LVMH เติบโตในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นรายได้ กำไร และราคาหุ้น ซึ่งทำให้สินทรัพย์ของ “เบอร์นาร์ด อาโนลด์” เจ้าของบริษัทวัย 74 ปี เพิ่มขึ้นอีกถึง 5.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้เขามีสินทรัพย์รวม 2.11 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เป็นตัวเลขสินทรัพย์ที่สูงกว่าแชมป์เก่าเมื่อปีก่อนคือ “อีลอน มัสก์” 3.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ชื่อของเบอร์นาร์ด อาโนลด์ อาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงต่อสาธารณชนเท่ากับแบรนด์ที่เขาเป็นเจ้าของภายในอาณาจักร LVMH ประกอบด้วยแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton, Christian Dior, Tiffany, Sephora, Givenchy, Marc Jacobs ฯลฯ
อาโนลด์เริ่มเข้ามาเป็นเจ้าของ LVMH เมื่อ 3 ทศวรรษก่อน และปั้นให้อาณาจักรนี้กลายเป็นบริษัทสินค้าลักชัวรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนแบรนด์ในเครือมากกว่า 70 แบรนด์ พร้อมสร้างฐานลูกค้าลอยัลตี้รอบโลก ตั้งแต่เขาเข้ามากุมบังเหียน บริษัท LVMH มีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 4 พันล้านเหรียญในปี 1989 ขึ้นมาเป็น 8.6 หมื่นล้านเหรียญเมื่อปี 2022 และราคาหุ้นก็เด้งขึ้นมาถึง 35% ภายในปีเดียว
เบอร์นาร์ด อาโนลด์ เข้ามาอยู่ในทำเนียบคนรวยที่สุดในโลกจัดอันดับโดย Forbes ครั้งแรกเมื่อปี 1997 ก่อนจะค่อยๆ ไต่อันดับขึ้นมา จนเมื่อปี 2022 เขาอยู่ในอันดับ 3 รองจากที่หนึ่งคือ อีลอน มัสก์ และที่สองคือ เจฟฟ์ เบโซส
สินทรัพย์ความร่ำรวยของอาโนลด์นั้นขึ้นอยู่กับการรักษาสถานะความคลาสสิกของแบรนด์หลักในมืออย่าง Louis Vuitton และ Dior เอาไว้ให้ได้ ซึ่งอาโนลด์ทำสำเร็จจากการคงสถานะ “คุณค่าเหนือกาลเวลา” ไว้พร้อมกับการเป็นแบรนด์ที่ทันสมัยในสายตาผู้บริโภค
นอกจากนี้ เขายังเพิ่มความร่ำรวยได้จากการดึงแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาในเครือ LVMH ตัวอย่างเช่น การร่วมทุนกับ Rihanna เพื่อออกไลน์สินค้าเครื่องสำอาง Fenty Beauty เมื่อปี 2017
เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2022 อาโนลด์เริ่มประกาศแผนการปรับองค์กรและการหาผู้สืบทอดตำแหน่งในบริษัทโฮลดิ้ง โดยปัจจุบันเขาแบ่งหุ้นส่วนจำนวนเท่าๆ กันให้กับลูกทั้ง 5 คน และทั้ง 5 คนต่างมีตำแหน่งบริหารภายในบริษัท
สำหรับ 10 อันดับแรกทำเนียบบุคคลที่ “รวยที่สุดในโลก” ปี 2023 จัดอันดับโดย Forbes ได้แก่
1.เบอร์นาร์ด อาโนลด์ และครอบครัว
แหล่งทำเงิน: LVMH
มูลค่าสินทรัพย์ 2.11 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: ฝรั่งเศส
2.อีลอน มัสก์
แหล่งทำเงิน: Tesla และ SpaceX
มูลค่าสินทรัพย์ 1.80 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อเมริกัน
3.เจฟฟ์ เบโซส
แหล่งทำเงิน: Amazon
มูลค่าสินทรัพย์ 1.14 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อเมริกัน
4.แลร์รี่ เอลลิสัน
แหล่งทำเงิน: Oracle
มูลค่าสินทรัพย์ 1.07 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อเมริกัน
5.วอร์เรน บัฟเฟตต์
แหล่งทำเงิน: Berkshire Hathaway
มูลค่าสินทรัพย์ 1.06 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อเมริกัน
6.บิล เกตส์
แหล่งทำเงิน: Microsoft
มูลค่าสินทรัพย์ 1.04 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อเมริกัน
7.ไมเคิล บลูมเบิร์ก
แหล่งทำเงิน: Bloomberg LP
มูลค่าสินทรัพย์ 9.45 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อเมริกัน
8.คาร์ลอส สลิม เฮลู และครอบครัว
แหล่งทำเงิน: กิจการโทรคมนาคมหลากหลายบริษัทในทวีปอเมริกา
มูลค่าสินทรัพย์ 9.30 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: เม็กซิโก
9.มูเกช อัมบานี
แหล่งทำเงิน: กิจการหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่น้ำมันจนถึงโทรคมนาคม
มูลค่าสินทรัพย์ 8.34 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อินเดีย
10.สตีฟ บาลล์เมอร์
แหล่งทำเงิน: Microsoft
มูลค่าสินทรัพย์ 8.07 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อเมริกัน
นิตยสาร Forbes ซึ่งจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 35 เปิดเผย ลิสต์รายชื่อเศรษฐีปีล่าสุด 2021 (คำนวณเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2021) แม้จะผ่านโรคระบาดกันแบบเต็มปี แต่มูลค่าสินทรัพย์ของเศรษฐีทั้งลิสต์ 2,755 คนรวมกันกลับเพิ่มขึ้นสูง โดยปีนี้มหาเศรษฐีโลกมีสินทรัพย์รวมมูลค่า 13.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับปีก่อนที่มีรวมกัน 8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ ประเทศที่มีมหาเศรษฐีมากที่สุดยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา มีทั้งหมด 724 คน แต่ตามมาติดๆ คือ จีน (รวมฮ่องกงและมาเก๊า) จำนวน 698 คน
10 อันดับ “มหาเศรษฐี” รวยที่สุดในโลกปี 2021 จัดอันดับโดย Forbes
1) Jeff Bezos – Amazon – 1.77 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
2) Elon Musk – Tesla, SpaceX – 1.51 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
3) Bernard Arnault และครอบครัว – LVMH – 1.50 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
4) Bill Gates – Microsoft – 1.24 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
5) Mark Zuckerberg – Facebook – 9.70 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
6) Warren Buffet – Berkshire Hathaway – 9.60 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
7) Larry Allison – ซอฟต์แวร์หลากหลาย (บริษัทหลักคือ Oracle) – 9.30 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
8) Larry Page – Google – 9.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
9) Sergey Brin – Google – 8.90 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
10) Mukesh Ambani – ธุรกิจหลากหลาย (บริษัทหลักคือ Reliance Industries) – 8.80 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
Jeff Bezos แห่ง Amazon ยังคงเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยสถานการณ์โรคระบาดยิ่งเป็นผลบวกต่อเขา เพราะการล็อกดาวน์อยู่กับบ้านทำให้อีคอมเมิร์ซเติบโตแรง จนช่วงเดือนแรกของการล็อกดาวน์ (มีนาคม-เมษายน 2020) Amazon ประกาศการจ้างงานพนักงานเพิ่มถึง 1.75 แสนตำแหน่ง เพื่อให้ทันกับความต้องการ
ด้าน Elon Musk แห่ง Tesla และ SpaceX อันดับเศรษฐีพุ่งจาก 31 เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ หลังจากหุ้น Tesla ทะยานไกลจากความสำเร็จในการส่งมอบรถยนต์ และยอดขายที่เติบโตดีในประเทศจีน นอกจากนี้ SpaceX บริษัทท่องอวกาศของเขาเพิ่งระดมทุนรอบเดือนกุมภาพันธ์ 2021 และถูกตีมูลค่าบริษัทเพิ่มเป็น 7.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ Elon Musk เคยขึ้นไปอยู่อันดับ 1 มหาเศรษฐีโลกมาแล้วในช่วงเดือนมกราคม 2021 แต่ต่อมาราคาหุ้น Tesla กลับลดลงจากหลายๆ ปัจจัย จน Musk กลับมาที่อันดับ 2 อีกครั้ง (อ่านเพิ่มเติม : เปิด 4 สาเหตุฉุดหุ้น ‘Tesla’ ร่วง ทำ ‘Elon Musk’ เสียตำแหน่งเศรษฐีเบอร์ 1 โลก)
สำหรับ Warren Buffet ปีนี้สินทรัพย์เขากลับมาเพิ่มขึ้น แต่บอกได้ว่ายังเพิ่มไม่ทันบรรดาเจ้าพ่อเทคคอมปะนี ทำให้อันดับหย่อนลงมาอยู่ที่อันดับ 6
เศรษฐีจีนที่รวยที่สุดปีนี้ตกเป็นของ Zhong Shanshan เจ้าของน้ำแร่ Nongfu Spring อยู่ในอันดับ 13 ของโลก ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 6.89 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เขาพุ่งทะยานขึ้นมาแซงหน้า Jack Ma จากการจดทะเบียนบริษัทในตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อเดือนกันยายน 2020 (อ่านเพิ่มเติม : เปิดอินไซต์ “Nongfu Spring” แบรนด์น้ำแร่ที่พา “จง สานส่าน” รวยกว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์)
ส่วน “เศรษฐินี” ที่รวยที่สุดของโลกอยู่ในอันดับ 12 เธอคือ Francoise Bettencourt Meyers และครอบครัว เจ้าของธุรกิจเครื่องสำอาง L’Oréal มูลค่าสินทรัพย์ของเธออยู่ที่ 7.36 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่เศรษฐีไทยที่ติดท็อประดับโลกยังเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา รวมทั้งหมด 15 คน ได้แก่ ธนินท์ เจียรวนนท์ (อันดับ 103) เจริญ สิริวัฒนภักดี (อันดับ 156) สารัชถ์ รัตนาวะดี (อันดับ 264) สุเมธ เจียรวนนท์ (อันดับ 502) จรัญ เจียรวนนท์ (อันดับ 520) มนตรี เจียรวนนท์ (อันดับ 520)
ชูชาติ เพ็ชรอำไพ และดาวนภา เพชรอำไพ (อันดับ 859) สมโภชน์ อาหุนัย (อันดับ 925) ฮาราลด์ ลิงก์ (อันดับ 986) ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ (อันดับ 986) อาลก โลเฮีย (อันดับ 1205) วานิช ไชยวรรณ (อันดับ 1362) กฤตย์ รัตนรักษ์ (อันดับ 1362) คีรี กาญจนพาสน์ (อันดับ 1517) และ ประยุทธ มหากิจศิริ (อันดับ 1517)
]]>ล่าสุด เเบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าในอาณาจักรของอีลอน มัสก์ อย่าง “Tesla” ประกาศว่า บริษัทกำลังจะถูกบรรจุเข้าไปในดัชนี S&P 500 ติดอันดับเป็น 1 ใน 10 บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ธ.ค.นี้
Bloomberg ระบุว่า การที่ Tesla จะเข้าไปอยู่ในดัชนี S&P 500 จะทำให้ อีลอน มัสก์ ร่ำรวยขึ้นเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก แซงหน้า “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” ผู้ก่อตั้งโซเชียลมีเดียพลิกโลกอย่าง Facebook ซึ่งความมั่งคั่งของมัสก์ อาจจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.5 เเสนล้านบาท) ในการซื้อขายระยะยาว
หลังมีการปล่อยข่าวดังกล่าวออกมา ทำให้ราคาหุ้นของ Tesla ในช่วงซื้อขายนอกเวลาทำการ ดีดตัวขึ้นมา 13.19% ที่ 461.92 เหรียญสหรัฐ
สำหรับมูลค่าบริษัท Tesla ล่าสุด ณ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2020 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ อยู่ที่ 386,829 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 11.66 ล้านล้านบาท) มากกว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Toyota สูงกว่า Disney และ Coca-Cola
ทั้งนี้ บริษัทที่จะมีสิทธิ์เข้าร่วม S&P 500 ได้จะต้องผ่านเกณฑ์ต่างๆ อย่างการต้องตั้งอยู่ในอเมริกา มีมูลค่าตลาดอย่างน้อย 8.2 พันล้านเหรียญ มีสภาพคล่องสูงและมีหุ้นอย่างน้อย 50% ซื้อขายให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) มีผลประกอบการของไตรมาสล่าสุด เเละผลรวมของผลประกอบการ 4 ไตรมาสที่ตามมา จะต้องเป็น “บวก” เช่นกัน
Tesla เผยผลประกอบการไตรมาสที่ 3 เมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมาว่า มีรายได้ 874 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 156% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เเม้จะเจอวิกฤต COVID-19 เเต่ก็เป็นการเติบโตในไตรมาสที่ 5 ติดต่อกันของบริษัท
เเม้ว่าคุณสมบัติหุ้นของ Tesla จะมีความพร้อมที่จะอยู่ในดัชนี S&P 500 เเต่ก่อนหน้านี้ เคยถูกปฏิเสธจากทางคณะกรรมการฯ ด้วยเหตุผลบางประการ จนในที่สุดบริษัทก็จะได้เข้าไปในช่วงปลายเดือนธ.ค.นี้
]]>