-
“LPP” บริษัทลูกของ “LPN” ที่ทำธุรกิจด้านบริหาร “นิติบุคคล” เพื่อสนับสนุนบริษัทแม่มานาน ล่าสุดมีการขยับแยกบ้านออกมาเติบโตด้วยตนเองเพื่อเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในปี 2567
-
วางกลยุทธ์ขยายธุรกิจเพิ่ม “รปภ.–แม่บ้าน” ไปจนถึง “บริการทางวิศวกรรม” เจาะกลุ่มตึกเก่าที่ต้องการรีโนเวต
-
แตกธุรกิจใหม่ “สัมปทานลงทุนและรับบริหารหอพัก” เริ่มแห่งแรกแล้วที่หอพัก U-Center ของจุฬาฯ
“บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด” หรือ LPP เป็นบริษัทลูกที่ถือกำเนิดมาแทบจะพร้อมกับบริษัทแม่ คือ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ด้วยวิสัยทัศน์ของบริษัทแม่สมัยนั้นต้องการสร้าง “ชุมชนน่าอยู่” จึงต้องมีบริษัทบริหารจัดการอาคารหรือ “นิติบุคคล” ของตัวเอง เพื่อดูแลโครงการสร้างเสร็จให้เป็นไปตามแนวคิดที่วางไว้
จนกระทั่งเมื่อปี 2564 บริษัท LPP มีการ ‘สปินออฟ’ แยกตัวออกมาจากบริษัทแม่ เพราะต้องการให้เป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์ธุรกิจ ขยายไปรับบริหารอาคารนอกเครือ LPN และขยายธุรกิจด้านอื่นที่เกี่ยวเนื่อง เตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai
“สุรวุฒิ สุขเจริญสิน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ LPP อัปเดตแผนการเตรียมตัวเข้าตลาดฯ mai ว่าขณะนี้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 150 ล้านบาทแล้ว พร้อมยื่นไฟลิ่งภายในเดือนเมษายน 2567 และคาดว่าจะเริ่มเปิด IPO ได้ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2567
ส่วนการทำธุรกิจที่ ‘ขยายให้มากกว่า LPN’ ก็ลุยงานไปแล้วหลายด้าน เชื่อว่าจะเป็นฐานเติบโตในอนาคตได้
ยึดหัวหาดบริษัท “นิติบุคคล” อันดับ 1
ธุรกิจแต่ดั้งเดิมของ LPP คือรับบริหารอาคารหรือ “นิติบุคคล” ทั้งอาคารชุดและหมู่บ้านจัดสรร โดยสุรวุฒิระบุว่า บริษัทบริหารอาคารชุดอยู่ 250 โครงการ และบริหารหมู่บ้านจัดสรรอยู่ 50 โครงการ รวมทั้งหมด 300 โครงการ หากวัดจากจำนวนโครงการที่บริหาร เชื่อว่า LPP คือบริษัทนิติบุคคลที่มีโครงการในมือเป็นอันดับ 1 ของประเทศ
ฐานเดิมของ LPP คือการผูกอยู่กับโครงการของ LPN แต่ในระยะหลังเมื่อสปินออฟออกมาทำให้มีการรับบริหารให้ดีเวลลอปเปอร์เจ้าอื่นด้วย
โดยปัจจุบันโครงการที่รับบริหาร 60% ยังเป็นโครงการของ LPN และมี 40% ที่เป็นโครงการของนักพัฒนาจัดสรรอื่น (Non-LPN) ซึ่งมีบริษัทที่ผูกกันในลักษณะ ‘สัญญาใจ’ อยู่ 3 บริษัท คือ ค่ายอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN), ค่ายแลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) และ ค่ายแอสเซทไวส์ (ASW) ทั้งหมดนี้ LPP จะมีโอกาสได้เสนอราคาก่อนเมื่อมีโครงการสร้างเสร็จใหม่
ในธุรกิจนี้ LPP จะรักษาฐานที่มั่นไว้ แต่การจะเติบโตให้เร็วได้ต้องมีธุรกิจอื่นเข้ามาเสริม ทำให้เกิดกลุ่มธุรกิจใหม่อีก 2 กลุ่ม คือ “รปภ. และ แม่บ้าน” และ “บริการทางวิศวกรรม”
เติม “รปภ. – แม่บ้าน” ให้ครบวงจร
ธุรกิจที่เพิ่มเข้ามาใน LPP คือการตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัยและแม่บ้านทำความสะอาด ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับงานบริหารอาคารอยู่แล้ว การเพิ่มธุรกิจเหล่านี้จึงเป็นการสร้างโอกาสเสนอ ‘แพ็กเกจ’ รวมทุกบริการในราคาที่ถูกกว่าการจ้างแยกเป็นรายบริษัท
- TOSSAKAN จาก “สกาย ไอซีที” พลิกโฉมธุรกิจ “รักษาความปลอดภัย” ด้วย AI จดจำใบหน้า
- กลยุทธ์ “พรีโม” รวบงานบริการอสังหาฯ ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ดันรายได้ 1,000 ล้านใน 3-5 ปี
รวมถึงมีโอกาสรับงานเฉพาะการรักษาความปลอดภัยและแม่บ้านได้มากขึ้นด้วย ซึ่งธุรกิจกลุ่มนี้สุรวุฒิกล่าวว่ามีโอกาสขยายตัวได้เร็วกว่าบริษัทนิติบุคคล เพราะการเทรนนิ่ง รปภ. และ แม่บ้าน ใช้เวลาไม่มาก เมื่อมีโอกาสสัญญาใหม่เข้ามาสามารถป้อนกำลังคนเข้าไปรับงานได้เร็ว ต่างจากงานนิติบุคคลที่ต้องใกล้ชิดกับลูกบ้านสูงและมีรายละเอียดมาก การฝึกฝนเพื่อให้ได้บุคลากรตำแหน่งผู้จัดการอาคารสักคนหนึ่งจะใช้เวลานาน ทำให้การขยายธุรกิจจะทำได้ช้า
บริการทางวิศวกรรม – รับรีโนเวตตึกเก่า
อีกธุรกิจที่เติมเข้ามาคือ “บริการทางวิศวกรรม” หมายถึงบริการซ่อมบำรุงตึกในเชิงกายภาพ เช่น ทาสี ปรับปรุงท่อประปา ระบบไฟฟ้า
นอกจากนี้ LPP ยังหาบริการและสินค้าใหม่ๆ จากพาร์ทเนอร์เข้าไปเสนอลูกค้าเพื่อปรับองค์ประกอบในอาคารให้สอดรับกับการอยู่อาศัยในโลกยุคใหม่ด้วย เช่น ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า, ติดตั้งเครื่องลดค่าไฟฟ้าเครื่องปรับอากาศเก่า, ติดตั้งสถานี EV Charger ภายในโครงการ
สุรวุฒิฉายภาพว่าธุรกิจนี้จะเป็น “อนาคต” ของ LPP เพราะตลาดคอนโดมิเนียมที่เติบโตชัดเจนเริ่มตั้งแต่ 10 ปีก่อน เรียกว่าโตตามเส้นทางรถไฟฟ้าไปตลอดแนว ทำให้มีพื้นที่อาคารสร้างเสร็จใหม่ในกรุงเทพฯ เข้าสู่ตลาดปีละหลักล้านตารางเมตร
อาคารเหล่านี้เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปีมักจะเริ่มมีการซ่อมแซม และผ่านไป 10 ปีจะต้องรีโนเวตใหญ่สักครั้งหนึ่ง เพราะอาคารเริ่มเสื่อมโทรมทั้งระบบสาธารณูปโภคภายในอาคารและสภาพภายนอกอาคาร เป็นโอกาสของบริษัทรับจ้างรีโนเวตปรับปรุงอาคาร
ทำให้ปีนี้ LPP เข้าซื้อหุ้น 60% ใน บริษัท พี ดับบลิว กรุ๊ป เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (PW Group) เพื่อมาดูแลงานด้านนี้โดยเฉพาะ เนื่องจากบริษัทนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับปรุงอาคาร มีฐานลูกค้าเดิมทั้งกลุ่มห้างสรรพสินค้า คอนโดมิเนียม และโรงพยาบาล
ปัจจุบันรายได้ของ LPP มาจากธุรกิจนิติบุคคลราว 60% จากธุรกิจรปภ.และแม่บ้าน 20% และจากธุรกิจบริการทางวิศวกรรม 20% แต่สุรวุฒิเชื่อว่าจากการเติบโตที่เร็วกว่าของธุรกิจใหม่ อนาคตธุรกิจนิติบุคคลน่าจะมีสัดส่วน 50% ในบริษัท และกลุ่มรปภ. แม่บ้าน และบริการวิศวกรรม จะมีรายได้รวมคิดเป็น 50% ของบริษัท
ดาวรุ่งดวงใหม่ “สัมปทานลงทุนและบริหารหอพัก”
สุรวุฒิยังกล่าวถึงธุรกิจใหม่ล่าสุดที่น่าจะเป็นดาวรุ่งให้บริษัทได้คือการ “สัมปทานลงทุนและบริหารหอพัก”
ลักษณะธุรกิจไม่ใช่เข้าไปรับจ้างบริหารหอพักเท่านั้น แต่เป็นการเข้าไปเสนอโครงการลงทุนรีโนเวตปรับปรุงตึกและรับบริหารหอพักให้ โดยจะแบ่งส่วนรายได้ (revenue sharing) กับเจ้าของหอพักตามแต่ตกลง
ธุรกิจนี้ LPP เริ่มชิมลางแล้วที่ “หอพัก U-Center” ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 468 ห้อง ลงเงินลงทุน 150 ล้านบาทในการปรับปรุงหอพักทั้งด้านนอก ด้านใน ส่วนกลาง และในห้องพัก โดยได้สัมปทาน 8 ปี (2566-2574) ในการบริหารจัดการหอพักทั้งหมดและหารายได้
“งานบริหารหอพักหรืออะพาร์ตเมนต์เป็นเรื่องจุกจิกจนทำให้เจ้าของบางคนไม่ต้องการดูแลเองต่อ เราจะเข้าไปดูแลตรงนี้ให้ทั้งการปรับปรุงตึก ดูแล และหาผู้เช่า โดยแบ่งรายได้กันระหว่างเรากับเจ้าของ” สุรวุฒิกล่าว “ขณะนี้เปิดรับทุกดีลที่น่าสนใจ โดยจุดคุ้มทุนของโครงการที่จะรับสัมปทานน่าจะต้องเป็นหอพักที่มีมากกว่า 100 ห้อง และเป็นหอพักระดับกลางขึ้นไป จึงจะได้กำไรกันทั้งสองฝ่าย”
ด้านรายได้คาดการณ์ของ LPP ในปี 2566 น่าจะทำได้แตะ 1,550 ล้านบาท เติบโต 30% จากปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิยังอยู่ระหว่างยื่นไฟลิ่ง แต่คาดว่าจะโต 10% จากปีก่อนหน้า
ขณะที่เป้าหมายรายได้ปี 2567 หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว ต้องการปั้นรายได้โต 20% และกำไรสุทธิโต 20% จากปีนี้