ย้อนไปปี 2004 ที่ แอนิเทค ยังเป็นเพียบบริษัทรับจ้างผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (OEM) ปัจจุบัน แบรนด์สินค้ารวมกว่า 1,000 SKU จาก 4 กลุ่มสินค้า ได้แก่
ปัจจุบัน รายได้ 3 กลุ่มแรกมีสัดส่วนรายได้เท่า ๆ กันที่ 30% ส่วนสินค้าในกลุ่ม Personal Care มีสัดส่วนรายได้ 10% เนื่องจากเป็นกลุ่มใหม่ที่เริ่มเมื่อปี 2020 อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังการระบาดของโควิดการเติบโตของบริษัทลดลงเหลือ 10% จากที่ก่อนโควิดเคยเติบโตได้ 15-20% แม้ว่าสินค้าใน 3 กลุ่มแรกจะยังมีโอกาสเติบโต แต่ พิชเยนทร์ หงษ์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป จำกัด เจ้าของแบรนด์ แอนิเทค ก็มองหาโอกาสเติบโตในตลาดใหม่ ๆ ซึ่งที่ พิชเยนทร์ เห็นก็คือ Green Technology
มีการคาดการณ์ว่าในปี 2023 รถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV และ PHEV ทั่วโลกจะมีปริมาณกว่า 15 ล้านคัน และในปี 2024 จะเพิ่มขึ้นรวมกว่า 17.9 ล้านคัน ขณะที่ประเทศไทยก็มีส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในภูมิภาคอาเซียนกว่า 59.2% และในอนาคตคาดว่าตัวเลขจะยิ่งสูงขึ้น แอนิเทคจึงมองว่าเป็นโอกาสให้บริษัทรุกตลาด Green Technology โดยจะเริ่มจากการเจาะตลาดรถอีวี
ล่าสุด แอนิเทคเปิดตัว Anitech EV-ONE สายชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบพกพา ไม่จำเป็นต้องมีสถานีชาร์จ แค่มีปลั๊กก็ชาร์จได้ ซึ่งแอนิเทคใช้เวลาในการพัฒนาสินค้ากว่า 1 ปี ใช้งบประมาณกว่า 5 ล้านบาท เบื้องต้น Anitech EV-ONE จะจำหน่ายทั้งแบบ B2C ผ่านช่องทางออนไลน์ และแบบ B2B โดยสามารถซื้อขาดหรือจ้างผลิตแบบ OEM ได้ตามต้องการ ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีการพูดคุยกับบริษัทรถยนต์แล้วบ้าง
“เราถือเป็นแบรนด์แรกในไทย แต่ถามว่ามีสินค้าแบบนี้ขายในไทยไหม ก็มีจากจีนที่ขายบนอีมาร์เก็ตเพลส แต่ไม่มีแบรนด์และไม่มีมาตรฐาน มอก. รับรอง ซึ่งเราเชื่อว่าคนที่มีรถอีวีเขาคงไม่เสี่ยง”
อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่มีการประเมินว่ามูลค่าตลาดสถานีชาร์จหรือสายชาร์จรถอีวี แต่ พิชเยนทร์ วางเป้าว่า ในปีหน้า Anitech EV-ONE จะมียอดขาย 10 ล้านบาท และสายชาร์จแบบนี้จะกลายเป็น สายชาร์จมาตรฐานของรถอีวี
“แน่นอนว่าค่ายรถบางค่ายแถมสเตชั่นชาร์จให้ลูกค้าไปติดตั้งที่บ้าน แต่ไม่ใช่ทุกแบรนด์ และถ้าต้องติดตั้งเองก็ต้องใช้งบหลายหมื่นบาท เราเลยเชื่อว่าสายชาร์จเราตอบโจทย์ และต่อไปจะเป็นเหมือนสายชาร์จมือถือ คนไม่ได้มีเส้นเดียว แต่จะมีกระจายไว้จุดต่าง ๆ เช่น ที่บ้าน ใส่ไว้หลังรถเป็นสายชาร์จฉุกเฉิน เป็นต้น”
พิชเยนทร์ ย้ำว่า แอนิเทคตั้งเป้าเป็นแบรนด์ที่มีสินค้าในกลุ่ม Green Technology มากที่สุดในไทย โดยสายชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบพกพาเป็นเพียง จุดเริ่มต้นเพื่อให้ตลาดรับรู้ว่าบริษัทมีสินค้าในกลุ่ม Green Technology ซึ่งแอนิเทคพร้อมจะเข้าไปอยู่ในอีซิสเต็มส์ของรถอีวีที่ค่ายรถเปิดให้ Plug-In และปีหน้าแอนิเทคจะมีสินค้ากลุ่ม Green Technology อื่น ๆ ออกมาอีกหลายชนิด โดยกำลังมองในส่วนตลาดไลฟ์สไตล์อื่น ๆ เช่น ออฟฟิศ บ้าน เป็นต้น ส่งผลให้ปีหน้าคาดว่าบริษัทจะมีสินค้ารวมกว่า 1,200 SKU เพิ่มขึ้นประมาณ 200 SKU
“สินค้ากว่า 1,200 SKU ฟังดูเหมือนเยอะ แต่ถ้าเทียบกับแบรนด์ในญี่ปุ่นที่ทำสินค้าเหมือนแอนิเทคเขามีสินค้ากว่า 1 แสน SKU มีอายุ 30 ปี อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านเยน นี่เป็นทิศทางที่แอนิเทคจะเติบโตไปเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่อยู่ควบคู่กับคนไทยไปอีกนาน”
ปัจจุบัน สินค้าของแอนิเทคมีจำหน่ายในกลุ่ม CLMV แต่การเพิ่มสินค้ากลุ่ม Green Technology จะเพิ่มโอกาสให้แบรนด์รุกไปประเทศอื่นได้อีก เนื่องจากสินค้าของไทยมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของภูมิภาค ซึ่งแอนิเทคกำลังวางแผนจะเข้าไปทำตลาดในประเทศมาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ รวมถึง จีน ด้วย ซึ่งจีนนั้นมีความท้าทายมาก ทั้งเรื่องคู่แข่งและกฎหมาย แต่ก็มีโอกาสเติบโตมหาศาล
“เราคงทำตลาดไทยให้แข็งแรงก่อน แต่ตลาดต่างประเทศก็ต้องทำควบคู่กันไป โดยเป้าหมายเราต้องการที่เป็นบริษัทชั้นนำของภูมิภาค ไม่จำเป็นต้องเป็นเบอร์ 1 ทุกประเทศ แต่ต้องเป็นอันดับต้น ๆ ในทุกประเทศ โดยมีแนวคิดว่า เราจะทำสินค้ารอบตัวคน และทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น และตอบโจทย์ด้านราคา มีคุณภาพ ไว้ใจได้”
สำหรับ Anitech EV ONE มีหัวปลั๊กรูปแบบ Type2 มีความยาวถึง 5 เมตร สามารถปรับกำลังไฟฟ้าได้ 4 ระดับ และสามารถตั้งเวลาชาร์จได้ สินค้ามี มอก.11 และ มอก.166 รับประกันสินค้า 1 ปี วงเงินการรับประกันสูงสุดถึง 300,000 บาท พร้อมบริการหลังการขายที่พร้อมให้คำปรึกษาตลอดอายุการใช้งาน พร้อมจำหน่ายในราคา 12,990 บาท โดยช่วงพรีออเดอร์มีราคาโปรโมชันเหลือ 7,990 บาท พร้อมรับสิทธิ์พิมพ์ชื่อลงบนเครื่องชาร์จฟรี สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ Anitech EV ONE สามารถดูสั่งจองได้ที่ช่องทาง LineOfficial : @Anitech หรือ Website : www.anitechonline.com
]]>รายได้ของ Lenovo บริษัทผู้ผลิตพีซีสัญชาติจีนที่ครองแชมป์ยอดขายอันดับ 1 ของโลก ลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 เนื่องจากความต้องการของตลาดทั่วโลกยังคงตกต่ำ แต่ Wong Wai-Ming CFO ของ Lenovo กล่าวว่า บริษัทไม่ได้มีความกังวลใจถึงยอดขายที่ลดลง เพราะมั่นใจว่า หากตลาดกลับสู่ภาวะปกติ บริษัทจะเติบโตแน่นอน Wong Wai-Ming, CFO ของ Lenovo กล่าว
“ไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณเป็นไตรมาสที่ท้าทายที่สุดของปี โดยได้รับแรงกดดันจากทั้งตลาดพีซีและเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม รายได้รวมทั้งปีใของเราทั้งปีไม่ได้ลดลงมากนัก เนื่องจากกลุ่มธุรกิจอีกสองกลุ่มได้ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและธุรกิจบริการ อย่างไรก็ตาม เราเป็นที่หนึ่งในตลาด และเมื่อตลาดกลับสู่สภาวะปกติเราจะเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน”
แม้จะเชื่อว่าตลาดจะฟื้นตัวช่วงครึ่งปีหลัง แต่ Lenovo กำลังมองเห็นการเติบโตที่สูงขึ้นในธุรกิจอื่น ๆ เช่น โซลูชันโครงสร้างพื้นฐานและบริการ ซึ่งธุรกิจในส่วนนี้ช่วยพยุงรายได้จากส่วนของพีซีที่หดตัวลง โดยรายได้รวมของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกของปีอยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 24% ถือเป็นการลดลงเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกัน แต่หากนับเฉพาะรายได้จากฝั่ง พีซีลดลง –33% ส่วนรายได้จากธุรกิจอื่น ๆ เติบโตขึ้น +7% ปัจจุบัน รายได้จากพีซีคิดเป็น 60% ของรายได้รวม อีก 40% มาจากธุรกิจอื่น ๆ
“รายได้จากธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่พีซีของเราเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 40% ซึ่งกลยุทธ์ที่ชัดเจนของเราคือ ความยืดหยุ่น เพื่อเผชิญกับความไม่แน่นอนทั่วโลก เราจะยังคงลงทุนใน [การวิจัยและพัฒนา] เพื่อคว้าโอกาสการเติบโตระลอกใหม่ ดังนั้นเราจึงเตรียมพร้อมอย่างดีสำหรับอนาคต” Yuanqing Yang ประธานและซีอีโอของ Lenovo Group กล่าว
ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทผู้ผลิตพีซีได้อานิสงส์จากโควิด ที่ทำให้ผู้บริโภคและบริษัทต่าง ๆ หันมาซื้อคอมพิวเตอร์-โน้ตบุ๊ก รวมถึงสินค้าเทคโนโลยีอื่น ๆ เพื่อทำงานระยะไกล แต่เมื่อพนักงานกลับมาที่ออฟฟิศ ยอดการจัดส่งพีซีก็ลดลง โดยจากข้อมูลของ IDC รายงานว่า ช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 การจัดส่งเดสก์ท็อปและแล็ปท็อปทั่วโลกหดตัวประมาณ 30% เหลือ 56.9 ล้านเครื่อง
อย่างไรก็ตาม บริษัทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมยังมองบวกว่าครึ่งปีหลังตลาดจะกลับมาโตอีกครั้ง โดย Lenovo มองว่า เทคโนโลยีที่จะมาช่วยผลักดันตลาดคือ AI ปัญญาประดิษฐ์ ที่จะเป็นขับเคลื่อนธุรกิจอุปกรณ์ของบริษัท เนื่องจาก AI เข้ามาเร่งความเร็วของการแปลงขององค์กรไปสู่ดิจิทัล
]]>บมจ. เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ (MPIC) ได้แจ้งกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บมจ. เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท แจ้งกับบริษัทว่าบริษัทได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นสามัญทั้งหมดที่บริษัทถืออยู่ใน MPIC คิดเป็นสัดส่วน 92.46% ให้กับ ขันเงิน เนื้อนวล หรือชื่อในวงการที่รู้จักกันดีอย่าง ขันเงิน ไทยเทเนียม
สำหรับการซื้อขายหุ้น MPIC ครั้งนี้ เป็นการซื้อขายด้วยวิธีการโอนหุ้น แบบมีใบหุ้น ซึ่งจะมีการทำรายการซื้อขายในวันที่ 26 พฤษภาคมนี้ หรือ วันอื่นใดที่คู่สัญญาได้ตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งดีลดังกล่าวมีมูลค่า 650 ล้านบาท
สำหรับดีลก่อนหน้านี้ ชินวัฒน์ อัศวโภคี ได้ทำการเข้าซื้อหุ้นของ MPIC ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นแร็ปเปอร์ชื่อดังจากวงไทยเทเนียมตามการแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ปัจจุบัน MPIC ประกอบธุรกิจลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจด้านภาพยนตร์ โดยผ่านทางบริษัทย่อยต่างๆ เช่น ธุรกิจเกี่ยวกับการจัดซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ และธุรกิจผลิตภาพยนตร์ไทย เพื่อจัดจำหน่ายผ่านโรงภาพยนตร์ พร้อมทั้งการขายลิขสิทธิ์ให้สื่อทางทีวีในรูปแบบของ Cable TV, Free TV, Internet, IPTV, Video on Demand เป็นต้น
โดยรายได้ของ MPIC ในปี 2022 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 292.55 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 24.97 ล้านบาท
]]>ที่จริงแล้วแบรนด์ CRAFT เป็นแบรนด์อุปกรณ์กีฬาที่มีอายุถึง 46 ปีแล้ว มีต้นกำเนิดที่ประเทศสวีเดน แต่ในประเทศไทยอาจจะยังไม่คุ้นเคยมากนัก เพราะเพิ่งมาทำตลาดเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง แต่ด้วยประเทศไทยมีเทรนด์ของการออกกำลังกาย ส่งผลให้ทั้งตลาดวิ่ง และตลาดอุปกรณ์กีฬาเติบโตได้อย่างน่าสนใจที่สุดในภูมิภาค CRAFT จึงปักหมุดประเทศไทยในการเปิดแฟลกชิพสโตร์แห่งแรกในโลกเลยทีเดียว
แต่เดิม CRAFT จะเน้นทำตลาดในโซนยุโรปเป็นหลัก มีการทำตลาดใน 60 ประเทศทั่วโลก แต่เพิ่งมาเริ่มบุกตลาดเอเชียอย่างจริงจังเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้มีการทำตลาดในเอเชียอยู่ 10 ประเทศ ได้แก่ จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ฮ่องกง, ไต้หวัน, ออสเตรเลีย, สิงคโปร์, ไทย, มาเลเซีย และบรูไน
แบรนด์ CRAFT เริ่มต้นจากการพัฒนาเทคโนโลยีเสื้อผ้า ได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากสำหรับเสื้อผ้าที่เลือกนำวัสดุจากการพัฒนาชุดนักบิน Air Force หรือกองทัพอากาศ มาใช้ในการพัฒนาสินค้าตั้งแต่ปี 1977 เนื่องจากนักบินต้องเจอความท้าทายทั้งอากาศร้อนมาก และหนาวมาก โจทย์ก็คือ ทำอย่างไรให้ร่างกายอยู่ในอุณหภูมิคงที่ได้
ผู้ก่อตั้งแบรนด์จึงได้ออกแบบผ้าที่เก็บอุณหภูมิให้อุ่น เวลามีเหงื่อก็กระจายให้อุ่นเร็ว หลังจากนั้นก้ได้มีการพัฒนาสินค้าเรื่อยๆ อีกหนึ่ง DNA ของแบรนด์ก็คือ การทำงานร่วมกับนักกีฬา ศึกษาความต้องการของนักกีฬา จนได้ค้นพบว่านักกีฬาของ CRAFT ต้องการ “รองเท้ากีฬา” ด้วย แบรนด์จึงพัฒนารองเท้าวิ่ง และได้ทำตลาดเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมานี้เอง มีจุดเด่นที่ความเบา ใช้ผ้าใยสังเคราะห์ระบายอากาศ และมีหน้าเท้ากว้างกว่าแบรนด์อื่นๆ
ประเทศไทยเองมีตลาดวิ่งที่ติดอันดับต้นๆ ของเอเชีย และใหญ่ทุ่สดในอาเซียน ตลาดรองเท้าวิ่ง รองเท้ากีฬามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเทรนด์ของจัดงานวิ่งก็เพิ่มมากขึ้นทุกปี
CRAFT ประเทศไทย บริหารงานโดย บริษัท เพลย์กราวน์ สามหกศูนย์ จำกัด เคยเป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์ NIKE ตั้งแต่ปี 2013 เจ้าของแฟลกชิพสโตร์ฟลายแห่ง และได้หมดสัญญาเมื่อปี 2020 จึงได้ปั้นร้าน Hoops Station ศูนย์รวมสินค้า และอุปกรณ์สำหรับกีฬาบาสเกตบอล และล่าสุดกับการทำตลาดแบรนด์ CRAFT
การที่ CRAFT จะเริ่มทำตลาดอย่างเป็นทางการในไทย ได้เริ่มทดลองตลาดด้วยการวางจำหน่ายตามช่องทางต่างๆ เช่น ซูเปอร์สปอร์ต และ REV Runnr เป็นเวลา 1 ปี เริ่มจากจำหน่ายสินค้ารองเท้าเพียงอย่างเดียวก่อน จนล่าสุดได้เปิดแฟลกชิพสโตร์แห่งแรกของโลกที่ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่
ถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการเปิดแฟลกชิพสโตร์แห่งแรกของโลกที่นี่ ทั้งๆ ที่ทำตลาดมาหลายแห่ง
ขวัญพงษ์ ชื่นฤดีมล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพลย์กราวน์ สามหกศูนย์ จำกัด ให้เหตุผลว่า
“พฤติกรรมของผู้บริโภคประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่มาเลือกสินค้าจะเน้นดูหลายๆ แบรนด์ ช็อปต่างๆ จึงเน้นรวมหลายๆ แบรนด์ไว้ที่เดียวกัน แต่พฤติกรรมคนไทยชื่นชอบในการเข้าร้านแบบโมโนแบรนด์ หรือช็อปเฉพาะของแบรนด์นั้นๆ ร้านที่แบรนด์มาเปิดเอง จึงทดลองโมเดลแฟลกชิพสโตร์ นำสินค้าทุกกลุ่มมารวมด้วยกัน คาดว่าจะนำโมเดลนี้ไปขยายต่อที่ไต้หวัน และสาขาอื่นๆ ในไทยอีกด้วย”
Craft Thailand Experience Store มีพื้นที่ 152 ตารางเมตร มีสินค้าครบทุกกลุ่มทั้ง Running Race และ Trail หรือ Hybrid ที่ใช้ได้ทั้ง Race และ Trail รวมไปถึง Training และ Cycling/Bike ซึ่งโดยปกติสาขาอื่นๆ จะเป็นพื้นที่ขายเฉพาะประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถรวมสินค้ากีฬาทุกประเภทเข้าไว้ด้วยกันได้ ทำให้แฟลกชิพสโตร์แห่งนี้แตกต่างจากสาขาอื่นๆ
สินค้าแต่ละประเภทมีการออกแบบมาเป็นสไตล์ Nordic ทั้งหมด ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า และอุปกรณ์ Accessories อย่างเช่นกระเป๋าที่มีความ Luxury look แต่ยังแฝงลูกเล่นไปกับดีไซน์เรียบหรู คลาสสิก ส่วนราคาในประเทศไทยจะเทียบเท่ากับสาขาอื่นๆ ในเอเชีย แต่อาจจะถูกกว่าที่สิงคโปร์เล็กน้อย (ขึ้นอยู่กับค่าเงินในตอนนั้น)
เป้าหมายภายใน 3 ปี จะขยายเพิ่มขึ้นอีก 3-5 สาขา ในปีนี้ยังไม่มีเปิดเพิ่ม และเน้นทำงานกับพาร์ตเนอร์คู่ค้าอย่างซูเปอร์สปอร์ต และเรฟ รันเนอร์ และปีนี้ตั้งเป้ามีรายได้ 200 ล้านบาท เติบโตปีละ 20%
]]>ศรีนานาพร เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดขนมขบเคี้ยวไทยมานานกว่า 30 ปี โดยเริ่มก่อตั้งในปี 2515 ในชื่อ ศรีวิวัฒน์ ซึ่งดำเนินการผลิตและจำหน่ายขนมปังบรรจุปี๊บ จนกระทั่งได้ขยับขยายมาเป็น บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) และได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ไปเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา
ปัจจุบัน บริษัทมีผลิตภัณฑ์หลากหลายมากขึ้น โดยแบ่งหลัก ๆ เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
ไม่ใช่แค่อยู่ในตลาดไทยมานาน แต่ SNNP ได้เริ่มขยายไปสู่ตลาดเพื่อนบ้านหรือ CLMV มานานนับ 10 ปีอีกด้วย และตั้งแต่ที่ SNNP เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ทิศทางของบริษัทก็ยิ่งชัดว่าต้องการไปให้ไกลมากกว่าตลาดไทยที่มีประชากรเพียง 60-70 ล้านคน แถมอัตราผู้สูงอายุยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ สวนทางกับอัตราเกิด ซึ่งกลุ่ม เด็ก ที่ถือเป็น เป้าหมายหลัก ของบริษัท
กลับกันประเทศอย่าง เวียดนาม ที่บริษัทเข้ามาทำตลาดนานกว่า 15 ปี ถือว่ามีโอกาสที่จะช่วยทำให้บริษัทสร้างการเติบโตได้มากกว่า ด้วยขนาดประชากรกว่า 98 ล้านคน ปีหน้าจะแตะ 100 ล้านคน ซึ่งแปลว่าตลาดมีขนาดใหญ่กว่าไทยแน่นอน รวมถึงรายได้ต่อหัวของเวียดนามก็มีการเติบโตทุกปี
ประกอบสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่งดเว้นภาษีเงินได้ใน 2 ปีแรก และลด 50% อีก 4 ปี บริษัทจึงทุ่มเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างโรงงานในเวียดนาม ทำให้ปัจจุบัน SNNP มีโรงงาน 6 แห่ง ได้แก่ ประเทศไทย 4 แห่ง, กัมพูชา 1 แห่ง และเวียดนาม 1 แห่ง
สำหรับโรงงานในเวียดนามนี้ จะตั้งอยู่ในเขตเวียดนามสิงคโปร์อินดัสเทรียลพาร์คหรือ VSIP ห่างจากโฮจิมินห์ 30 กิโลเมตร มีพื้นที่รวม 20,000 ตารางเมตร โดยใน เฟสแรก จะเริ่มผลิต ขนมขาไก่โลตัส ในไตรมาส 4 ปี 2565 นี้ ส่วน เฟส 2 จะเริ่มผลิตแบรนด์ เบนโตะ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 และ เฟสที่ 3 จะผลิตสินค้าแบรนด์ เจเล่ ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2566 โดยบริษัทได้วางแผนว่านอกจากจะผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเวียดนามแล้ว ก็พร้อมส่งออกไปยังประเทศในกลุ่ม CLMV และประเทศอื่น ๆ ในเอเชียด้วย
“ในปีหน้าสินค้าคงจะไม่ได้มาจากฐานการผลิตของเวียดนาม 100% คาดว่าจะยังนำเข้าจากไทยประมาณ 30-40% เพราะโรงงานยังไม่เสร็จเรียบร้อย ถ้าโรงงานแล้วเสร็จเมื่อไหร่ คาดว่าสัดส่วนการนำเข้าจะเหลือ 20% หรือถ้าโรงงานที่ไทยมีเหตุสะดุด เราก็เปลี่ยนไปผลิตที่เวียดนามได้” ฐากร ชัยสถาพร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจต่างประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP กล่าว
ย้อนไปปี 2564 รายได้จากประเทศเวียดนามอยู่ที่ 300 ล้านบาท แต่ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2565 บริษัททำรายได้ 218 ล้านบาท เติบโต 67% โดยสัดส่วนรายได้หลักของกลุ่มสินค้าขนมขบเคี้ยว 93% และเครื่องดื่ม 7% ปัจจุบัน รายได้อันดับ 1 มาจาก เบนโตะ ส่วนขาไก่โลตัส และเจเล่มีสัดส่วนเท่า ๆ กัน โดยภายใน 5 ปี บริษัทตั้งเป้ายอดขายในเวียดนามทะลุ 2,000 ล้านบาท เติบโต 7 เท่า
ที่ผ่านมาบริษัทใช้กลยุทธ์ Localization โดยมีการออกรสชาติเฉพาะที่ขายในเวียดนาม เช่น ขนมขาไก่โลตัสรสต้มยำและรสหมึกสไปซี่ หรือในส่วนของ เจเล่ ก็ใช้ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก เป็นพรีเซ็นเตอร์ เนื่องจากเป็นที่ชื่นชอบของคนเวียดนาม ส่วน เบนโตะ ก็เป็นที่ชื่นชอบของนักดื่ม และมีการใช้ในการทำ ชาเลนจ์ เพื่อทดสอบความเผ็ดอีกด้วย นอกจากนี้ยังได้ บริษัท Chance and Challenge Co., Ltd. หรือ CAC เป็นพันธมิตรนำเข้าสินค้าและช่วยกระจายสู่ร้านค้าทั่วไปถึง 140,000 แห่ง และร้านค้าปลีกสมัยใหม่ 8,275 แห่ง อีกด้วย
“ตลาดไทยกับเวียดนามต่างกัน ในไทยเราสู้กับผู้เล่นโลคอล แต่ในเวียดนามต้องสู้กับแบรนด์จากเกาหลี, ญี่ปุ่น ดีที่คนเวียดนามชื่นชอบและเชื่อมั่นในสินค้าไทยมาก ทำให้สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ภาษาไทยบนผลิตภัณฑ์ และเราก็พยายามออกรสใหม่ ๆ ที่แสดงถึงความเป็นไทย ใช้พรีเซ็นเตอร์ดาราไทยที่เขาชื่นชอบ” ฐากร อธิบาย
ปัจจุบันบริษัทได้แบ่งโมเดลการบุกตลาดต่างประเทศไว้ 3 ระดับ ได้แก่ 1.Full Scale คือ มีการลงทุนตั้งโรงงาน อาทิ ประเทศเวียดนามและกัมพูชา 2.Joint Venture และ 3.ส่งออกให้ดิสทริบิวเตอร์ ซึ่งถ้าตลาดไหนมีศักยภาพ บริษัทก็จะขยับสเต็ปการลงทุนไป
“ตอนนี้มีแค่ตลาด CLMV ที่เราทำแบบ Full Scale ครบวงจรและเรามองว่า 5 ปีจากนี้ตลาด CLMV ยังเติบโตได้ดี ส่วนตลาดเกาหลี, ฟิลิปปินส์ กำลังดูอยู่ นอกจากนี้มีตลาดจีน, ยุโรป และอเมริกาที่ยังแค่ส่งออก ไม่ได้ไปทำตลาดอะไรมากมาย”
ในช่วงครึ่งปีแรก SNNP มีรายได้จากการส่งออก 591 ล้านบาท แบ่งเป็นประเทศ CLMV 77% อินโดนีเซีย 4% และอื่น ๆ 19% โดยในปีหน้า คาดว่ารายได้จากประเทศเวียดนามจะคิดเป็นสัดส่วน 50% ของการส่งออก และภายใน 5 ปีจากนี้ (ปี 2569) บริษัทตั้งเป้าทำรายได้ 8,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ราว 40%
ฐากร ย้ำว่า SNNP ที่เคยเติบโตจากธุรกิจครอบครัว แต่ตอนนี้บริษัทกำลังทำตัวเป็นผู้เล่นระดับภูมิภาค และจากนี้บริษัทจะเป็นผู้เล่นหลักในตลาด CLMV โดยมีเป้าหมายสู่การเป็นผู้เล่นระดับโลกในอนาคต
]]>การเเพร่ระบาดในช่วงโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกไม่น้อย เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ทั้งสาขาในไทย เวียดนาม และอิตาลี
เเต่ในอีกมุมหนึ่ง เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ก็ทำให้ในส่วน ‘ค้าปลีกออนไลน์’ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก
‘ญนน์ โภคทรัพย์’ ซีอีโอของ CRC เล่าว่า หลังจากที่บริษัทได้พัฒนาระบบ Omni – Channel มาได้ราว 2 ปี
มีการเติบโตมากกว่า 500% ลูกค้าเข้ามาประมาณ 3 ล้านคนจากฐานลูกค้า 18 ล้านคน “เป้าหมายใน 5 ปีข้างหน้า เซ็นทรัล รีเทลต้องการเปลี่ยนลูกค้าจาก Single Channel เป็น Omnichannel ให้ได้ 50%”
ที่ผ่านมาพบว่า การซื้อสินค้าผ่าน Omni – Channel มีมากกว่า 2 เท่า เเละใช้จ่ายมากกว่าช่องทางเดียว 5 เท่า ทำให้สัดส่วนรายได้ที่มาจากช่องทางดังกล่าว ณ สิ้นปี 2564 คิดเป็น 20% ของเซ็นทรัล รีเทล เพิ่มจากปี 2563 ที่ 10%
สำหรับแผนงาน 5 ปี (2565-2569) จะเดินหน้าด้วยกลยุทธ์ ‘CRC Retailligence’ สร้างนวัตกรรมการค้าแห่งยุคอนาคต ผ่านการลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาท ขยายการเติบโตทุกกลุ่มธุรกิจทั้งอาหาร แฟชั่น ฮาร์ดไลน์ พร็อพเพอร์ตี้ ควบรวมและเเตกไลน์ธุรกิจใหม่
งบการลงทุน 1 เเสนล้านนั้น จะเเบ่งเป็น 75% สำหรับการขยายสาขาใหม่และปรับปรุงสาขาเดิม ส่วนอีก 25% จะใช้สำหรับลงทุนเทคโนโลยี
โดยตั้งเป้าผลประกอบการในปี 2569 จะเติบโตในทุกมิติ รายได้เติบโต 2.5 เท่า EBITDA เพิ่มขึ้น 3.5 เท่า และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า
ทั้งนี้ในไตรมาส 3 ปี 2564 มีรายได้ทั้งสิ้น 136,889 ล้านบาท แบ่งเป็นในประเทศไทย 70% เเละต่างประเทศคือ เวียดนาม 20% และอิตาลี 10%
เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น CRC ได้วางยุทธศาสตร์สำคัญไว้ ได้เเก่
ยกระดับแพลตฟอร์มออมนิแชนเนล ผ่านการเชื่อมโลกจริงและโลกเสมือนจริง ใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลใหม่ ๆ ทั้งฟู้ด แฟชั่น ฮาร์ดไลน์ พร็อพเพอร์ตี้ รวมถึงกลุ่มธุรกิจใหม่ ๆ ครอบคลุมทั่วประเทศทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี
เร่งการขับเคลื่อนและสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจหลักของเซ็นทรัล รีเทล ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สร้างธุรกิจใหม่ โดยเริ่มจากกลุ่ม wellness รวมถึงเซ็กเมนต์อื่น ๆ ที่เป็นไปตามเทรนด์ของโลก และความต้องการของผู้บริโภค
ขยายธุรกิจภายใต้แนวคิด Inclusive Growth สร้างความสำเร็จร่วมกันกับพาร์ตเนอร์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภค เเละสิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์โลกปัจจุบัน คือ
A New Consumer Paradigm: พฤติกรรมของผู้บริโภคจะพลิกไปสู่รูปแบบใหม่ทั้งในโลกจริงและโลกเสมือนจริง ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบเดิมอย่างสิ้นเชิงและรวดเร็ว
Scaling in the Era of Digital Acceleration : โลกจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยมีเทคโนโลยีและดิจิทัลเป็นตัวเร่ง
The Future of Wellness : ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นในการดูแลสุขภาพและการใช้ชีวิตให้ถูกสุขลักษณะ โดยจะมีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวเชื่อม ตอบโจทย์การดำเนินชีวิตได้ครบวงจร
Partnership for Inclusive Growth : การร่วมมือกันระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจจะมุ่งเน้นไปที่ความสำเร็จและการเติบโตไปด้วยกัน
Sustainability Agenda for All : การมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสังคมและดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญของทุกคนและทุกภาคส่วน
ผู้บริหาร CRC ระบุว่า บริษัทเริ่มมองเห็นสัญญาณบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คาดว่าปีนี้จะกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง
“กำลังซื้อของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มกลางถึงบน ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักของ CRC เเต่กำลังซื้อของผู้บริโภคระดับล่างยังค่อนข้างฝืด เพราะได้รับผลกระทบหนักที่สุด”
โดยมองว่า ภาครัฐควรเร่งผลักดันมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยให้มากขึ้น ที่สำคัญต้องสร้าง ‘ความเชื่อใจ’ ให้แก่ผู้บริโภค
สำหรับปัญหาด้านเงินเฟ้อ ค่าครองชีพเเละต้นทุนวัตถุดิบที่เเพงขึ้นในขณะนี้นั้น CRC ในฐานะผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ ได้ร่วมมือกับสมาคมค้าปลีก “พยายามตรึงสินค้าให้ได้มากที่สุด” หาสินค้าบางอย่างมาทดแทน พร้อมหารือกับคู่ค้าและซัพพลายเออร์ถึงวิธีการต้นทุนและราคาขายสินค้าต่างๆ เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถตรึงราคาสินค้าจนถึงสิ้นไตรมาส 1 ดูว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เเล้วจะนำมาพิจารณาเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาสต่อไป
เมื่อถามถึงโอกาสที่ ‘เซ็นทรัล รีเทล’ จะลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลหรือ คริปโตเคอร์เรนซี เเละจะมีการนำ Stablecoin มาใช้ในอนาคตหรือไม่นั้น
ญนน์ตอบว่า สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเทรนด์ที่หนีไม่พ้น ซึ่งจะต้องมีการบาลานซ์ในด้านการเทคโนโลยีและการใช้ชีวิต ส่วนในเรื่องการนำ Stablecoin มาใช้นั้น หากไม่ขัดกับนโยบายของธนาคารเเห่งประเทศไทย ก็พร้อมจะสนับสนุน แต่หากขัดต่อข้อกฎหมาย บริษัทก็จะไม่ดำเนินงานต่อ ซึ่งปัจจุบันก็มีการพัฒนา C-Coin ใช้ในองค์กรอยู่แล้ว
ด้านกระเเส Metaverse ที่กำลังตื่นตัวในหลายธุรกิจ ผู้บริหาร CRC มองว่า เป็นเทรนด์เเห่งโลกอนาคต ซึ่งทางบริษัทกำลังจะทดลองนำเเบรนด์หนึ่งในเครือเข้าไปอยู่ใน Metaverse เช่นกัน เเต่ขณะนี้ยังเป็นความลับ ซึ่งจะมีเปิดเผยในทราบกันในเร็วๆ นี้
]]>
ภาคการท่องเที่ยว ส่งสัญญาณการฟื้นตัวในช่วงปลายปี เห็นได้ชัดจากการที่คนไทยมากกว่า 65% ได้รับวัคซีนเเล้วอย่างน้อย 1 เข็ม เเละการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้งเมื่อ วันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา เเละฝั่งต่างประเทศก็เปิดรับนักท่องเที่ยวชาวไทยมากขึ้น โดย
“นักท่องเที่ยวชาวไทย กว่า 66% วางเเผนท่องเที่ยวในอีก 3 เดือนข้างหน้า”
จากผลสำรวจผู้บริโภคล่าสุดของ Traveloka ซูเปอร์เเอปด้านการท่องเที่ยวเเละไลฟ์สไตล์ พบว่า กิจกรรมยอดนิยมในช่วงปลายปี 64 ยังเป็นการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยว (30%) ตามมาด้วยการเข้าพักโรงเเรม (26%) เเละการเดินทางโดยเครื่องบิน (22%)
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ส่วนใหญ่เป็นในเมือง (74%) เที่ยวทะเล (15%) เเละภูเขา (12%) เเละลักษณะการท่องเที่ยวจะเป็นเดินทางท่องเที่ยวในประเทศกว่า 90% จองล่วงหน้าระยะ 7 วัน (52%) เข้าพักในโรงเเรมหรือรีสอร์ท (90%)
“ด้วยสถาณการณ์ที่ดีขึ้น มีสัญญาณเชิงบวกก็คาดว่าตลาดการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนมีความอยากเดินทาง เเละเริ่มวางเเผนเดินทางกันล่วงหน้าเเล้ว ทิศทางธุรกิจท่องเที่ยวในช่วงปีหน้าก็คงจะสดใส” ปณิชา ธนณาเคนทร์ ผู้จัดการฝ่ายขาย Traveloka ประจำประเทศไทย กล่าว
ความคืบหน้าในการกระจายวัคซีน ทำให้ Traveloka สามารถโปรโมตการท่องเที่ยวในไทยได้อีกครั้งรวมถึงเป็นโอกาสของการนำเสนอผลิตภัณฑ์บริการเเละฟีเจอร์ใหม่ๆ
เเละเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้กลับมาคึกคัก Traveloka จึงออกเเคมเปญ ‘ลดราคา’ ครั้งใหญ่ที่สุดเเห่งปี กับ ‘EPIC Sale 2021’ หวังช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อของลูกค้า เเละสนับสนุนผู้ประกอบการที่เป็นพาร์ตเนอร์ให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
Traveloka EPIC Sale คือโปรโมชันการท่องเที่ยวเเละไลฟ์สไตล์ที่มอบส่วนลดสูงสุดถึง 80% ทำตลาดในประเทศต่างๆ ทั่วอาเซียน อย่างอินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ เเละไทย
แคมเปญ EPIC Sale เริ่มจัดครั้งแรกในไทยมาตั้งเเต่ปี 2019 เเละได้รับเสียงตอบรับที่ดี ช่วยให้ทราฟฟิกในการใช้แอปพลิเคชัน Traveloka เพิ่มขึ้นถึง 40 เท่า ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 10 เท่าในช่วงเวลา EPIC Hour และจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 50 เท่า
สำหรับแคมเปญ EPIC Sale ในปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-11 พ.ย. 2021 ด้วยการจับมือพันธมิตรกว่า 1,800 ราย พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีเน้นสร้างเอ็นเกจเมนต์ให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วม อย่างกิจกรรม EPIC Livestream Referral ชวนเพื่อน รับคูปองเพิ่ม ในวันที่ 5,6, และ 11 พฤศจิกายน ที่ลูกค้าจะได้รับคูปอง EPIC เพิ่มขึ้นพิเศษจากการชวนเพื่อให้มาร่วมชมไลฟ์สตรีม
นอกจากนี้ยังมี EPIC Game ที่ให้ลูกค้าได้ร่วมเล่นเกมสนุก ๆ ใน Game Farm เพื่อรับคูปองเพิ่ม รวมไปถึง EPIC Hour ในช่วงเวลา 11:00 – 12:00 น. สำหรับตั๋วเครื่องบิน เวลา 13:00 – 20:00 น. สำหรับกิจกรรม Xperience และเวลา 19:00 – 20:00 น. ส่วนการจองที่โรงแรมที่พัก ลุ้นโชคได้ทุกวันบนแอปฯ Traveloka ในช่วงแคมเปญ EPIC Sale
ฝั่งผู้ประกอบการที่ได้ร่วมเเคมเปญ EPIC Sale 2021 อย่าง Hotel Plus Asia มองว่า ภาพรวมการท่องเที่ยวไทยเริ่มฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ ยอดจองที่พักสูงขึ้น หลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เเละระยะเวลาจองล่วงหน้าก็นานมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนมีการวางเเผนท่องเที่ยว รวมไปถึง Booking จากต่างประเทศก็มีมากขึ้นเช่นกัน ส่วนใหญ่จะเป็นตามหัวเมืองใหญ่ เข้าพักเเบบโรงเเรมเเละวิลล่า
ผู้ประกอบการก็มีการปรับตัว โดยเพิ่มความปลอดภัยเข้าไปมากขึ้น ตามมาตรฐาน SHA+ โดยคาดว่า เเคมเปญ EPIC Sale 2021 จะช่วยกระตุ้นการจองที่พักเพิ่มสูงขึ้นจากปกติถึง 50-70%
เเม้ทางทีมผู้บริหาร Traveloka จะไม่ได้เปิดเผยตัวเลขที่ตั้งเป้าไว้สำหรับเเคมเปญ EPIC Sale 2021 เเต่ก็ประเมินว่ากระเเสตอบรับจะดีเท่ากับปีก่อนๆ
โดยในช่วงวิกฤตโควิด-19 ทางเเพลตฟอร์มก็มีการปรับตัวเช่นกัน อย่างการหาโปรดักต์ใหม่ๆ ที่มี ‘ความยืดหยุ่น’ มากขึ้น เลื่อนได้ยกเลิกได้ เน้นไปที่ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว รวมไปถึงการพัฒนาเเอปพลิเคชันให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป พร้อมการกระตุ้นท่องเที่ยวในอินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม เเละเชื่อว่าในตลาดไทยก็จะมีเสียงตอบรับที่ดีเช่นเดียวกัน
]]>
วันนี้ (13 ก.ค.2564) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติมาตรการเยียวยา กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่สถานการณ์ควบคุมสูงสุด 10 จังหวัด ได้เเก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา วงเงินงบประมาณรวม 30,000 ล้านบาท
โดยจะช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการและมาตรการควบคุมการระบาด ซึ่งเพิ่มจาก 4 กลุ่มสาขาอาชีพ เป็น 9 กลุ่มสาขาอาชีพ คือ
(เดิม)
1. กิจการก่อสร้าง
2. กิจการที่พักแรมและบริการด้านอาหาร
3. กิจการศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ
4. กิจการกิจกรรมการบริการด้านอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ
(เพิ่ม)
5.การขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า
6.การขายส่งและการขายปลีก
7.การซ่อมยานยนต์
8.กิจกรรมการบริหารและสนับสนุนวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมวิชาการ
9.ข้อมูลข่าวสารและการศึกษา
กลุ่มแรงงานที่อยู่ในระบบและนอกระบบ ‘สัญชาติไทย’ มีดังนี้
ผู้ประกันตน มาตรา 33 จะได้รับเงินความช่วยเหลือ 2,500 บาท จำนวน 1 เดือน
ผู้ประกันตน มาตรา 39 และมาตรา 40 จะได้รับเงินช่วยเหลือคนละ 5,000 บาท จำนวน 1 เดือน
ผู้ที่ประกอบอาชีพที่ ‘ไม่ได้อยู่’ ในมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่ยังประกอบอาชีพอยู่ในปัจจุบัน ให้เตรียมหลักฐานเพื่อลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 กับสำนักงานประกันสังคม ภายในเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อที่จะได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท จำนวน 1 เดือน
ทั้งนี้ เป็นการเยียวยาเพิ่มเติม จากก่อนหน้านี้ (28 มิ.ย. 64) ที่ประกาศว่า
ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบ จะได้เงินชดเชย 50% ของฐานเงินเดือน รวมไม่เกินคนละ 10,000 บาท เเละจะได้รับเงินเพิ่มเติม จำนวน 2,000 บาทต่อราย
นายจ้างหรือผู้ประกอบการ จะได้รับเงินช่วยเหลือ 3,000 บาทต่อหัวของลูกจ้างในบริษัท สูงสุดไม่เกิน 200 คน เช่น ถ้ามีลูกจ้าง 10 คน เจ้าของร้านจะได้รับ 30,000 บาท
อ่านรายละเอียด : สรุปมาตรการเยียวยา ลูกจ้างเเละเจ้าของกิจการ “ร้านอาหาร-ก่อสร้าง” ช่วยจ่ายค่าแรง 50% นาน 1 เดือน รับเพิ่มหัวละ 2,000 บาท
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเคาะเยียวยา ‘ลดค่าน้ำ-ค่าไฟ’ ทั่วประเทศ เป็นระยะเวลา 2 เดือน (ก.ค.-ส.ค. 64) โดยใช้ฐานเดือนกุมภาพันธ์ ช่วยประชาชนช่วงโควิด วงเงินรวม 1.2 หมื่นล้าน
บ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150หน่วย/เดือน : ใช้ไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยแรก
บ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 150หน่วย/เดือน หากน้อยกว่าหรือเท่ากับเดือน ก.พ. 64 คิดค่าไฟฟ้าตามหน่วยการใช้ไฟฟ้าจริง
-กรณีมากกว่าเดือนก.พ. แต่ไม่เกิน 500 หน่วย/เดือน ให้จ่ายเท่ากับเดือน ก.พ. 64
-ระหว่าง 501-1,000 หน่วย/เดือน ให้จ่ายค่าไฟฟ้าเท่ากับเดือน ก.พ. 64+ 50% ของหน่วยไฟฟ้าที่เพิ่มจากเดือน ก.พ. 64
-เกิน 1,000 หน่วย/เดือน ให้จ่ายค่าไฟฟ้าเท่ากับเดือน ก.พ. 64+ 70% ของหน่วยไฟฟ้าที่เพิ่มจากเดือน ก.พ. 64 โดยให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
กิจการขนาดเล็ก(ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) ใช้ไฟฟ้าฟรี 100 หน่วยแรก
กิจการขนาดกลาง ขนาดใหญ่ กิจการเฉพาะ องค์กรไม่แสวงหากำไรและการสูบน้ำเพื่อการเกษตร ยกเว้นการเรียกเก็บอัตราค่าไฟฟ้าต่ำสุด (Minimum Charge) จนถึงสิ้นเดือนธ.ค. 64 โดยให้จ่ายค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (demand Charge) ตามกำลังไฟฟ้าที่ใช้จ่ายจริง
มีมาตรการลดภาระค่าน้ำประปาลง 10% เฉพาะบ้านที่อยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) ระยะเวลา 2 เดือน (ส.ค.-ก.ย. 64)
พร้อมจะมีมาตรการ ‘ลดค่าเทอม’ ในเทอมที่ 1 เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งทางกระทรวงการศึกษา กระทรวงการอุดมศึกษาฯ จะประกาศรายละเอียดต่อไป คาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาใน 1 สัปดาห์
]]>
เมื่อผู้คนอยู่ “หน้าจอ” กันมากขึ้น เสพสื่อหลากหลาย ผ่านทั้งช่องทีวีดั้งเดิม แพลตฟอร์ม OTT ต่างชาติ เเละโซเชียลมีเดีย การเเข่งขันของรายการทีวี วาไรตี้ เเละตลาดใหญ่อย่าง “ซีรีส์” ดุเดือดมากขึ้น ผลักดันให้เหล่าผู้ผลิตต้อง “คิดหาของใหม่” เร่งทำผลงานให้เข้าตาเเละเข้าใจผู้ชมยุค New Normal
ที่ผ่านมา เราคงคุ้นเคยกับชื่อของ “ทีวี ธันเดอร์” ผู้ผลิตคอนเทนต์ที่คร่ำหวอดมายาวนานในวงการบันเทิงไทยเกือบ 3 ทศวรรษ มีรายการในตำนานอย่าง “มาสเตอร์คีย์” ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากทั้งปัญหาเล็กใหญ่ ครั้งนี้ถึงกับยอมรับว่าการมาของ COVID-19 เป็นวิกฤตที่หนักหนาที่สุด
ท่ามกลางความท้าทายนี้ “ทีวี ธันเดอร์” มองทิศทางต่อไปที่จะ “ปรับภาพลักษณ์” จากผู้ผลิตรายการเกมโชว์ วาไรตี้ ละคร ส่งลงตามช่องทีวี หันไปเน้นผลิตซีรีส์ ป้อนให้ OTT มากขึ้น โดยเฉพาะตลาด “ซีรีส์วาย” ที่กำลังเนื้อหอมพร้อมๆ กับการปั้นนักเเสดง ให้มีเเฟนคลับต่างชาติที่มีกำลังซื้อหนา อย่างจีน รัสเซีย ฟิลิปปินส์เเละมาเลเซีย
ณฐกฤต วรรณภิญโญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) ทายาทรุ่นสองที่เข้ามาสืบทอดธุรกิจ เล่าให้ Positioning ฟังว่า ในไตรมาส 4 ของปีนี้ทีวี ธันเดอร์รับรู้รายได้ Black log 150 ล้านบาท จากการผลิตคอนเทนต์ป้อนแพลตฟอร์มต่างๆ ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นการ “ผลิตซีรีส์”
เดิมทีภาพลักษณ์ของทีวี ธันเดอร์ จะถูกมองว่าเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ประเภทรายการโทรทัศน์ป้อนทีวีสถานีต่างๆ อย่าง ช่อง 3 , ช่อง 8 , PPTV , ไทยรัฐทีวีเเละ True4U เเต่เมื่อมีกระเเสความนิยมการดูวาไรตี้เเละซีรีส์ผ่านเเพลตฟอร์ม OTT ที่เพิ่มขึ้น จึงเป็น “โอกาสทอง” ที่จะขยายไปเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดนี้
โดยบริษัทเริ่มความสำคัญต่อช่องทาง OTT ตั้งแต่ 3 ปีก่อน เริ่มจาก AIS play และ LINE TV ปัจจุบันได้ขยายไปในหลายแพลตฟอร์มอย่าง WeTV, NetFlix, POPS และ Viu ยิ่งในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เร่งให้ OTT ในไทยเติบโตได้เร็วขึ้น “ผลงานของคนไทย” จึงเป็นที่ต้องการของตลาดนี้มากขึ้น
“ทีวีธันเดอร์เป็นเบอร์แรกๆ ที่กลุ่ม OTT ต่างชาติเข้ามาเจรจาพูดคุยให้ผลิตคอนเทนต์ให้ โดยเฉพาะประเภทซีรีส์” ณฐกฤต กล่าว
ทีวี ธันเดอร์ จึงปรับรับด้วยการตั้งทีมงานใหม่ที่โฟกัสกลุ่มซีรีส์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะเทรนด์ซีรีส์วายที่กำลังเติบโตดังนั้นในปีนี้ไปจนถึงปีหน้า บริษัทจะเน้นผลิตคอนเทนต์ซีรีส์ให้เเพลตฟอร์ม OTT เป็นหลัก เช่น Manner of Death พฤติการณ์ที่ตาย ซึ่งเป็นซีรีส์สายวายที่จะทำป้อนให้กับทาง WeTV
“เรามองว่ากลุ่มผู้ชมซีรีส์สายวายมีการเติบโตขึ้น ไม่จำกัดเเค่กลุ่มผู้หญิง เเต่มีกลุ่มผู้ชายเเละหลากหลายช่วงวัย ด้วยความที่ตลาดนี้เริ่มมีผู้เล่นเข้ามาเยอะ ผู้ผลิตหลายเจ้าหันมาจับกระเเสนี้ เราจึงพยายามจะทำคอนเทนต์ให้เเตกต่าง อาจจะทำเป็นซีรีส์วายที่ไม่เน้นความโรเเมนติกจ๋ามาก เเต่หันไปเน้นพล็อตเรื่องที่ซับซ้อน เป็นเรื่องราวการสืบสวน สอบสวน”
ก่อนหน้านี้ ทีวี ธันเดอร์ เคยประสบความสำเร็จจากซีรีส์วายที่ฉายบน LINE TV อย่าง “Together With Me อกหักมารักกับผม” เกิดกระเเสคู่จิ้น “แม็กซ์-ตุลย์” หรือ แม็กซ์-ณัฐพล ดิลกนวฤทธิ์ เเละตุลย์-ภากร ธนศรีวนิชชัย สองนักเเสดงนำที่ตอนนี้มีเเฟนคลับกว่า 30 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในจีน รัสเซีย ฟิลิปปินส์เเละมาเลเซีย ซึ่งจะเป็นเเนวทางให้ บริษัทบุกเเผน “ปั้นนักเเสดงหน้าใหม่” ออกมาอีกในช่วงต่อไป
“ภาพรวมของการลงทุนการผลิตคอนเทนต์จากนี้ไปจนถึงปีหน้า อาจจะต้องใช้มากขึ้นราว 20% ถือว่าเป็นปีที่กลับมาลงทุนสูงอีกครั้ง จากปกติที่มีการลงทุนราว 300 ล้านบาทต่อปี”
ทั้งนี้ ปัจจุบันทีวี ธันเดอร์ ทำคอนเทนต์ป้อนเเพลตฟอร์ม OTT ในสัดส่วน 50% เท่าๆ กับช่องทางทีวี ซึ่งเเผนต่อไปจะขยายทำส่ง OTT มากขึ้น ตามความนิยมของตลาดคนดู
โดยล่าสุด บริษัทมีการผลิตคอนเทนต์ทั้งหมด 5 รายการ ซีรีส์เเละละคร 7 เรื่อง ยกตัวอย่าง เช่น มาสเตอร์คีย์ , Take Me Out Thailand , ใครเบอร์หนึ่ง Who is No. 1 , Show Me The Money thailand ซีซั่น 2 , ละคร หลวงตามหาชน , ละคร คุณแจ๋วกะเพราไก่คุณชายไข่ดาว , ซีรีส์ เสน่หาสตอรี่ , ซีรีส์ Manner of Death พฤติการณ์ที่ตาย , Take Me Out Reality , ราคาพารวย the Price is Right Thailand เเละ Take Guy Out Thailand
เเม้ทิศทางของทีวี ธันเดอร์ จะมุ่งไปเน้นการทำซีรีส์ป้อน OTT เเต่ก็ยังย้ำว่า “จะไม่ทิ้งทีวี” เพราะมีฐานผู้ชมเหนียวเเน่นมายาวนาน รายการวาไรตี้เเละรายการบันเทิงในตลาดทีวีไทยก็ยังได้รับความนิยมต่อเนื่องเเละเพิ่มขึ้น โดยในปีหน้ากำลังเจรจากับทางช่องต่างๆ อยู่ คาดว่าจะมีออกมาอย่างน้อย 2 รายการ
โดยคอนเทนต์ฮีโร่ของทีวี ธันเดอร์ ได้เเก่ Take Me Out Thailand , Show Me The Money thailand เเละ ซีรีส์ที่เพิ่งเปิดตัวไปอย่าง Manner of Death พฤติการณ์ที่ตาย
ณฐกฤต เล่าเกร็ดเล็กๆ ให้ฟังว่า ปกติเเลัวอายุของรายการทีวีที่มีกระเเสดีมากๆ จะอยู่ราว 3-4 ปี เพื่อไม่ให้คอนเทนต์ซ้ำเเละคนดูยังไม่เบื่อเกินไป เเต่ Take Me Out Thailand อยู่มาเเล้ว 7 ปีก็ถือว่ามาไกลกว่าที่คิดไว้มาก “อนาคตของ Take Me Out Thailand ก็คงไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก เเต่เราจะไปเน้นที่การรักษาคุณภาพ รักษาระดับที่เคยทำไว้ให้ดีเท่าเดิมมากกว่า”
เเม้ตลาดคอนเทนต์จะเติบโตขึ้น แต่ก็ยังมีความท้าทายอยู่มาก ผู้บริหารทีวี ธันเดอร์มองว่า สิ่งที่ผู้ผลิตคอนเทนต์ต้อง ตามให้ทัน คือ “รสนิยมของผู้ชม” ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีความหลากหลาย ทำให้ต้องทำการบ้านกันเยอะขึ้น อีกทั้งการทำคอนเทนต์ส่งลงช่องทางต่างๆ ก็จะทำการตลาดที่ไม่เหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มคนดูทีวี ส่วนใหญ่จะอายุ 35 ปีขึ้นไป ชอบดูอะไรที่คุ้นเคย เข้าใจง่าย ไม่ชอบดูอะไรที่ซับซ้อนมาก ส่วนกลุ่มผู้ชมผ่านแพลตฟอร์ม OTT ส่วนใหญ่จะอายุต่ำกว่า 25 ปี ต้องการความเเปลกใหม่ ไม่ซ้ำซาก ไม่ยืดยาว มีความเปิดกว้างกว่า
“ละครผ่านทีวีจะเน้นเป็นบทประพันธ์นักเขียนรุ่นเก่า เเต่ซีรีส์ผ่าน OTT จะเป็นนักเขียนรุ่นใหม่ที่ทำผลงานโด่งดังในโลกโซเชียล ซึ่งทีวี ธันเดอร์ กำลังมองหาบทซีรีส์ใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น ซึ่งตอนนี้เราก็มีทีมงานคอยเสาะหานักเขียนใหม่ๆ บทใหม่ๆ ตามเเพลตฟอร์มต่างๆ อยู่ตลอด”
ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ว่าปีนี้ถือเป็นวิกฤตที่หนักที่สุดของวงการนี้ โดยผู้บริหารรุ่นก่อตั้งอย่าง “ภัทรภร วรรณภิญโญ” ซีอีโอของทีวี ธันเดอร์ เปิดเผยว่า ตั้งเเต่เดือนมี.ค.ช่วงนั้นแทบไม่ได้ออกไปถ่ายทำรายการหรือซีรีส์ เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ต่างๆ ทำให้รายได้รวมในครึ่งปีนี้ติดลบ 20% เป็นปีแรก ขณะที่ตลาดรวมติดลบไป 30%
“คาดว่ารายได้ในปีนี้ไม่ได้โตไปกว่าปีก่อน และคิดว่าจะลดลงราว 10%”
สัดส่วนรายได้ของบริษัท หลักๆ มาจากการรับจ้างผลิตคอนเทนต์ 60% โฆษณา 35% เเละอื่นๆ 5% โดยในส่วนอื่นๆ นี้ เเบ่งเป็นการจัดอีเวนต์ การทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งให้เเบรนด์ต่างๆ รวมถึงรายได้ที่เกิดจากช่องทางโซเชียลมีเดียของทั้งบริษัท
โดยทีวี ธันเดอร์ มีช่องทางออนไลน์ของตัวเองที่สามารถนำมาต่อยอดทำรายได้ เพื่อพยุงรายได้ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งการพีอาร์นักเเสดง การรับเเอดโฆษณา รายได้ค่าวิดีโอจากเเพลตฟอร์ม อย่าง Youtube เเละ Facebook ซึ่งปัจจุบันช่องทาง Youtube มีตัวเลขผู้ติดตามอยู่ที่ 5.79 ล้านคน ทาง Facebook ของเพจ TV Thunder มีผู้ติดตาม 2.2 ล้านคน Twitter 4,600 คน ยอดผู้ติดตามใน Instagram 92,000 คน และเพจรายการ Take Me Out Thailand มีผู้ติดตามมากที่สุดในเครือที่ 7.8 ล้านคน
“เรามีการหารายได้อื่นๆ พยายามจะเป็น One Stop Service ทั้งผลิตคอนเทนต์ให้ โปรโมตทำมาร์เก็ตติ้งให้ได้ จัดอีเวนต์ได้ มีฐานโซเชียลที่เเข็งเเกร่ง”
ภัทรภร ทิ้งทายว่า สิ่งที่ทำให้ทีวี ธันเดอร์ ยังอยู่ได้มาเกือบ 3 ทศวรรษ ผ่านมรสุมมามากมายทั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง การปฎิวัติ น้ำท่วมใหญ่เเละตอนนี้คือ COVID-19 นั้นก็คือ “การปรับตัวอยู่เสมอ” การที่ตลาดคอนเทนต์โตในช่วงนี้ ก็ถือเป็นโอกาสที่ดี เเละเชื่อว่าธุรกิจจะผ่านวิกฤตไปได้
]]>
“ภาณุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ” ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมออกสินค้าใหม่ในวันที่ 27 สิงหาคมนี้ พิซซ่าสไตล์นิวยอร์กขนาดยักษ์ XXL 18 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่าพิซซ่าถาดกลางปกติ 2 เท่า และพัฒนาแป้งชนิดใหม่ เป็นแป้งบางกรอบที่ให้รสสัมผัสคล้ายกับพิซซ่าโฮมเมด สามารถเลือกหน้าได้ทุกหน้าตามปกติ และมีหน้าพิเศษเฉพาะคือหน้าเห็ดทรัฟเฟิลแฮมแอนด์เบคอน ราคาโปรโมชันเปิดตัว 399 บาทต่อถาด
นอกจากนี้ ยังออกเมนูอาหารทานเล่นพร้อมกัน 4 อย่าง คือ ปีกไก่บัฟฟาโล่ นิวยอร์กแมคแอนชีส พอร์คริบส์ และนิวยอร์กชีสเค้ก ทั้งหมดนี้ให้บริการเฉพาะนั่งทานในร้านอาหารแบบเต็มรูปแบบทั้งหมด 211 สาขา ส่วนแบบสั่งเดลิเวอรี่และจำหน่ายในร้านสาขาแบบบริการตนเอง (ร้านแบบที่เน้นเป็นจุดส่งเดลิเวอรี่) จะมีจำหน่ายในไซส์เล็กกว่าคือ 15 นิ้ว
“ตอนนี้ร้านนั่งทานเปิดได้แล้ว แต่คนก็ยังไม่กลับมาที่ร้านเรามากนัก มีคนเข้ามาเพียง 50% จากช่วงก่อน COVID-19 ระบาด ทำให้เราพยายามที่จะออกสินค้าใหม่เพื่อดึงดูดให้คนกลับมาที่ร้าน” ภาณุศักดิ์กล่าว
โดยเขาเสริมว่า ช่วงที่รัฐบาลสั่งล็อกดาวน์ร้านอาหารแบบนั่งทาน ทำให้ยอดขายฝั่งเดลิเวอรี่ของ The Pizza Company เติบโตอย่างมากและกลายเป็นช่องทางขายหลัก (รายได้ไตรมาส 2/63 ของร้านเติบโต 24.7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน – ข้อมูลจาก set.or.th) ทำให้มองว่าลูกค้าที่สั่งพิซซ่าทานบ่อยๆ ในช่วงล็อกดาวน์ เมื่อร้านอาหารแบบนั่งทานเปิดได้แล้ว จึงหันไปเลือกร้านอาหารอื่นๆ แทน
ส่วนยอดขายเดลิเวอรี่ในช่วงหลังคลายล็อกดาวน์ก็เริ่มตกลงบ้าง แต่ยังทำได้ดีกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาด COVID-19 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังต้องดึงลูกค้ามานั่งทานอาหารที่ร้านให้ได้มากกว่านี้ เพราะปกติแล้วยอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จของลูกค้านั่งทานในร้านจะสูงกว่าแบบเดลิเวอรี่ประมาณ 20%
ก่อนหน้านี้ที่ยังต้องเน้นยอดขายเดลิเวอรี่ The Pizza Company มีการจัดโปรโมชัน 1 แถม 1 นานถึง 2 เดือน คือ มี.ค.-เม.ย. 63 และยังออกโปรฯ นี้เป็นระยะๆ เพื่อสร้างยอดขาย นับได้ว่าเป็นช่วงที่จัดโปรฯ แรงที่สุดในรอบ 20 ปี
แต่เมื่อจะดึงลูกค้ามาที่ร้านก็ต้องหาอะไรที่ “ต้อง” เข้าร้านเท่านั้นถึงจะได้ประสบการณ์นั้นไป จึงออกมาเป็นสินค้าใหม่พิซซ่าไซส์ยักษ์ดังกล่าว โดยภาณุศักดิ์กล่าวว่า เชื่อว่าคนไทย 90% ยังไม่เคยลิ้มลองหรือเคยเห็นพิซซ่าขนาดใหญ่เท่านี้มาก่อน ดังนั้น จะได้ภาพถ่ายและประสบการณ์ไปบอกต่อแน่นอน จึงเป็นกิมมิกการตลาดที่ช่วยให้คนมาที่ร้าน
นอกจากมีพิซซ่ายักษ์แล้ว ร้านจะมี “พรอพ” ประกอบฉากให้ เช่น กระดาษปูโต๊ะลาย I love NYC, สายวัดพิสูจน์ความใหญ่ 18 นิ้ว, มงกุฏเทพีเสรีภาพ ทำให้การมาที่ร้านสนุกขึ้น
ในแง่รสชาติอาหารก็เป็นแป้งแบบใหม่ดังกล่าว จะเข้ากับเทรนด์พิซซ่าที่คนไทยเริ่มนิยมมากขึ้นคือกลุ่มแป้งบางกรอบสไตล์โฮมเมด แถมยังตอบโจทย์ “ความคุ้ม” เพราะราคา 399 บาท เสมือนเพิ่มเงิน 100 บาทได้พิซซ่าถาดใหญ่กว่าพิซซ่าถาดกลางของร้านถึง 2 เท่า
ภาณุศักดิ์กล่าวว่า บริษัทเตรียมพัฒนาสูตรพิซซ่าสไตล์นิวยอร์กนี้มากว่า 1 ปีแล้ว เดิมตั้งใจจะเก็บไว้ออกจำหน่ายปี 2564 เพื่อรอโมเมนตัมตลาดกลับมาคึกคักก่อน แต่สถานการณ์ลูกค้าในร้านเงียบเหงาแบบนี้ ทำให้ต้องหาทางแก้โจทย์ และยอมเสี่ยงนำเมนูใหม่ออกมาจำหน่ายเลย
“นอกจากลงทุนซื้อถาดวางพิซซ่าใหม่หมดเพราะถาดวางแบบเดิมใหญ่ไม่พอ เรายังลงทุนการตลาดอีก 10 ล้านบาทกับสินค้าตัวนี้ ผมว่าช่วงเวลาแบบนี้ก็เป็นเงินลงทุนที่เยอะนะ ร้านอื่นๆ มักจะไม่ลงทุนออกอะไรใหม่ช่วงนี้เพราะตลาดไม่ค่อยดี” ภาณุศักดิ์กล่าว
เรียกว่าเป็นการวัดใจกับลูกค้าด้วยเมนูที่บริษัทมองว่าเป็น “ไม้ตาย” โดยตั้งเป้าดันจำนวนลูกค้านั่งทานในร้านขึ้นเป็น 70-80% ของช่วงก่อน COVID-19 ที่ไม่หวังถึง 100% เพราะสภาพเศรษฐกิจยังซบเซาและนักท่องเที่ยวยังกลับเข้าประเทศไม่ได้เต็มที่ ทำให้สาขาต่างจังหวัดและชานเมืองถือว่าทรงๆ ใกล้เคียงก่อน COVID-19 แต่สาขากลางเมืองกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวกระทบรุนแรง
จนถึงปัจจุบัน The Pizza Company กลับมาเปิดบริการครบทุกสาขาแล้ว แต่มีการปิดสาขาถาวรไป 5 แห่งตั้งแต่เกิดสถานการณ์ COVID-19 ระบาด คือ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์, เดอะ มาร์เก็ต, มาบุญครอง, จังซีลอน ภูเก็ต และเซ็นทรัล ลาดพร้าว สำหรับ 4 สาขาแรกเห็นได้ชัดว่าเกิดจากขาดนักท่องเที่ยว แต่สาขาเซ็นทรัล ลาดพร้าวปิดไปเพราะหมดสัญญาพอดี โดยพิจารณาไม่ต่อสัญญาเพราะดีลราคาค่าเช่ายังไม่ลงตัว
น่าสนใจว่าแบรนด์มาแรงสวนกระแสช่วง COVID-19 อย่าง The Pizza Company จะพลิกเกมยืนระยะต่อได้หลังคลายล็อกดาวน์หรือไม่!
]]>