้ “สั้นและฉลาดขึ้น”
“เมื่อเราออกจากการแพร่ระบาด มีบริษัทจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ตระหนักว่าพรมแดนใหม่สำหรับการแข่งขันคือคุณภาพชีวิต และการทำงานที่เน้นเอาท์พุตที่ลดชั่วโมงทำงานเป็นพาหนะที่จะทำให้พวกเขาได้เปรียบในการแข่งขัน”
]]>
1388378
ส่องเทรนด์ทำงาน ‘4 วัน/สัปดาห์’ ในเอเชีย ประเทศไหนพร้อม-ไม่พร้อมเปิดรับ! https://positioningmag.com/1376175 Thu, 03 Mar 2022 09:38:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1376175 การมีสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพนักงานจำนวนมาก แต่บางประเทศในเอเชียการทำงานยาว 6 วัน/สัปดาห์ยังคงเป็นเรื่องปกติ! ในขณะที่เทรนด์โลกเริ่มมีการทดลองทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ หลังจากเจอกับการระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้พนักงานทั่วโลกได้ Work From Home อย่างไรก็ตาม ลองไปดูกันว่าแต่ละประเทศในภูมิภาคเอชียคิดเห็นอย่างไรกับการทำงาน 4 วัน/สัปดาห์กันบ้าง

เจมส์ รูท หุ้นส่วนและประธานร่วมของ Bain Futures นักคิดของบริษัทที่ปรึกษา Bain & Company กล่าวว่า ที่ในภูมิภาคเอเชียมีการทำงานถึง 6 วัน/สัปดาห์เป็นเพราะหลายคนมีค่านิยมว่า การทำงานหนักจะทำให้ประสบความสำเร็จ โดยมีหลายประเทศที่มีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน เช่น เกาหลีใต้ จีน และญี่ปุ่น เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม พนักงานหลายคนเริ่มมองหา Work Life Balance ทำให้บริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงเอเชียกำลังมองหาวิธีที่ทำให้พนักงานมีสมดุลมากขึ้น อาทิ สามารถทำงานครึ่งวันทุกวันศุกร์, ทางเลือกในการทำงานจากที่บ้าน, การลาคลอด, ให้ทุนสนับสนุนสำหรับการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ แต่ปัจจุบันมีเทรนด์แรงที่คนใกำลังให้ความสนใจก็คือ การทำงาน 4 วัน/สัปดาห์

“เป้าหมายคือ การให้เวลาแก่พนักงานให้มีวันหยุดยาว แต่ยังคงประสิทธิภาพการทำงาน แน่นอนว่าค่าตอบแทนต้องไม่ลดตามจำนวนวันทำงาน ซึ่งจะทำให้ win-win สำหรับพนักงานและบริษัท”

Photo : Shutterstock

เริ่มมีบางบริษัทปรับใช้

ญี่ปุ่น ขึ้นชื่อว่ามีวัฒนธรรมการทำงานที่ โหดเหี้ยม ด้วยชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน แถมคาดหวังให้พนักงานให้ความสำคัญกับ อาชีพของตนเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิต จนเกิดเป็นคำศัพท์ใหม่ว่า Karoshi ที่แปลว่า ความตายจากการทำงานหนักเกินไป

แต่เพราะ COVID-19 ทำให้สภาพแวดล้อมการทำงานที่เข้มงวดสูงของประเทศกลับมาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง หลังจากที่ธุรกิจญี่ปุ่นเปลี่ยนให้มีชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น และสามารถ Work From Home ได้ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อความสุขของพนักงานอย่างไร

ย้อนไปในปี 2019 Microsoft Japan ได้ทดสอบการทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ แม้ว่าชั่วโมงทำงานโดยรวมจะลดลง แต่ค่าจ้างพนักงานยังคงเท่าเดิมโดยพบว่า ประสิทธิภาพของพนักงานเพิ่มขึ้นเกือบ 40% และช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา Panasonic ได้ทดลองให้พนักงานทดลองทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ เพื่อส่งเสริมสมดุลชีวิตการทำงานและชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับพนักงาน อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้จะยังไม่เกิดขึ้น 100% จนกว่าจะถึงเดือนเมษายน 2566

“สวัสดิภาพของพนักงานของเรามีความสำคัญเป็นอันดับแรก และเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องสื่อสารและส่งเสริมความเข้าใจในจุดประสงค์นี้” Airi Minobe โฆษกของ Panasonic กล่าว

(Photo : Shutterstock)

พนักงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สนใจปรับใช้

จากการสำรวจที่ตีพิมพ์ในเดือนกุมภาพันธ์โดยบริษัทวิจัย Milieu ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบว่า พนักงานจากสิงคโปร์ เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียต่างก็ กระตือรือร้นที่จะทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ โดยชาว สิงคโปร์ มากกว่า 76% แสดงความสนใจอย่างมากในงานที่มีวันหยุดสามวัน

พนักงานหลายคนในสิงคโปร์ไม่ต้องการชีวิตที่พวกเขาอาศัยอยู่เพื่อทำงาน แต่พวกเขาต้องการ “มีชีวิตและทำงานเพื่อรักษาชีวิตไว้” Jaya Dass กรรมการผู้จัดการ บริษัทจัดหางาน Randstad Singapore กล่าว ดังนั้น การมีความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงาน เงินเดือน และผลประโยชน์ถือเป็นแง่มุมที่มีค่าที่สุดของงานสำหรับพนักงาน

Dass กล่าวว่า พนักงานชาวสิงคโปร์ไม่พร้อมที่จะสละชีวิตส่วนตัวเพื่อประกอบอาชีพอีกต่อไป แต่เนื่องจากค่าครองชีพที่สูง หลายคนจึงไม่เห็นด้วยที่จะลดชั่วโมงการทำงานลง หากเงินเดือนจะลดลงตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่คนงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทุกคนที่มีความกระตือรือร้นในการทำงานสัปดาห์ที่สั้นลง อย่างใน มาเลเซีย มีเพียง 48% เท่านั้นที่สนใจแนวคิดนี้อย่างมาก และอีก 41% รู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับแนวคิดนี้ จากการสำรวจของ Milieu

Dass ระบุว่า ไม่ใช่แค่มาเลเซีย แต่ เมียนมา และ กัมพูชา ก็ไม่ได้สนใจที่จะทำงานแค่ 4 วัน/สัปดาห์ เพราะความต้องการความสมดุลระหว่างชีวิตและงานในประเทศเหล่านี้มีน้อย เพราะในระบบเศรษฐกิจเหล่านี้ ชั่วโมงการทำงานที่นานขึ้นมักจะแปลเป็นเงินมากขึ้น

“ในประเทศกำลังพัฒนา พนักงานมักต้องการทำงานให้หนักที่สุดเท่าที่จะทำได้ และมีคติประจำใจคือ ถ้าฉันต้องตายจากการทำงาน ฉันจะทำ นั่นหมายความว่าฉันสามารถทำเงินได้ ฉันสามารถซื้อทรัพย์สินของฉัน ฉันสามารถทำให้ครอบครัวของฉันมีชีวิตที่ดีขึ้นได้”

เอเชียล้าหลังตะวันตก

อย่างไรก็ตาม หากเทียบภูมิภาคเอเชียกับฝั่งตะวันตกถือว่ายังตามหลังอยู่ เพราะ รัฐบาลไอซ์แลนด์และสเปน ได้ทดลองลดชั่วโมงการทำงานตั้งแต่ปี 2019 และ 2021 ตามลำดับ เบลเยียม เป็นประเทศล่าสุดที่ประกาศว่าเร็ว ๆ นี้คนงานจะได้รับสิทธิ์ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์

โครงการของเบลเยียมซึ่งกำลังเริ่มทดลองกำหนดให้พนักงานต้องทำงาน 4 วัน ในจำนวนชั่วโมงที่เท่ากับการทำงานใน 5 วัน และคนงานยังได้รับอนุญาตให้ เพิกเฉยต่อการทำงานนอกเวลา โดยไม่ต้องเผชิญกับผลที่ตามมาจากเจ้านายของพวกเขา

สหราชอาณาจักร ในเดือนมกราคมประกาศเปิดตัวการทดลองใช้สัปดาห์ทำงาน 4 วันเป็นเวลา 6 เดือน โดยจะเริ่มในเดือนมิถุนายน ความคิดริเริ่มนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้พนักงานของบริษัทต่าง ๆ ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโปรแกรมสามารถทำงานได้ 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยที่เงินเดือนและผลประโยชน์ไม่เปลี่ยนแปลง

]]>
1376175
Apple ออกกฎให้พนักงานที่ยังไม่ฉีดวัคซีน ต้องตรวจโควิด ‘ทุกครั้ง’ ในวันที่จะเข้าออฟฟิศ https://positioningmag.com/1357826 Thu, 21 Oct 2021 08:25:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1357826 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Apple เตรียมออกกฎให้พนักงานที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 ‘ทุกครั้งในวันที่จะเข้าออฟฟิศ สะท้อนให้เห็นความเข้มงวดในการควบคุมโรคมากขึ้นเเต่ก็ยังไม่ถึงขั้นบังคับให้พนักงานต้องฉีดวัคซีนทุกคน

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ทาง Apple แจ้งต่อพนักงานในช่วงสัปดาห์นี้ว่า ข้อกำหนดดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้กับกลุ่มพนักงานที่ไม่รายงานสถานะการฉีดวัคซีนกับทางบริษัท ส่วนพนักงานที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิดเรียบร้อยแล้ว จะต้องทำการตรวจหาเชื้อแบบเร่งด่วน (Rapid Test) ประมาณสัปดาห์ละครั้ง

เเต่ในกลุ่มพนักงานประจำสาขาของ Apple นั้นจะมีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย คือ บริษัทจะขอให้พนักงานที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนทำการตรวจหาเชื้อ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ แทนการตรวจในทุกๆ วันที่จะเข้ามาทำงาน เเละคนที่ฉีดวัคซีนแล้วจะต้องตรวจแบบ Rapid Test สัปดาห์ละครั้ง โดยข้อกำหนดใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ..เป็นต้นไป

Bloomberg ตั้งข้อสังเกตว่ากฎใหม่ที่เข้มงวดขึ้นของ Apple ครั้งนี้ เป็นไปตามคำสั่งของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กำหนดให้ผู้รับเหมา (contractor) ที่รับงานจากรัฐบาลกลาง จะต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้พนักงานครบโดส ภายใน 8 ธันวาคมนี้ ซึ่ง Apple ก็เป็นหนึ่งในผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้กับรัฐบาล ผ่านช่องทางการขายเฉพาะ

ก่อนหน้านี้ Apple ขอให้พนักงานรายงานสถานะการฉีดวัคซีน พร้อมแสดงหลักฐาน ภายในวันที่ 24 ตุลาคมนี้ หลังขยายเวลาจากตอนเเรกที่กำหนดไว้ที่กลางเดือนกันยายน

Apple เคยประกาศนโยบายให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศอีกครั้ง โดยเป็นการเข้าออฟฟิศ 3 วันต่อสัปดาห์ แต่บางแผนกอาจต้องเข้างาน 4 หรือ 5 วัน ขึ้นอยู่กับเนื้องาน เเต่ก็มีพนักงานบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว เพราะมองว่าบริษัทขาดความยืดหยุ่นเกินไป

ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังผลักดันให้ภาคธุรกิจที่มีจำนวนพนักงานตั้งเเต่ 100 คนขึ้นไป จะต้องฉีดวัคซีนโควิดหรือตรวจหาเชื้อในกลุ่มคนงานที่ไม่ได้รับวัคซีน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งทางทำเนียบขาวกำลังเตรียมออกแนวทางเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้ด้วย

]]>
1357826
‘ความเสี่ยง’ จากการทำงานหนัก เครียด-มลภาวะ คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกเกือบ 2 ล้านคนต่อปี https://positioningmag.com/1352717 Mon, 20 Sep 2021 12:09:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1352717 องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เปิดเผยรายงานที่ทำร่วมกันเกี่ยวกับผลกระทบจากการทำงานของประชากรโลก โดยระบุว่า โรคและการบาดเจ็บจากการทำงาน มีส่วนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 1.9 ล้านคน ในปี 2016

โดยปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผู้คนเสียชีวิตจากการทำงาน มีหลายอย่าง ตั้งแต่ความเครียดสะสม มลพิษทางเสียง การสัมผัสกับมลพิษทางอากาศในสถานที่ทำงาน สารก่อให้เกิดโรคหอบหืดเเละสารก่อมะเร็ง

อีกหนึ่งความเสี่ยงที่สำคัญก็คือชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเกินไปซึ่งเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตถึง 750,000 ราย ส่วนการสัมผัสมลพิษทางอากาศในสถานที่ทำงาน (เช่น ฝุ่นละออง ก๊าซ และควัน) เชื่อมโยงกับการเสียชีวิตราว 450,000 ราย

ประชาชนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิกตะวันตก มีจำนวนผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ด้วยสาเหตุเกี่ยวข้องกับการทำงานมากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย และมีอายุเฉลี่ยที่ 54 ปี

เป็นเรื่องน่าตกใจที่เราได้เห็นคนจำนวนมากต้องถูกฆ่าตายด้วยงานของพวกเขาดร.เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการ WHO กล่าว

เราหวังว่ารายงานฉบับนี้ จะกระตุ้นไปยังประเทศและธุรกิจต่างๆ ให้ปรับปรุงและปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของคนงาน

โรคและการบาดเจ็บต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานนั้น ได้ส่งผลให้เกิดประชาชนเกิดความเครียด ประสิทธิภาพเเละคุณภาพชีวิตลดลง และอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อรายได้ครัวเรือนซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ

(photo : Photo by Andrea Piacquadio from Pexels)

เเม้อัตราการเสียชีวิตจากการทำงานต่อประชากรทั่วโลกจะลดลง 14% ในช่วงปี 2000-2016 ซึ่งอาจสะท้อนถึงการปรับปรุงด้านสุขภาพและความปลอดภัยในที่ทำงานที่มีมากขึ้น

เเต่อย่างไรก็ตาม อัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองที่เกี่ยวข้องกับการมีชั่วโมงทำงานยาวนานเกินไป กลับเพิ่มขึ้นถึง 41% และ 19% ตามลำดับ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของปัจจัยเสี่ยงด้านอาชีพเเละสังคมในยุคใหม่

จากการวิเคราะห์ข้อมูลใน 194 ประเทศ พบว่า การทำงานต่อสัปดาห์ 55 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ได้เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมองถึง 35% และเพิ่มความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือดอีก 17% เมื่อเทียบกับการทำงานเฉลี่ย 35-40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

โดยรายงานฉบับนี้ มีข้อเสนอเเนะเพื่อเป็นแนวทางให้รัฐบาล นายจ้างและลูกจ้าง เช่น ข้อตกลงเกี่ยวกับการจำกัดเวลาทำงานสูงสุดที่เหมาะสม มาตรการลดการสัมผัสมลพิษทางอากาศในสถานที่ทำงาน อย่างการควบคุมฝุ่น การระบายอากาศ และมีอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เป็นต้น

 

อ่านรายงานฉบับเต็ม : WHO 

 

]]>
1352717
ชาวอเมริกัน ‘ลาออก’ มากสุดในรอบ 20 ปี หมดไฟ-เครียด-เริ่มทบทวนชีวิต ฉุกคิด ‘หางานใหม่’ https://positioningmag.com/1336827 Mon, 14 Jun 2021 11:27:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1336827 ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ที่ยอดว่างงานพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ในอีกมุมหนึ่งก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อย ตัดสินใจลาออกจากงานด้วยตนเอง ส่วนหนึ่งมาจากความตึงเครียด ภาวะหมดไฟในการทำงาน ได้ทบทวนชีวิตเเละเริ่มฉุกคิดใหม่เรื่อง ‘career path’ 

The Wall Street Journal นำเสนอประเด็นที่น่าสนใจว่า ชาวอเมริกันมีอัตราการลาออกจากงานสูงสุดในรอบ 20 ปี นับเป็นความท้าทายใหม่ของภาคธุรกิจที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่า อัตราการลาออกจากงานของชาวอเมริกันในเดือนเม.. อยู่ที่ 2.7% หรือราว 4 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2000

จำนวนผู้ที่ลาออกจากงานปรับตัวสูงขึ้น หลังช่วงวิกฤตโรคระบาด เมื่อคนจำนวนมากต้องการความมั่นคงในหน้าที่การงาน ขณะที่ต้องเผชิญกับวิกฤตสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศ”

เทรนด์การเปลี่ยนงานเเละเปลี่ยนอาชีพใหม่ กระตุ้นให้นายจ้างต้องขึ้นค่าแรงและเสนอการเลื่อนตำแหน่ง เพื่อรักษาพนักงานที่มีความสามารถไว้ โดยความต้องการที่จะเปลี่ยนงานใหม่ ชี้ให้เห็นถึงความหวังเพื่อหาโอกาสที่ดีกว่าแม้ว่าจะมีอัตราว่างงานจะสูงขึ้นก็ตาม

เมื่ออัตราการเลิกจ้างสูง ก็ทำให้นายจ้างต้องเสียต้นทุนมากขึ้นเช่นกัน จากการที่ธุรกิจต้องหยุดชะงักลง ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ด้านแรงงาน ให้ความเห็นว่า การลาออกส่งสัญญาณว่า ตลาดเเรงงานเริ่มเเข็งเเกร่งขึ้น เนื่องจากผู้คนหันมาสนใจหางานที่เหมาะกับทักษะ ความสนใจของตัวเอง และต้องการมีชีวิตส่วนตัวมากขึ้น

(Photo : Shutterstock)

ยิ่งในปัจจุบันมีหลายปัจจัยส่งเสริมให้มีการ ‘เปลี่ยนงาน’ บ่อยขึ้น ประชาชนจำนวนมากปฏิเสธที่จะกลับมาทำงานตามปกติในระบบเดิม เเละลังเลที่จะทำงานในออฟฟิศเหมือนก่อนช่วงก่อนโรคระบาด แต่พวกเขามีเเนวโน้มจะเลือกทำงานทางไกลที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า

ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงาน เริ่มมองเห็นถึงกระเเสการลาออกนี้ จากสำรวจความเห็นพนักงาน 2,000 คนในช่วงเดือนมีนาคมโดย Prudential Financial พบว่า พนักงานกว่า 1 ใน 4 วางแผนหางานใหม่กับนายจ้างรายอื่นในเร็วๆ นี้

หลายคนตกอยู่ในภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) เนื่องจากภาระงานที่เพิ่มขึ้นและความตึงเครียดจากโควิด-19 ขณะที่บางคนต้องมองหาค่าจ้างที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยการสูญเสียงานของคู่สมรส หรือใช้ช่วงเวลาในปีที่ผ่านมาเพื่อคิดพิจารณาถึงเส้นทางอาชีพและการเปลี่ยนงานใหม่

จากความคืบหน้าในการกระจายวัคซีนที่รวดเร็วในสหรัฐฯ เเละมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคดีขึ้น ทำให้ธุรกิจต่างๆ กลับมาฟื้นตัวเร็วขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะงานในภาคการผลิตเเละภาคบริการ จนหลายบริษัทต้องเเย่งชิงเเรงงาน จัดโปรโมชันต่างๆ ให้ผู้สมัคร

โดยร้านอาหารและแฟรนไชส์บางแห่งในสหรัฐฯ ต้อง ‘เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ’ หรือ ‘ให้โบนัสไปจนถึงเเจกสมาร์ทโฟน เพื่อจูงใจให้คนมากลับมาทำงาน แทนการอยู่บ้านและพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล

 

ที่มา : WSJ , businessinsider 

]]>
1336827
HR ไม่ใช่ผู้คุมกฎ…6 กลยุทธ์ผสานพนักงาน ‘ต่างวัย’ หลากหลาย-เท่าเทียม ฉบับ ‘ดิอาจิโอ’ https://positioningmag.com/1334079 Thu, 27 May 2021 13:16:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1334079 สังคมการทำงานยุคใหม่ เปลี่ยนไปมากมายในช่วงที่ผ่านมา องค์กรไม่สามารถนำกลยุทธ์เดิมๆ กฎระเบียบเดิมๆ มากำหนดวิถีการทำงานของพนักงานได้อีกต่อไป

ยิ่งเมื่อเกิดวิกฤตโรคระบาดครั้งใหญ่ เทรนด์ทำงานได้ทุกที่ ‘Remote Working’ ทำให้ออฟฟิศไม่ใช่เรื่องจำเป็นสูงสุด

เหล่านี้เป็นโจทย์ท้าทายของฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่ต้องปรับตัว เปลี่ยนเเปลงการสื่อสารกับพนักงาน มาคิดกันใหม่ว่า ทำอย่างไรจะให้พนักงานมีความสุขเเละมีประสิทธิภาพ หาจุดสมดุลของความหลากหลาย บริหารคนต่างวัยให้มีเป้าหมายร่วมกัน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้

Positioning มีโอกาสได้พูดคุยกับเจน รุ่งกานต์ รตนาภรณ์ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮสเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DMHT เจ้าของแบรนด์สุรานอกอย่าง Johnnie Walker, Smirnoff, Hennessy ฯลฯ

คำเเนะนำเเละกลยุทธ์การทรานส์ฟอร์มจากผู้คลุกคลีอยู่ในวงการ HR มานานกว่า 20 ปี ผ่านงานทั้งสายพลังงาน อุตสาหกรรมยา จนมาถึงธุรกิจเครื่องดื่ม อย่าง ‘รุ่งกานต์’ มีเทคนิคต่างๆ ที่น่านำไปปรับใช้ได้ดีทีเดียว

เป็นตัวเองได้ในที่ทำงาน 

เธอเล่าให้ฟังถึงการวางกลยุทธ์ดำเนินงานว่า ยึดหลักแนวคิด Connecting People to Purposes เชื่อมโยงบุคคลกับวัตถุประสงค์ของบริษัท โดยให้ทุกคนสามารถเป็นตัวเองได้ในการทำงาน ไม่จำกัดความคิด มอบอิสระในการออกแบบวิธีการทำงานและการแสดงออก พร้อมเสริมสร้างสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้ออำนวยต่อการไปถึงเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ให้พนักงานรู้สึกสบายใจและภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนบริษัท มาทำงานอย่างมีความสุขและกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ดี เติมเต็มความต้องการได้ ขณะเดียวกันก็ต้องต่อยอดไปสู่เป้าหมายทางอาชีพของพวกเขาด้วย” 

Reverse Mentoring : พื้นที่เเลกเปลี่ยนไอเดีย 

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่รุ่งกานต์นำมาใช้ในการผสาน ‘พนักงานต่างวัย’ ให้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์ในการทำงานกัน ก็คือ Reverse Mentoring

โดย DMHT มีการจับคู่พนักงานมาเข้าร่วมโปรเเกรมนี้ เริ่มต้นด้วยคู่ของคุณ ‘อัลแบร์โต อิเบอัส’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด กับพนักงาน Gen Y คนหนึ่ง ให้มาพูดคุยเเลกเปลี่ยน ‘ไลฟ์สไตล์’ เรียนรู้การทำงาน มุมมองของธุรกิจต่างๆ

ผลเบื้องต้นพบว่า เกิดไอเดียหลายอย่างจากการสนทนากัน โดยอัลแบร์โตที่ทำงานมากว่า 22 ปี ก็ได้เห็นถึงการคิดนอกกรอบ เทรนด์เเละนวัตกรรมใหม่ๆ ส่วนพนักงานรุ่นใหม่ก็ได้รู้ถึงประสบการณ์การทำงาน บทเรียนชีวิตเเละวิธีเเก้ปัญหาต่างๆ  

“ถ้าโครงการทดลองนี้สำเร็จ เราจะขยายไปทำทั้งองค์กร เพื่อให้มีแพลตฟอร์มที่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้”

พื้นฐานที่ทุกองค์กรต้องมี คือความเท่าเทียม

สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมากในองค์กร ก็คือ ‘ความเท่าเทียม’ โดยยกตัวอย่างเป้าหมาย 10 ปีของดิอาจิโออย่าง SOCIETY 2030: SPIRIT OF PROGRESS

โดยในแผนงานนี้ มีประเด็นการส่งเสริมความหลากหลาย และการมีส่วนร่วมภายในองค์กรที่น่าสนใจ เช่น บริษัทตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 จะมี ผู้นำหญิง ในองค์กรให้ได้สัดส่วน 50% มีผู้นำที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ให้ได้ 45% และจัดอบรมพัฒนาทักษะให้กับคนจำนวน 1.7 ล้านคน เเละสนับสนุนความหลากหลายในทุกตำแหน่งงาน

ปัจจุบัน DMHT มีสัดส่วนของผู้บริหารหญิงอยู่ที่ 50% แล้ว เฟสต่อไปคือการเพิ่มสัดส่วนของผู้หญิงในตำแหน่งที่เตรียมก้าวขึ้นสู่ระดับบริหารให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสให้กับผู้หญิงในการก้าวสู่ตำแหน่งงานที่สังคมคุ้นเคยว่าผู้ชายมีบทบาทมากกว่า โดยริเริ่มออกแบบและดำเนินการโปรแกรม Female in Field Sales Incubation เพื่อปั้นผู้นำหญิงสู่การเป็นผู้จัดการเขต (District Manager) ภายในปี 2025

สำหรับในประเทศไทย DMHT มีนโยบายที่เปิดกว้างและสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ โดยบริษัทให้สิทธิ์พนักงานทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และ LGBTQIA+ ใช้สิทธิ์ลาคลอดได้ 26 สัปดาห์ พร้อมรับเงินเดือนเต็ม

สลัดภาพจำ…HR ยุคใหม่ต้องไม่ใช่ผู้คุมกฎ

หลังจากทำงานด้านบริหารทรัพยากรบุคคลมากว่า 2 ทศวรรษ รุ่งกานต์ยอมรับว่า ไม่ว่าจะกี่ยุคสมัย มีพนักงานจำนวนไม่น้อยรู้จักไม่ใกล้ชิดกับฝ่าย HR มากนัก หลายคนมีภาพจำว่าเเผนกนี้เป็น ‘ผู้คุมกฎ’ หรือ ‘ครูปกครอง’ เวลามีการเรียกคุยจะรู้สึกกังวลว่าตัวเองทำผิดอะไรหรือไม่ นี่คือความท้าทายที่ต้องเปลี่ยนเเปลงภาพลักษณ์เหล่านี้ให้ได้

“เราต้องทำให้พนักงานเข้าใจว่าบทบาทของ HR คือ ‘เพื่อนร่วมงาน’ ที่มีหน้าที่ช่วยส่งเสริมพนักงานทุกคนให้มีพลังทำงานในทุกๆ ด้าน เรื่องของกฎระเบียบก็ยังจำเป็นต้องมี เเต่ HR ต้องใช้การสื่อสารรูปเเบบใหม่ให้เข้าถึงคนเเต่ละยุคสมัย” 

เธอยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างการใช้หลัก Why’ คือ HR ต้องอธิบายให้ได้ว่า ‘ทำไม’ จึงต้องมีกฎนี้ ทำไมจึงต้องทำกิจกรรมนี้ ถ้าทำตามเเล้วจะมีผลอย่างไร ถ้าไม่ทำตามจะส่งผลอย่างไร เเม้บางครั้งจะเป็นกฎเดิมที่ใช้ต่อกันมาเป็น 10 ปี ก็ต้องปรับการสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจในบริบทสังคมใหม่ด้วย 

ความยืดหยุ่น’ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ 

สำหรับเเนวทางการบริหารงานบุคคลของดิอาจิโอนั้น มีการประยุกต์เทคโนโลยีกับปรัชญามาใช้งาน HR ที่มีชื่อว่า ‘DIAGEO Flex Philosophy’ ให้อิสระพนักงานในการบริหารจัดการเวลาทำงานของตนเอง ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน หรือเข้างานตาม Office Hours เพียงสามารถส่งมอบงานที่มีคุณภาพได้ตามเวลาที่กำหนด

ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ต้องให้พนักงาน Work from Home นั้น พบว่า พนักงานส่วนใหญ่ยังทำงานได้ตามปกติ แถม Productivity เพิ่มขึ้นอีก ใครเบื่อบรรยากาศทำงานที่บ้านจะมาทำงานที่ออฟฟิศก็ได้ บางคนชอบเริ่มงานตอนเช้า บางคนสายหน่อย หรือบางคนชอบทำงานตอนดึกๆ ก็สามารถจัดสรรเวลาเองได้

“หลักๆ คือเราให้ความสำคัญกับผลงานมากกว่าเวลาเข้างาน” 

โดยฝ่าย HR จะต้องให้ความสำคัญกับเรื่อง ‘สวัสดิการ’ ซึ่งจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขและให้ตรงกับความต้องการของพนักงานมากที่สุด ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น เเต่ก่อนจะมีบริการคาเฟ่ในออฟฟิศ เเต่ช่วงโควิด-19 ต้องงดไปก่อน ก็จะมีการจัดข้อเสนออื่นๆ ให้เเทน

‘อัพสกิล’ ตามความชอบ 

ในด้านการพัฒนาทักษะ DMHT มุ่งเสริมสร้างทักษะแห่งอนาคตที่จำเป็นให้แก่พนักงานตามความสนใจด้านอาชีพของแต่ละคน โดยให้พนักงานสามารถเลือกสวัสดิการที่ตรงกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของตนเองได้ สอดคล้องกับปรัชญาหลักของบริษัท นั่นก็คือ Celebrating Life, Every Day, Everywhere 

ยกตัวอย่างเช่น เป้าหมายการอบรมทักษะบุคลากรในอุตสาหกรรมการบริการ ให้ได้ 15,000 คนผ่านโครงการ Learning for Life ภายในปี 2030 ครอบคลุมนักศึกษา ผู้ประกอบอาชีพการท่องเที่ยวและการบริการ ขยายการฝึกอบรมมาสู่บุคลากรในสายอาชีพการบริการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการต้องออกจากงาน หรือหยุดงานชั่วคราว รวมถึงคนในชุมชน บุคคลที่มีความจำเป็นและกลุ่มผู้ขาดโอกาสทางสังคม

นอกจากนี้ ยังมีการจัดอบรมทักษะสำหรับบาร์เทนเดอร์ผ่าน Diageo Bar Academy เพื่อส่งเสริมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างรับผิดชอบในสังคม และการรับมือสถานการณ์ที่ท้าทายขณะทำงานในสายอาชีพ 

เหล่านี้เป็นไปตาม Brand Purpose ของดิอาจิโอที่ว่า ทำอย่างไรให้คนอยากเฉลิมฉลอง แต่ไม่ใช่การสนับสนุนให้คนดื่มจนขาดสติ เเต่ต้องดื่มอย่างมีความรับผิดชอบ (Positive Drinking)

สำหรับเป้าหมายของประเทศไทย DMHT มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายหลักใน 3 ด้าน จะดำเนินการผ่านโครงการที่มีอยู่แล้วเพื่อความต่อเนื่อง ได้แก่

  • รณรงค์การดื่มอย่างรับผิดชอบ ผ่านโครงการ DRINKiQ และแพลตฟอร์ม Don’t Drink Drive E-Learning
  • ส่งเสริมความเป็นเลิศด้านความหลากหลาย (Inclusion and Diversity)
  • สร้างความยั่งยืนในทุกขั้นตอนการผลิต (Grain to Glass Sustainability) ผ่านการนำเข้าสินค้าของดิอาจิโอที่บรรจุในบรรจุภัณฑ์พลาสติกจากวัสดุรีไซเคิล ที่มีความปลอดภัยมาจำหน่ายในประเทศไทย และสานต่อโครงการรีไซเคิลขวดจอห์นนี่ วอล์กเกอร์หลังการบริโภค โดยการนำไปใช้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้

หลังจากประสบการณ์ HR มากว่า 20 ปี รุ่งกานต์มองว่า สิ่งที่คนรุ่นใหม่มองหาจากองค์กรมากที่สุด คือการเปิดกว้างทางความคิด ให้พวกเขาได้มีโอกาสเเสดงศักยภาพเเละรับฟังข้อเสนอเเนะโดยไม่ติดเรื่องอายุ พร้อมการอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ช่วยให้ทำงานง่ายขึ้น

รวมถึงการสนับสนุนให้ทุกคนมี ‘Career Path’ เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ เเละมีความสุขในการใช้ชีวิต

ส่วนสิ่งที่องค์กรอยากได้จากคนรุ่นใหม่’ ก็คือความคิดสร้างสรรค์ พลังในการทำงาน เเพชชั่นที่จะเห็นความก้าวหน้าเเละการเปลี่ยนเเปลง…

 

 

]]>
1334079
งานหนักคร่าชีวิต 7 เเสนคนต่อปี ทำเกิน 55 ชั่วโมง/สัปดาห์ เสี่ยงตายโรคหัวใจ-หลอดเลือดสมอง https://positioningmag.com/1332677 Tue, 18 May 2021 09:05:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1332677 ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเกินไป ได้คร่าชีวิตผู้คนหลายเเสนคนต่อปี เเละยิ่งเลวร้ายลงไปอีกในช่วงโรคโควิด-19 โดยคนที่อาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และฝั่งแปซิฟิกตะวันตก ได้รับผลกระทบมากที่สุด

องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เผยแพร่งานวิจัยในวารสาร Environment International ระบุว่า การเเพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต้องทำงานทางไกล และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก เพิ่มความเสี่ยงให้ลูกจ้างมีชั่วโมงการทำงานยาวนานขึ้นตามไปด้วย

โดยการทำงานมากกว่า ’55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองสูงขึ้น 35% และเสี่ยงเสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงขึ้น 17% เมื่อเปรียบเทียบกับการทำงานสัปดาห์ละ 35-40 ชั่วโมง

ในปี 2016 ประชาชนกว่า 745,000 คน เสียชีวิตจากอาการเส้นเลือดในสมองแตกและโรคหัวใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับทำงานยาวนานหลายชั่วโมง สูงขึ้นเกือบ 30% จากปี 2000

ผลวิจัยของ ILO พบว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกือบ 3 ใน 4 เป็นผู้ชายในวัยกลางคนหรือสูงอายุ หลายกรณีเสียชีวิตในช่วงบั้นปลายชีวิต 10 ปีให้หลังจากที่ทำงานหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน

โดยแรงงานที่ใช้ชีวิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิกตะวันตก ตามนิยามของ WHO รวมจีน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้มากที่สุด

Photo : Shutterstock

นักวิจัย ชี้ว่าชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานขึ้น ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งด้านสรีรวิทยาโดยตรงเเละก่อให้เกิดความเครียด นอกจากนี้ยังส่งผลให้เเรงงานมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมทำลายสุขภาพ เช่นการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การนอนหลับน้อยลง ไม่มีเวลาออกกำลังกายและทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

การทำงาน 55 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล นายจ้างและลูกจ้าง ต้องยอมรับว่าการทำงานที่ยาวนาน อาจทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร” Maria Neira ผู้อำนวยการฝ่ายสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสุขภาพของ WHO กล่าว

การทำงานทางไกล ประชุมออนไลน์ และเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากพิษไวรัส เร่งให้พนักงานต้องเเบกภาระงานหนักมากขึ้น WHO ประเมินว่า ประชาชนอย่างน้อย 9% มีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานกว่าเดิม

ในทางตรงกันข้าม การลดชั่วโมงการทำงานลงจะเป็นประโยชน์ต่อนายจ้างมากกว่า เนื่องจากผลการศึกษาพบว่าจะช่วยให้ผลิตภาพของพนักงานเพิ่มขึ้น

ไม่มีงานใดที่คุ้มค่าจะเสี่ยงกับการเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหัวใจ รัฐบาล นายจ้าง และลูกจ้างจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อบรรลุข้อตกลงเพื่อปกป้องสุขภาพของเเรงงาน

 

ที่มา : BBC , Reuters 

 

 

]]>
1332677
HSBC ลอง ‘Zoom-free Friday’ งดประชุมทุกวันศุกร์ ลดความเหนื่อยล้าเกินไป เมื่อต้องทำงานที่บ้าน https://positioningmag.com/1331829 Wed, 12 May 2021 11:08:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1331829 สถาบันการเงินรายใหญ่อย่าง HSBC ปรับกลยุทธ์ทำงานเเบบใหม่ รับเทรนด์ Remote Working ทดลอง Zoom-free Fridayงดประชุมออนไลน์ทุกวันศุกร์เพื่อลดความเครียด ความเหนื่อยล้าเกินไปของพนักงานที่ต้องทำงานจากบ้าน

การมาของโควิด-19 ทำให้หลายองค์กรต้องเปลี่ยนรูปเเบบการทำงาน ลดการใช้ออฟฟิศเเละหันมาประชุมออนไลน์มากขึ้น

HSBC ก็เตรียมลดขนาดพื้นที่สำนักงานลงกว่า 40% ภายหลังการระบาดใหญ่ พร้อมด้วยแผนการลดต้นทุนที่จะปลดพนักงานลงถึง 35,000 ตำเเหน่ง

สำหรับโครงการ Zoom-free Friday งดประชุมออนไลน์ทุกวันศุกร์โดยเฉพาะช่วงบ่ายนั้น จะเริ่มใช้กับพนักงานบางส่วนในสหราชอาณาจักรก่อน เเละให้พนักงานสามารถเอาช่วงเวลานั้นไปทำงานอย่างอื่นได้

ความสำคัญของ Work-life balance ในองค์กร ถูกจุดประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ Jonathan Frostick พนักงานระดับผู้จัดการ วัย 45 ปีของ HSBC ทำงานหนักจนป่วยเป็นโรคหัวใจวาย เเละต้องเข้าโรงพยาบาลเเบบกะทันหัน

เขาได้เเชร์เรื่องราวลงใน LinkedIn ส่วนตัว ถึงความเหนื่อยล้าจากการประชุมที่มากเกินไป คิดถึงเเต่เรื่องงานอยู่ตลอดเวลา ขณะที่พักรักษาตัวอยู่นั้น เขาก็คิดขึ้นได้ว่าต่อไปนี้ ฉันจะไม่ใช้เวลาทั้งวันไปกับ Zoom อีกต่อไป

โดยโพสต์ดังกล่าว มีผู้คนมาร่วมเเสดงความคิดเห็นกว่า 11,000 คอมเมนต์ ผู้ใช้เเพลตฟอร์มคนหนึ่ง ระบุว่าบริษัทต่างๆ กดดันให้พนักงานทำงานเกินขีดจำกัด โดยไม่คำนึงถึงความเป็นอยู่เเละชีวิตส่วนตัว

Photo : Shutterstock

การเเพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้คนต้องถูกจำกัดการเดินทาง หลายบริษัทงดให้พนักงานเดินทางมาที่ออฟฟิศ เเละให้ทำงานเเบบ Remote Working จากที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้ ในเเต่ละวันเเพลตฟอร์มประชุมออนไลน์อย่าง Zoom , Microsoft Teams , Google Meet ฯลฯ จึงกลายมาเป็นตัวช่วยสำคัญให้พนักงานสามารถพบปะกันเเละสื่อสารงานต่างๆ ได้

อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งก็ทำให้เกิด ‘Zoom fatigue’ หรือความเหนื่อยล้าจากการประชุมผ่าน Zoom โดยพบว่าพนักงานจำนวนมากมีความกังวลเพิ่มขึ้น เมื่อการงานได้รุกล้ำชีวิตส่วนตัวภายในบ้าน

เเม้เเต่ ‘อีริค หยวน’ ผู้ก่อตั้งเเพลตฟอร์ม Zoom ก็เปิดใจว่า เขาเองก็รู้สึกเหนื่อยจากประชุมออนไลน์ที่ไม่มีกำหนดเวลาเเละมากเกินไป

ก่อนหน้านี้ Citibank ได้ออกนโยบาย ‘ห้ามประชุมทุกวันศุกร์’ เพราะความไม่ชัดเจนของเส้นแบ่งระหว่างที่บ้านกับที่ทำงาน รวมถึงบริษัทหลายแห่งก็มีนโยบาย ‘จำกัดเวลาประชุมออนไลน์’ ออกมาเช่นเดียวกัน

ด้านทางเลือกการทำงานเเบบ ‘ไฮบริด’ ออฟฟิศผสมออนไลน์ ก็ได้รับความสนใจไม่น้อย อย่าง KPMG บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านบัญชี ก็อนุญาตให้พนักงานกว่า 16,000 คน สามารถ ‘เลิกก่อนเวลา’ ได้หนึ่งวันต่อสัปดาห์

 

ที่มา : BBC , Telegraph

]]>
1331829