บมจ. – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 19 Mar 2024 05:05:50 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘ทิสโก้’ เปิดตัว ‘TISCO My Goal’ โปรแกรมออกแบบแผนการเงิน เตรียมขยาย Advisory Branch เน้นลูกค้ามั่งคั่งสูง https://positioningmag.com/1466709 Tue, 19 Mar 2024 01:37:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466709 ทิสโก้ (TISCO) เปิดตัวแอปพลิเคชัน ‘TISCO My Goal’ โปรแกรมออกแบบแผนการเงิน ทำให้ลูกค้าสามารถไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้ ไม่ได้จำกัดแค่มนุษย์เงินเดือน ขณะเดียวกันก็เตรียมขยาย Advisory Branch เน้นกลุ่มลูกค้าความมั่งคั่งสูง

พิชา รัตนธรรม ประธานเจ้าหน้าที่ธุรกิจธนบดี และบริการธนาคาร ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงนวัตกรรมการแพทย์ก้าวหน้าทำให้อายุเฉลี่ยของคนทั่วโลกมีแนวโน้มยืนยาวขึ้น ซึ่งผลที่เกิดขึ้นทำให้คนไทยมีอายุที่ยืนยาวมากกว่าเดิม อย่างไรก็ดีคนไทยจำนวนไม่น้อยกลับมีปัญหาเรื่องการวางแผนการเงินที่ถูกต้อง เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลกลับสูงมากขึ้น

ด้วยสาเหตุดังกล่าวทำให้ ธนาคารทิสโก้ ต้องการเข้ามาที่จะเป็นผู้ช่วยการวางแผนทางการเงิน โดยชู 3 ประเด็นใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เพิ่มความพร้อมด้านการเงิน ผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อย่างเช่น ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ไปจนถึงประกันบำนาญ สนับสนุนเรื่องการดูแลสุขภาพ รวมถึง เพิ่มความพร้อมด้านที่อยู่อาศัยวัยเกษียณ

นอกจากนี้ธนาคารฯ​ ยังได้พัฒนา TISCO My Goal โปรแกรมวางแผนการเงินที่ครอบคลุมทั้งกองทุน ประกัน เงินฝาก รวมถึงวางแผนมรดกให้แก่ทายาท ซึ่งจะเป็นเครื่องมือช่วยให้เจ้าหน้าที่ธนกิจส่วนบุคคล (RM) นำไปใช้ออกแบบแผนการเงินเพื่อการเกษียณให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย หรือแม้แต่ลูกค้าจะสามารถนำไปวางแผนการเงินเบื้องต้นผ่านเว็บไซต์ หรือผ่านแอปพลิเคชัน TISCO My Wealth หรือแม้แต่ช่องทาง LINE OA TISCO Advisory

ประธานเจ้าหน้าที่ธุรกิจธนบดี และบริการธนาคาร ของธนาคารทิสโก้ ยังได้กล่าวว่าทาง TISCO เตรียมที่จะเปิดสาขาให้บริการที่ปรึกษาทางการเงิน หรือ Advisory Branch เพื่อให้บริการลูกค้าความมั่งคั่งสูง โดยเจ้าหน้าที่ RM ของธนาคารทิสโก้ทุกรายได้รับใบอนุญาตผู้แนะนำการลงทุน (IC License) และธนาคารทิสโก้ยังส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ RM ทุกสาขาได้รับคุณวุฒิที่ปรึกษาการเงิน (AFPT®) และนักวางแผนการเงิน (CFP®) อีกด้วย

สำหรับสาขาแรกของ Advisory Branch จะอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารทิสโก้ ซึ่งจะมีกำหนดเปิดภายในเดือนมีนาคมนี้ ก่อนที่จะมีการขยายสาขาไปยังที่ต่างๆ ในภายหลัง นอกจากนี้ใน Advisory Branch ยังจะมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้ในเรื่องการเงิน ด้านสุขภาพ หรือแม้แต่ด้านไลฟ์สไตล์อย่างสม่ำเสมอ

ในด้านที่ปรึกษาทางการเงิน ธนาคารยังได้ชูจุดแข็งถึงการจัดทำบทวิเคราะห์จากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) และยังรวมถึงบทวิเคราะห์ที่แนะนำการลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลกที่เป็นภาษาไทยให้กับลูกค้า และยังรวมถึงโมเดลธุรกิจ Open Architecture ที่สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์การเงินแบบไม่จำกัดค่าย จะทำให้ลูกค้าได้ผลประโยชน์สูงสุด

โดย TISCO ได้ตั้งเป้าขององค์กรที่จะเป็น Top Advisory และมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) เพิ่มขึ้น ในปี 2024 ราวๆ 10-15% 

]]>
1466709
เปิดแผน ‘ทรู’ ปี 2024 พร้อมตอบคำถามการทำ ‘Virtual Bank’ และความพร้อมประมูลคลื่นใหม่ในอนาคต https://positioningmag.com/1465594 Sat, 09 Mar 2024 05:05:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465594 ครบ 1 ปีเรียบร้อยสำหรับ ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เกิดจากการควบรวมระหว่าง ทรูและดีแทค โดยสามารถดึงลูกค้ามาเพิ่มได้ถึง 5 แสนราย รวมเป็น 51.9 ล้านราย และมีรายได้รวม 202,765 ล้านบาท แม้จะขาดทุน 15,689 ล้านบาท แต่ EBITDA ก็เติบโตได้ติดต่อกัน 4 ไตรมาส และปีนี้ทรูตั้งเป้าเติบโตที่ 3-4% โดยมีกลยุทธ์หลักคือ ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า

มั่นใจปีนี้สัญญาณและบริการจะยิ่งดีขึ้น

ปีที่ผ่านมา ทรูได้พัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) แล้วมากกว่า 2,400 เสาทั่วประเทศ สำหรับปีนี้ ทรูจะทำเพิ่มอีกประมาณ 8,000 เสาทั่วประเทศเพื่อให้ครบ 10,000 เสา โดยวางงบลงทุนไว้ 3 หมื่นล้านบาท อีกทั้งเชื่อว่าหากการควบรวมระบบสัญญาณเสร็จสมบูรณ์จะยิ่งทำให้คุณภาพสัญญาณดีขึ้น จากเดิมเป็นการเปิดโรมมิ่งเพราะการควบรวมยังไม่เสร็จสมบูรณ์

“พอการควบรวมแล้วลูกค้าทรู-ดีแทคจะสามารถใช้สัญญาณได้ครบจากทุกเสา เมื่อทุกเสาจะใช้คลื่นได้หมด คุณภาพก็จะดีหมดทั้ง ไม่ว่าจะเป็นความครอบคลุมและความเร็ว” มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าว

ในส่วนของการขยายโครงข่าย 4G, 5G ก็ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของ 5G ทรูตั้งเป้าจะขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมการใช้งาน 99% ภายในปี 2573 ปัจจุบัน ทรูมีลูกค้า 5G รวมทั้งหมด 10.5 ล้านราย ส่วนลูกค้าบรอดแบนด์ทรูออนไลน์  3.8 ล้านราย

“ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการใช้งาน 5G ประมาณ 20% ขณะที่ประเทศเกาหลีใต้มีสัดส่วนการใช้งานสูงถึง 45% ส่วนญี่ปุ่น 26% ดังนั้น ไทยยังมีโอกาสเติบโต”

นอกจากนี้ ทรูมีแผนที่จะรวมทั้งหมดที่มี 9 แอป ให้เหลือ แอปเดียว เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าทั่วไปและพาร์ตเนอร์องค์กร โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3

นำเอไอมาใช้ทั้งกับลูกค้าและลูกจ้าง

นอกจากนี้ ทรูจะนำเทคโนโลยี AI มาใช้ทั้งเรื่องการขยายเครือข่ายและเพิ่มสัญญาณแบบเจาะลึกเฉพาะพื้นที่ทั่วประเทศ และการให้บริการลูกค้าแบบ Personalize เพื่อออกแบบบริการและนำเสนอสิทธิประโยชน์ที่เฉพาะเจาะจงตรงไลฟ์สไตล์ลูกค้าแต่ละบุคคลได้มากขึ้น รวมถึงปรับปรุง มะลิ สู่ Gen2 ที่จะทำให้ฉลาดขึ้น มีความใกล้เคียงมนุษย์ ช่วยแก้ปัญหาทั้งของลูกค้าและพนักงานคอลเซ็นเตอร์ได้แบบเรียลไทม์

ในส่วนของพนักงานภายในองค์กร ทรูมีการรีสกิลและอัปสกิลพนักงาน โดยที่ผ่านมามีการพัฒนาพนักงานไปแล้วกว่า 2,400 คน และปีนี้จะเพิ่มเป็น 5,000 คน

“การใช้เอไอเพื่อเพิ่มคุณภาพการทำงานถือเป็นประเด็นสำคัญของโลกในตอนนี้ ดังนั้น เราต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงในองค์กร โดยความรู้และทักษะเก่าไม่พอ ต้องอัปสกิล รีสกิลเพื่อใช้งานหรือสร้างเอไอ”

ยืนยันไม่เคยลดคุณภาพ แต่ผู้บริโภคใช้เยอะไม่รู้ตัว

มนัสส์ ยังยืนยันว่า ทรูไม่มีการลดคุณภาพสัญญาณ แต่มองว่าพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการคอนซูมคอนเทนต์วิดีโอซึ่งใช้แบนด์วิดท์สูง ทำให้ผู้บริโภคใช้งานดาต้าเพิ่มขึ้นไม่รู้ตัว ซึ่งทรูพบว่าการใช้งานดาต้าเพิ่มขึ้น 20% และระยะเวลาในการใช้งานดิจิทัลเซอร์วิสเพิ่มขึ้นจากวันละ 4.40 ชั่วโมง เป็น 5.38 ชั่วโมงต่อวัน

“คอมเพลนมีตลอด เราพยายามจะตอบสนองให้ดีที่สุด เพราะไม่มีเน็ตเวิร์กไหนไม่ถูกคอมเพลน ซึ่งการคอมเพลนของเราลดลง ความพอใจลูกค้าดีขึ้น และปีนี้จะทำให้ดีขึ้นอีก ลูกค้าจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน” มนัสส์ ย้ำ

ขอกสทช. มีความชัดเจนเรื่องจัดสรรคลื่น และจะทำ Virtual Bank ต้องมีพาร์ตเนอร์

จากกรณีที่คลื่นความถี่ 850 MHz, 2100 MHz, 2300 MHz ของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ซึ่งจะหมดอายุในเดือน ก.ย.2568 ทางกสทช. ก็เตรียมนำคลื่นความถี่ดังกล่าวรวมถึงคลื่น 3500 MHz มาเปิดประมูล ซึ่งทาง มนัสส์ ยังไม่สามารถบอกได้ว่าทางทรูจะเคลื่อนไหวอย่างไร เนื่องจากอยากเห็น ความชัดเจนของกสทช. ว่าจะกำหนดกติกา, กำหนดเวลา รวมถึงราคาว่าเป็นอย่างไร เพื่อให้วางแผนในการลงทุนได้

“ทรูสนใจไหมขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ต้องพิจารณาปัจจัยแวดล้อม เช่น คลื่นไหนที่จะจัดสรร ไทม์ไลน์ และราคา เพราะต้องยอมรับก่อนว่าไทยเป็นประเทศที่มีคลื่นความถี่ที่แพงที่สุดในโลก แพงกว่าสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป และถ้าจะให้เราทำงานได้ดี วางเเผนได้ดี กสทช. ก็ต้องมีความชัดเจน”

ในส่วนของการทำ Virtual Bank ทาง มนัสส์ ยังบอกไม่ได้ว่าทรูจะทำหรือไม่ทำ แม้ว่าปัจจุบันทรูจะมีแพลตฟอร์ม TrueMoney ก็ตาม โดย มนัสส์ ระบุว่า หากทรูจะทำ Virtual Bank จะเป็นลักษณะของพาร์ตเนอร์ชิปเท่านั้น ไม่ทำเองคนเดียวเด็ดขาด

]]>
1465594
หลักทรัพย์บัวหลวง ชี้ปี 67 หุ้นไทยมีโอกาสแตะ 1,600 จุด ลุ้นเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติไหลกลับได้ https://positioningmag.com/1455363 Tue, 12 Dec 2023 13:01:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455363 บล.บัวหลวง มองหุ้นไทยปีหน้านั้นอาจมีโอกาสแตะ 1,600 จุดได้ โดยได้ปัจจัยจากเศรษฐกิจฟื้นตัว การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจมีสิทธิ์ลดอัตราดอกเบี้ยได้ 1 ครั้งได้

ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงสภาวะของหุ้นไทยยังทำผลตอบแทนได้แย่กว่าหลายตลาดหุ้น ถ้าหากมองในเทอมค่าเงินบาทแล้วหุ้นไทยจะมีผลตอบแทน -17% แต่ถ้ามองในเทอมค่าเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นลดลงถึง -20%

เขาได้ให้สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยทำผลตอบแทนได้แย่ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ คือการปรับลดตัวเลขคาดการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น ตัวเลขส่งออกขยายตัวต่ำกว่าคาด จำนวนนักท่องเที่ยวต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าคาด และยังรวมถึงการลงทุนภาครัฐหดตัวจากการเปลี่ยนถ่ายรัฐบาลบริหารประเทศ

ขณะที่ตลาดหุ้นที่น่าสนใจ รวมถึงสินทรัพย์อื่นๆ ชัยพร ได้ให้มุมมองว่า ตัชนี Nasdaq กลับมาใกล้จุดสูงสุดเดิมแล้ว แต่ถ้าคนลงทุนหุ้นรายตัวอาจยังไม่ได้ผลตอบแทนกลับมาแต่อย่างใด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ก็ให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี

ในส่วนของหุ้นญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนค่อนข้างดีในรูปของเงินเยน แต่ถ้าปรับด้วยค่าเงินดอลลาร์แล้วแทบผลตอบแทนแทบไม่ไปไหน ทางด้านตลาดเวียดนามตอนนี้อยู่ใกล้ๆ กับช่วงก่อนโควิด ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งตอนนี้ต่ำกว่าช่วงการแพร่ระบาดของโควิดแล้ว

ทางด้านสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันดิบนั้นให้ผลตอบแทนเป็นบวกไปแล้ว 20% รวมถึงทองคำที่ให้ผลตอบแทนมากถึง 25%

ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ – กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง

ในส่วนของมุมเศรษฐกิจมหภาค ชัยพร มองว่าขณะนี้ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกาถือว่าสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปี ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายระยะยาวของสหรัฐนั้นโดยเฉลี่ยจะอยู่ในช่วง 2-2.5% ทำให้เขามองว่าตอนนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายกำลังผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่อง

ทำให้ปี 2567 เขาคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเองก็จะลดลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมา หรือแม้แต่ต้นทุนทางการเงินจะเริ่มลดลง ทุกอย่างค่อยๆ ดีขึ้น ดีขึ้น ความกดดันด้านการเงินตอนนี้อาจอยู่ปลายทางแล้ว เขายังมองว่างบการเงินของบริษัทต่างๆ อาจกระทบบ้าง บริษัทจดทะเบียนที่ยังไม่ต้องออกหุ้นกู้อาจประวิงเวลาออกไปได้ อาจใช้วิธีกู้เงินจากธนาคารก่อน แล้วค่อยออกหุ้นกู้ทีหลัง

แต่ถ้าบริษัทที่มีหุ้นกู้อยู่ ชัยพรมองว่าบริษัทเหล่านี้อาจ Roll Over หุ้นกู้ระยะสั้นๆ ไม่เกิน 2-3 ปีเท่านั้น เพราะมองว่าอัตราดอกเบี้ยลดลง บริษัทไม่อยากมีต้นทุนทางการเงินระยะยาวสูงมากๆ

ทางด้านของทวีปเอเชีย ธนาคารกลางแต่ละประเทศอาจมีการลดอัตราดอกเบี้ยที่ไวกว่า จากเหตุผลคือเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าขณะเดียวกันในภาพรวมทำในปี 2567 นั้นเขาค่อนข้างชอบ ตลาดหุ้นกำลังพัฒนาที่อยู่ในทวีปเอเชีย (EM Asia) เนื่องจากมีกำไรของตลาดที่ดี และอาจทำให้ไทยได้ผลพลอยได้จากเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาตรงนี้ด้วย

จะเห็นว่ากำไรของตลาดหุ้นในทวีปเอเช่ียในปี 2567 นั้นกำไรเติบโตแทบทุกตลาด  (ตาราง Consensus EPS 2024E) – ข้อมูลจาก บล. บัวหลวง

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ทาง บล. บัวหลวงคาดการณ์ว่าจะเติบโตประมาณ 3.8% จากปีนี้ที่คาดไว้ 2.7% หากโครงการ Digital Wallet เกิดขึ้น แต่ถ้าหากโครงการนี้ไม่เกิดเศรษฐกิจไทยก็ยังคงเติบโต 3.2% ขณะที่เงินเฟ้อของไทยในปีหน้านั้นจะลดลง และเขาคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังได้ 1 ครั้ง

ขณะที่หุ้นไทยในปี 2567 นั้น ประเมินเป้าหมายดัชนีระดับ 1,600 จุด โดยมองปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวมากขึ้น เช่น การเบิกจ่ายของภาครัฐ ความหวังของนโยบายรัฐบาลที่มีความชัดเจนมากขึ้น และยังรวมถึงกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยอาจเติบโตประมาณ 15% ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยอัตราเติบโตกำไรของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย

กลุ่มหุ้นไทยที่ บล. บัวหลวงแนะนำลงทุน ได้แก่ กลุ่มธนาคารไทย กลุ่มโรงไฟฟ้า ที่ได้ผลดีจากค่า FT และต้นทุนการผลิตลดลง กลุ่มเกษตรแปรรูป รวมถึงกลุ่มค้าปลีก ที่ได้รับผลดีจากการบริโภคในประเทศ ขณะที่กลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน คือ อสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากกำลังซื้อชะลอจากการคุมสินเชื่อ

โดยกลยุทธ์การลงทุนในปี 2567 นั้น บล. บัวหลวง แนะนำกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่าง ๆ อันดับ 1 คือ ตราสารหนี้สัดส่วน 43% มองเป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุดในครึ่งปีแรก เพราะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่จะเห็นการปรับตัวลดลงทั่วโลกแต่ต้องเป็นตราสารหนี้คุณภาพ เพราะแม้จะเห็นแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยลดลง แต่ไม่ได้ลงเร็ว อันดับ 2 คือ ทองคำ สัดส่วน 12% ในขณะที่คนมองเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ดอกเบี้ยลดลงทั่วโลก ทองคำจะช่วยป้องกันความเสี่ยง อันดับ 3 คือ ตราสารทุน หรือหุ้น สัดส่วน 45% (หุ้นไทย 7% และหุ้นต่างประเทศ 38%)

]]>
1455363
บางจากเผยแบรนด์ไอเดีย “สมดุลธรรมชาติ สรรค์พลังไม่สิ้นสุด” ในการเปลี่ยนผ่านสู่นวัตกรรมสีเขียว https://positioningmag.com/1451469 Sun, 12 Nov 2023 15:37:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1451469 บางจาก ได้เผยแบรนด์ไอเดีย “สมดุลธรรมชาติ สรรค์พลังไม่สิ้นสุด” ในการเปลี่ยนผ่านสู่นวัตกรรมสีเขียว ผู้บริหารสูงสุดมีมุมมองเรื่องของกระบวนการธรรมชาติที่ยั่งยืน ทำให้มีการเปลี่ยนผ่านที่ดีขึ้น รวมถึงการรักษาสมดุลในเรื่องต่างๆ

ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงการสื่อสารแบรนด์ไอเดีย “Greenovate to Regenerate สมดุลธรรมชาติ สรรค์พลังไม่สิ้นสุด” 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ ของบางจากได้กล่าวว่า แบรนด์บางจากได้ให้ความสำคัญกับการรักษา ‘สมดุล’ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสมดุลระหว่างมูลค่าในการดำเนินธุรกิจ และคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมและสังคม สมดุลในการคำนึงถึงเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและการกำกับดูแลกิจการอย่างมีความรับผิดชอบ รักษาสมดุลระหว่างความท้าทายด้านพลังงาน เป็นต้น

โดย ชัยวัฒน์ ได้กล่าวถึงเรื่องของ Greenovate นวัตกรรมสีเขียว ที่ผ่านมาบริษัทได้ทำเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำ B5 หรือ B7 ที่นำน้ำมันดีเซลมาผสมไบโอดีเซล ขณะเดียวกันบริษัทก็ได้ทำ Solar Farm ขนาดใหญ่ รวมถึงในปีที่ผ่านมายังได้ทำน้ำมันเครื่องบินโดยใช้น้ำมันจากการปรุงอาหารแล้วด้วย

CEO ของบางจากยังได้กล่าวว่าบริษัทมองว่าเรื่องสีเขียวคือเรื่องการประกอบธุรกิจ ไม่ใช่แค่การทำ CSR หรือแม้แต่เรื่องของ ESG ซึ่งบริษัทคำนึงถึงเรื่องดังกล่าวนับตั้งแต่อดีต ที่มีการตั้งปั๊มน้ำมันตามสหกรณ์ต่างๆ มาแล้ว เป็นต้น

ขณะที่ในเรื่องของ Regenerate หรือที่บริษัทได้กล่าวถึงเรื่องการสรรค์พลังใหม่ๆ เพื่อการเดินทางอย่างยั่งยืน และพลังงานสะอาด ไปจนถึงพลังที่เติมให้กับชีวิตผ่านเครื่องดื่มต่างๆ และพลังแห่งความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อร่วมบรรเทาวิกฤตสภาวะภูมิอากาศ โดยมองกระบวนการธรรมชาติที่ยั่งยืน ทำให้มีการเปลี่ยนผ่านที่ดีขึ้น

ภาพจากบริษัท

นอกจากนี้บางจากเองยังมองถึงเรื่องความ ‘สมดุล’ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสมดุลระหว่างมูลค่าในการดำเนินธุรกิจ และคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมและสังคม สมดุลในการคำนึงถึงเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและการกำกับดูแลกิจการอย่างมีความรับผิดชอบ รักษาสมดุลระหว่างความท้าทายด้านพลังงาน

ปัจจุบันบางจากมีธุรกิจหลัก 5 ธุรกิจได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน กลุ่มธุรกิจการตลาด กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ รวมถึงกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ โดยผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2023 บริษัทมีรายได้รวม 252,250 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 14,210 ล้านบาท

ชัยวัฒน์ ยังมองถึงการเปลี่ยนผ่านไปยังนวัตกรรมสีเขียว เปรียบเหมือนใบไม้ใบไม้ใหม่  และบริษัทยังได้เปลี่ยน Vision Mission รวมถึง Core Value ของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาด้วย เพื่อสอดรับกับเรื่องดังกล่าว

นอกจากนี้บริษัทเองยังได้เปิดตัวโฆษณาชุดใหม่ความยาว 5 นาที ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและลงมือทำตามความฝันของตน สะท้อนพลังและจิตวิญญาณที่ไม่หยุดนิ่งของบริษัทด้วย

ขณะที่เรื่องของการส่งต่อเรื่อง DNA ของความเป็นบางจากนั้น ชัยวัฒน์มองว่าเหมือนเป็นการซึมซับมาจากพนักงานต่างๆ และเขายังกล่าวว่าบางจากเป็นเป็นไม่กี่บริษัทที่มี KPI เกี่ยวกับด้าน ESG ให้กับพนักงานด้วย หรือให้พนักงานทำ CSR ในส่วนหนึ่งของการทำงานได้ เช่น การซื้อน้ำมันพืชจากเพื่อนบ้าน เพื่อที่จะเอาไปทำน้ำมันเครื่องบิน เป็นต้น

]]>
1451469
หลักทรัพย์บัวหลวงมองเป้า SET Index สิ้นปี 1,625 จุด ชี้ปัจจัยบวกด้านการเมืองหนุนหุ้นไทยฟื้นตัวได้ https://positioningmag.com/1442778 Tue, 29 Aug 2023 14:03:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1442778 บล.บัวหลวง มองเป้าดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีที่ 1,625 จุด ชี้ปัจจัยบวกด้านการเมือง ภาคการส่งออกที่อาจฟื้นตัวในช่วงสิ้นปี หรือแม้แต่ภาคการท่องเที่ยวไทย ส่งผลทำให้หุ้นไทยกลับมาฟื้นตัวได้ ขณะเดียวกันก็มองว่าขาลงหุ้นไทยอยู่ในจุดจำกัดแล้ว

ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง (BLS) ได้กล่าวถึงมุมมองในเรื่องตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาว่าตลาดต่างประเทศเช่น เยอรมัน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ถือว่าเป็นขาขึ้น ดูดีกว่าหุ้นไทย ซึ่งล่าสุดกำไรจดทะเบียนของหุ้นไทยนั้นไม่เติบโต ส่งผลทำให้นักวิเคราะห์ปรับเป้าหมายหุ้นไทยลงมาแม้แต่ตลาดหุ้นจีนก็ปรับลงมาเหมือนกัน

เขายังกล่าวถึงประเด็นบวกคือเงินเฟ้อลดลงทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาพลังงานกับราคาอาหาร โดย BLS มองราคาน้ำมันดิบ West Texas อยู่ราวๆ 70-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และมองว่าราคาน้ำมันจะปรับขึ้นไปแรงๆ ไม่น่ามีแล้ว กำลังการผลิตสำรองของน้ำมันดิบสามารถรองรับได้ แตกต่างกับอดีต

ขณะเดียวกัน ชัยพรมองเศรษฐกิจเอเชียในปี 2023-2024 การเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียยังเติบโตได้อย่างโดดเด่น และอัตราเงินเฟ้อยังลดลง ส่งผลทำให้อัตราจับจ่ายใช้สอยได้ประโยชน์มากขึ้น เขายังคาดว่าปีหน้าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางน่าจะปรับลดลงได้

ทางด้านเศรษฐกิจจีน ถ้าหากหดตัวหรือฟื้นตัวช้ากว่าคาดหรือมีปัจจัยทำให้เศรษฐกิจและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของจีนแย่ไปกว่าเดิม ชัยพรมองว่าจะส่งผลกระทบกับไทยทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยว การลงทุน หรือแม้แต่การดัมพ์ราคาสินค้าสู่ประเทศอาเซียนหรือตลาดโลก ซึ่งสินค้าบางอย่างจากจีนเป็นคู่แข่งโดยตรงกับผู้ผลิตในไทยทำให้บริษัทไทยค้าขายยากขึ้น

ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ – กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง

สำหรับเศรษฐกิจไทย เขามองว่าอยู่ในช่วงท้ายๆของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยของเอเชียกับไทยอยู่ในจุดสูงสุด มองคุณภาพหนี้ ในการปล่อยสินเชื่อ ธนาคารยังปล่อยแบบระมัดระวัง จะเห็นว่าคำขอการกู้ซื้ออสังหาถูกปัดตกมากถึง 50% ช่วงเวลาปกติจะไม่เกิน 25% ขณะที่ระดับหนี้ภาคครัวเรือนไทยยังสูงกว่า 80%

ชัยพรมองว่าเรื่องนี้ถือเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ เพราะหนี้ภาคครัวเรือนและหนี้ภาครัฐเมื่อเทียบ GDP อยู่ในระดับชนเพดาน เมื่อเทียบกับรัฐบาลในอดีตที่หนี้ต่ำกว่าสามารถออกนโยบายได้มากกว่า ดังนั้นการกระตุ้นหรือการกู้เงินจะทำได้ค่อนข้างลำบากและต้องระมัดระวัง

ข่าวดีของเศรษฐกิจไทยที่ชัยพรมองคือ ภาคการส่งออกของไทยที่อาจดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ รวมถึงภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดีเขาคาดว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาไทยจะอยู่ที่ราวๆ 25 ล้านคน สาเหตุจากนักท่องเที่ยวจีนที่ออกนอกประเทศช้ากว่าคาด เนื่องจากค่าตั๋วเครื่องบินและค่าโรงแรมมีราคาแพงขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเน้นท่องเที่ยวภายในประเทศมากกว่า

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ และต่างประเทศที่น่ากังวลในเชิงการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น

  • เรื่องนโยบายภาครัฐ การบริหารเงิน Digital Wallet หัวละ 10,000 บาทสำหรับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป
  • ความพยายามแก้ไขกฎหมายให้มีการจัดเก็บกำไรของผู้ที่ลงทุนในตลาดหุ้น รวมถึงการเก็บภาษีซื้อขายหุ้น
  • การปรับค่าแรงขั้นต่ำ
  • นโยบายด้านพลังงานน้ำมันและไฟฟ้า
  • เศรษฐกิจจีน

มุมมองสำหรับหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 2023 กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง มอง Sentiment หุ้นไทยดูดีมากขึ้นหลังจากได้รัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมองว่าโอกาสที่หุ้นไทยจะตกลงเหลือน้อยมาก โดยมองกรอบด้านล่างดัชนีหุ้นไทยที่ 1,500 จุด ส่วนกรอบบนอยู่ที่ 1,625 จุด

หุ้นที่ได้ประโยชน์หลังจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศที่จะได้รับประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัว และนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล กลุ่มธนาคาร กลุ่มธุรกิจด้านการท่องเที่ยว รวมถึงหุ้นกลุ่มจัดเก็บหนี้

ขณะที่หุ้นกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคก่อสร้าง กลุ่มขนส่งเดินเรือ รวมถึงหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี

สำหรับการจัดพอร์ตลงทุน BLS แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ภาคเอกชน Investment Rating สัดส่วน 32% ทองคำ 13% ส่วนที่เหลือแนะลงทุนในตลาดหุ้น 55% โดยตลาดหุ้นต่างประเทศที่เราชอบ คือ เวียดนาม ฮ่องกง และสหรัฐฯ

]]>
1442778
ร่วมสืบสานเทศกาลสายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย River Festival 2022 ครั้งที่ 8 “รักษ์ ณ สายน้ำ” https://positioningmag.com/1406697 Sun, 06 Nov 2022 04:00:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1406697

กลับมาอีกครั้งกับ River Festival 2022 เทศกาลสายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย ครั้งที่ 8 เทศกาลแห่งวัฒนธรรมที่ทุกคนรอคอย ในปีนี้มาในคอนเซ็ปต์ “รักษ์ ณ สายน้ำ” จัดขึ้นในช่วงวันที่ 5 – 8 พฤศจิกายน 2565 เป็นการสืบสานวัฒนธรรมผ่านท่าน้ำสำคัญของไทย

River Festival 2022 เป็นอีกหนึ่งโปรเจ็กต์ยักษ์ใหญ่ที่ช่วยสืบสานประเพณีดีงามส่งท้ายปีของทุกปีในช่วงเทศกาลลอยกระทง  ซึ่งในปีนี้ได้กลับมาจัดงานแบบเต็มพื้นที่อีกครั้งหลังสถานการณ์โควิด–19 ได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 8 แล้ว เพื่อต่อยอดคุณค่าทางวัฒนธรรม กับประเพณีลอยกระทง และมงคลอันดีงามของไทย ตอกย้ำการเป็นเทศกาลวัฒนธรรมที่คำนึงเรื่องความยั่งยืนเป็นหลัก ได้แก่ มิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ผ่านการดูแลรักษ์โลก รณรงค์ไม่เพิ่มขยะในแม่น้ำ ลำคลอง การลอยประทีปในบ่อลอยประทีป  เรียนรู้เรื่องการคัดแยกขยะต่างๆ

งาน River Festival เป็นการร่วมมือกันของภาครัฐ และเอกชน โดยมีบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด ( มหาชน) เป็นหัวเรือใหญ่ ผนึกกำลังร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า กรุงเทพมหานคร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมด้วยองค์กรภาคีอีกหลายภาคส่วน ในการเนรมิตความงดงามให้กับเทศกาลลอยกระทง

โดยในปีนี้ได้จัดงานขึ้นที่ 10 ท่าน้ำร่วมสมัย ริมแม่น้ำเจ้าพระยา วัดโพธิ์, วัดอรุณฯ, วัดระฆังฯ, วัดกัลยาฯ, วัดประยูรฯ, ศาลเจ้ากวนอู (คลองสาน), ท่ามหาราช, เดอะล้ง 1919, สุขสยาม ณ ไอคอนสยาม และเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ มีทั้งแหล่งประวัติศาสตร์อย่างวัดสำคัญๆ ที่มีชื่อเสียงยาวนานมานับร้อยปี พื้นที่แห่งวัฒนธรรมของชุมชนเก่าแก่ ไปจนถึงแหล่งชอปปิ้ง และแหล่งแฮงก์เอาท์ยอดนิยมของทั้งชาวไทย และต่างประเทศ ซึ่งแต่ละแห่งก็ล้วนแต่มีความน่าสนใจทั้งในเรื่องสถานที่ ประวัติความเป็นมา รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆ ที่รังสรรค์ขึ้นมาด้วยการผสมผสานกับวัฒนธรรมของชุมชน เพื่อร่วมสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

เริ่มจาก “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” หรือ วัดโพธิ์ ซึ่งจะเปิดให้ได้สักการะพระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) และ จุดประทีปรอยพระพุทธบาทจำลอง เพื่อสร้างมงคลร่มเย็นเป็นสุขในชีวิต ร่วมลอยประทีปเทียนหอม ชมนิทรรศการพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวที่จัดแสดงโดยทางวัด รับชมการแสดงดนตรี และนาฎศิลป์จากสถานศึกษาในชุมชน และพบกับการออกร้านจากชุมชนรอบวัดโพธิ์  มาเยี่ยมชมวัดได้ทั้ง 2 ท่าเรือคือ ท่าน้ำวัดโพธิ์ ซอยประตูนกยูง และ ท่าเตียน

ข้ามฟากไปยังอีกฝั่งแม่น้ำที่ “วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร” ที่ก็เปิดให้ร่วมสักการะพระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก สวดมนต์ เจริญสมาธิ และเวียนเทียนพระปรางค์ 4 ทิศ ขอพรหลวงพ่อรุ่งอรุณ เสริมสิริมงคลให้กับตนเอง พบกับการออกร้านค้าจากชุมชน จุดถ่ายภาพเครื่องแขวนดอกไม้มาตกแต่งประดับด้วยแสงไฟ  และรับชมการแสดงดนตรีและนาฎศิลป์จากสถานศึกษาในชุมชน การแสดงดนตรีร่วมสมัยและการแสดงวัฒนธรรมแขนงต่างๆ และร่วมลิ้มลอง หลากหลายเมนูขนมไทยจากร้านค้าชุมชน ที่มาออกร้านที่ลานเสน่ห์ขนมไทย

และร่วมรับฟังเสวนา River Talk  ที่ว่าด้วยเรื่องราวของประวัติศาสตร์ ทานได้ ผ่านตำรับขนมหวานของท้าวทองกีบม้า หรือ มารีอา กียูมาร์ ดึ ปีญา (มารี กีมาร์) ที่ผสานศาสตร์ขนมหวานของสองวัฒนธรรมโปรตุเกส และไทย จนเกิดเป็นขนมไทยหลากหลายเมนู ที่เราคุ้นหู และกลายเป็นเมนูโปรดของใครหลายๆ คน

ใกล้ๆ กันนั้นที่ “วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร” ก็เปิดให้สักการะพระประธานยิ้มรับฟ้า พระประธานวัดระฆังฯ สักการะ รูปหล่อ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สักการะ พระปรางค์วัดระฆัง สักการะพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และเยี่ยมชมตำหนักแดง พบกับการออกร้านค้าจากชุมชน รับชม การแสดงดนตรีและนาฎศิลป์จากสถานศึกษาในชุมชน

สำหรับที่ “วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร” ถือเป็นอีกหนึ่งวัดสำคัญในประวัติศาสตร์ ที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต หรือพระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อซำปอกง) มีการเปิดให้ทำบุญหีบสมบัติเจ้าสัวโต มงคลมั่งคั่งจีนเสริมสิริมงคล พร้อมถ่ายภาพกับ เรือสำเภาจำลอง รับชมการแสดงดนตรีและนาฎศิลป์ จากสถานศึกษาในชุมชน

ถัดมาในละแวกเดียวกัน เพียงลอดผ่านสะพานพุทธ ก็เจอกับ “วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร” ที่ก็มีให้ร่วมสักการะพระพุทธธรรมวิเชษฐศาสดา พระประธาน สักการะพระบรมสารีริกธาตุ และ สักการะพระพุทธนาค พร้อมรับฟังบรรยายธรรมโดยท่านพระพรหมบัณฑิต กิจกรรมพิธีสวดกระทงขอขมาพระแม่คงคา ลอยประทีปเทียนหอมบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และเดิน ชอป ชิม ชิลล์จากร้านค้ามากมาย เพลิดเพลินไปกับจุดถ่ายภาพหมูกระดาษซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน  เข้าชม การเขียนจิตรกรรมฝาผนังวิหารพระพุทธนาคนำชมโดยเยาวชนเจ้าบ้าน

นอกจากทั้ง 5 วัดสำคัญที่กล่าวมาแล้ว อีก 5 ท่าน้ำก็มีบรรยากาศแห่งความเพลิดเพลินของเทศกาลลอยกระทงไม่น้อยหน้ากัน ไล่มาตั้งแต่ “เอเชียทีค เดอะริเวอร์ ฟร้อนท์” พื้นที่หัวใจสำคัญของการจัดงาน River Festival ที่จัดได้อย่างยิ่งใหญ่อลังการมาทุกปี ด้วยการเป็นศูนย์การค้าริมแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ถูกเนรมิตให้เป็นฉากจำลองการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยและกิจกรรมที่หลากหลาย ให้คุณได้อิ่มเอมไปกับประเพณีลอยกระทง พร้อมตระการตากับทัศนียภาพริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในบรรยากาศงานวัดที่มีทั้งเครื่องเล่น และความบันเทิงมากมาย พร้อมทั้งมีคอนเสิร์ตจากศิลปินหลากหลายที่มาร่วมสร้างความสุขทุกวัน ได้แก่  เปาวลี พรพิมล, Yes Indeed, ลาดา อาร์สยาม และ Better Weather

ข้ามไปยังฝั่งธนบุรีที่ “สุขสยาม ณ ไอคอนสยาม” ดื่มด่ำบรรยากาศ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วไปเพลิดเพลินกับอาณาจักรของแหล่งช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่นไทยและร้านอาหารหลากหลายจาก 4 ภาคของไทย

SOOKSIAM รักษ์ ณ สายน้ำ ชมวิถี ยลสีสัน ความงามแห่งสายน้ำ สุขสืบสาน ชุมชน 4 ภาค รักษ์สิ่งแวดล้อม วันที่ 1 – 10 พ.ย. 65  ที่เมืองสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม

ล่องริมน้ำไปอีกไม่ไกลกัน เป็นอีกหนึ่งจุดที่ถือเป็นไฮไลท์อย่าง “ล้ง 1919” กับการลอยกระทงในบรรยากาศของวัฒนธรรมจีน โดยการร่วมสักการะ “หม่าโจ้วแห่งบ้านหวั่งหลี” ที่มีอายุ 200 ปี ชื่นชมสถาปัตยกรรมและจิตกรรมฝาผนังโบราณอันงดงาม พร้อมกับ หนังกลางแปลง ตลอด 4 วัน

และขยับต่อไปอีกนิด ที่ท่าน้ำ ศาลเจ้ากวนอู (คลองสาน) ซึ่งนับเป็นพื้นที่ใหม่ล่าสุดที่เพิ่งร่วมเป็นหนึ่งในสถานที่จัด River Festival ในปีนี้เป็นปีแรก ศาลเจ้ากวนอู (คลองสาน) ถือเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย เทพเจ้ากวนอูองค์เล็กสุดเป็นองค์แรกที่เข้ามาในประเทศไทยราวปี พ.ศ. 2279  ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ โดยชาวจีนฮกเกี้ยนได้อัญเชิญมาจากมณฑลฮกเกี้ยนทางเรือ  เชื่อกันว่าสมเด็จพระเจ้าตากสิน เคยเสด็จมาสักการะเทพเจ้ากวนอูที่ศาลแห่งนี้ ก่อนที่จะกรีธาทัพไปทำสงคราม   พบกับกิจกรรม ได้ร่วมสักการะ เทพเจ้ากวนอูแล้ว  ประทีปเทียนลอยหอม พร้อมช้อป ร้านค้าชุมชน ต่างๆ

ปิดท้ายที่ “ท่ามหาราช” แหล่งแฮงก์เอาท์ของเหล่าวัยรุ่นที่ให้คุณได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพของแม่น้ำเจ้าพระยา สัมผัสกับบรรยากาศดีๆ พบร้านอาหารมากมายที่จะมาช้อป ชม ชิม มีมุมถ่ายชิลล์ ชิลล์ริมแม่น้ำ ร่วมสนุกสนานกับการประกวดมิสวันเพ็ญ

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน River Festival 2022 สามารถสัมผัสบรรยากาศได้ทั้งรูปแบบออฟไลน์ หรือออนไลน์ได้ที่ www.riverfestivalthailand.com หรือ เฟซบุ๊ก riverfestivalthailand

]]>
1406697
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคฯ ยืนหนึ่งผู้นำตลาดบ้านริมทะเลสาบ เดินหน้าเปิด 3 โครงการใหม่ พร้อมจุดเด่นทะเลสาบขนาดใหญ่ https://positioningmag.com/1385795 Thu, 19 May 2022 13:00:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1385795

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดโครงการบ้านริมทะเลสาบขนาดใหญ่พร้อมกันถึง 3 ทำเล ตอกย้ำผู้นำตลาดบ้านริมทะเลสาบ ครอบคลุมฝั่งตะวันออกและตะวันตก “เลค เลเจ้นด์ บางนา – สุวรรณภูมิ” “เลค รีสอร์ท ราชพฤกษ์ – ปทุมธานี” และ “เลค ฟอเรสต์ ราชพฤกษ์ตัดใหม่” พร้อมจับมือพันธมิตรชั้นนำในไทยและต่างประเทศ ร่วมกลยุทธ์สร้างความแตกต่างทั้งแนวคิดโครงการ การดีไซน์อย่างมีสไตล์ และนวัตกรรมก่อสร้างจากต่างประเทศ

“แนวคิดการพัฒนาโครงการที่มีทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่ใจกลางโครงการถือเป็นความเชี่ยวชาญและ ความโดดเด่นของบริษัทฯ โดยที่ผ่านมาการเปิดตัวโครงการบ้านริมทะเลสาบจะได้รับความสนใจ และมีการตอบรับเป็นอย่างดีทุกครั้ง” นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าว

ล่าสุด พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดตัว 3 โครงการใหม่ “เลค เลเจ้นด์ บางนา – สุวรรณภูมิ” “เลค รีสอร์ท ราชพฤกษ์ – ปทุมธานี” และ “เลค ฟอเรสต์ ราชพฤกษ์ตัดใหม่” โดยเป็นการต่อยอด ในการพัฒนาโครงการบ้านริมทะเลสาบ ให้มีจุดเด่นที่แตกต่างกันเพื่อสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัย ริมทะเลสาบครั้งใหม่ เน้นรองรับการขยายตัวของดีมานต์ที่ต้องการบ้านในบรรยากาศทะเลสาบทั้งทำเล ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก

“เลค เลเจ้นด์ บางนา – สุวรรณภูมิ” โครงการเดียวในโซนบางนากับทะเลสาบขนาดใหญ่ ถึง 100 ไร่

โครงการอยู่ในทำเลฝั่งตะวันออก ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ สำหรับคฤหาสน์หรูหราริมทะเลสาบ “เลค เลเจ้นด์ บางนา – สุวรรณภูมิ” มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 95 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่เกิดขึ้นภายใต้ ความร่วมมือกับ ฮ่องกง แลนด์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก ต่อเนื่องมาจากโครงการ เลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ

นอกจากการมีทะเลสาบขนาดใหญ่ถึง 100 ไร่ เพียงแห่งเดียวและไม่เหมือนใครในโซนบางนา ยังแตกต่างด้วยการดีไซน์ระดับ Super Luxury คฤหาสน์ริมทะเลสาบกว้างได้รับการออกแบบให้ตั้งอยู่บนเนิน เล่นระดับ Contour Landscape ในสไตล์ Modern Italian Lakeside Villa หรูหราและสวยงามตามที่ได้รับ แรงบันดาลใจมาจาก Lake Como เมืองตากอากาศชั้นนำของประเทศอิตาลี

สิ่งที่โดดเด่นอีกเรื่อง คือ นวัตกรรมการก่อสร้างที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเป็นเทคโนโลยีเช่นเดียวกับ การสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ อาทิ เทคนิค VCM (Vacuum Consolidation Method) ป้องกันการทรุดตัวของดิน เสาเข็มเฮลิคัลไพล์ (Helical pile) เทคโนโลยีจากประเทศสหรัฐอเมริการับน้ำหนักได้สูง เพิ่ม ความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างฐานรากบ้าน

“เลค รีสอร์ท ราชพฤกษ์-ปทุมธานี” – “เลค วิลล่า” บ้านหรูติดทะเลสาบ 55 ไร่ แห่งเดียวใน ทำเลราชพฤกษ์

ส่วนในโซนตะวันตกมีการเปิด “เลค รีสอร์ท ราชพฤกษ์-ปทุมธานี” ภายในโครงการมีทะเลสาบขนาด 55 ไร่ ถือเป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนถนนราชพฤกษ์ ภายในโครงการยังประกอบด้วย โครงการเพอร์เฟค พาร์ค, โครงการเดอะ เมทโทร และล่าสุดเปิดโครงการ “เลค วิลล่า” ซึ่งมีการร่วมมือกับ สวนนงนุช ที่มีความชำนาญทั้งด้านงานสวนและพันธุ์ไม้ติดอันดับโลก นับเป็นครั้งแรกของโครงการ ที่อยู่อาศัย ที่พื้นที่สวนในส่วนกลางรวมถึงสวนภายในบ้านจะได้รับการออกแบบเทียบเท่ากับแนวทาง การจัดสวนระดับโลก

เลค วิลล่า เน้นบรรยากาศโครงการสไตล์ Modern Luxury Resort ราคาเริ่มที่ 19 – 28 ล้านบาท โครงการมีจำนวนจำกัด เพียง 19 ยูนิต เพื่อให้ตอบสนองกับความต้องการอยู่อาศัยในระดับ Exclusive ได้ โครงการยังมีความน่าสนใจ ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของทำเลถนนราชพฤกษ์ และอีกไม่นานยังจะมีศูนย์การค้าชั้นนำอีกหลายแห่งทยอยเปิดเพิ่มขึ้น เช่น โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์, เซ็นทรัล เวสต์วิลล์ ราชพฤกษ์ และ โลตัส นอร์ธ ราชพฤกษ์

“เลค ฟอเรสต์ ราชพฤกษ์ตัดใหม่” บ้านวิวทะเลสาบขนาด 20 ไร่ พร้อมสวนป่ารอบทะเลสาบ

อีกหนึ่งโครงการในโซนตะวันตก เป็นโครงการร่วมทุนกับ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี ผู้นำธุรกิจป่าไม้ของ ประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นการนำความเชี่ยวชาญด้านการปลูกป่ามารวมกับประสบการณ์การพัฒนา โครงการบรรยากาศทะเลสาบของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ไฮไลต์ของโครงการ คือ การมีสวนป่า ร่มรื่นล้อมรอบทะเลสาบขนาด 20 ไร่ พร้อมมีบ้านรุ่นใหม่วิวทะเลสาบที่มีฟังก์ชั่นแบบบ้านญี่ปุ่น ราคา อยู่ที่ 5.9 – 7 ล้านบาท “เลค ฟอเรสต์ ราชพฤกษ์ตัดใหม่” อยู่บนถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ เป็นทำเลการอยู่อาศัยแห่งใหม่ของฝั่งตะวันตกที่ขยายต่อออกมาจากโซนถนนราชพฤกษ์ที่มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีชมพูซึ่งจะเปิดให้ทดลองใช้บริการภายในปลายปีนี้

]]>
1385795
เปิดภาพ MBK ช่วงผลัดใบ ร้านขายของฝากทยอย “เลิกกิจการ” รอเปลี่ยนเป็นร้านรับคนไทย https://positioningmag.com/1316838 Thu, 28 Jan 2021 08:09:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1316838 บรรยากาศ MBK ยุคหลัง COVID-19 น่าใจหาย คนเดินเงียบเหงา พบห้องเช่าว่างจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มร้านรับนักท่องเที่ยวที่โบกมือลา ผู้เช่าเผยเตรียมย้ายออกอีกเพียบจนถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้ ตามแผนของ MBK ที่จะปรับศูนย์การค้ารับคนไทยแทนต่างชาติ

Positioning ลงสำรวจพื้นที่ในศูนย์การค้า MBK Center หรือ มาบุญครอง ช่วงเวลา 17.30-18.30 น. เมื่อวันอังคารที่ 26 ม.ค. 64 พบบรรยากาศเงียบเหงาและร้านค้าจำนวนมากปิดกิจการเป็นห้องว่าง หรือกำลังขึ้นป้ายลดล้างสต๊อกเลิกกิจการ

โดยตั้งแต่ชั้น 1-3 ซึ่งปกติเป็นร้านขายสินค้าแฟชั่น ของฝาก เสริมด้วยร้านอาหารบางส่วน พบห้องว่างขึ้นป้าย “พื้นที่อยู่ระหว่างการปรับปรุง เตรียมพบกับบรรยากาศใหม่เร็วๆ นี้” มีเพียงบางจุดเท่านั้นที่ล้อมป้ายชื่อร้านใหม่ที่จะมาแทนที่ร้านเดิมเรียบร้อยแล้ว เช่น ร้าน “ป้อน” บริเวณชั้น 1 ของศูนย์ฯ เตรียมเปิดสาขาใหม่ และมีกลุ่มร้านชาไข่มุกเปิดใหม่หลายร้านเข้ามาให้เห็น

บรรยากาศชั้น 2-3 ศูนย์การค้า MBK วันที่ 26 ม.ค. 64
บรรยากาศชั้น 2-3 ศูนย์การค้า MBK วันที่ 26 ม.ค. 64
ป้ายลดล้างสต๊อกถูกแขวนขึ้นหน้าร้านหลายร้าน

ถัดขึ้นไปชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นซื้อขายและรับซ่อมโทรศัพท์มือถือดูโล่งกว่าที่เคย มีล็อกว่างหลายล็อก แต่โซนธนาคารและร้าน Daiso ยังตั้งอยู่เหมือนเดิม

ชั้น 4 โซนมือถือ
ชั้น 4 ร้านกาแฟและร้าน Daiso ยังอยู่ที่เดิม รวมถึงธนาคารที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน

ขณะที่ชั้น 5 เรียกว่าพลิกโฉมใหม่หมดจด เพราะกลายเป็นดินแดนสถาบันกวดวิชาทั้งเวิ้ง โดยมีสถาบันที่ขึ้นป้ายล้อมร้าน อยู่ระหว่างตกแต่ง หรือเปิดดำเนินการแล้ว เช่น ออนดีมานด์, Absolute Learning, คณิตครู Sup’K, Monkey Monkey เป็นต้น

ชั้น 5 สถาบันกวดวิชาเริ่มเข้ามาเปิดแล้ว

ส่วนชั้น 6 ปีกฝั่งเดียวกับโรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส พื้นที่ยังอยู่ระหว่างปรับปรุงทั้งหมด เกือบทุกร้านเดิมได้ย้ายออกไปแล้ว โดยมีป้ายระบุว่ากำลังปรับปรุงพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย. 63 – 10 ก.พ. 64 ขณะที่ฝั่งฟู้ดคอร์ทและร้านอาหารใหม่ๆ ที่เคยปรับไปตั้งแต่ก่อนเกิด COVID-19 ก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่อาจจะเงียบเหงาไปบ้าง

ชั้น 6 ที่เคยเป็นร้านเสื้อผ้าแฟชั่น ของฝาก กลายเป็นล็อกว่างเกือบทั้งเวิ้ง โดย MBK ระบุว่าชั้นนี้จะกลายเป็นโคเวิร์กกิ้งสเปซและออฟฟิศ

ถัดขึ้นไปที่ชั้น 7 ชั้น โรงภาพยนตร์ SF คาราโอเกะ โบว์ลิ่ง แหล่งรวมตู้เกม ร้านขายการ์ตูนยักษ์ใหญ่ Animate และมีเธียเตอร์ของ BNK48 กิจกรรมความบันเทิงเหล่านี้ยังอยู่กันครบ แต่ร้านอาหารบางร้านย้ายออกไปแล้ว โดยมีป้าย SF One Floor Entertainment ล้อมเอาไว้ก่อน

ชั้น 7 มีป้าย SF One Floor Entertainment ขึ้นแทนที่ร้านอาหารที่ปิดไป

นอกจากนี้ ห้างสรรพสินค้าโตคิว ซึ่งกินพื้นที่ 4 ชั้น 12,000 ตร.ม. ก็กำลังจะปิดกิจการ 31 ม.ค. นี้ ดังที่มีการประกาศออกไปตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อน

ทั้งนี้ Positioning ได้สอบถามเจ้าของร้านขายของฝาก-เครื่องประดับบนชั้น 3 ที่ขึ้นป้ายเลิกกิจการ ระบุว่าร้านของตนกำลังจะปิดกิจการสิ้นเดือนมกราคมนี้ โดยสถานการณ์ร้านที่จับกลุ่มนักท่องเที่ยวทยอยย้ายออกนั้นเกิดขึ้นมาแล้วหลายเดือน และมีอีกหลายร้านรอบๆ จะไม่ต่อสัญญา ทยอยย้ายออกกันจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2564 เนื่องจากทาง MBK จะปรับศูนย์ฯ ไปเจาะกลุ่มคนไทยมากขึ้น

ขณะที่พนักงานร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดร้านหนึ่ง ระบุว่าช่วงหลังการระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ สถานการณ์ยิ่งหนักขึ้น เพราะทำให้ลูกค้าคนไทยไม่เข้ามา จากปกติช่วงปีก่อนยังมีลูกค้าเดินห้างฯ บ้างในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์

บรรยากาศใน MBK

แผนการปรับเปลี่ยน MBK ให้เป็นศูนย์การค้าเจาะกลุ่มคนไทยนั้น ทาง บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวแจ้งตั้งแต่เดือนตุลาคม’63 ว่า บริษัทเตรียมงบลงทุน 1,000 ล้านบาทเพื่อทยอยปรับศูนย์ฯ ไปจนถึงสิ้นปี 2564 โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ชั้น G และ ชั้น 2 จะมีการปรับโซนด้านหน้าห้างฯ และโซนแฟชั่นทั้งหมดให้เป็นร้านอาหาร ที่ตกลงแล้วมี 9 ร้าน เช่น สุกี้ตี๋น้อย, 2 Fast Food เป็นต้น บางร้านจะเปิดบริการตั้งเเต่ 7 โมงเช้า และบางร้านปิดดึกถึงตี 2

ชั้น 3 รวมสินค้าขายชาวต่างชาติ และเล็งพัฒนาเป็นศูนย์รวมสินค้าไทยคุณภาพดี เช่น ผลไม้ที่ขายตรงโดยเกษตรกร

ชั้น 4 โซนโทรศัพท์และและธนาคารเหมือนเดิม แต่จะมีร้านเพิ่มเติม อาทิ เสียวหมี่ คอมเซเว่น และบานาน่าไอที

ชั้น 5 ปรับจาก Outlet เป็นโซนการศึกษาสำหรับ “สถาบันกวดวิชา” ต่าง ๆ ครบ 19 สถาบัน มีศูนย์บริการทำพาสปอร์ต และปรับเป็นโซนบริการความงาม

ชั้น 6 เป็นโคเวิร์กกิ้งสเปซ และออฟฟิศ

ชั้น 7 จะเป็นโซนเอนเตอร์เทนเมนต์เหมือนเดิม โดยมีโรงภาพยนตร์ SF, เกม, เธียเตอร์ของ BNK48

ตัวอย่างร้านใหม่ที่เข้ามาแล้ว : มี-ความ-สุข ชานมไข่มุกกระบอก

ก่อนเกิดสถานการณ์ COVID-19 ศูนย์การค้า MBK มีลูกค้าเป็นชาวต่างชาติถึง 70% ส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันออกกลาง อินเดีย อินโดนีเซีย ทำให้ร้านค้าจำนวนมากจะตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ เป็นกลุ่มร้านขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ สูท กระเป๋า กระเป๋าเดินทาง ของฝาก ที่ตรงกับรสนิยมชาวอาหรับ ส่วน 30% ที่เหลือที่เป็นคนไทย ได้อานิสงส์ส่วนใหญ่จากนักเรียน นิสิต นักศึกษาจากสถาบันการศึกษาที่อยู่โดยรอบ

ดังนั้น เมื่อเกิดวิกฤต COVID-19 ขึ้นทำให้ทราฟฟิก MBK ลดจาก 100,000 คนต่อวัน เหลือ 30,000-40,000 คนต่อวัน (ข้อมูลเมื่อเดือนตุลาคม’63) ยิ่งช่วงนี้ที่สถาบันการศึกษายังปิดชั่วคราว เป็นไปได้ว่าทราฟฟิกจะลดลงอีก

อย่างไรก็ตาม จากแผนการปรับร้านค้าภายในแบบ “ยกเครื่อง” ทางบริษัทเชื่อว่าจะทำให้สัดส่วนสมดุลขึ้น วางเป้ามีชาวต่างชาติ 50% และคนไทย 50% ทำให้ทราฟฟิก MBK กลับมามากยิ่งกว่าเดิม โดยคาดหวังเป้า 120,000 คนต่อวันในปี 2565

ส่วนช่วงนี้นั้นนับได้ว่า MBK หรือ มาบุญครอง ศูนย์การค้าเก่าแก่อายุ 36 ปี ยังอยู่ท่ามกลางพายุครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เปิดศูนย์ฯ ต้องรอลุ้นว่าแผนครั้งนี้จะพาผ่านพ้นวิกฤตได้สำเร็จหรือไม่!

]]>
1316838
บุกหนักปี’64! “โนเบิล” ขึ้น 11 โครงการ 4.5 หมื่นล้าน จับมือ BTS เปิดกรุที่ดินสามมุมเมือง https://positioningmag.com/1311531 Tue, 22 Dec 2020 10:19:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1311531 หลัง “โนเบิล” ปรับแผนจัดสมดุลพอร์ตในปีนี้ กางแผนปี 2564 จะบุกหนักตามทิศทางใหม่ ปูพรม 11 โครงการ มูลค่ารวม 4.51 หมื่นล้านบาท ร่วมทุน “ยูซิตี้” ในเครือบีทีเอส เปิดกรุที่ดินแปลงเด็ดทั้งกลางเมืองและชานเมืองขึ้นโครงการ ปีหน้าหวังยอดขายพุ่งเป็น 1.6 หมื่นล้าน รายได้ 1.1 หมื่นล้าน ขอขึ้น Top 5 วงการอสังหาฯ ภายในปี 2566

“ธงชัย บุศราพันธ์” ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) นำทีมผู้บริหารเปิดคาดการณ์ผลประกอบการปี 2563 และแผนดำเนินการปี 2564 แบบไม่มีกั๊ก

ว่ากันที่สถานการณ์ปี 2563 ของโนเบิล คาดว่าจะปิดยอดพรีเซลได้ที่ 6.5 พันล้านบาท และรายได้ที่กว่า 1 หมื่นล้านบาท (รายได้รอบ 9 เดือนแรกปี 2563 ทำได้ที่ 7.5 พันล้านบาท) และน่าจะทำอัตรากำไรสุทธิได้ที่ประมาณ 15%

ธงชัยกล่าวว่า จากการปรับตัวของบริษัท ทำให้โนเบิลสามารถลดหนี้จน D/E ลงมาเหลือ 1.2 เท่า ส่งให้บริษัทมีความพร้อมที่จะรับความเสี่ยงมากขึ้นในการเปิดตัวปีหน้า

สัดส่วนในพอร์ตของโนเบิลจะเปลี่ยนไป มีโครงการระดับกลางถึงกลางล่างและโครงการแนวราบมากขึ้น

แผนงานปี 2564 โนเบิลเตรียม เปิดตัวใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวม 4.51 หมื่นล้านบาท ถือเป็นการบุกหนักมากที่สุดในรอบหลายปี และจะทำให้สัดส่วนโครงการในพอร์ตของโนเบิลเปลี่ยนไปตามแผนดังนี้ 1)โครงการแบรนด์ “นิว (nue)” ซึ่งจับตลาดกลางถึงกลางล่างราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท เพิ่มเป็น 50% ของพอร์ต จากเดิม 22% 2)โครงการแนวราบ เพิ่มเป็น 34% ของพอร์ต จากเดิมมีอยู่ 10% (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์ปรับพอร์ตของโนเบิลคลิกที่นี่)

ด้านเป้าหมายยอดพรีเซลปี 2564 ตั้งเป้าที่ 1.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 146% เนื่องจากการระดมเปิดโครงการใหม่ และตั้งเป้ารายได้ 1.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 10% การเติบโตต่างจากยอดพรีเซลมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นโครงการแนวสูงที่ต้องรอรับรู้รายได้ในอีก 3 ปี และในปี 2566 ตั้งเป้ารับรู้รายได้ระหว่าง 1.5-2.0 หมื่นล้านบาท ขึ้นเป็น Top 5 ตลาดอสังหาริมทรัพย์

 

เปิดโผ 11 โครงการทำเลเด็ดปี 2564

สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่ปี 2564 โนเบิลกางตารางเปิดตัวทั้งหมดตามภาพด้านล่าง

แผนเปิดตัวโครงการใหม่ของโนเบิลปี 2564

มีหลายโครงการที่อยู่ในทำเลน่าสนใจ ในราคาที่น่าจะทำให้ตลาดฮือฮาไม่น้อย ไล่จากกลางเมืองจะมีแปลงโครงการ “ดิ เอ็มบาสซี แอท ไวร์เลส” บนถนนวิทยุ เป็นที่ดิน 3 ไร่ครึ่ง ตรงข้ามปาร์คนายเลิศ ที่จะเปิดขายในราคาเริ่มต้นไม่เกิน 10 ล้านบาท

ในย่านขอบเมืองมีโครงการ “นิว อีโว อารีย์” คอนโดฯ ตึกสูงย่านอารีย์ที่จะเปิดขายในราคา 1.4-1.5 แสนบาทต่อตร.ม. หรือย่านนิวซีบีดี เตรียมโครงการ “ย่านพระราม 9” ไว้โดยยังไม่ระบุแบรนด์ (แต่คาดว่าจะเป็นแบรนด์โนเบิล) คอนโดฯ ใหม่ที่จะบุกจุดเรดโอเชียนเป็นแปลงที่ดินติดกับตึกสำนักงานยูนิลีเวอร์ ริมถนนพระราม 9

ถัดมาเป็นมิกซ์โปรเจกต์ โครงการแนวราบบน “ถนนเลียบด่วนรามอินทรา” จะมีทั้งทาวน์เฮาส์ซึ่งโนเบิลไม่ได้พัฒนาใหม่มานาน ก็จะกลับมาให้เห็นในปีหน้า รวมถึงจัดผังที่ดินเปล่าจัดสรร ซึ่งทางโนเบิลมองว่า ย่านนี้เป็นย่านบ้านเดี่ยวไฮเอนด์ ลูกค้ามักจะต้องการออกแบบบ้านที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง มากกว่าจะอยากได้บ้านที่เหมือนๆ กันทั้งโครงการ จึงต้องการที่ดินเปล่ามากกว่าบ้านเดี่ยวสำเร็จรูป

นิว ทาวน์เฮาส์ และ นิว คอนโด ดอนเมือง เปิดตัวช่วงไตรมาส 2-3/64

ขยับออกไปย่านชานเมืองมากขึ้น จะมีมิกซ์โปรเจกต์อีกจุดหนึ่ง คือโครงการ “นิว ทาวน์เฮาส์ และ นิว คอนโด ดอนเมือง” เป็นโครงการผสมผสานทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น กับคอนโดฯ สูง 8-14 ชั้น ที่ดินเข้าออกได้ทั้งถนนวิภาวดีและถนนพหลโยธิน ห่างจากสนามบินดอนเมืองประมาณ 2 กม. และจากสถานี แยก คปอ. ของรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เคหะฯ-คูคต) ประมาณ 4 กม. โดยทาวน์เฮาส์จะเปิดราคาที่ 4 ล้านต้นๆ

สุดท้ายที่น่าสนใจคือโครงการระดับแมสขนาดใหญ่ “ย่านคูคต” ยังไม่ระบุแบรนด์แต่คาดว่าน่าจะเป็นแบรนด์นิว โครงการนี้เป็นที่ดินใหญ่ 51 ไร่ ติดถนนลำลูกกาและติดสถานีรถไฟฟ้าคูคต โดยเป็นแปลงหน้ากว้างราว 800 เมตร ไม่ใช่ที่ดินแปลงยาวลึกลักษณะเส้นก๋วยเตี๋ยว ซึ่งจะทำให้การแบ่งเฟสโครงการสะดวกกับผู้อยู่อาศัยทั้งหมด ทั้งโครงการจะเป็นคอนโดฯ ตึกเตี้ย แบ่งพัฒนาเป็น 5 เฟส รวมแล้วมี 6,000 ยูนิต เฟสแรกเตรียมเปิดขายไตรมาส 4/64 ราคาเริ่มต้นประมาณ 1.1 ล้านบาทต่อยูนิต

 

ดีล “ร่วมทุน” เปิดกรุสมบัติที่ดิน BTS

ในแผนพัฒนาโครงการของโนเบิลนั้นบริษัทไม่ได้มาคนเดียว มีหลายโครงการที่เป็นการ “ร่วมทุน” กับพาร์ตเนอร์ยาวตั้งแต่ปี 2564-2566 ได้แก่ ดิ เอ็มบาสซี แอท วิทยุ ที่ร่วมทุนกับกลุ่ม “ฮ่องกงแลนด์” และอีก 4 โครงการที่ร่วมทุนกับ บมจ.ยูซิตี้ บริษัทในกลุ่ม บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ได้แก่ โครงการย่านพระราม 9, สุขสวัสดิ์, คูคต และราษฎร์บูรณะ (*เปิดตัวปี 2565)

โลเคชั่นที่ดิน 51 ไร่ โครงการติดสถานีคูคต

นอกจากนี ยังมีอีกหนึ่งดีลความร่วมมือ ระหว่าง โนเบิล, BTS และบมจ.สหพัฒนา อินเตอร์โฮลดิ้ง ร่วมกันซื้อที่ดินริมถนนบางนา-ตราด กม.14 บริเวณโครงการธนาซิตี้ไว้ สัดส่วนถือหุ้น สหพัฒน์ 41% โนเบิล 40% และ BTS 19% โดยธงชัยกล่าวว่า เป็นการซื้อที่ดินเตรียมสำหรับอนาคต ปัจจุบันผังเมืองยังอนุญาตให้ขึ้นโครงการเฉพาะแนวราบ แต่ถ้าหากมีรถไฟฟ้าสายบางนา-สุวรรณภูมิเกิดขึ้น เชื่อว่าผังเมืองจะเปลี่ยนแปลง และทำให้ที่ดินขึ้นโครงการแนวสูงได้

BTS นั้นนอกจากจะเป็นผู้พัฒนาและเดินรถไฟฟ้า ยังเป็น “แลนด์ลอร์ด” คนสำคัญ ทำให้การร่วมทุนทั้ง 4 โครงการ เป็นการนำที่ดินในมือของ BTS ซึ่งถือโดยยูซิตี้มาร่วมทุนทั้งสิ้น โดย BTS ไม่ได้ร่วมทุนแต่กับบริษัทโนเบิล ก่อนหน้านี้มีการจับมือ บมจ.แสนสิริ พัฒนาโครงการ “เดอะ ไลน์” ในลักษณะเดียวกัน คือ BTS เป็นเจ้าของที่ดินและหาพันธมิตรที่ถนัดการพัฒนาอสังหาฯ มาร่วมมือกันแบบวิน-วิน

 

เชื่อปีหน้าอสังหาฯ กลับมาฟื้นตัว

โนเบิลเปิดตัวโครงการแบบปูพรมทุกเซ็กเมนต์ สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจต่อสถานการณ์ปี 2564 โดยธงชัยมองว่า  ปีหน้าจะมีปัจจัยบวกคือวัคซีนที่วิจัยสำเร็จ แม้ว่าขณะนี้จะมีสถานการณ์ COVID-19 ระบาดรอบใหม่ ก็เชื่อว่าจะสามารถควบคุมได้เร็วกว่ารอบก่อน อาจจะส่งผลระยะสั้นๆ ไม่เกินไตรมาส 1/64 และเชื่อว่าประเทศไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2563

ทีมงานโนเบิล

เจาะลึกแต่ละเซ็กเมนต์ ธงชัยกล่าวว่ากลุ่มโครงการ “นิว” ที่เป็นตลาดกลางถึงกลางล่าง ปีนี้เปิดใหม่ 3 โครงการมียอดขายเกิน 50% แล้วทุกแห่งซึ่งถือว่าน่าพอใจ จึงมั่นใจที่จะเปิดโครงการต่อในปีหน้า

ส่วนตลาดบนหรือไฮเอนด์ มองว่าปีนี้ตลาดมีการดูดซับสต๊อกเก่าไปมากแล้ว ทำให้ตลาดพร้อมที่จะรับโครงการใหม่ๆ แต่จะเห็นว่าบริษัทเปิดขายในราคาที่มั่นใจได้ว่า “ขายดี” แน่นอน ยกตัวอย่าง โนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ จะเปิดราคาราวๆ ตร.ม.ละ 2 แสนต้นๆ เทียบกับในตลาดซึ่งขายราคาตร.ม.ละ 2 แสนปลาย

ด้านตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะชาวจีน โนเบิลประเมินว่ามีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง และถ้าหากปี 2564 ประเทศไทยเปิดประเทศ จะมีชาวจีนเข้ามาเลือกซื้อจำนวนมาก เพราะไทยยังเป็นเป้าหมายอันดับ 1 ที่คนจีนต้องการซื้ออสังหาฯ (อันดับ 2 คือ ญี่ปุ่น และอันดับ 3 คือ อังกฤษ) โดยธงชัยทิ้งท้ายขอให้รัฐบาลพิจารณากระตุ้นกำลังซื้อส่วนนี้ ซึ่งจะช่วยฟื้นตลาดอสังหาฯ ไทยได้เร็วและเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจ

]]>
1311531
ถอดบทเรียน “คอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้” ประสบการณ์ 20 ปีของ “โอ๋-เพชรลดา” แห่ง MJD https://positioningmag.com/1311388 Mon, 21 Dec 2020 11:41:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1311388 ใครที่อยู่คอนโดฯ จะรู้ว่า แค่มีคนหลายร้อยคนมาอยู่รวมกันก็มีปัญหาร้อยแปดพันประการ ทำให้คอนโดฯ ส่วนมากตัดปัญหา ออกกฎ “ห้ามเลี้ยงสัตว์” เกือบทุกชนิด แต่ไม่ใช่ที่คอนโดฯ ของ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) ซึ่งอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้มาตั้งแต่ 20 ปีก่อน และต้องปรับทั้งโครงสร้างโครงการ ที่สำคัญคือปรับกฎเกณฑ์การอยู่อาศัยเพื่อให้ทั้งคนเลี้ยงสัตว์และไม่เลี้ยงสัตว์อยู่ด้วยกันได้อย่างสันติ

“ส่วนตัวเคยไปคอนโดฯ ที่ต่างจังหวัดก็จะเห็นป้ายห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าติดอยู่ แต่เราก็แอบเอาเข้าไป เพื่อนบ้านก็แอบเอาเข้าไป แสดงว่ากฎนี้มันใช้ไม่ได้จริง มันขัดกับไลฟ์สไตล์ ดังนั้น เมื่อมาทำอสังหาฯ เอง เราก็มองว่าต้องปรับเปลี่ยน” โอ๋-เพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ตั้งต้นเล่าถึงแรงบันดาลใจ ซึ่งทำให้เธอต้องออกนโยบายให้คอนโดมิเนียมของเมเจอร์ฯ ทุกแห่งเป็น Pet-friendly เลี้ยงสัตว์ได้และให้สัตว์มีคุณภาพชีวิตที่ดี

โอ๋-เพชรลดาเป็นผู้บริหารที่รักสัตว์ทุกชนิด ปัจจุบันเธอมีแก้วตาดวงใจอยู่ 3 ชีวิต คือน้องหมา “มันนี่” กับ “ปีใหม่” และนกกระตั้ว “แฮปปี้” ที่เธอประคบประหงมมาแต่เกิด ทั้งยังเคยพาไปนั่งร่วมประชุมด้วยที่บริษัท สะท้อนไลฟ์สไตล์ของเธอที่มีสัตว์เลี้ยงอยู่ด้วยทุกจังหวะชีวิต และมองว่าหลายๆ คนมีไลฟ์สไตล์แบบเดียวกันคือรักสัตว์เลี้ยงเหมือนลูก

เพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กับ น้องมันนี่

แต่เมื่อการเติบโตของเมืองทำให้คนเริ่มย้ายจากการใช้ชีวิตในโครงการแนวราบไปอยู่ในตึกสูง การเลี้ยงสัตว์กับการอยู่อาศัยกลับเริ่มไปด้วยกันไม่ได้ เมื่อเล็งเห็นจุดที่ “ขัดแย้ง” กับการใช้ชีวิตของคน เพชรลดาจึงเริ่มออกนโยบายให้คอนโดฯ ทุกแห่งที่เมเจอร์ฯ พัฒนา “เลี้ยงสัตว์ได้” โดยเริ่มต้นที่โครงการ แฮมป์ตัน ทองหล่อ 10 ซึ่งเพชรลดากล่าวว่า เป็นแห่งแรกของวงการที่ออกนโยบาย Pet-friendly

เนื่องจากเป็นนโยบายจากแรงบันดาลใจส่วนตัว ในยุคก่อนเมเจอร์ฯ จึงยังไม่ได้หยิบสิ่งนี้มาเป็นจุดขายมากนัก กระทั่งเมื่อราวๆ 5 ปีที่แล้ว การแข่งขันในตลาดคอนโดฯ ดุเดือดขึ้น ฝ่ายการตลาดจึงเสนอให้เมเจอร์ฯ ใช้นโยบายนี้เป็นกุญแจเพื่อดึงลูกค้า

 

คอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้ กุญแจอยู่ที่ “นิติบุคคล”

เพชรลดาอธิบายว่า ความต่างเชิงโครงสร้างของคอนโดฯ ที่เลี้ยงสัตว์ได้ คือการจัดพื้นที่ส่วนกลางให้เหมาะกับสัตว์ เช่น Pet Zone จะก่อสร้างด้วยวัสดุทนน้ำและเก็บกลิ่น เพราะธรรมชาติของสุนัขต้องพาเดินเล่นวันละ 1-2 ครั้ง และต้องมีการขับถ่าย ดังนั้น โซนนี้ต้องออกแบบให้ล้างทำความสะอาดง่าย ไม่ส่งกลิ่น

แต่เรื่องของโครงสร้างเป็นเรื่องเล็กไปเลย เมื่อมาถึงขั้นตอนการบริหารหลังโอนกรรมสิทธิ์ เพราะถึงแม้จะโปรโมตว่าเป็นคอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้ แต่ผู้ซื้อและอยู่อาศัยย่อมมีทั้งคนเลี้ยงสัตว์และไม่เลี้ยงสัตว์ จึงต้องมีกฎเกณฑ์เพื่อจัดสมดุลให้คนสองกลุ่มนี้อยู่ด้วยกันได้อย่างสันติ โดยเมเจอร์ฯ มีบริษัทรับบริหารนิติบุคคลของตนเองคือ บริษัท เอ็มดีพีซี จำกัด (MDPC) ซึ่งจะเข้าดูแลอาคารหลังโอนกรรมสิทธิ์

Pet Zone บนรูฟท็อปโครงการเมทริส พระราม 9-รามคำแหง

“จริงๆ มันง่ายกว่าถ้าจะทำโครงการเสร็จแล้วก็ไป แต่เรารู้สึกว่าเราอยากดูแลไปตลอด และมันไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ เราอยากจะเรียนรู้กับสิ่งที่เราทำไปแล้ว มันดีหรือไม่ดีอย่างไรเราต้องนำมาปรับปรุง นั่นคือเหตุผลที่เราตั้งบริษัทบริหารนิติบุคคลของเราเอง” เพชรลดากล่าว “MDPC คือคนที่ท้าทายที่สุด เขาจะบริหารโครงการอย่างไรให้เป็นคอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้ที่มีมูลค่าเพิ่ม จะควบคุมกฎระเบียบอย่างไร จะผ่อนหนักเป็นเบาอย่างไร เป็นศิลปะในการบริหารเลย”

ปัจจุบัน คอนโดฯ MJD อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้บางชนิด ได้แก่ กลุ่มที่ไม่ก่อเสียงรบกวนอย่างปลา กระต่าย หนู เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่จะเป็นประเด็นเรื่องเสียง อนุญาต 2 ชนิดคือ “สุนัข” และ “แมว” แต่จะกำหนดขนาดของสัตว์เลี้ยงกลุ่มนี้ต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 15 กิโลกรัม มีใบรับรองสัตว์เลี้ยง (Pet Certificate) จากสัตวแพทย์

ทั้งนี้ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเมื่อลงทะเบียนเลี้ยงสัตว์ในโครงการ ได้แก่ ค่ามัดจำความเสียหายตัวละ 5,000 บาท (ได้รับคืนเมื่อถอนทะเบียนการเลี้ยงสัตว์) และค่าส่วนกลางสำหรับสัตว์เลี้ยงตัวละ 3,600 บาทต่อปี สะท้อนให้เห็นกฎที่ค่อนข้างเข้มเพื่อทำให้คอนโดฯ มีระเบียบ

คอนโดฯ เมเจอร์ฯ อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ประเภท สุนัข และ แมว แต่ต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 15 กิโลกรัม และมีใบรับรองสัตว์เลี้ยง (Pet Certificate) จากสัตวแพทย์

เพชรลดาชี้ให้เห็นว่า กฎเกณฑ์เหล่านี้ต้องปรับไปตามสภาวะของแต่ละโครงการด้วย ยกตัวอย่างเช่น บางคอนโดฯ ออกกฎระเบียบให้สัตว์เลี้ยงใช้ลิฟต์ขนของแทนลิฟต์โดยสาร เนื่องจากผู้อยู่อาศัยที่ไม่เลี้ยงสัตว์มีมากกว่า แต่นานไปเมื่อคนเลี้ยงสัตว์มีมากขึ้น ลิฟต์ขนของย่อมไม่เพียงพอต่อการใช้งาน กฎระเบียบจึงปรับใหม่เป็นการเพิ่มลิฟต์โดยสาร 1 ตัวที่อนุญาตให้สัตว์เลี้ยงใช้ได้

ศาสตร์ในการบริหารนิติบุคคลคือประสบการณ์ที่ต้องเรียนรู้ตลอด 20 ปี และเป็นความท้าทายที่จะทำให้ค่ายอื่นในตลาดไล่ตามได้ยาก

 

คนรักสัตว์มากขึ้น การแข่งขันสูงขึ้น

จุดขาย “คอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้” อาจจะเริ่มจากความชอบส่วนตัว แต่วันนี้ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ดึงดูดคนกลุ่มใหญ่ เพราะคนผูกพันกับสัตว์เลี้ยงมากกว่าที่เคย โดยเพชรลดาฉายภาพว่า สังคมไทยปัจจุบันเริ่มก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และ คนจำนวนมากไม่ต้องการมีลูกหรือเป็นคนโสด ทั้งสองกลุ่มนี้ทำให้ “สัตว์เลี้ยง” เข้ามาตอบโจทย์ จนคนรักสัตว์เลี้ยงเหมือนเป็นลูกหลาน

ตัวอย่างการทำการตลาดของเมเจอร์ฯ สื่อสารกับกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงผ่านเฟซบุ๊ก

สังเกตได้ว่าในปี 2563 ซึ่งเกิดโรคระบาด COVID-19 อุตสาหกรรมอื่นส่วนใหญ่มียอดขายหดตัวลง แต่อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงกลับไม่หดตัว แถมยังมีการลงทุนเพิ่มสวนทางเศรษฐกิจ ยกตัวอย่าง เนสท์เล่ ที่จะลงทุนสร้างโรงงานอาหารสัตว์เลี้ยงแห่งใหม่ในไทย และประเมินว่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงไทยจะเติบโต 9% ในปีนี้

เพชรลดากล่าวว่า MJD ได้รับผลบวกจากเทรนด์นี้เช่นกัน ดูจากสัดส่วนลูกบ้านที่เลี้ยงสัตว์บางโครงการมีสูงถึง 40% แล้ว เทียบกับยุคก่อนที่อาจจะมีเพียง 10% และทำให้นักลงทุนปล่อยเช่าเห็นข้อดีตามไปด้วย เพราะทราบว่าผู้เช่าที่มีดีมานด์การเลี้ยงสัตว์อยู่ในตลาด ห้องเช่าที่เลี้ยงสัตว์ได้จะเป็นจุดขายทันที

ตัวอย่างคอนโดฯ ในพอร์ตของ MJD : มาเอสโตร 03 รัชดา-พระราม 9

เมื่อตลาดน่าสนใจ ย่อมทำให้คู่แข่งเข้ามามากขึ้น ต่อประเด็นนี้เธอมองเป็นความท้าทายใหม่ที่ดีในหลายมิติมากกว่าจะกังวลใจ “เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นการแข่งขัน แต่ลึกๆ แล้วเรามองว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่านี่คือสิ่งที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนที่หาที่อยู่อาศัยจริงๆ”

“ในอีกมุมหนึ่ง เมื่อก่อนเราตัวคนเดียว ไม่มีคู่แข่ง แต่เมื่อมีคนเข้ามามันจะกระตุ้นเรา ท้าทายเรา ทำให้เราเข้าสู่โหมดต่อสู้ทันที ทีมงานจะแข็งแรงขึ้น เพราะเราไม่ได้นอนมากับจุดขายนี้อีกต่อไป คนอื่นก็เคลมได้ง่ายมาก”

ก้าวต่อไปของเมเจอร์ฯ จึงจับมือเป็นพันธมิตรกับ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ซึ่งปกติมีกิจกรรมร่วมกันอยู่แล้ว แต่จะยกระดับให้ รพส.ทองหล่อมาร่วมออกแบบโครงการต่อๆ ไปของเมเจอร์ฯ ร่วมให้องค์ความรู้และแนวคิดเพื่อพัฒนาคอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้ให้ดีขึ้น

แม้ว่าคอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้จะเป็นโจทย์ที่ยาก และอาจจะเป็นมุมกลับทางการตลาด ทำให้คนที่ไม่ชอบสัตว์หลีกหนีการเลือกคอนโดฯ ของเมเจอร์ แต่เพชรลดาก็ยืนยันว่าเธอจะทำคอนโดฯ แบบ Pet-friendly ต่อไป ไม่มีเปลี่ยนนโยบาย “มันอาจจะเป็นไปได้ในมุมนั้น แต่เราชัดเจนกับสิ่งที่เราเป็น ถ้าคุณจะเลือกเราก็ขอให้เลือกในสิ่งที่เราเป็น” เพชรลดากล่าวทิ้งท้าย

]]>
1311388