บ้านหรู – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 29 Apr 2025 13:10:36 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ธนาสิริ ลุยบ้านหรู 20 ล้านบาท/หลัง ตั้งเป้าโต 15% แม้ตลาดอสังหาซึม https://positioningmag.com/1519967 Tue, 29 Apr 2025 09:51:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1519967 สุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาสิริ กรุ๊ป กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯ พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรวม 38 แห่ง มูลค่า 18,000 ล้านบาท โดยเน้นกลุ่มระดับราคา 5-8 ล้านบาทขึ้นไป

และได้ขยายลูกค้าในทุกกลุ่มรายได้ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวเซกเมนต์ลักซูรี ที่ยังมีการเติบโตสวนทางตลาดอสังหาฯ

เบื้องต้น บริษัทฯ ได้ร่วมทุน (JV) กับกลุ่มอนาบูกิ Top 7 อสังหาญี่ปุ่น ปั้นที่อยู่อาศัยโครงการที่ 5 ได้แก่ “อนาบูกิ ธนาเรสซิเดนซ์ กาญจนาภิเษก-พระราม 9” มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท จำนวน 74 ยูนิต ราคา 18-30 ล้านบาท เจาะกลุ่มผู้มีรายได้สูง

“จากการเจาะเซกเมนต์ลักซูรีที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ คาดว่าจะช่วยหนุนภาพรวมบริษัทฯ ในปี 68 เติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน”

มาซาอากิ คากาวะ กรรมการบริษัท อนาบูกิกรุ๊ป กล่าวว่า ช่วง 5 ปี (พ.ศ. 2563 – 2568) บริษัทฯ ลงทุนในไทย จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวม 4,900 ล้านบาท โดยเฉลี่ยเปิดตัวปีละ 1 โครงการ กระจายหลายโซน ตั้งแต่นนทบุรี และบางนา-บางบ่อ

ทั้งนี้ ประเทศไทย ครองสัดส่วน 70% ของการลงทุนพัฒนาอสังหาในต่างประเทศของอนาบูกิ รองลงมาจะเป็นเวียดนาม 10% อินโดนีเซีย 10% และสหรัฐอเมริกา 10%

“การขยายโอกาสในการลงทุนร่วมกับ ธนาสิริ ในกลุ่มลูกค้าระดับบนรายได้สูงนั้น มองว่าเป็นก้าวสำคัญในการเติบโต เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยให้ครบทุกเซกเมนต์”

มาซาอากิ คากาวะ กรรมการบริษัท อนาบูกิกรุ๊ป (ซ้าย) และ สุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาสิริ กรุ๊ป (ขวา)

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึง ภาพรวมตลาดอสังหาช่วง 4 เดือนแรก (ม.ค. – เม.ย.) ปี 2568 สุทธิรักษ์ ให้ความเห็นว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในไทย ยังคงซึมต่อเนื่องจากปีก่อน โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว

แม้เร็ว ๆ นี้จะมีมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ คือ การผ่อนคลาย LTV ซึ่งมาช่วยบูสต์กลุ่มซื้อบ้านหลังที่สอง และการลดดอกเบี้ย ทำให้กำลังซื้อกระเตื้องได้เล็กน้อย

ทว่าในภาพรวมการกระตุ้นตลาดอสังหาในระยะยาว ต้องอาศัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมากกว่า

“ตั้งแต่ปลายปีก่อนคนมาดูบ้านน้อยลง เพิ่งมาฟื้นตัวตอนมีนโยบายรัฐเข้ามาช่วย ทำให้ลูกค้ากลับมาดูบ้าน และสนใจกลับมาติดต่อพูดคุยเรื่องบ้านอีกครั้ง”

โดยตั้งแต่ปีก่อน ตนเห็นภาพตลาดอสังหาชะลอตัวลง ซัพพลายมีมาก จากการเร่งสร้างเมื่อ 2 ปีก่อน สวนทางดีมานด์ที่ชะลอการซื้อบ้านออกไป ทำให้เลื่อนแผนการเปิดตัวโครงการจากปี 2567 มายังปีนี้แทน

“ปีนี้คาดเปิดตัวเพียง 1 โครงการ จากแผนเดิมเปิดตัว 3-4 โครงการ หากภาพรวมเศรษฐกิจไม่ดี อาจปรับแผนลดขนาดโครงการให้เล็กลง”

]]>
1519967
บ้านหรู 100 ล้านบาท มาแรง รับเศรษฐีปลูกบ้านเมืองท่องเที่ยว https://positioningmag.com/1518831 Sat, 19 Apr 2025 11:58:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1518831 เจตน์ กาญจนกูล กรรมการบริหาร บริษัท ดับบลิว เฮ้าส์ จำกัด หรือ W House ผู้รับสร้างบ้านโมเดิร์นหรู เปิดเผยว่า ปัจจุบันที่อยู่อาศัยกลุ่ม Ultra-Luxury ขยายตัวต่อเนื่อง จากดีมานด์ของเศรษฐีที่ต้องการบ้านหรู ในโซนหัวเมืองใหญ่ และเมืองท่องเที่ยว อาทิ เชียงใหม่ เขาใหญ่ และจังหวัดติดทะเล

ส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้า Ultra-Luxury เป็นนักธุรกิจ เจ้าของกิจการ และนักลงทุน มีที่ดินเปล่าและต้องการสร้างบ้านขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 1,000 ตร.ม. มูลค่าตั้งแต่ 50–100 ล้านบาทขึ้นไป

เน้นการออกแบบเป็นเอกลักษณ์ และเชื่อมโยงความเป็นตัวตนได้อย่างชัดเจน ไม่ซ้ำใคร และมีความคาดหวังสูงในความประณีต และคุณภาพในทุกมิติ ทั้งในด้านโครงสร้าง สถาปัตยกรรม และบริการครบวงจร

เจตน์ กาญจนกูล กรรมการบริหาร บริษัท ดับบลิว เฮ้าส์ จำกัด

ส่งผลให้ W House ตัดสินใจขยายตลาดใหม่สู่บ้านระดับ Ultra-Luxury ซึ่งยังมีโอกาสสูง จากเดิมที่มีฐานลูกค้าหลักในกลุ่ม 15 ล้านบาทขึ้นไป และมักอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก

ปี 2568 บริษัทฯ มีเป้าหมายเพิ่มการรับรู้แบรนด์ “ดับบลิว เฮ้าส์” ในกลุ่มบ้านหรูระดับ Ultra-Luxury โดยวางแผนการเจรจานัดหมายลูกค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 20 รายภายในงานสถาปนิกปีนี้

และตั้งเป้ายอดจองสร้างบ้านอย่างน้อย 3 หลังภายหลังจากที่งานจบลง และการเปิดตัวแบบบ้านใหม่ พร้อมได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายโดยตรง

เบื้องต้น เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า Ultra-Luxury บริษัทฯ นำร่องเปิดตัวแบบบ้านซีรีส์ใหม่ชื่อว่า “THE WORLD” อาทิ

  • THE MOON คฤหาสน์ 3 ชั้น สไตล์ Modern Classic ขนาด 2,010 ตร.ม. ขนาด 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ และ 5 ที่จอดรถ พร้อมพื้นที่ใช้สอยครบครัน เช่น ห้องนอนมาสเตอร์ 2 ห้อง, Party Room, Golf Simulator และโซนรับวิวสระว่ายน้ำพระจันทร์เสี้ยวและสวนยุโรป

  • THE WIND คฤหาสน์ 4 ชั้น สไตล์ Super Luxury Modern ขนาด 1,440 ตร.ม. จำนวน 6 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ และ 4 ที่จอดรถ โดดเด่นด้วยงานออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจจากสายลมและพายุ โดดเด่นด้วยการเล่นระดับแบบมีไดนามิก และ Courtyard กลางบ้าน และลิฟต์ส่วนตัว

  • THE OCEAN คฤหาสน์ริมทะเล 3 ชั้น สไตล์ Modern Tropical ขนาด 1,280 ตร.. จำนวน 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ และ 4 ที่จอดรถ โดยได้แรงบันดาลใจจากเรือยอร์ชหรู โดดเด่นด้วยการเล่นระดับ และห้องชมวิวในทุกชั้น ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านพักตากอากาศทุกวัน

  • THE FLAME  คฤหาสน์ 4 ชั้น สไตล์ Super Modern Luxury ขนาด 1,530 ตร.. จำนวน 6 ห้องนอน 9ห้องน้ำ และ 5 ที่จอดรถ ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากเปลวไฟ ใช้โทนสีดำและไฟแดงส้มสร้างเอกลักษณ์ให้บ้านดูดุดัน หรูหรา และทรงพลัง พร้อมฟังก์ชันที่จัดจังหวะการใช้ชีวิตแบบไดนามิก

สำหรับภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในไตรมาส 2 ปี 2568 มีแนวโน้มการแข่งขันสูงจากการที่ผู้พัฒนาอสังหารายใหญ่เริ่มเข้ามาในตลาดรับสร้างบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มบ้านระดับกลางถึงบน

อย่างไรก็ตาม “ดับบลิว เฮ้าส์” ยังคงเลือกโฟกัสในตลาด Ultra-Luxury ที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะทาง ทั้งในด้านการออกแบบ วิศวกรรม และการควบคุมคุณภาพ

“เราผ่านการสร้างคฤหาสน์หรู บ้านหลังใหญ่มาแล้วมากกว่า 500 หลัง ทำให้เข้าใจความต้องการเชิงลึก และสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุด” เจตน์ กล่าว

]]>
1518831
SC จับตลาดบ้านหรูหลังละ 200 ล้านบาทครั้งแรก หนีกลุ่มกลาง-บนซัพพลายล้น https://positioningmag.com/1511697 Thu, 20 Feb 2025 08:39:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1511697 บ้านเดี่ยว ซัพพลายล้น คาดใช้เวลาระบายสินค้านาน 5 ปี “SC” ปรับพอร์ตฯ ลุยธุรกิจรายได้ประจำ-กลุ่มบ้านหรูราคา 200 ล้านบาท

ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC กล่าวว่า ปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์เผชิญความท้าทายจากภูเขาอุปสรรค 3 ด้าน คือ

  • หนี้ครัวเรือนสูง แตะระดับ 85-90% ทำให้กำลังซื้อคนน้อยลง
  • ซัพพลายล้น โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยว ที่อาจต้องใช้เวลาระบายสินค้านาน 5 ปี (ปกติใช้เวลา 2 ปี) และคาดว่าอีก 3 ปีถึงกลับสู่สภาวะปกติ ตอนนี้กลุ่มที่ค่อนข้างเฮลท์ตี้ คือ บ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป
  • ความเชื่อมั่นต่ำ คนไม่มั่นใจเศรษฐกิจ ทำให้ไม่กล้าจับจ่ายมากนัก

ซ้ำร้ายปีนี้ยังต้องจับตาความผันผวนเศรษฐกิจโลก จากการเข้ามารับตำแหน่งของทรัมป์ รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก ที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย

ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์
ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ซีอีโอ SC

ดั้งนั้น บริษัทฯ จึงต้องปรับพอร์ตฯ ธุรกิจ เพื่อกระจายความเสี่ยง ใน 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่

  • Engine 1 ธุรกิจที่อยู่อาศัย ปัจจุบันมีจำนวน 96 โครงการ มูลค่า 94,500 ล้านบาท

ในจำนวนนี้จะเป็นการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 15 โครงการ มูลค่า 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 12 โครงการ มูลค่า 18,000 ล้านบาท และคอนโด 3 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท

ไฮไลต์ คือ การเปิดตัวโครงการบ้านหรู SONLE จำนวน 5 ยูนิต ราคาเริ่มต้นหลังละ 200 ล้านบาทเป็นครั้งแรก ขนาดใหญ่ราวครึ่งไร่ พื้นที่ใช้สอย 1,300 – 1,500 ตร.ม. จากเดิมเคยเปิดตัวราคาหลัก 100 ล้านบาท ในโครงการ 95E1 และ คอนนาเซอร์ 

เนื่องจากมีดีมานด์จากกลุ่มเศรษฐีที่อยากมีบ้านขนาดใหญ่ ในโซนกลางเมือง จึงเกิดเป็นโปรเจกต์นี้ขึ้น ประกอบกับแนวราบกลุ่มอื่น ๆ ยังเผชิญปัญหาซัพพลายล้น

”ปีนี้วางเป้ายอดขาย (พรีเซล) 26,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% (YoY) ประมาณ 23,000 ล้านบาท (สัดส่วน 92% จากพอร์ตฯ รายได้รวม) ปัจจุบันมีแบ็กล็อกในมือราว ๆ 17,000 ล้านบาท“

SONLE
โครงการ SONLE ราคา 200 ล้านบาท/ยูนิต
  • Engine 2 ธุรกิจรายได้ประจำ ปัจจุบันมี 19 โครงการ ครอบคลุมโรงแรม ออฟฟิศ คลังสินค้า และอพาร์ตเมนต์ในอเมริกา

สำหรับ ธุรกิจโรงแรมมีแผนขยายให้ครบ 1,000 ห้อง ภายใน 3 ปี รองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยว เช่น KROMO บริหารกลุ่ม Hilton และ The Standard Pattaya ที่ SC ร่วมทุน (JV) กับ บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดตัวกลางปี 2568 นี้

ส่วน ธุรกิจแวร์เฮ้าส์ เตรียมขยายพื้นที่เพิ่มเติม ใน 3 พื้นที่ ได้แก่ บางนา กม.20 จำนวน 78,000 ตร.ม., แหลมฉบัง 46,000 ตร.ม. และอมตะ ชลบุรี 37,000 ตร.ม. จากปัจจุบันมีพื้นที่แวร์เฮ้าส์ประมาณ 200,000 ตร.ม.

The Standard Pattaya
The Standard Pattaya
  • Engine 3 ธุรกิจใหม่ เกี่ยวกับการเซอร์วิส นอกกลุ่มอสังหาฯ (แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดที่แน่ชัด) เตรียมเปิดตัวปี 2569 เป็นต้นไป

“บริษัทฯ ตั้งเป้าให้กลุ่มธุรกิจ Engine 2-3 มี EBIDA สูง 25% จากตอนนี้อยู่ที่ 20% รวมถึงตั้งเป้าปี 2568 มีรายได้ 25,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% (YoY) แบ่งเป็นรายได้จากแนวราบ 70% คอนโดมิเนียม 22% และ ธุรกิจ Engine 2-3 ประมาณ 8% ส่วนภายใน 3 ปี ตั้งเป้ารายได้แตะ 30,000 ล้านบาท ขณะที่วางงบลงทุนซื้อที่ดินในปีนี้อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท“

]]>
1511697
กรุงเทพกรีฑา บ้านหรูค่าเช่าแพงสุด 8.5 แสนบาท/เดือน ยีลด์สูง 7.5-10% ต่อปี https://positioningmag.com/1502662 Tue, 10 Dec 2024 04:26:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502662 กรุงเทพกรีฑา เป็นหนึ่งในไม่กี่ทำเลของ กทม. การพัฒนาอสังหาราคาแพง ระดับ  20-100 ล้านบาท โดยผู้ประกอบการเริ่มทยอยซื้อเก็บที่ดินในช่วง 10 ปี และบางรายที่มีที่ดินในมือกว่า 100 ไร่ ก็เริ่มพัฒนาโครงการในทำเลนี้

นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ (Property DNA) เปิดเผยว่า โครงการบ้านจัดสรรโซนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับทำเลอื่น ดังนี้

  • บ้านเดี่ยว ราคาเริ่มต้น 20 ล้านบาท/ยูนิต
  • ทาวน์โฮม ราคาเริ่มต้น 8 ล้านบาท/ยูนิต

ทว่ากลับมีอัตราการขายค่อนข้างสูง โดยบางโครงการปิดการขายเร็ว บางโครงการมียอดจอง 100% หรือ มากกว่า 50% ตั้งแต่ไม่กี่วันแรกที่เปิดขายอย่างเป็นทางการ

บ้านหรูในพื้นที่กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ได้รับความนิยมสูงมากเป็นเพราะ กลุ่มลูกค้า 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

  • กลุ่มผู้ซื้อที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง (เรียลดีมานด์)
  • กลุ่มของนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าระยะยาว

อัตราการปล่อยเช่าบ้านหรูกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ก็มีอัตราผลตอบแทน (ยีลด์) สูง 7.5-10% ต่อปี สูงกว่าคอนโดกลางเมืองเสียอีก แม้จะมีการหักค่าคอมมิชชั่นให้นายหน้าก็ตาม

ขณะที่ราคาค่าเช่าในโครงการโดดเด่นมีตั้งแต่ 280,000 – 850,000 บาท/เดือน (ดูภาพตารางด้านล่างประกอบ)

อัตราค่าเช่าบ้านโซนกรุงเทพกรีฑา

ทั้งนี้ ความน่าสนใจของ กรุงเทพกรีฑา มาจากการขยายตัวของคอมมูนิตี้มอลล์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต โรงเรียนนานาชาติ

และการมีถนนเชื่อมต่อโซนสำคัญใน กทม. เช่น ถนนพระราม 9, ถนนศรีนครินทร์, ถนนกรุงเทพกรีฑา, ถนนรามคำแหง, วงแหวนกาญจนาภิเษก, ถนนเจ้าคุณทหาร เป็นต้น

]]>
1502662
RML เปิดขาย “คฤหาสน์ 880 ล้านบาท” กลางสุขุมวิท จับมือ “Baccarat” แบรนด์คริสตัลหรูฝรั่งเศสตกแต่งทั้งหลัง https://positioningmag.com/1494619 Wed, 16 Oct 2024 08:28:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494619 ร้อยล้านยังเล็กไป คฤหาสน์ใหม่ต้องเฉียดพันล้าน! RML เปิดโครงการ THE 528 ESTATE” คฤหาสน์ใจกลางสุขุมวิทราคาเริ่ม 880 ล้านบาท มีเพียง 4 หลัง จับมือ “Baccarat” แบรนด์คริสตัลหรูจากฝรั่งเศสเข้าตกแต่งภายใน และแต่งตั้ง “List Sotheby’s เป็นเอเย่นต์ขายโครงการให้มหาเศรษฐีทั่วโลก

บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดตัวโครงการใหม่ “THE 528 ESTATE” มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่มีบ้านเดี่ยวเพียง 4 หลัง สนนราคาเริ่มต้นหลังละ 880 ล้านบาท

ทำเลโครงการตั้งอยู่ในย่านพร้อมพงษ์ เป็นที่ดิน 2 ไร่ วางแปลนบ้าน 2 หลังจะหันหน้าเข้าออกทาง ซ.สุขุมวิท 28 และอีก 2 หลังจะหันหน้าเข้าออกทาง ซ.สุขุมวิท 30 ซึ่งทั้งสองซอยเป็นซอยตัน ให้ความเป็นส่วนตัวสูง ไม่พลุกพล่าน แต่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม และสวนเบญจสิริ เหมาะกับการใช้ชีวิตใจกลางเมือง

“กฤษณ์ ณรงค์เดช” ประธานคณะกรรมการ RML เปิดเผยถึงรายละเอียดโครงการว่า สถาปัตยกรรมของบ้านโครงการนี้จะใช้สไตล์ผสมผสานระหว่างอาคารยุคศตวรรษที่ 18 ในกรุงปารีสกับอาคารหรูยุคศตวรรษที่ 19 บนนถนน Fifth Avenue เมืองนิวยอร์ก ทำให้ได้อาคารที่มีความคลาสสิก เหนือกาลเวลา

ขณะที่ชื่อ “528” นั้น กฤษณ์อธิบายว่าเป็นตัวเลขมงคลจากการคำนวณทางโหราศาสตร์โดยอาจารย์ชื่อดังจากฮ่องกง มีความหมายว่า “ร่ำรวย เจริญรุ่งเรือง” อาจารย์ทางโหราศาสตร์ท่านนี้ยังเป็นผู้คำนวณฮวงจุ้ยทั้งหมดของบ้านทุกหลังในโครงการไว้แล้ว

(จากซ้าย) “กฤษณ์ ณรงค์เดช” ประธานคณะกรรมการ RML, “เรย์มอนด์ เฉิน” ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจระดับภูมิภาค บาคาร่าต์ ฟาร์อีส ลิมิเต็ด, “กรณ์ ณรงค์เดช” กรรมการและประธานคณะกรรมการบริหาร RML และ “ควอง มินห์ โด” กรรมการ ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ (ประเทศไทย) ถ่ายภาพร่วมกันในห้องตัวอย่าง THE 528 ESTATE บนชั้น 54 อาคาร OCC

สำหรับรายละเอียดตัวบ้านแต่ละหลัง “กรณ์​ ณรงค์เดช” กรรมการและประธานคณะกรรมการบริหาร RML กล่าวว่า บ้านแต่ละหลังจะก่อสร้างบนที่ดินขนาดกว่า 200 ตารางวา เป็นอาคาร 7 ชั้น (6 ชั้น + 1 ชั้นใต้ดิน) พื้นที่ใช้สอย 2,300-2,700 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 8 ห้องนอนพร้อมห้องน้ำในตัว และที่จอดรถ 11 คัน

ชั้นใต้ดินดังกล่าวจะเป็นที่จอดรถ โดยออกแบบความสูง กว้าง ยาว และมุมสโลปให้พอดีกับ “ซูเปอร์คาร์” ขึ้นลงลานจอดได้สะดวก และกว้างขวางพอที่จะจอด “Rolls-Royce Phantom” รถหรูสุดฮิตของกลุ่มเศรษฐีได้

ขณะที่ชั้น 1-2 เป็นโซนรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องทานอาหาร ถัดไปชั้น 3-5 เป็นห้องนอนทั้งหมด มีลิฟต์ในตัว ทำให้สามารถอยู่รวมกันได้หลายเจนเนอเรชัน แต่ยังมีความเป็นส่วนตัวในแต่ละชั้นของบ้าน

ส่วนชั้นบนสุดของบ้านจะเป็นชั้นสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนตัว ได้แก่ สระว่ายน้ำยาว 11 เมตร ฟิตเนส และสปา

กรณ์กล่าวว่า โครงการนี้ทาง RML ยังจับมือกับ “Baccarat” แบรนด์เครื่องแก้วเจียระไนคริสตัลจากฝรั่งเศส เปิดแพ็กเกจในการตกแต่งภายในให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นแพ็กเกจเสริมที่แล้วแต่ลูกค้าเลือกชิ้นงานเข้ามาตกแต่งบ้าน จึงทำให้ราคาบ้านรวมตกแต่งแล้วในโครงการนี้อาจจะทะลุ 1,000 ล้านบาทได้

บรรยากาศจาก Baccarat Hotel New York อสังหาริมทรัพย์เพื่อโชว์เคสแบรนด์ (Facebook@BaccaratHotelNewYork)

“เรย์มอนด์ เฉิน” ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจระดับภูมิภาค บาคาร่าต์ ฟาร์อีส ลิมิเต็ด กล่าวถึงแบรนด์ Baccarat ของบริษัทว่าเป็นผู้ผลิตเครื่องแก้วทำมือมานาน 260 ปี มีชิ้นงานกลุ่มแชนเดอเลียร์ โคมกิ่ง โคมตั้งโต๊ะ เครื่องแก้วบนโต๊ะอาหาร ที่ผ่านมา Baccarat มีลูกค้าทั้งกลุ่มราชวงศ์ยุโรป สุลต่าน และเซเลปดาราชื่อดัง และใช้แบรนด์ในการเข้าสู่ธุรกิจฮอสพิทาลิตี้มาแล้วหลายแห่ง เช่น Baccarat Hotel New York หรือ Baccarat Miami Residence ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์แล้วเชื่อว่าจะช่วยเติมเต็มโครงการ THE 528 ESTATE ได้

กรณ์กล่าวต่อว่าโครงการ THE 528 ESTATE นี้มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้มีความมั่งคั่งสูงทั้งในไทยและต่างประเทศ จึงมีการแต่งตั้งให้ “List Sotheby’s International Realty” ผู้เชี่ยวชาญด้านการขายอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี เป็นผู้ทำตลาดในต่างประเทศ

กฤษณ์เสริมว่า การเชิญ List Sotheby’s มาช่วยในการขายเพราะมองว่าโครงการนี้ไม่ใช่เพียงอสังหาฯ ธรรมดา แต่อยู่ในระดับที่เป็น “ของสะสม” ที่มีคุณค่า และมองกรุงเทพฯ ในวันนี้ถือเป็นเมืองที่อยู่อาศัยระดับโลกที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจ ทั้งนี้ หากมีต่างชาติสนใจซื้อ กรณ์กล่าวว่าบริษัทจะมีที่ปรึกษาทางกฎหมายให้คำปรึกษาเพื่อครอบครองกรรมสิทธิ์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย

ไทม์ไลน์โครงการ THE 528 ESTATE เริ่มเปิดขายตั้งแต่วันนี้ จะเริ่มก่อสร้างต้นปี 2568 และสร้างเสร็จปลายปี 2570 แต่กฤษณ์วางเป้าว่าจะปิดยอดขายให้ได้ภายในปีหน้า

สำหรับย่านสุขุมวิทช่วงทองหล่อ-พร้อมพงษ์นั้นเป็นย่านที่ ‘ฮอต’ ขึ้นเรื่อยๆ ในการปั้นเป็นทำเลอสังหาฯ ระดับอัลตราลักชัวรี โดยก่อนหน้านี้ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เพิ่งจะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม “ปอร์เช่ ดีไซน์ ทาวเวอร์ แบงคอก” ราคา 525 – 1,400 ล้านบาท ทั้งตึกมีเพียง 22 ยูนิต และวางเป้าหมายลูกค้าจากทั่วโลกเช่นเดียวกัน

โครงการหรูในมือของ RML นั้นยังมีอีกหลายแห่ง ที่กำลังเป็นที่จับตามองคือโปรเจ็กต์ “คฤหาสน์ริมน้ำ 1,000 ล้านบาท” ซึ่งจะมีหลังเดียว โดยเป็นการรีโนเวตมาจากเซลส์แกลลอรีเดิมของโครงการ The River ทำเลบนถนนเจริญนครช่วงสะพานตากสิน ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างออกแบบและอาจจะเปิดขายได้ในปี 2568

]]>
1494619
“MJD” จับช่องว่างตลาด “ทาวน์เฮาส์หรู” เปิดแบรนด์ใหม่ “มิลฟอร์ด” ลุยทำเลรามคำแหง https://positioningmag.com/1484353 Sat, 27 Jul 2024 12:27:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484353 โอกาสในตลาดอสังหาฯ กลุ่มลักชัวรียังมี! “MJD” งัดที่ดิน 12 ไร่ซอยรามคำแหง 53 เปิดแบรนด์ใหม่ “มิลฟอร์ด” พัฒนาโปรดักส์ “ทาวน์เฮาส์หรู” ราคา 18-35 ล้านบาท จับกลุ่มเจ้าของธุรกิจที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้เมืองในแพ็กเกจราคาที่ต่ำกว่าบ้านเดี่ยว

บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) เปิดตัวโครงการใหม่ของบริษัท “มิลฟอร์ด ลาดพร้าว-รามคำแหง” มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท พัฒนาเป็นโครงการทาวน์เฮาส์ระดับลักชัวรี ราคา 18-35 ล้านบาท จำนวน 84 ยูนิต บนที่ดิน 12 ไร่

ทำเลที่ตั้งในซอยรามคำแหง 53 ซึ่งเป็นซอยที่สามารถเชื่อมต่อถนนหลักได้ 3 เส้นทาง คือ ถ.รามคำแหง ถ.ลาดพร้าว และ ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม เข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ ได้สะดวก รวมถึงอยู่ใกล้แหล่งงานและแหล่งการศึกษาสำคัญ เช่น ทาวน์อินทาวน์, รร.บดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี), ม.รามคำแหง

มิลฟอร์ด MJD
“Glass Sky Box”

โปรดักส์ออกแบบเป็นทาวน์เฮาส์ 3.5 ชั้นมีขนาดที่ดินตั้งแต่ 24.5 – 72 ตารางวา ห้องนอน 3-5 ห้อง ที่จอดรถ 3-6 คัน ดีไซน์แบบ “English Eclectic Design” กลิ่นอายอังกฤษ มีไฮไลต์ที่ดีไซน์เปลี่ยนระเบียงบางส่วนของตัวบ้านเป็น “Glass Sky Box” หน้ามุขกล่องกระจก เพิ่มพื้นที่ใช้สอยเป็นที่นั่งชมวิว นั่งทำงาน หรือปลูกต้นไม้ในบ้าน

“นฑา กิตติอักษร” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MJD กล่าวว่า “มิลฟอร์ด” เป็นโครงการแรกในรอบ 25 ปีที่บริษัทกลับมาพัฒนาโครงการที่เป็นทาวน์เฮาส์ทั้งโครงการ โดยกลับมาเพราะเห็นโอกาสในตลาดปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าเจ้าของธุรกิจที่ต้องการที่อยู่อาศัยในแพ็กเกจราคานี้ แต่ต้องการทำเลใกล้เมือง และมีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอสำหรับคนในครอบครัว ทำให้โปรดักส์ที่เหมาะสมจึงเป็น “ทาวน์เฮาส์” ซึ่งใช้ที่ดินน้อยกว่า ขยับมาใกล้เมืองได้มากกว่า

มิลฟอร์ด MJD
(ซ้าย) บรรยากาศห้องรับแขกและโต๊ะทานอาหารชั้น 1 (ขวา) มุมมองจาก Glass Sky Box หน้ามุขชมวิว

“คู่แข่งโดยตรงไม่มี เพราะไม่มีโครงการทาวน์เฮาส์บนถนนรามคำแหงช่วงต้น แต่จะมีโครงการบ้านเดี่ยวในละแวกใกล้เคียง ซึ่งแพ็กเกจราคาแพงกว่า ราคาอาจจะไม่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้” นฑากล่าว

ผู้สื่อข่าว Positioning สำรวจพื้นที่รอบๆ มิลฟอร์ด ลาดพร้าว-รามคำแหง พบว่าโครงการแนวราบที่ยังอยู่ระหว่างขายมักจะเป็นกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี เช่น “ธารารมณ์ ไพรเวท เรสซิเดนซ์ รามคำแหง 9” บ้านเดี่ยว 3 ชั้นราคาเริ่มต้น 44 ล้านบาท หรือ “โนเบิล เทอร์รา พระราม 9 – เอกมัย” บ้านเดี่ยว 3 ชั้นราคาเริ่มต้น 45 ล้านบาท

ห้องนอนมาสเตอร์

นฑากล่าวว่า ปัจจุบันเริ่มมีผู้ที่สนใจลงทะเบียนเข้ามาแล้วกว่า 100 ราย และจะเปิดขายแกรนด์โอเพนนิ่งวันที่ 17-18 สิงหาคมนี้ วางเป้าหมายยอดขายของโครงการมิลฟอร์ด ลาดพร้าว-รามคำแหงแตะ 40-50% ภายในสิ้นปี 2567

ด้านโอกาสการขยายแบรนด์มิลฟอร์ดไปปักหมุดในทำเลอื่นๆ นฑาระบุว่า ในไตรมาส 4 จะมีอีกโครงการคือ “มิลฟอร์ด โฮม สตูดิโอ ลาดพร้าว” เป็นโครงการขนาดเล็กมูลค่า 100 ล้านบาท พัฒนาเป็นโฮมออฟฟิศ 4 ชั้น จำนวน 3 ยูนิตเท่านั้น ราคาประมาณ 30 ล้านบาทต่อหลัง

ห้องเล่นเด็ก

ขณะที่ทำเลอื่นๆ ที่อาจจะมีการจัดซื้อที่ดินในอนาคต จะมองหาที่ดินเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 6-7 ไร่ในทำเลใกล้เมือง เช่น โซนกาญจนาภิเษก ซึ่งนฑายอมรับว่าการหาที่ดินคืออุปสรรคสำคัญในการพัฒนาโครงการลักษณะนี้ เพราะที่ดินราคาเหมาะสมและมีเนื้อที่พอสมควรค่อนข้างหายากแล้วในทำเลใกล้เมือง

สำหรับภาพรวมยอดขายของ MJD ครึ่งปีแรก 2567 นฑาระบุว่าทำยอดขายได้กว่า 5,000 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายทั้งปี 7,000 ล้านบาท ถือว่าได้ยอดขายดีเกินคาด

ส่วนครึ่งปีหลังนี้นอกจาก “มิลฟอร์ด” ทั้ง 2 โครงการ คาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่อีก 1-2 แห่ง และน่าจะทำให้ทั้งปีนี้ MJD สร้างยอดขายได้ตามเป้า ส่วนการเทิร์นอะราวด์กลับมาทำกำไร นฑายังไม่ยืนยันว่าจะเป็นไปได้ในปี 2567 แต่เชื่อว่าน่าจะเริ่มเห็นการกลับมาทำกำไรของ MJD ได้ภายในต้นปี 2568 เพราะโครงการคอนโดมิเนียมจะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์

]]>
1484353
ซีอีโอใหม่ “ไรมอน แลนด์” โชว์วิสัยทัศน์ ตั้ง “PE Trust” ดึงเงินลงทุนต่างชาติ เปิดน่านน้ำใหม่ “ยุโรป-ออสฯ” https://positioningmag.com/1469116 Thu, 04 Apr 2024 07:22:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469116 “ไรมอน แลนด์” เปิดตัวซีอีโอใหม่ “เบร็นตัน จัสติน มอเรลโล” โชว์วิสัยทัศน์ปั้นบริษัทกลับมากำไร ดึงต่างชาติลงทุนผ่าน “PE Trust” พร้อมบุกเปิดตลาดน่านน้ำใหม่ลงทุนอสังหาฯ ใน “ยุโรป” และ “ออสเตรเลีย” วางเป้าก้าวสู่ “แบรนด์ระดับสากล”

บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ประกาศแต่งตั้งซีอีโอใหม่ “เบร็นตัน จัสติน มอเรลโล” รับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 โดยซีอีโอคนเดิม “กรณ์ ณรงค์เดช” ยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท และประธานคณะกรรมการบริหารของ RML ต่อไป

เบร็นตัน จัสติน มอเรลโล มีประสบการณ์ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบสถาปัตยกรรม และการก่อสร้างมานานกว่า 30 ปี เคยนั่งตำแหน่งซีอีโอของ Design Worldwide Partnership (DWP) บริษัทออกแบบสถาปัตยกรรม มีผลงานเด่นในประเทศไทย เช่น “OCC” ตึกออฟฟิศที่พัฒนาโดย RML หรือ “98 Wireless” คอนโดมิเนียมหรูบนถ.วิทยุที่พัฒนาโดยแสนสิริ จึงมีความรู้ความเข้าใจในตลาดอสังหาฯ ระดับลักชัวรี

ไรมอน แลนด์ ซีอีโอ
“กรณ์ ณรงค์เดช” กรรมการบริษัท และประธานคณะกรรมการบริหาร และ “เบร็นตัน จัสติน มอเรลโล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML

เบร็นตันแถลงย้ำทิศทางเดิมที่ “กรณ์ ณรงค์เดช” วางไว้ให้กับ RML หลังมาเป็นซีอีโอเมื่อ 3 ปีก่อน คือ จะยกระดับแบรนด์ให้เป็น “อันดับ 1 ในกลุ่มตลาดซูเปอร์ลักชัวรี” และจะเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนเพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงิน สร้างผลประกอบการที่ดีตอบแทนให้กับนักลงทุน โดยคาดว่าไรมอน แลนด์จะสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้ภายในปี 2568

 

ปี 2567 เตรียมเปิดบ้านหรู 3 ทำเล สุขุมวิท-ภูเก็ต-ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

เบร็นตันกล่าวต่อถึงแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,000 ล้านบาท มีรายละเอียดดังนี้

  1. โครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ในซอยสุขุมวิท 28 จำนวน 5 หลัง ราคาหลังละ 500-700 ล้านบาท มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท
  2. Rosewood Residences Kamala วิลล่าสุดหรูหน้าหาดกมลา จ.ภูเก็ต จำนวน 25 หลัง ราคาหลังละ 450 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท (*ปี 2567 เปิดเฉพาะเฟส 1 จำนวน 9 หลัง)
  3. คฤหาสน์หรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีเพียง 1 หลัง ราคามากกว่า 1,000 ล้านบาท
โครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ในซอยสุขุมวิท 28

เห็นได้ว่าทั้งหมดเป็นโครงการแนวราบที่สามารถทยอยรับรู้รายได้ได้ ไม่จำเป็นต้องรอสร้างเสร็จทั้งโครงการเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ ทำให้ไรมอน แลนด์จะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการลอตใหม่นี้ได้ตั้งแต่ปี 2568

รวมถึงโครงการทั้งหมดสะท้อนทิศทางธุรกิจตามที่เคยแถลงไว้ คือจะพัฒนาเฉพาะโครงการระดับซูเปอร์ลักชัวรีเท่านั้น เพื่อให้เกิดแบรนดิ้งที่ชัดเจนของไรมอน แลนด์

 

เตรียมเปิด “PE Trust” เสริมแกร่งเงินทุน

เบร็นตันกล่าวถึงความท้าทายในธุรกิจอสังหาฯ ไทยอย่างหนึ่งคือ “การหาแหล่งเงินทุน” ทำให้ RML มีกลยุทธ์หนึ่งที่จะช่วยตอบโจทย์ในปีนี้คือ การจัดตั้งกองทุนในรูปแบบ Private Equity Trust (PE Trust) เพื่อดึงดูดเงินลงทุนเข้ามาในทุกโครงการ

กรณ์กล่าวเสริมถึงกลยุทธ์นี้ว่า PE Trust จะเสนอโอกาสการลงทุนให้กับนักลงทุนรายใหญ่ เช่น กองทุนไพรเวทอิควิตี้ จำนวนไม่เกิน 10 ราย ลักษณะการลงทุนจะต่างจากการตั้งบริษัทจอยต์เวนเจอร์ เพราะนักลงทุนจะได้รับข้อเสนอที่มีกรอบระยะเวลาการลงทุนและผลตอบแทนการลงทุนที่ชัดเจน

กรณ์เชื่อว่าการเปิด PE Trust น่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ เช่น จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เพราะโอกาสได้ผลตอบแทนและเสถียรภาพสูงกว่าการลงทุนในตลาดเงินตลาดทุน

 

ลุยน่านน้ำใหม่ “ยุโรป-ออสเตรเลีย” หาพาร์ทเนอร์ลงทุน

เบร็นตันกล่าวถึงอีกกลยุทธ์หนึ่งที่จะสร้างการเติบโตให้ RML คือ การขยายธุรกิจในระดับนานาชาติ โดยบริษัทกำลังมองหาโอกาสลงทุนอสังหาฯ ในต่างประเทศ เช่น ยุโรป ออสเตรเลีย คาดว่าจะได้เห็นโปรเจ็กต์แรกภายในปี 2568

กรณ์มองว่า โอกาสทางธุรกิจของอสังหาฯ ประเภท Branded Residence มีสูงในตลาดฝั่งยุโรปและออสเตรเลีย ทำให้ต้องการเข้าไปลงทุน โดยคาดว่าจะร่วมกับพาร์ทเนอร์ท้องถิ่นเพื่อเข้าสู่ธุรกิจได้ง่ายขึ้น

“เรามองว่าโลกาภิวัตน์เกิดขึ้นแล้วในวันนี้ ทำให้ไรมอน แลนด์สามารถจะยกระดับตัวเองเป็นแบรนด์ระดับสากลได้ในการไปลงทุนต่างประเทศ” กรณ์กล่าว โดยในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า รายได้ของไรมอน แลนด์คาดว่าจะมาจากธุรกิจต่างประเทศ 50% และในไทย 50%

]]>
1469116
“บริทาเนีย” ปี 2567 เปิดใหม่เท่าเดิมจากสภาพตลาด “ทรงตัว” เน้นกลุ่มกลางบน-ลุยภูมิภาค 6 จังหวัด https://positioningmag.com/1463407 Tue, 20 Feb 2024 08:33:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463407 “บริทาเนีย” เปิดแผนปี 2567 วางเป้า “ทรงตัว” เกือบใกล้เคียงปีที่แล้วจากสภาพเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นมากนัก เน้นกลุ่มตลาดระดับกลางถึงลักชัวรีเป็นหลัก กระจายออกภูมิภาค 6 จังหวัดภาคอีสานและอีอีซี

“ธีรเดช เกิดสำอางค์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือออริจิ้นผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทโครงการแนวราบ กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ 8 นับจากการก่อตั้งบริษัท เตรียมลุยตลาดภายใต้แผน “รังสรรค์เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคง”

บริทาเนีย 2567
“ธีรเดช เกิดสำอางค์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน)

เทน้ำหนักตลาดระดับ “กลาง” ถึง “ลักชัวรี”

แผนธุรกิจปี 2567 ของบริทาเนีย วางเป้าเปิดตัวโครงการ 20 โครงการ มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท มีเป้ายอดขาย 13,000 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ 8,000 ล้านบาท

บริทาเนีย 2567

โครงการใหม่ที่จะเปิดในปีนี้แบ่งเป็น 5 กลุ่มตามแบรนด์ของบริษัท คือ

  • เบลกราเวีย (บ้านเดี่ยวลักชัวรี ราคา 20-30 ล้านบาท) จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,700 ล้านบาท
  • แกรนด์ บริทาเนีย (บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ราคา 10-20 ล้านบาท) จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวม 3,950 ล้านบาท
  • บริทาเนีย (บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ราคา 4-10 ล้านบาท) จำนวน 9 โครงการ มูลค่ารวม 7,250 ล้านบาท
  • ไบรตัน (บ้านแฝดและทาวน์โฮม ราคา 5-4 ล้านบาท) จำนวน 1 โครงการ มูลค่า 750 ล้านบาท
  • Branded Residence Villa จำนวน 1 โครงการ มูลค่า 350 ล้านบาท (*ส่วนหนึ่งในโครงการออริจิ้น รีสอร์ต เวิลด์ เขาใหญ่)
เบลกราเวีย เอ๊กซ์คลูซีฟ ปิ่นเกล้า-บรมราชชนนี หนึ่งในโครงการที่จะเปิดตัวปี 2567

ภาพรวมปีนี้สังเกตได้ว่าบริทาเนียเน้นตลาดระดับกลางถึงระดับลักชัวรีเกือบทั้งหมด กลุ่มตลาดกลางล่างมีเพียงโครงการเดียวคือ ไบรตัน ศรีราชา เป็นโครงการทาวน์โฮมราคาเริ่ม 2.8 ล้านบาท

แผนธุรกิจปี 2567 เทียบกับปี 2566 นับว่า “ทรงตัว” ไม่บุกหนัก โดยปีก่อนนี้บริทาเนียมีการเปิดตัวไป 12 โครงการ มูลค่ารวม 16,500 ล้านบาท และสร้างยอดขายได้ 12,500 ล้านบาท

ธีรเดชกล่าวว่า ปีก่อนบริทาเนียเปิดตัวต่ำกว่าเป้าเดิมที่วางไว้ 20 โครงการ 20,000 ล้านบาท เนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจค่อนข้างซบเซา ทำให้บริษัทชะลอการเปิดตัวเพื่อความยั่งยืนของบริษัท และย้ายโครงการที่ยังไม่ได้เปิดตัวปีก่อนมาเปิดในปี 2567 แทน

 

บุก 6 จังหวัดภูมิภาค – ชูโมเดล ‘JV’ กับแลนด์ลอร์ด

การเปิดตัวโครงการใหม่ของบริทาเนียปีนี้เน้นลุยในตลาดต่างจังหวัดด้วย โดยมี 12 โครงการที่จะเปิดใน 6 จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี ขอนแก่น อุบลราชธานี นครราชสีมา ระยอง และชลบุรี มูลค่ารวมโครงการที่เปิดในต่างจังหวัด 9,000-10,000 ล้านบาท หรือเกิน “ครึ่งหนึ่ง” ของโครงการเปิดใหม่ปีนี้

แผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในต่างจังหวัดของ “บริทาเนีย”

ธีรเดชกล่าวด้วยว่า โมเดลธุรกิจของบริทาเนียเปิดกว้างในการ ‘JV’ (Joint Venture) ร่วมทุนกับเจ้าของที่ดินหรือดีเวลอปเปอร์ท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดเกือบทั้งหมดเป็นโครงการที่ผ่านการ JV ส่วนในกรุงเทพฯ ปีนี้มีทั้งหมด 4 โครงการที่ลงทุนแบบ JV รวมทั้งหมดมีถึง 16 โครงการปีนี้ที่ร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน

“ข้อดีคือเราไม่ต้องลงทุนหนักในการเก็บที่ดินซึ่งเป็นสินทรัพย์ เป็นผลดีในแง่โมเดลทางการเงิน” ธีรเดชกล่าว “ส่วนความท้าทายคือแน่นอนว่าการมีสองฝ่ายลงทุนร่วมกันก็จะต้องใช้เวลามากขึ้นในการทำงาน”

ขณะที่ฝั่งดีเวลอปเปอร์ท้องถิ่นก็จะได้ประโยชน์ในแง่ของเงินทุน แบรนด์ การตลาด และ knowhow ต่างๆ ในด้านการออกแบบก่อสร้างด้วย

โมเดลการทำงานลักษณะนี้ บริทาเนียเริ่มต้นอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2566 จนทำให้ปัจจุบันมีที่ดินเก็บไว้ทั้งหมด 23 แปลง เพียงพอในการพัฒนาโครงการได้อีก 2-3 ปี ในจำนวนนี้มีถึง 14 แปลงที่เป็นที่ดินเซ็นสัญญาร่วมทุน

“คาดการณ์ภาคอสังหาฯ ปีนี้ตลาดน่าจะยังทรงตัว เพราะจีดีพีปีก่อนเติบโต 1.9% ส่วนปีนี้มีคาดการณ์ว่าจะโตไม่เกิน 3% ทำให้เราเปิดตัวใกล้เคียงเดิมให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศ” ธีรเดชกล่าว “แต่ในครึ่งปีหลังก็หวังว่าจะมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่อาจจะลดลง และคาดว่าจะมีมาตรการรัฐมากระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น”

]]>
1463407
“อสังหาฯ” 2566 ส่อฟุบ REIC คาดมูลค่าโอนติดลบ -8% “คอนโดฯ” อาการหนัก “บ้านหรู” เริ่มขายอืด https://positioningmag.com/1442904 Wed, 30 Aug 2023 11:06:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1442904 ภาคธุรกิจ “อสังหาฯ” ต้องกัดฟันผ่านช่วงเวลาขาลงระหว่างโควิด-19 และเริ่มเห็นแสงสว่างในปี 2565 แต่มาปี 2566 แทนที่การฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ปีนี้การขายอสังหาฯ กลับสะดุดลงอีกครั้งจากหลายปัจจัย โดยประเภทสินค้าที่ยังติดหล่มคือ “คอนโดฯ” ส่วนเครื่องยนต์สำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดก่อนหน้านี้อย่าง “บ้านหรู” เริ่มอิ่มตัว ทำให้ REIC คาดว่ามูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งปีนี้จะติดลบ -8.2%

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดรายงานวิเคราะห์ตลาดสถานการณ์ธุรกิจที่อยู่อาศัยช่วงไตรมาส 2/2566 และคาดการณ์จนถึงสิ้นปีนี้

REIC
“ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์” ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการ REIC

REIC พบว่า สถานการณ์ครึ่งปีแรก 2566 เริ่มส่งสัญญาณดีมานด์แผ่วลง เนื่องจากหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 1/2566 และไตรมาส 2/2566 เริ่มลดลง ไตรมาสแรกมีการโอนกว่า 84,000 หน่วย ลดลง -0.8% YoY และไตรมาสสองโอนกว่า 91,000 หน่วย ลดลง -4.4% YoY

ส่วนมูลค่าการโอนนั้น ไตรมาสแรกมีการโอนมูลค่ากว่า 241,000 ล้านบาท เติบโต +7.9% ส่วนไตรมาสสองมีการโอนมูลค่ากว่า 258,000 ล้านบาท เติบโต +0.5% ถึงแม้ยังเติบโตกว่าครึ่งปีแรกปีก่อน แต่เห็นเทรนด์ได้ว่ามูลค่าการโอนเริ่มเติบโตได้ช้าลง

 

คาดทั้งปี 2566 ตลาดฟุบจากดอกเบี้ยสูง-หนี้ครัวเรือน

ดร.วิชัยกล่าวว่า ปี 2566 มีหลายปัจจัยลบที่เข้ามาปั่นป่วนภาคอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็น

  • ภาพรวม “เศรษฐกิจไทย” ฟื้นตัวได้เฉพาะภาคการท่องเที่ยว ทำให้จีดีพีไทยไม่น่าจะเติบโตสูงได้อย่างที่หวัง
  • “การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย” ปีนี้ปรับขึ้นมาแล้ว 1.0% และมีแนวโน้มจะปรับขึ้นได้อีก 0.25-0.50% ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยทำให้คนไทยเกิดความลังเลใจในการซื้อ
  • “อัตราหนี้ครัวเรือน” อยู่ในระดับสูงกว่า 90% ของจีดีพี ในทางกลับกัน มาตรการผ่อนปรน LTV ของธนาคารพาณิชย์นั้นหมดไปแล้ว จึงทำให้การกู้สินเชื่อบ้านยากลำบากขึ้น

เมื่อสถานการณ์หลังผ่านครึ่งปีก็ยังไม่เอื้ออำนวยให้การซื้อบ้าน REIC จึงคาดว่าสถานการณ์โดยรวมทั้งปี 2566 น่าจะแย่ลงจากที่เคยประเมินไว้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

จำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ปี 2561 – 2565 และคาดการณ์ ปี 2566F – 2567F

โดย REIC ประเมินว่า จำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้จะลดลงถึง -14.5% เหลือเพียง 336,000 หน่วย ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนหน่วยโอนที่ต่ำยิ่งกว่าในช่วงระหว่างเกิดโควิด-19 ในช่วงนั้นเคยมีปีที่มีหน่วยโอนต่ำที่สุดคือปี 2564 มีการโอนกว่า 343,000 หน่วย

มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ ปี 2561 – 2565 และคาดการณ์ปี 2566F – 2567F

ส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์นั้นคาดว่าจะลดลง -8.2% เหลือเพียงกว่า 977,000 ล้านบาท จากที่ปี 2565 ภาคอสังหาฯ เคยทำลายสถิติมีการโอนกรรมสิทธิ์มูลค่าทะลุ 1 ล้านล้านบาทเป็นครั้งแรก ปีนี้ตลาดกลับหดตัวลงอีกครั้ง

 

“คอนโดฯ” ยังเมาหมัด “บ้านหรู” เริ่มอิ่มตัว

เจาะลึกในแต่ละประเภทที่อยู่อาศัย REIC มองว่าตลาดที่ยังอาการหนักคือ “คอนโดมิเนียม” คาดปี 2566 จะมีการโอนเพียง 84,400 หน่วย ลดลง -21.2% ในแง่มูลค่าการโอนคอนโดฯ จะลดเหลือ 249,000 ล้านบาท ติดลบ -13.5% ตัวเลขเหล่านี้ถือว่าต่ำกว่าในช่วงที่เกิดโควิด-19

ส่วนตลาด “แนวราบ” นั้นยังไม่เจ็บหนักเท่า คาดปี 2566 จะมีการโอน 251,000 หน่วย ลดลง -11.9% ในแง่มูลค่าการโอนตลาดแนวราบจะลดเหลือ 728,000 ล้านบาท ติดลบ -6.2%

ในส่วนของแนวราบนั้น มีจุดที่น่าสนใจคือตั้งแต่เกิดโควิด-19 ขึ้น ผู้ประกอบการต่างหันไปทำตลาด “บ้านหรู” ราคามากกว่า 10 ล้านบาท เพราะเป็นตลาดที่กำลังซื้อสูงและไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจเท่าใดนัก ทำให้ตลาดนี้กลายเป็นเครื่องยนต์ตัวหนึ่งที่ช่วยพยุงอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม ดร.วิชัยกล่าวว่าตลาดบ้านหรูเริ่มเห็นสัญญาณอิ่มตัวมาตั้งแต่ไตรมาส 4/2565 ในส่วนดีมานด์ความต้องการซื้อยังสม่ำเสมอ ขายได้ที่ 1,000-1,500 หน่วยต่อไตรมาส แต่ปัญหาอยู่ที่ซัพพลายการเปิดตัวบ้านหรูซึ่งเริ่มเปิดกัน 2,500 หน่วยต่อไตรมาส ทำให้เกิดซัพพลายเหลือขายมากขึ้น

“เราจะเริ่มเห็นการอิ่มตัวมาตั้งแต่ Q4/65 หน่วยเหลือขายเริ่มเหลือเยอะขึ้นกว่าปกติ เห็นได้ว่าในตลาดจะเริ่มมีคนที่ขายได้กับคนขายไม่ได้ ดังนั้น คนที่กำลังคิดพัฒนาโครงการบ้านหรูอาจจะต้องระวังมากขึ้น” ดร.วิชัยกล่าว

 

ระวังการเพิ่มซัพพลาย – กำลังซื้อ “ต่างชาติ” สำคัญมาก

จากสถานการณ์เหล่านี้ ดร.วิชัยจึงฝากถึงผู้ประกอบการอสังหาฯ ว่าจะต้อง “ระวัง” การเพิ่มซัพพลายใหม่สู่ตลาด ควรเน้นระบายสต็อกเดิมไปก่อน

รวมถึงควรดึงดูดลูกค้า “ต่างชาติ” ให้ได้มากขึ้น โดยครึ่งปีแรก 2566 ลูกค้าต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 35,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 24.5% ของตลาดคอนโดฯ เห็นได้ว่าการขายคอนโดฯ เกือบ 1 ใน 4 เป็นการขายให้ลูกค้าต่างชาติ อสังหาฯ ไทยจึงยังต้องพึ่งพากำลังซื้อเหล่านี้

ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าสำคัญยังเป็น “จีน” ซึ่งมีสัดส่วนการซื้อถึง 48% ของลูกค้าต่างชาติทั้งหมด แต่ตลาดที่มาแรงไม่แพ้กัน ได้แก่ “รัสเซีย” ซึ่งนิยมอสังหาฯ ทำเลภูเก็ตและพัทยา รวมถึง “เมียนมา” ซึ่งนิยมเข้ามาซื้อห้องชุดขนาดใหญ่เพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง

“สำหรับนโยบายจากรัฐบาลใหม่ อยากเสนอให้มีมาตรการผ่อนปรน LTV อีกครั้งหนึ่ง เพราะการเข้มงวดหลักเกณฑ์ LTV นั้นเห็นชัดมากว่าทำให้คนซื้อบ้านยาก เกิดอัตราปฏิเสธสินเชื่อสูง” ดร.วิชัยกล่าวปิดท้าย

]]>
1442904
8 ไอเทมลักชัวรีแนวใหม่ เครื่องบอกสถานะ “ชีวิตคนรวย” ของเจนวายที่ไม่เหมือนยุคเดิม https://positioningmag.com/1440112 Mon, 07 Aug 2023 12:34:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1440112 “เจนวาย” กำลังเข้าสู่ช่วงวัยสร้างครอบครัว ซื้อบ้าน เริ่มมีลูก ทำให้เจนวายที่มีกำลังซื้อสูงเริ่มเปลี่ยนความสนใจไอเทมบ่งบอกสถานะ “ชีวิตคนรวย” จากเสื้อผ้าเครื่องประดับแนวสตรีทที่ฮิตก่อนหน้านี้ มาเป็นไอเทมอื่นๆ ที่เกี่ยวกับบ้านและชีวิตความเป็นอยู่มากขึ้น

ก่อนหน้านี้พฤติกรรมผู้บริโภค “เจนวาย” ที่มีกำลังซื้อมักจะนิยมซื้อสินค้าลักชัวรีกลุ่มที่สื่อถึงค่านิยมหรือประสบการณ์ส่วนตัว ส่วนใหญ่มักจะเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นต่างๆ

แต่เมื่อพวกเขาเข้าสู่ช่วงวัยประมาณ 40 ปี ชีวิตในวัยนี้มักจะมีครอบครัว มีบ้าน มีลูก ทำให้ไอเทมที่เป็นเครื่องบ่งบอกสถานะจึงเปลี่ยนแปลงไป

ไปพบกับ 8 ไอเทมลักชัวรีของคน “เจนวาย” ที่ต่างไปจากยุคเดิม ดังนี้

 

1.สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง

Mintel บริษัทวิจัยทางการตลาดระบุว่า เจนวายมองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว บางครอบครัวอาจจะเลือกมีสัตว์เลี้ยงแทนการมีลูกไปก่อน ทำให้พวกเขาจะใช้จ่ายกับสินค้าสัตว์เลี้ยงสูงเหมือนกับเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง

ดังนั้น แบรนด์อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงจะไม่ใช้แค่เกรดทั่วไป เช่น Pedigree หรือ Purina แต่ต้องเป็นแบรนด์ระดับพรีเมียมมากขึ้น เช่น Rachael Ray’s Nutrish หรือ Simpsons Premium ซึ่งมีสินค้ากลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงแบบออร์แกนิกหรือไร้กลูเตนให้เลือกด้วย

ต่อด้วยอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงทั้งหมด เช่น ที่นอน พื้นที่เล่นของสัตว์ ของเล่น เสื้อผ้า ชามอาหารและน้ำ ฯลฯ จะใช้ไอเทมที่มีราคาในระดับลักชัวรีเพื่อปรนเปรอสัตว์เลี้ยงแสนรัก เป็นการใช้จ่ายทางอารมณ์ความรู้สึกมากขึ้นกว่าการซื้อสินค้าเพื่อฟังก์ชันการใช้งานเท่านั้น

 

2.เลือกใช้รถอีวี
Tesla Roadster 2020

J.D.Power บริษัทวิจัยอินไซต์ผู้บริโภค พบว่า คนที่สนใจซื้อรถอีวีส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย โดย ณ สิ้นปี 2022 กลุ่มผู้ซื้อรถอีวี 72.5% เป็นเพศชาย เทียบกับค่าเฉลี่ยทั้งตลาดผู้ซื้อรถ 60% เป็นเพศชาย เห็นได้ว่าผู้ชายมีแนวโน้มจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า

ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ผู้ซื้อรถอีวีมักจะเป็นคนที่มีรายได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดผู้ซื้อรถทั้งหมดด้วย ทำให้ปัจจุบันกลุ่มโปรไฟล์หลักที่จะซื้อรถอีวีคือ “ผู้ชายที่มีฐานะ”

นั่นทำให้รถยนต์ไฟฟ้าในขณะนี้เป็นเหมือนเครื่องแสดงสถานะกลายๆ ว่าคนขับเป็นผู้ที่มีฐานะ ด้วยโปรไฟล์ผู้ซื้อที่เป็นภาพจำในตลาด

 

3.บ้านหรู

เพราะเจนวายอยู่ในช่วงวัยที่เริ่มมีบ้านเป็นของตนเองแล้ว ทำให้ยุคนี้การ ‘อวดบ้าน’ ผ่านโซเชียลมีเดียคือการแสดงฐานะที่ดีที่สุด บ้านจะต้องดูมีระดับ มีดีไซน์ มีรสนิยม

มุมที่ผู้มีฐานะเจนวายสนใจตกแต่งมากขึ้นคือ “ห้องครัว” ที่ดูลักชัวรี ไปจนถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวอย่าง “ตู้เย็น” ที่ออกแบบมาอย่างดีให้กลมกลืนกับภายในครัว ในตู้เย็นก็จะต้องจัดเรียงวัตถุดิบอาหารและเครื่องดื่มในตู้ไว้อย่างสะอาด สวยงามเรียบร้อย

Samsung Bespoke

นอกจากนี้ ในโลกตะวันตกยังมีเทรนด์การอวดบ้านอีกอย่างหนึ่งที่นิยมกันคือการอวด “ห้องซักผ้า” เนื่องจากปกติห้องซักผ้าจะมีประโยชน์เรื่องการทำงานบ้านเท่านั้น ไม่ได้เป็นมุมไว้พักผ่อนใช้ชีวิตของคนในบ้าน ทำให้บ้านส่วนใหญ่ไม่ได้ตกแต่งห้องซักผ้าให้สวยงาม

ดังนั้น เมื่อบ้านหลังไหนเนรมิตห้องซักผ้าไว้อย่างสวยงาม จึงเป็นการสื่อว่าเจ้าของบ้านไม่ได้สนใจแค่ฟังก์ชัน แต่ต้องมีความงามในทุกๆ มุมของบ้านจริงๆ

 

4.เครื่องชงกาแฟ
(Photo: Marta Dzedyshko / Pexels)

ไฮไลต์อุปกรณ์ครัวมาแรงอีกชิ้นหนึ่งคือ “เครื่องชงกาแฟ” เพราะยุคนี้กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่มีสุนทรียะ ไม่ใช่แค่ไป Starbucks เท่านั้น แต่หลายคนนิยมสร้างสถานะด้วยความรู้ความเข้าใจเรื่องกาแฟ…ซึ่งรวมไปถึงการครอบครองเครื่องชงกาแฟราคาแพงด้วย

ราคาเครื่องชงกาแฟทั่วไปมักจะมีราคาราวเครื่องละ 14,000 บาท แต่ถ้าต้องการเครื่องชงกาแฟที่มีระดับมากขึ้นอาจจะต้องเตรียมเงินไว้มากกว่า 200,000 บาท เมื่อราคาต่างกันมากทำให้เครื่องชงกาแฟมีสถานะคล้ายๆ กับนาฬิกาข้อมือหรือกระเป๋าถือ คือเป็นเครื่องบ่งบอกกำลังซื้อของเจ้าของ

 

5.สปาในบ้าน
(Photo: Ksenia Chernaya / Pexels)

อีกหนึ่งห้องในบ้าน “ชีวิตคนรวย” เจนวาย คือการสร้างห้องน้ำในรูปแบบ “สปา” ไว้ในบ้าน เพื่อหลบลี้จากความเครียดและความวุ่นวาย

สปาในบ้าน จึงเป็นห้องสำหรับผ่อนคลายด้วยโทนการตกแต่งสบายๆ มีเก้าอี้โซฟา พรมสวยๆ ต้นไม้ประดับ และแน่นอนว่าต้องมีอ่างแช่ตัว ให้อารมณ์สปาแบบเซ็น

การมีห้องลักษณะนี้ในบ้านคือการสร้างความพิเศษส่วนตัวได้ทันที จะเข้าสปาตอนเช้าก่อนไปทำงานหรือหลังเลิกงานก็ได้ทั้งนั้น

 

6.สบู่ล้างมือ

แม้แต่รายละเอียดที่เล็กที่สุดอย่าง “สบู่ล้างมือ” ก็ต้องเป๊ะสำหรับคนเจนวาย โดยเป็นรายละเอียดของการใช้ชีวิตเหมือนกับการการไปพักโรงแรมหรือเข้าห้องน้ำในร้านอาหารสุดหรู

แบรนด์ที่กำลังมาแรงในเทรนด์นี้คือ “Aesop” แบรนด์สกินแคร์จากออสเตรเลียที่ขายสบู่ล้างมือขวดละ 1,400 บาท การมี Aesop อยู่ในบ้านทำให้ดูมีรสนิยมที่ใส่ใจในทุกๆ ส่วนของชีวิต

 

7.เอเย่นต์และทัวร์ท่องเที่ยว (แบบลักชัวรี)

การจองที่พักและตั๋วเครื่องบินออนไลน์ได้ด้วยตนเองน่าจะทำให้ธุรกิจจัดทัวร์ท่องเที่ยวและบริการเอเย่นต์ต่างๆ ซบเซาลง แต่ไม่ใช่กับคนมีฐานะเจนวาย

Flywire มีการสำรวจคนเจนวายและเจนซีวัย 18-44 ปี ที่ระบุว่าตนเองเป็นนักท่องเที่ยวระดับลักชัวรี พบว่า 90% ของคนกลุ่มนี้มองว่าทัวร์ เอเย่นต์ท่องเที่ยว และที่ปรึกษาเท่านั้นที่จะทำให้เกิดประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบลักชัวรีอย่างแท้จริงได้

กลุ่มคนเหล่านี้จะใช้ที่บริการบริษัทท่องเที่ยวระดับลักชัวรี ซึ่งหลายบริษัทจะต้องจ่ายค่าสมาชิกเป็นค่าแรกเข้าก่อนและมีค่าสมาชิกรายปีสำหรับเป็นเครดิตไว้ใช้จ่ายค่าทัวร์และบริการต่างๆ

Black Tomato บริษัทท่องเที่ยวลักชัวรี บอกว่า ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนเจนวายที่ไปเที่ยวกับครอบครัว และอีกกลุ่มเป็นเจนวายที่ต้องการเที่ยวคนเดียวในทริปที่ได้ผจญภัยมากขึ้น ไปที่แปลกใหม่กว่าคนอื่น

 

8.โบท็อกซ์

สุดท้ายแล้วคือเรื่องความงาม โดยเฉพาะเมื่อเจนวายอยู่ในวัยประมาณ 40 ปี ทำให้พวกเขาสนใจการทำโบท็อกซ์และการเสริมความงามในคลินิกมากขึ้น

สมาคมศัลยแพทย์พลาสติกอเมริกัน รายงานว่าตั้งแต่หลังโรคระบาดคลี่คลาย 30% ของแพทย์เสริมความงามในสหรัฐฯ พบว่าตนมีคนไข้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นคือผู้หญิงวัย 31-45 ปี ซึ่งต้องการบริการเสริมความงาม เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ลดไขมัน ยกกระชับผิว

เดิมคนเจนวายมีความสนใจเรื่อง “เวลเนส” มีชีวิตที่สุขภาพดีทั้งกายใจอยู่แล้ว พวกเขาใส่ใจกับอาหาร การออกกำลังกาย ทำให้การทำศัลยกรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงจร “การดูแลตัวเอง”

]]>
1440112