รถยนต์หรู – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 25 Jan 2022 12:05:43 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 3 เหตุผลส่ง Rolls-Royce เป็นแบรนด์ “รถหรู” ของ “คนรุ่นใหม่” อายุผู้ซื้อเฉลี่ยลดเหลือ 43 ปี https://positioningmag.com/1371543 Tue, 25 Jan 2022 11:33:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1371543 Rolls-Royce เป็นแบรนด์ “รถหรู” ที่ขึ้นชื่อเรื่อง “นั่งสบายดุจแพรไหม” ภาพลักษณ์เดิมของแบรนด์เป็นรถสำหรับผู้บริหารชั่วโมงบินสูง แต่ปัจจุบันอายุเฉลี่ยผู้ซื้อรถยนต์แบรนด์นี้ทั่วโลกลดเหลือเพียง 43 ปี! น้อยกว่าแบรนด์รถหรูอื่น เช่น BMW, Mercedes-Benz หรือกระทั่ง Lamborghini ด้วยเหตุผลทั้งที่เกิดจากสภาวะในสังคมคนรวยเอง และการปรับกลยุทธ์ของแบรนด์ที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่มากขึ้น

เมื่อปีก่อน Rolls-Royce ประกาศยอดขายสถิติใหม่ สามารถขายได้ 5,600 คันทั่วโลกภายในปีเดียว และยังเปิดเผยอายุเฉลี่ยของผู้ซื้อที่ลดลงเหลือเพียง 43 ปีทั่วโลกและในสหรัฐฯ นั่นหมายความว่าอายุของผู้ซื้อจำนวนมากจริงๆ แล้วอายุน้อยกว่าที่เราคิด อยู่ในวัยเพียง 20 กว่าจนถึง 30 กว่าปีเท่านั้น

ตัวเลขนี้ไม่ใช่เรื่องสามัญในกลุ่มรถหรู เพราะแบรนด์อื่นๆ เช่น Mini (อยู่ในเครือเดียวกับ BMW ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Rolls-Royce) มีอายุเฉลี่ยผู้ซื้อในสหรัฐฯ สูงถึง 52 ปี! ส่วนแบรนด์ BMW อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 55 ปี

IHS Markit บริษัทที่ปรึกษาค้นพบดาต้าที่สอดคล้องกันว่า Rolls-Royce มีผู้ซื้อที่อายุต่ำกว่า 45 ปีเป็นสัดส่วนมากกว่าแบรนด์อื่นๆ เช่น Mercedes-Benz, Audi, Lexus หรือกระทั่ง Lamborghini

เหตุผลที่ทำให้แบรนด์ซึ่งเมื่อหลายทศวรรษก่อนเป็นแบรนด์ของคนวัยเกษียณ เป็นเครื่องแสดงฐานะของนักธุรกิจรุ่นใหญ่ วันนี้กลายเป็นแบรนด์ยอดฮิตของคนรุ่นใหม่ อายุผู้ซื้อเด็กลง สามารถแยกเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

1.ช่องว่างอายุระหว่าง “เศรษฐี” กับ “มหาเศรษฐี”

เนื่องจากรถ Rolls-Royce นั้นเป็นรถหรูราคาสูงมาก ในไทยจำหน่ายกันที่ 30 ล้านบาทถึงมากกว่า 50 ล้านบาท ดังนั้น ผู้ที่ตัดสินใจซื้อจึงมักจะเป็นระดับมหาเศรษฐี

รถยนต์ Rolls-Royce ใน MV เพลง I Don’t Care ของ Ed Sheeran และ Justin Bieber

เมื่อเจาะลึกระดับความร่ำรวย Spectrem Group บริษัทที่ปรึกษาที่ศึกษาด้านนักลงทุน พบว่า ผู้ที่มีสินทรัพย์สุทธิระหว่าง 33 ล้านบาท – 825 ล้านบาท หรือกลุ่มเศรษฐีหลักสิบล้านถึงร้อยล้าน มีอายุเฉลี่ยที่ 62 ปี แต่กลับกัน กลุ่มมหาเศรษฐีที่มีสินทรัพย์สุทธิมากกว่า 825 ล้านบาท หรือมหาเศรษฐีพันล้าน มีอายุเฉลี่ย 48 ปีเท่านั้น

นั่นทำให้สภาวะในสังคมเศรษฐีเปลี่ยนไปอยู่แล้ว โดย Martin Fritches ซีอีโอ Rolls-Royce อเมริกา เปิดเผยว่า กลุ่มมหาเศรษฐีซึ่งซ้อนทับกับผู้ซื้อ Rolls-Royce กลายเป็นกลุ่ม ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ อีลีท นักกีฬา นักแสดง และกลุ่มนี้พร้อมจะใช้เงินตั้งแต่ยังเด็กเพื่อหาความสำราญจากสิ่งที่มี ไม่ได้รอลงทุนจนฐานะมั่นคงก่อนแล้วจึงซื้อเหมือนแต่ก่อน

 

2.การปรับสินค้าของ Rolls-Royce

รถหรูคันใหญ่ของ Rolls-Royce มีการออกรถรุ่นที่เล็กกว่า (แต่ก็ยังใหญ่กว่ารถทั่วไป) อย่างรุ่น Ghost และปรับดีไซน์ให้ทันสมัยมากขึ้น เท่ขึ้น ซึ่งทำให้คนรุ่นใหม่สนใจ

Rolls-Royce รุ่น Cullinan Black Badge

นอกจากนี้ ยังมีการออกรถเอสยูวีเมื่อปี 2019 รุ่น Cullinan SUV ที่เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เต็มๆ เพราะเหมาะกับการเป็นรถครอบครัว ดูเด็กลงกว่าเดิม และลักษณะรถไม่โดดเด่นออกจากรถคันอื่นบนถนนมากเกินไป ดูไม่โอ้อวดแสดงฐานะมากเกินควร

ผู้บริหารแบรนด์และดีลเลอร์รถยังมองด้วยว่า องค์ประกอบงานดีไซน์ใหม่ๆ ของ Rolls-Royce มีส่วนช่วยดึงดูดคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น เช่น Starlight Headliner ฟังก์ชันเพดานรถเป็นรูปหมู่ดาว ซึ่งสามารถปรับแต่งได้เอง (customize) ตามที่ต้องการ อาจจะปรับเป็นท้องฟ้าในคืนวันเกิดของตัวเองก็ได้ (ฟังก์ชันนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในรถรุ่น Phantom ที่ผลิตเมื่อปี 2003)

อีกงานดีไซน์ที่ฮิตมากในกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวคือฟังก์ชัน Black Badge เป็นการสั่งทำดีไซน์รถให้เป็นธีมสีดำ ภายในห้องโดยสารจะมีกลิ่นอายของรถสปอร์ตมากขึ้น และเลือกตกแต่งห้องโดยสารได้เอง ทั้งที่ต้องจ่ายค่าสั่งทำเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท แต่มีการสั่งทำดีไซน์นี้มากขึ้นเรื่อยๆ

 

3.ปรับระบบ CRM ให้เป็นดิจิทัล

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ Rolls-Royce ปรับลุคให้ทันสมัยได้ คือการพัฒนาแอปพลิเคชัน Whispers ขึ้นมาใช้เชื่อมต่อสัมพันธ์กับเจ้าของรถ เป็นคลับดิจิทัลที่มีเฉพาะผู้ครอบครองรถเท่านั้นที่จะเข้าร่วมได้ คอนเทนต์ในแอปฯ ก็จะคล้ายกับที่แบรนด์เคยใส่ลงในนิตยสารพิเศษที่สมัยก่อนส่งตรงไปให้เจ้าของรถ และจะมีโปรโมชันต่างๆ ที่คัดสรรมาให้คนในชุมชน Rolls-Royce เช่น แพ็กเกจท่องเที่ยวสุดหรู

คลับดิจิทัล Whispers เชื่อมต่อเฉพาะผู้ครอบครองรถ Rolls-Royce

เมื่อเป็นแอปฯ แล้วยิ่งทำให้แบรนด์ปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าดีขึ้น และลูกค้าเองก็ใช้เป็นพื้นที่รู้จักกับคนอื่นๆ ซึ่งมีรสนิยมเดียวกัน อยู่ในฐานะสังคมใกล้เคียงกัน ใช้เป็นเครือข่ายหาคอนเน็กชันเพิ่มได้อีก ปัจจุบัน ลูกค้า Rolls-Royce ในสหรัฐฯ มีมากกว่า 25% ที่เข้าเป็นสมาชิก Whispers

เพื่อสรุปให้เห็นภาพว่าเจ้าของรถ Rolls-Royce ปัจจุบันเป็นคนแบบไหน CNN สัมภาษณ์เจ้าของรถวัย 30 ปี Maxie Kaan-Lilly ที่เป็นทั้งนางแบบและนายหน้าขายบ้าน เธอมองว่าการใช้รถ Rolls-Royce คือการแสดงถึงจุดสูงสุดของการประสบความสำเร็จ แถมยังเป็นการลงทุนที่ดีกับอาชีพ เพราะเธอมักจะใช้รถรุ่น Dawn ของเธอขับไปรับลูกค้าเพื่อไปชมบ้านซึ่งสร้างความประทับใจแรกได้ดีมาก รวมถึงใช้แอปฯ Whispers หาลูกค้าใหม่ๆ ได้อีกด้วย

Source

]]>
1371543
Volvo ชิงเกมด้วยลุค ‘รถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม’ เปิดตลาด ‘มือสอง’ ขยายฐานลูกค้าให้เข้าถึงง่าย https://positioningmag.com/1365083 Thu, 02 Dec 2021 12:53:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1365083 หลังวางโพสิชั่นสู้ตลาดด้วยมาด ‘รถไฟฟ้าระดับพรีเมียม’ ตามเทรนด์ความนิยมโลก เเบรนด์ยานยนต์จากสวีเดนอย่าง ‘Volvo’ (วอลโว่) ได้เวลา ‘เร่งเกียร์เร็ว’ เอาใจลูกค้าคนไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการงัดกลยุทธ์ใหม่ ทั้งการมุ่งหน้าสู่ระบบดิจิทัล ขยายบริการซ่อมบำรุง เเละการอำนวยความสะดวกเรื่องการชาร์จ

วันนี้ ‘คริส เวลส์’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด จะมาเปิดเผยถึงกลยุทธ์ธุรกิจในปี 2565 กับเป้าหมายเติบโตให้ได้ 20 % พร้อมฉายภาพโอกาสของยานยนต์พลังงานสะอาดเต็มรูปแบบในไทย

คนไทยเปิดใจรับ ‘รถยนต์ไฟฟ้าล้วน’ 

คริส เวลส์ เล่าว่า ‘ปีนี้เป็นปีที่ยากจะคาดเดา’ ทั้งจากวิกฤตโควิดเเละปัญหาการขาดเเคลนเซมิคอนดักเตอร์ต่างๆ ที่สะเทือนหลายวงการ รวมไปถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ พฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนเเปลง ใส่ใจสิ่งเเวดล้อมเเละความยั่งยืนมากขึ้น เเละเริ่มคุ้นชินกับการสื่อสารเเละซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ยังสามารถทำยอดขายได้ดี เเม้ในช่วงล็อกดาวน์

“อุตฯ รถยนต์ในไทยไม่ได้เปลี่ยนไปมากถึงระดับก้าวกระโดด ส่วนใหญ่คือการพัฒนาของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เเละเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เเต่สิ่งที่เปลี่ยนไปเร็วมากๆ คือความคาดหวังของลูกค้า คาดหวังสิ่งที่เหนือกว่าที่พวกเขาจะได้รับ นี่คือโจทย์ใหญ่ของเเบรนด์รถยนต์”

กลุ่มลูกค้าของ Volvo ถือว่าอยู่ในกว้างมาก ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานอายุตั้งเเต่ 20 ปลายๆ ไปจนถึง 60 กว่าปี มีทั้งผู้ที่ชื่นชอบในเเบรนด์ คนที่สนใจด้านเทคโนโลยี รวมไปถึงกลุ่มบริษัทชั้นนำต่างๆ

Volvo ออกนโยบายยกเลิกการจัดจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป มาตั้งแต่ปี 2562 โดยมีการนำเสนอรถยนต์แบบ Recharge Plug in Hybrid และ Recharge Pure Electric ตามแผนธุรกิจระยะ 10 ปี เเละในปีนี้ก็มีการเปิดตัว Volvo XC40 Recharge Pure Electric รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% เป็นครั้งแรก ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีเพิ่มขึ้นจากผู้ใช้งานทั้งในไทยและต่างประเทศ

สำหรับรุ่นที่ ‘ขายดีที่สุด’ ในปีที่ผ่านมา ได้แก่รุ่น Volvo X60 Recharge Plug-in Hybrid คิดเป็น 23% ของยอดจำหน่ายรวมทั้งหมด ตามมาด้วยอันดับสองอย่างรุ่น Volvo XC40 Recharge Plug-in Hybrid คิดเป็น 20% และอันดับสามคือรุ่น Volvo V60 Recharge Plug-in Hybrid คิดเป็น 17%

ส่วนรถยนต์รุ่นแรกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าแบบ 100% อย่าง Volvo XC40 Recharge Pure Electric สามารถสร้างยอดขายได้เป็นอันดับที่ 5 ในสัดส่วนสูงถึง 13% หลังจากเปิดตัวเป็นครั้งแรก สะท้อนให้เห็นการเปิดใจรับของผู้บริโภคชาวไทย ที่มองหา ‘รถยนต์ไฟฟ้าล้วน’ หรือ Battery Electric Vehicle (BEV) มากขึ้น

– Volvo XC40 Recharge Pure Electric

ด้านการขยาย ‘ศูนย์บริการ’ ตามมาตรฐาน Volvo Retail Experience (VRE) ในปีนี้ได้มีเครือข่ายโชว์รูมพันธมิตรเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง ในกรุงเทพฯ และพัทยาพร้อมการเปิดตัว “Volvo Certified Damage Repair Centre (VCDR)” ศูนย์บริการซ่อมตัวถังและสีมาตรฐานเพิ่มขึ้นอีก 2 ที่ในกรุงเทพฯ

“เรามีการเปิดศูนย์บริการลูกค้าด้วยระบบดิจิทัล มีช่างเทคนิคบริการให้แก่ลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง 365 วัน โดยไม่มีวันหยุด เข้าหาลูกค้าให้ทั่วถึงมากขึ้นในพื้นที่ห่างไกลจากศูนย์ฯ ที่ตั้ง ต่อไปนี้ช่างจะเดินทางไปหาลูกค้า
โดยพกเเค่ซอฟท์เเวร์ ไม่ต้องใช้เครื่องมือหนักๆ ที่ต้องทำในอู่ซ่อมเหมือนรถยนต์รุ่นเก่าๆ”

ตั้งเป้าโต 20% พร้อมโมเดลโชว์รูมเคลื่อนที่ 

สำหรับกลยุทธ์ธุรกิจในปี 2565 Volvo จะผลักดันการขายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ พร้อมกับการสร้าง Customer Touch Point ‘โชว์รูมเคลื่อนที่’ ที่เข้าถึงลูกค้าได้ในระดับตำบล หมู่บ้าน พร้อมต่อยอดบริการด้วยระบบ Volvo Personal Service (VPS) โดยลูกค้าสามารถเข้ารับบริการจากช่างเทคนิคส่วนบุคคล ที่รู้จักประวัติรถยนต์วอลโว่ของลูกค้า เพื่อให้การซ่อมบำรุงเป็นไปได้อย่างถูกต้องและประหยัดเวลาในการทำงาน เเละนำเสนอรูปแบบการให้บริการผ่านโทรศัพท์มือถือ

ขณะเดียวกัน ก็จะยังคงยึดถือ ‘แผนเติบโตอย่างยั่งยืน’ มุ่งทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเช่นเดิม เพื่อปูทางนโยบายระดับโลกที่ภายในปี 2030 จะจำหน่ายเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าล้วนเท่านั้น

Volvo ประเทศไทย ตั้งเป้ายอดขายในสิ้นปีนี้ เติบโตที่ 10% เเละเป้าหมายในปีหน้าด้วยความหวังว่าจะเติบโตถึง 20% จากเเรงหนุนของรุ่นยนต์รุ่นใหม่อย่าง All New Volvo C40 Recharge ที่กำลังจะเปิดตัว พร้อมส่งมอบช่วงกลางปี 

– All New Volvo C40 Recharge

เปิดตลาด ‘มือสองพรีเมียม’ ขยายฐานลูกค้า 

อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ Volvo กำลัง วางแผนเดินหน้าการส่งมอบรถยนต์ ‘Premium Used Car’ หรือรถมือสอง จาก Volvo SELEKT ที่ทุกคนจะมีการรคัดสรรเเละตรวจสอบปรับปรุงให้เป็นไปตามมาตรฐานของบริษัท เพื่อขยายฐานลูกค้าให้เข้าถึงคนทั่วไป ที่มีกำลังทรัพย์ไม่มากนักเพิ่มขึ้น ใน ‘ราคาพิเศษ’ ซึ่งจะมีการเปิดเผยรายละเอียดในเร็วๆ นี้

เมื่อถามถึงสิ่งที่ Volvo อยากให้หน่วยงานภาครัฐสนับสนุน เวลส์บอกว่า หลักๆ เป็นเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อการรองรับรถยนต์ไฟฟ้า เเละตอนนี้รัฐให้การสนับสนุนในฝั่งผู้ผลิต เเต่ยังจูงใจคนซื้อไม่ได้มากนัก ควรจะมีการออกนโยบายเเยกระหว่างฝั่งการผลิตกับนโยบาย ฝั่งผู้บริโภค เพื่อกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าล้วน

ก่อนหน้านี้ Volvo ประเทศไทย มีการมอบอตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้กับผู้ซื้อรถยนต์ของ Volvo ไปติดตั้งที่บ้านหรือที่ทำงาน เพื่อำนวยความสะดวกในการใช้งาน จับมือเป็นพันธมิตรกับ EA Anywhere ผู้ให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ระบบไฟฟ้า ซึ่งมีสถานีชาร์จไฟกว่า 1,000 จุดทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด พร้อมร่วมมือกับโรงเรียนสายอาชีพเพื่อปั้น ‘ช่างที่เชี่ยวชาญรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ’ เพื่อรองรับตลาดในอนาคต

โดยผู้บริหาร Volvo บอกว่า ไม่ได้มองถึงการเเข่งเป็นที่ 1 หรือที่ 2 ในตลาดรถไฟฟ้าเเบรนด์หรู เพราะต้องการแข่งกับตัวเองมากกว่า จึงเน้นการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในแง่ยอดขาย งานบริการ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ 

]]>
1365083
ตลาดเศรษฐีเฟื่องฟู รถหรู ‘Lamborghini’ ทำกำไรสูงสุดในประวัติศาสตร์ เเม้เจอวิกฤตเศรษฐกิจ https://positioningmag.com/1324406 Mon, 22 Mar 2021 07:11:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1324406 เเม้การเเพร่ระบาดของ COVID-19 จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์เเต่ตลาดมหาเศรษฐีกลับไม่สะเทือน ค่ายรถสุดหรูอย่าง ‘Lamborghini’ ทำกำไรสูงสุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก

‘เรารู้สึกประหลาดใจมาก Stephan Winkelmann ซีอีโอของ Lamborghini ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg เเละบอกว่า จากการผสมผสานที่ลงตัวเเละการปรับปรุงสินค้าที่เพิ่มมากขึ้น มีส่วนช่วยผลักดันให้ผลกำไรของพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดได้

โดยรถหรูของ Lamborghini ที่ขายดีที่สุด เติมพอร์ตรายได้ในช่วงวิกฤต นั้นก็คือ ‘Urus SUV’ รวมไปถึงซูเปอร์คาร์รุ่นพิเศษอย่าง ‘Sian’ ที่เเม้จะมีราคาสูงถึง 3.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 100 ล้านบาท) เเต่ก็ขายดีจนหมดสต๊อก

สำหรับในปี 2020 Lamborghini ส่งมอบรถยนต์ทั้งหมด 7,430 คันทั่วโลก น้อยกว่าปี 2019 ที่ส่งมอบถึง 8,250 คัน  

เเม้ยอดส่งมอบรถยนต์จะลดลง เเต่การที่ Lamborghini ทำกำไรสูงขึ้น เป็นผลมาจากปัจจัยหลักๆ อย่าง ราคารถยนต์ต่อคันที่แพงขึ้น รถ SUV ที่ได้รับความนิยม เเละรายได้จากการปรับเเต่งรถยนต์ให้ลูกค้าเฉพาะบุคคล สะท้อนให้เห็นว่า เหล่าบรรดามหาเศรษฐียังมีการใช้เงินเพื่อความบันเทิงอย่างต่อเนื่อง เเละไม่ได้รับผล
กระทบจาก COVID-19 มากนัก

Lamborghini ปฏิเสธที่จะเปิดเผยอัตรากำไรจากการดำเนินงานหรือเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นจากปี 2019 ว่ามีมากเท่าใด เเต่บอกเพียงว่า มีมูลค่าการซื้อขายที่ 1,610 ล้านยูโร (ราว 5.9 หมื่นล้านบาท) ลดลง 11% จากปี 2019 โดยการลดลงดังกล่าว เป็นผลมาจากการที่ต้องสั่งหยุดการผลิต 70 วันในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว

ขณะที่ผลกำไรสุทธิของคู่แข่งเจ้าใหญ่อย่าง ‘Ferrari’ ก็ลดลงเกือบ 13% ในปี 2020

สหรัฐอเมริกายังเป็น Top Market ของ Lamborghini ด้วยยอดการส่งมอบรถยนต์ 2,224 คัน ตามมาด้วยอันดับ 2 อย่างเยอรมนี ที่มียอดขาย 607 คัน และอันดับ 3 เป็นของจีน ด้วยยอดขาย 604 คัน

โดยรายได้ที่ลดลงของ Lamborghini ในปี 2020 ส่วนใหญ่มาจากตลาดในยุโรป ส่วนตลาดที่ฟื้นตัวเร็วที่สุดคือจีนซึ่งมีรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเเละมียอดขายแข็งแกร่งขึ้นทุกปี

Winkelmann คาดว่า จีนจะขยับขึ้นเป็นตลาดเบอร์ 2 ของ Lamborghini ได้ภายในปีนี้

-Lamborghini Urus

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อีกหนึ่งเทรนด์ใหม่ของลูกค้าเศรษฐีชาวจีนที่น่าจับตามอง คือการหันมาสนใจรถ ’SUV สุดหรู กันมากขึ้น ทั้งจากเเบรนด์  Rolls-Royce, Bentley และ Lamborghini (ส่วน Ferrari มีแผนจะเปิดตัวรถ SUV ในปี 2022)

โดยในตลาดจีน พบว่า ยอดขายรถ SUV สมรรถนะสูงเเละราคาเเพง จะขายดีกว่ารถซีดานและรถสปอร์ต ซึ่งปีที่แล้ว ‘Urus SUV’ มียอดขายคิดเป็นถึง 59% ของยอดขาย Lamborghini ทั่วโลกเลยทีเดียว เเละกำลังจะมีความคืบหน้าของรถไฮบริด Urus ในเร็วๆนี้

ล่าสุด Lamborghini มียอดสั่งซื้อและการส่งมอบรถยนต์ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ของปี 2021 มากกว่าที่เคยทำในช่วงสองเดือนแรกของปี 2020 ก่อนวิกฤตโรคระบาดจะรุนเเรง โดยตอนนี้มียอดสั่งซื้อครอบคลุม 9 เดือนของปีนี้แล้ว ซึ่งผู้บริหารมองว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีเเละมีทิศทาง ‘เป็นบวก’

สำหรับเเผนปีหน้าของ Lamborghini จะมุ่งเน้นไปที่การเปิดตัว ‘Huracan STO’ และรถยนต์อีกสองรุ่นที่อิงกับรุ่น V12 เเต่ตอนนี้ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ เพิ่มเติม

 

ที่มา : Bloomberg , BBC 

]]>
1324406