ระบบรักษาความปลอดภัย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 11 Dec 2023 08:44:42 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 จับตากฎหมายจ่ายค่า “โอที” รปภ. “LPP” ชี้ลูกบ้าน “คอนโดฯ” เตรียมรับแรงกระแทก “ค่าใช้จ่ายพุ่ง” https://positioningmag.com/1455087 Mon, 11 Dec 2023 08:09:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455087 กฎหมายจ่ายค่า “โอที” ให้กลุ่มอาชีพ “รปภ.” จ่อเสนอเข้า ครม. ทำงานเกิน 8 ชั่วโมงต้องได้ค่าล่วงเวลา ด้านบริษัทบริหารอาคาร “LPP” ชี้กฎหมายนี้จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการอาคารเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม “คอนโดฯ” ค่าจ้าง รปภ. อาจขึ้นถึง 50%

จากกระแสข่าวที่ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้เตรียมเสนอร่างกฎหมายใหม่เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 12 ธันวาคมนี้ โดยเป็นกฎหมายเพื่อคุ้มครองค่าล่วงเวลา หรือ “โอที” ของพนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) เพื่อดูแลสวัสดิการของผู้ประกอบอาชีพ รปภ. กว่า 400,000 คนทั่วประเทศ

กฎหมายนี้เกิดจากทางกระทรวงเล็งเห็นว่า รปภ. ส่วนใหญ่จะทำงานกะละ 12 ชั่วโมง แต่ในส่วนที่เกิน 8 ชั่วโมงมานั้นจะไม่ได้ค่าโอทีเหมือนกับอาชีพอื่นๆ ทำให้ต้องการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองให้ รปภ. ได้ค่าจ้างที่เท่าเทียมกัน

หากกฎหมายฉบับนี้ผ่านมติ ครม. ในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ กระทรวงแรงงานตั้งใจจะให้เป็นของขวัญปีใหม่ 2567 ให้กับกลุ่ม รปภ. ทันที

LPP นิติบุคคล
“สุรวุฒิ สุขเจริญสิน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ LPP

“สุรวุฒิ สุขเจริญสิน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ LPP ซึ่งทำธุรกิจด้านบริหารจัดการอาคาร และมีบริการด้านการรักษาความปลอดภัย ให้ความเห็นว่ากฎหมายฉบับนี้ถือเป็นปัจจัยท้าทายของธุรกิจให้บริการ รปภ. เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนค่าจ้างพุ่งขึ้นอย่างมาก

โดยกฎหมายนี้ระบุให้ค่าจ้างในส่วนที่ล่วงเวลามา จะต้องจ่ายค่าแรงเป็น 1.5 เท่าของอัตราปกติ นั่นหมายความว่าค่าจ้างรปภ.จะสูงขึ้นมาก

ตัวอย่างเช่น ค่าจ้างปกติคิดเป็นชั่วโมงตกชั่วโมงละ 50 บาท ในส่วนที่เป็น “โอที” จะต้องเพิ่มเป็นชั่วโมงละ 75 บาท ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว รปภ. จะทำงานกะละ 12 ชั่วโมง (ค่าจ้างปกติ 8 ชั่วโมง + โอที 4 ชั่วโมง) ทำให้ค่าจ้างจากเดิมสมมติว่าเคยจ่ายวันละ 600 บาท ก็จะเพิ่มเป็น 700 บาท และหากมีการเพิ่มระยะเวลาทำงานในหนึ่งกะขึ้นไปมากกว่านั้น ก็จะต้องจ่ายเป็นอัตราล่วงเวลาทั้งหมด

สุรวุฒิกล่าวว่า จากกฎหมายนี้อาจทำให้ค่าจ้าง รปภ. ต่อคนเพิ่มขึ้นได้ถึง 50% เช่น จากจ่ายค่าจ้างเดือนละ 20,000 บาท ก็อาจจะขึ้นเป็น 30,000 บาทได้

 

ลูกบ้าน “คอนโดฯ” แบกภาระ – ต้องหาทางปรับตัว

หนึ่งในทรัพย์สินประเภทที่มีการจ้างงาน รปภ. จำนวนมากคือกลุ่มคอนโดมิเนียมและหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งค่าจ้าง รปภ. จะมาจากค่าส่วนกลางที่เก็บรวบรวมจากลูกบ้านทุกคน ดังนั้น สุรวุฒิมองว่าการปรับขึ้นค่าแรงโอทีของ รปภ. จะมีผลต่อภาระค่าส่วนกลางของลูกบ้านในอนาคตอย่างแน่นอน

รปภ.
(photo by Jethro C. / Pexels)

ความเป็นไปได้ในการรับมือเพื่อทุ่นภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ สุรวุฒิมองว่าหมู่บ้านและคอนโดฯ ต่างๆ อาจเริ่มพิจารณาเพื่อหาทางลดจำนวน รปภ. ลงเท่าที่เป็นไปได้ และหากเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่คุ้มค่าการลงทุน ก็อาจจะติดตั้งระบบเทคโนโลยีกล้องรักษาความปลอดภัยทดแทน

อีกแนวทางหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นคือ เนื่องจาก รปภ. เป็นอาชีพที่ต้องสอบรับใบอนุญาต ทำให้ค่าจ้างมักจะได้สูงกว่าแรงงานทั่วไป แต่เนื้องานจริงในบางคอนโดฯ หรือหมู่บ้านจะมีพื้นที่ทำงานที่ รปภ. ดูแลงานลักษณะที่ไม่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย เช่น อำนวยความสะดวกการจอดรถ ช่วยยกของ ตำแหน่งหน้าที่ในส่วนนี้อาจจะมีการปรับเปลี่ยนไปใช้แรงงานทั่วไปแทนการใช้ รปภ. ที่มีใบอนุญาต

สุรวุฒิกล่าวต่อว่า ไม่ใช่แค่ค่า “โอที” รปภ. เท่านั้นที่จะเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้กับโครงการจัดสรร แต่การพิจารณาเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายของอาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการอาคาร เช่น แม่บ้าน ช่างอาคาร นิติบุคคล ขยับขึ้นตามในไม่ช้าเช่นกัน

]]>
1455087
TOSSAKAN จาก “สกาย ไอซีที” พลิกโฉมธุรกิจ “รักษาความปลอดภัย” ด้วย AI จดจำใบหน้า https://positioningmag.com/1372187 Fri, 28 Jan 2022 11:35:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1372187 มาตรการ “รักษาความปลอดภัย” ในอาคารต่างๆ แม้จะมีกล้องวงจรปิดครบทุกมุมแล้วแต่ก็อาจจะยังมีช่องโหว่ที่ “มนุษย์” เพราะเจ้าหน้าที่ไม่สามารถมองเห็นได้ทันทุกมุมกล้อง ทำให้แพลตฟอร์ม TOSSAKAN ในเครือ “สกาย ไอซีที” ต้องการเข้ามาอุดช่องโหว่ตรงนี้ด้วยการใช้เทคโนโลยี AI ตรวจจับใบหน้า และแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่เข้าระงับเหตุได้ทันท่วงที

ภาพจากกล้องวงจรปิดจะไม่ใช่แค่หลักฐานมัดตัวคนร้ายอีกต่อไป แต่กลายเป็นระบบอัจฉริยะแจ้งเตือนได้ทันต่อสถานการณ์ จากการพัฒนาของทีม ‘Tech Transform’ ในเครือ บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) บริษัทที่กำลัง ‘เปลี่ยน’ ตนเองจากคู่ค้าของภาครัฐ มาสู่การทำงานกับภาคเอกชน เพื่อให้บริษัทเติบโตได้ยั่งยืนยิ่งขึ้น

Positioning มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “ขยล ตันติชาติวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บมจ.สกาย ไอซีที ถึงการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์บริษัทครั้งนี้ โดยขยลเล่าถึงธุรกิจพื้นฐานของสกาย ไอซีทีก่อนว่า ธุรกิจดั้งเดิมของบริษัททำงานบริการด้านไอทีอยู่แล้ว โดยเป็น System Integration (SI) คือเป็นผู้รวบรวมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ใดๆ ก็ได้ที่มีอยู่ในตลาด นำมาทำงานร่วมกันเพื่อให้ออกมาเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีที่สุด

“ขยล ตันติชาติวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บมจ.สกาย ไอซีที

คู่ค้าสำคัญที่บริษัทให้บริการ เช่น ท่าอากาศยานไทย (AOT), กรมศุลกากร, ตำรวจปราบปรามยาเสพติด, กรุงเทพมหานคร ฯลฯ โดยบริษัทสามารถหาโซลูชันให้ได้หลากหลายตั้งแต่การติดตั้งระบบโทรคมนาคม จนถึงการบริการภาคพื้น (Ground Services) ในสนามบิน แต่หนึ่งในสิ่งที่สกาย ไอซีเชี่ยวชาญคือด้านบริการรักษาความปลอดภัย

ยกตัวอย่างเช่น กล้อง CCTV ของกรุงเทพมหานครนั้นมีการประมูลฮาร์ดแวร์เข้ามาติดตั้งเป็นเขตๆ ไป ทำให้แต่ละเขตใช้กล้องวงจรปิดคนละยี่ห้อ สกาย ไอซีทีจึงมีหน้าที่จัดตั้ง Command Center เพื่อบูรณาการข้อมูลไว้ด้วยกัน และจุดนี้เองที่ทำให้บริษัทเริ่มมีการนำ AI มาใช้ตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปีก่อน และมีนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลภายในบริษัท

เมื่อเร็วๆ นี้ สกาย ไอซีทีมีการปรับกลยุทธ์ภายในบริษัทเพื่อจะเติบโตต่อ แม้ว่ารายได้เมื่อปี 2563 จะทำได้ 3,542 ล้านบาท และมีแบ็กล็อกรายได้จากงานภาครัฐอีก 10 ปีข้างหน้าไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท แต่บริษัทต้องการจัดสมดุลพอร์ต รับงานภาคเอกชนให้มากขึ้น โดยขยลกล่าวว่า ปี 2565 นี้บริษัทตั้งเป้ามีสัดส่วนรายได้จากเอกชนราว 10-15%

การขยายไปภาคเอกชนของบริษัทมาพร้อมการตั้งทีม Tech Transform โดยให้ชื่อทีมงานว่า ‘Nebula’ แตกทีมออกไป 40-50 คน มีเป้าหมายพัฒนาบริการใหม่ๆ ด้วยเทคโนโลยีภายในของบริษัทเอง ซึ่งล่าสุดมีแพลตฟอร์มหัวหอกจากทีมนี้ที่เริ่มบุกตลาดก่อนแล้วคือ TOSSAKAN ต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านรักษาความปลอดภัยมาสู่ตัวอาคารของภาคเอกชน

 

TOSSAKAN ยักษ์ AI จดจำใบหน้า

ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่ามีแต่กล้อง ไม่มีระบบตรวจจับ ก็ใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ ทำให้สกาย ไอซีทีลงทุน 500 ล้านบาทเพื่อนำเทคโนโลยีตั้งต้นจากบริษัท 2 แห่งมาใช้พัฒนาต่อ โดยแห่งหนึ่งเป็นบริษัทจีนที่ให้บริการด้าน Facial Recognition และอีกบริษัทเป็นบริษัทไทยที่ทำงานด้าน e-KYC ระบบยืนยันตัวตนคู่กับบัตรประชาชน

การนำเทคโนโลยีทั้งสองแบบมารวมกัน ทำให้ระบบของ TOSSAKAN ปัจจุบันให้บริการได้ 3 ด้าน ได้แก่

1.ระบบ AI จดจำใบหน้าในกล้องวงจรปิด พร้อมแจ้งเตือนผู้บุกรุก

แพลตฟอร์มสามารถตรวจจับใบหน้าได้ หากพบใบหน้าที่ไม่ตรงกับฐานข้อมูล ระบบจะแจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) เพื่อเข้าตรวจสอบได้ทันท่วงที และสกาย ไอซีทีเองมี ศูนย์สั่งการอัจฉริยะด้านความปลอดภัย (Security Operation Center: SOC) ช่วยเสริมทัพลูกค้าได้ 24 ชั่วโมงในการสอดส่องเหตุการณ์และติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ

2.ระบบยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าและแลกบัตร Visitor

หากติดตั้งระบบสแกนใบหน้าเพื่อขึ้นสู่อาคารแล้ว ในกรณีที่มีผู้มาติดต่อ (Visitor) ที่อาคาร สามารถให้ Visitor เสียบบัตรประชาชนที่ Kiosk และสแกนใบหน้ายืนยันตัวตน จากนั้นไม่ต้องแลกเป็นบัตรใดๆ แต่ใช้ใบหน้าที่ลงทะเบียนแล้วขึ้นสู่อาคารได้เลย โดยเมื่อใช้คู่กับระบบรักษาความปลอดภัย AI จะตรวจจับได้ด้วยว่า Visitor รายนั้นออกนอกพื้นที่ที่ขออนุญาตไว้หรือไม่

3.ระบบสแกนแผ่นป้ายทะเบียนรถ

คล้ายคลึงกับระบบยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า AI ของแพลตฟอร์มเรียนรู้การอ่านแผ่นป้ายทะเบียนรถได้แล้ว และใช้ในการสแกนยานพาหนะเข้าสู่พื้นที่ กรณีที่เป็นรถยนต์ของ Visitor ก็สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าไว้ได้เพื่อให้รถของผู้มาติดต่อผ่านเข้าออกได้ชั่วคราว

TOSSAKAN

จะเห็นได้ว่าบริการของ TOSSAKAN อยู่ในสถานะกึ่ง SecurityTech และ PropTech เพราะมีฟังก์ชันที่ช่วยสร้างความสะดวกสบายขึ้นสำหรับผู้ใช้พื้นที่อสังหาริมทรัพย์ด้วย

ขยลกล่าวว่า เป้าหมายของบริษัทที่จะรุกการบริการอสังหาฯ มองพื้นที่บริการทั้งหมด 7 ประเภท คือ อาคารสำนักงาน, โรงงาน, ศูนย์การค้า, โรงแรม, โรงพยาบาล, มหาวิทยาลัย และ คอนโดมิเนียม-หมู่บ้านจัดสรร

ปัจจุบันมี 10 บริษัทที่นำร่องนำแพลตฟอร์มไปใช้งานแล้ว (บางบริษัทใช้งานมากกว่า 1 แห่ง) ส่วนใหญ่เป็นอาคารสำนักงานและโรงงาน รวมถึงมีคอนโดฯ ที่ดีลสัญญาจ้างไว้เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทวางสัญญาเป็นระบบค่าสมาชิก (Subscription Base)

 

เฟสต่อไป…สอน AI ให้อัจฉริยะยิ่งขึ้น

แม้ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีตั้งต้นเข้ามาจากบริษัทอื่น แต่ทีม TOSSAKAN มีงานที่ต้องทำต่อก่อนจะออกเป็นโปรดักส์พร้อมใช้แบบนี้ โดยขยลกล่าวว่า เนื่องจากเป็นดาต้าจากจีน ทำให้ AI ต้องมาเรียนรู้ใหม่กับ ‘ใบหน้าคนไทย’ และกรณีป้ายทะเบียนรถ ก็ต้องเรียนรู้ใหม่เป็นป้ายทะเบียนภาษาไทย

TOSSAKAN
ศูนย์สั่งการอัจฉริยะด้านความปลอดภัย (Security Operation Center: SOC)

“เรามีโปรโตไทป์เพื่อทดลองใช้มาแล้วมากกว่า 20 รอบกว่าจะเปิดตัวใช้ได้จริง” ขยลกล่าว “ปัจจุบันเรามีความแม่นยำมากกว่า 95%”

การเปิดตัวนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะต่อไปทีมงานจะพัฒนาฟังก์ชันให้ดีขึ้นอีก อย่างการพัฒนา e-KYC สแกนบัตรประชาชนได้แม่นยำขึ้น หรือพัฒนาระบบ Gesture Recognition และ Object Recognition ทำให้การค้นหาบุคคลในฐานข้อมูลของกล้องวงจรปิดง่ายขึ้น เช่น ค้นหา ‘ผู้ชายสวมเสื้อสีดำ’ ระบบจะดึงภาพออกมาได้อัตโนมัติ

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชันที่ไปต่อได้กับธุรกิจ PropTech คือการติดตั้งเซ็นเซอร์ IoT ตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำ ไฟฟ้า หรือการปล่อยมลพิษของอาคาร/โรงงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าของอาคารสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ หากตรวจสอบได้อัตโนมัติจะทำให้การบำรุงรักษาดีขึ้นและประหยัดพลังงานที่สูญเปล่าไปได้มาก

สกาย ไอซีที

“เราเชื่อว่าเราเป็นเจ้าแรกในไทยที่บริการได้ครบวงจรแบบนี้ คือมีทั้งการติดตั้ง CCTV มีระบบ AI ในการบริหาร และมีห้อง SOC บริการ 24 ชั่วโมงให้ด้วย” ขยลกล่าว

TOSSAKAN ถือได้ว่าเป็นก้าวแรกที่เปิดตัวกับตลาด แต่ทีม Nebula ของสกาย ไอซีทียังมีทีมงานส่วนอื่นอีกที่จะเปิดตัวเร็วๆ นี้ เช่น ทีม Voyager ดูแลด้าน TravelTech เริ่มงานแรกกับการพัฒนาแอปพลิเคชันให้กับ AOT, ทีม Orion พัฒนาเทคโนโลยีสายพานกระเป๋าอัจฉริยะ ลดการใช้คน ทำให้เป็นระบบอัตโนมัติ, ทีม Interstellar พัฒนาเทคโนโลยีบริหารจัดการดาต้า

น่าสนใจว่าก้าวต่อไปของสกาย ไอซีทีในการสร้าง Tech Transform ในองค์กร และการแตกพอร์ตโฟลิโอไปสู่งานภาคเอกชนจะเป็นอย่างไร!

]]>
1372187
Amazon เปิดตัว “หุ่นยนต์สุนัขเฝ้าบ้าน” ปรับเทคโนโลยีให้ดูเป็นมิตรมากขึ้น https://positioningmag.com/1354183 Thu, 30 Sep 2021 05:15:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1354183 เจ้าหุ่นยนต์ตาแป๋วตัวนี้ชื่อ “Astro” เป็นอุปกรณ์ใหม่จาก Amazon ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2021 ออกแบบให้เป็น “หุ่นยนต์ในบ้าน” หน้าที่หลักคือการสำรวจตรวจตราความเรียบร้อย เหมือนกับเป็นกล้องวงจรปิดเคลื่อนที่ได้บนล้อเลื่อน

เทคโนโลยีที่ Amazon ใช้ในหุ่นยนต์ Astro ได้แก่ Alexa ระบบคำสั่งเสียง, AI เพื่อเรียนรู้จดจำใบหน้าคนว่าใครเป็นคนแปลกหน้า และจดจำเสียงต่างๆ ที่อาจจะเป็นภัย, Mapping Technology เพื่อจดจำทางเดินภายในบ้านทั้งหมด

เจ้าหุ่นยนต์ยังมีกล้องติดบนหัวที่สามารถยืดขึ้นเหมือนเสาอากาศสูงระดับเอว เพื่อตรวจความเรียบร้อยในที่สูง ด้านหลังสามารถซื้ออุปกรณ์เสริมเพื่อทำเป็นช่องวางของ สามารถใส่ของลงไปและสั่งให้ Astro วิ่งนำไปส่งให้คนอื่นในบ้านได้ด้วย

กล้องของ Astro สามารถยืดสูงขึ้นไปได้

การออกแบบตัวหุ่นยนต์ตัวนี้รูปทรงดูคล้ายกับ “สุนัข” และมีหน้าจอแสดงผลที่ปรากฏรูปดวงตาแสดงอารมณ์ ทำให้หุ่นยนต์ Astro ดูเป็นมิตรมากขึ้น มันยังสามารถทำหน้าที่เป็นเพื่อนกับมนุษย์ได้ด้วย เช่น สั่งให้ Astro เปิดเพลง เต้นด้วยกัน

Amazon แนะนำตัวอย่างการใช้งาน Astro เหมาะสำหรับเป็นหุ่นยนต์ระวังภัยเมื่อคุณไม่อยู่บ้าน หุ่นยนต์จะแจ้งเตือนเมื่อมีคนแปลกหน้าเข้ามาหรือได้ยินเสียงแปลกๆ เช่น กระจกหน้าต่างแตก หรืออาจจะใช้ให้หุ่นยนต์วิ่งไปเช็กว่าคุณปิดเตาแก๊สหรือยัง เช็กผู้สูงอายุที่บ้านยังปกติดีไหม เช็กสัตว์เลี้ยงว่ายังอยู่ในบ้านหรือเปล่า หุ่นยนต์ตัวนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการติดกล้องวงจรปิดทั่วทุกห้องในบ้าน

ด้านหลังสามารถวางสิ่งของได้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นสินค้าใหม่ สำนักข่าว Vice และ The Verge ที่ได้สัมผัสตัวจริงแล้วพบว่า Astro อาจจะยังมีจุดอ่อน นั่นคือมันเคลื่อนที่บนล้อ ทำให้มันไม่สามารถขึ้นลงบันไดได้ จึงไม่เหมาะกับบ้านที่มี 2 ชั้นขึ้นไป (หรือต้องให้ Astro อยู่เฉพาะชั้นล่าง) รวมถึงระบบ AI จดจำใบหน้าก็ยังทำได้ไม่ดีพอ

Amazon เริ่มเปิดจอง Astro แล้วในราคา 99 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 33,900 บาท)

ที่มา: CNN, The Verge

]]>
1354183