วิตามิน วอเตอร์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 10 Apr 2022 14:22:19 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดเบื้องหลัง “วิตอะเดย์ ชานมไต้หวัน” กับโจทย์ใหญ่ ดื่มชานมได้ทุกวันแบบไม่รู้สึกผิด https://positioningmag.com/1380897 Sun, 10 Apr 2022 13:36:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1380897 เป็นกระแสฮือฮาอยู่พักใหญ่ สำหรับ “วิตอะเดย์ กลิ่นชานมไต้หวัน” ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ในการเนรมิตน้ำดื่มวิตามิน ผสมกับชานมไข่มุก เป็นเทรนด์ฮิตสำหรับคนไทย แต่ทำอย่างไรให้คนดื่มได้แบบไม่รู้สึกผิด แถมยังได้ประโยชน์จากวิตามินอีกด้วย ตอนนี้พบว่าสินค้าขาดตลาด กลายเป็นแรร์ ไอเท็มไปแล้ว

น้ำดื่มวิตามิน ตลาดสุขภาพที่ใครๆ ก็อยากเล่น

เทรนด์ในการดูแลสุขภาพของคนไทยยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง และยังเห็นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจัยของการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ตลาดกลุ่มอาหาร และเครื่องดื่มมีความคึกคัก ต่างออกสินค้าใหม่ที่ช่วงเสริมสร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น

หนึ่งในเทรนด์ยอดนิยมก็คือ “น้ำดื่มวิตามิน” หรือวิตามิน วอเตอร์ กลายเป็นกลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตสูง ที่มาพร้อมกับผู้เล่นในตลาดมากหน้าหลายตา มีทั้งผู้เล่นในตลาดเครื่องดื่มรายใหญ่ ไปจนถึงรายใหม่ๆ ที่ขอมาเปิดตลาดกับเขาบ้าง

น้ำดื่มวิตามินในตลาด ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำที่ผสมกับวิตามินต่างๆ ที่นิยมก็จะเป็นวิตามินบี และวิตามินซี พร้อมกับใส่รสชาติ หรือกลิ่นเพื่อให้ดื่มง่าย แรกเริ่มเดิมทีตลาดนี้มีผู้บุกเบิกก็คือ “ยันฮี วิตามินวอเตอร์” เรียกว่าเป็นรายแรกๆ ในตลาด เริ่มจากเป็นเครื่องดื่มสำหรับผู้ป่วยของโรงพยาบาลยันฮี จากนั้นเริ่มออกสู่ตลาดแมสในการจำหน่ายในร้านค้าทั่วไป

ทำให้หลังจากนั้นเริ่มมีแบรนด์ใหม่ๆ ผุดขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง วิตอะเดย์, อิชิตัน, เจเล่, บลู, เพอร์ร่า, Dr.Drink, แมนซั่ม รวมไปถึงวิตมอร์สจาก คิงเพาเวอร์ ก็ลงมาเล่นตลาดนี้ด้วย ในช่วงหลัง “ทรู” ก็ลงมาจับตลาดด้วยเช่นกัน

วิตอะเดย์ (VITADAY) เป็นแบรนด์แรกๆ ที่จับเทรนด์น้ำดื่มวิตามินต่อจากยันฮี ได้แจ้งเกิดในช่วง COVID-19 ระบาดในช่วงแรก ได้ออก วิตอะเดย์ วิตามินวอเตอร์ น้ำดื่มวิตามินบีรวม 100% 7 ชนิด ประกอบด้วย วิตามิน B1, B3, B5, B6, B7, B9, B12 จากนั้นเริ่มเพิ่มรสชาติ และขยายสู่น้ำดื่มผสมวิตามินซี

ต้องเกริ่นก่อนว่า ก่อนที่น้ำดื่มวิตามินจะเป็นที่นิยม ในตลาดน้ำดื่มได้มีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ส่วนใหญ่เป็นเทรนด์ดูแลสุขภาพ มีน้ำดื่มที่น้ำตาลน้อยลง แคลอรีน้อยลง ไปจนถึงฟังก์ชันอลดริ้งก์ที่มีส่วนผสมต่างๆ ช่วยเรื่องผิว การขับถ่าย บำรุงสมอง และอื่นๆ มากมาย

แต่ที่น้ำดื่มวิตามินได้รับความนิยม เนื่องจากผู้บริโภคหันมาดื่มน้ำดื่มที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น งดพวกน้ำหวาน น้ำวิตามินเข้ามาตอบโจทย์คนที่ดื่มน้ำเปล่า แต่ทำให้มีรสชาติ แล้วชูจุดขายด้วยการผสมวิตามินต่างๆ

จับเทรนด์ฮิต ชานม x น้ำวิตามิน

จุดขายหลักของน้ำดื่มวิตามินก็คือ การมีรสชาติที่หลากหลาย แต่น้ำตาลน้อย แคลอรีต่ำ หรือบ้างเจ้าอาจจะไม่ใส่น้ำตาลเลยก็ได้ ส่วนใหญ่จะใส่กลิ่น หรือรสชาติผลไม้ และสมุนไพร เพื่อความสดชื่น และสื่อถึงการดูแลสุขภาพ

ปีที่ผ่านมาวิตอะเดย์มีน้ำดื่มวิตามินในพอร์ต 4 ตัว ได้แก่ น้ำดื่มผสมวิตามินบี 1 ตัว, น้ำดื่มผสมวิตามินซี 2 รสชาติ ได้แก่ พีช และเลมอน และน้ำดื่มผสมคอลลาเจน

ในปีนี้วิตอะเดย์ได้เปิดสินค้าใหม่พร้อมกัน 2 ตัว ได้แก่ วิตอะเดย์ เฮอร์เบิล วอเตอร์ น้ำสมุนไพรสกัดผสมวิตามินซีสูง 200% น้ำสมุนไพรสกัดจากธรรมชาติพร้อมวิตามินซี 200% และที่สร้างความฮือฮาก็คือ วิตอะเดย์ น้ำวิตามินบีรวม กลิ่นชานมไต้หวัน เริ่มวางจำหน่ายในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

แต่หลังจากที่วางจำหน่ายก็เกิดกระแสตามล่า หรือตามเหมาหมดตู้ จนตอนนี้เกิดกระแสสินค้าขาดตลาด เพราะต้องบอกว่าคนไทยมีความเป็นทาสชานมไข่มุกอยู่แล้ว เมื่อมีสินค้าใหม่ก็เกิดการอยากลอง รวมไปถึงวิตอะเดย์ ชานมไต้หวัน มีความคล้ายคลึงกับ “น้ำชานมใส” จากค่าย Suntory เป็นสินค้าที่จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น ก็เป็นกระแสในประเทศไทยอยู่พักหนึ่งเช่นกัน

Photo : japan-guides.blogspot.com

ตัวสินค้าเองก็ชูว่าไม่มีน้ำตาล, ไม่มีแคลอรี, ไม่มีโซเดียม พร้อมมีกลิ่นชานมไต้หวัน หลายคนได้ทานจะรู้สึกเหมือนได้ทานชานมจริงๆ แต่ไม่ทำลายสุขภาพ ซึ่งทางบริษัทได้พัฒนาจาก Pain Point ของผู้บริโภค ที่ชอบทานชานมไข่มุกแต่ก็มีความรู้สึกผิด กลัวอ้วน

ประกอบกับราคาขาย 17 บาท ถือว่าถูกกว่าราคาชานมไข่มุกในตลาดอีกด้วย

พงศกร พงษ์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจนเนอรัล เบฟเวอร์เรจ จำกัด กล่าวว่า

“ในปี 2564 ที่ผ่านมา ตลาดน้ำดื่มวิตามิน มีมูลค่าสูงถึง 2,412 ล้านบาท เติบโตทั้งในเชิงมูลค่าและเชิงปริมาณ จากกระแสการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 เป็นตัวเร่งทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จึงทำให้น้ำดื่มวิตามิน เป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ผู้บริโภคมองหาเพื่อตอบโจทย์เรื่องในการดูแลสุภาพ รวมถึงมีผู้เล่นในตลาดออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ ส่งผลให้ตลาดน้ำดื่มวิตามินมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง”

หลักในการพัฒนาสินค้าของวิตอะเดย์ จะมาจากอินไซต์ของผู้บริโภค พบว่าในตลาดน้ำวิตามินมีแต่รสชาติเดิมๆ ในแง่การตลาดอยากได้สินค้าใหม่ ที่ผ่านมาก็มีกระแสของชานมไข่มุกเยอะมาก แต่หลายคนที่ทานยังรู้สึกผิด กลัวอ้วน เลยมาคิดว่าถ้ามีสินค้าตอบโจทย์สุขภาพ เอามาแมทช์กับน้ำวิตามินได้ก็ดี วิตอะเดย์เลยออกเป็นซีรีส์วิตามินบี กลิ่นชานมไต้หวัน ยังตอบโจทย์สุขภาพได้ดีอยู่

หลายคนมองว่าจะคล้ายกับสินค้าที่ญี่ปุ่น แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว เพราะวิตอะเดย์พัฒนาด้วยฐานของความเป็นน้ำวิตามิน ในเวลาในการพัฒนาอยู่ประมาณหนึ่ง โจทย์หลักก็คือ อยากให้คนที่ดื่มชานมดูแลสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งการออกสินค้าตัวนี้ ยังได้ขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มใหม่ๆ เป็นกลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่มากขึ้น

เรียกว่าเป็นการจับฐานทั้งกลุ่มคนรักชานมไข่มุก กับคนที่ดื่มน้ำวิตามินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สามารถสร้างสีสันใหม่ๆ ให้ตลาดได้

ส่วนสินค้าอีกตัว วิตอะเดย์ เฮอร์เบิล วอเตอร์ น้ำสมุนไพรสกัดผสมวิตามินซีสูง 200% เป็นการต่อยอดจากเทรนด์การเติบโตของเครื่องดื่มสมุนไพร ปัจจุบันจะเห็นเป็นในรูปแบบช็อตขวดเล็กๆ เป็นส่วนใหญ่ จึงพัฒนาสูตรน้ำสมุนไพรสกัดผสมวิตามิน ให้ความรู้สึกคล้ายเครื่องดื่ม Welcome Drink ตามโรงแรมใหญ่ๆ

ปีนี้สนุก หลายเจ้ากลับมาบุกตลาด

แม้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดน้ำดื่มวิตามินจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงก็จริง แต่ในปี 2564 ตลาดก็ยังมีการเติบโต แต่แบรนด์ต่างๆ ได้ชะลอการลงทุน ไม่ค่อยมีกิจกรรมการตลาดมากนัก เพราะมีมาตรการล็อกดาวน์ค่อนข้างนาน บวกกับกำลังซื้อผู้บริโภคหดตัวอย่างรุนแรง

มีการประเมินว่าในปี 2565 ตลาดจะกลับมาคึกคัก ผู้เล่นในตลาดจะกลับมาลงทุนมากขึ้น ทั้งในแง่ของการออกสินค้าใหม่ๆ ทำโปรโมชัน และทำการตลาด ในปีนี้วิตอะเดย์ก็กลับมาลงทุนมากขึ้นเช่นกัน ทั้งเปิดตัวสินค้าใหม่ และมีการทำภาพยนตร์โฆษณาอีกครั้ง หลังจากชะลอไปในปีที่แล้ว

“ภาพรวมตลาดน้ำดื่มวิตามินปีที่ผ่านมามีมูลค่า 2,400 ล้านบาท มีคู่แข่งเยอะมาก แต่ในปีที่แล้วมีการทำตลาดไม่หวือหวา เพราะมาตรการล็อกดาวน์ กำลังซื้อชะงัก พยายามทำตลาดเฉพาะกลุ่ม ในปีนี้จะเริ่มเห็นเจ้าใหญ่ทำตลาดมากขึ้น ตลาดจะเติบโตกว่าปีก่อน แต่อาจจะได้เห็นเจ้าเล็กๆ ล้มหายตายจาก เหลือแต่เจ้าใหญ่ๆ” 

ครองบัลลังก์เบอร์ 1 น้ำวิตามิน

จากตลาดน้ำวิตามินในปี 2564 มีมูลค่ารวม 2,400 ล้านบาท วิตอะเดย์สามารถไต่ขึ้นมาครองเบอร์ 1 ได้แล้ว ด้วยส่วนแบ่งตลาด 35% รองลงมาคือ ยันฮี 32% และ บลู 9.0% (อ้างอิงข้อมูลจาก Nielsen IQ : Retail Index ก.พ. 2565)

ต้องบอกว่าถ้าเทียบในตลาดแล้ว วิตอะเดย์ถือว่าเป็นน้องใหม่ที่ทำตลาดได้ราวๆ 2 ปี เทียบกับแชมป์เก่าอย่างยันฮีที่ทำตลาดมาราว 7 ปี ถือว่าใช้เวลาไม่นานในการขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ถ้าดูภาพรวมในตลาดแล้วก็ถือว่าวิตอะเดย์ค่อนข้างที่จะแอคทีฟในการออกสินค้าใหม่ๆ มากที่สุดด้วยเช่นกัน พร้อมกับมีแพ็คไซส์ขนาดเล็ก 330 มล. เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ทำให้เป็นการกระตุ้นตลาดไปในตัว

ต้องจับตาดูตลาดน้ำดื่มวิตามินในปีนี้ น่าจะมีความสนุกไม่แพ้ตลาดอื่นๆ ที่กลับมาทุ่มทำการตลาด และโปรโมชั่นอย่างแน่นอน

อีกทั้งปัจจุบันผู้บริโภคได้มี Perception ต่อน้ำดื่มวิตามินที่ดีขึ้น หลายคนมองว่าเป็นน้ำที่ดื่มได้ตลอดทั้งวัน ไม่ใช่แค่ฟังก์ชันนอลดริ้งก์ เพราะหลายคนอยากสร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น ดูแลสุขภาพมากขึ้น เป็นเหมือนน้ำเปล่าที่มีรสชาติ และยังมีผลพลอยได้เรื่องวิตามินเพิ่มเติม

]]>
1380897
เปิดสูตร “แมนซั่ม” ขอร่วมวง “วิตามิน วอเตอร์” มาช้าแต่ขอล้มยักษ์… https://positioningmag.com/1321376 Wed, 03 Mar 2021 16:41:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1321376 ดูท่าว่าตลาด “วิตามิน วอเตอร์” จะยังไม่เงียบเหงา เพราะยังผู้เล่นใหม่ที่ไม่ใช่แบรนด์ใหม่ลงมาจับตลาดอยู่ ค่าย TCP ส่ง “แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์” ลงมาท้าชิง งัดจุดเด่นที่ให้มากกว่าวิตามินด้วยเบต้า-กลูแคน อาจจะดูมาช้าไปนิด เพราะเทรนด์เริ่มไปทาง “กัญชง” กันพอสมควร

น้ำวิตามินเฟ้อตลาด

ต้องบอกว่าในปี 2563 ที่ผ่านมา ทิศทางของอาหาร และเครื่องดื่มก็ยังคงไปในเวย์ของดูแลสุขภาพอยู่ แต่การมาของไวรัส COVID-19 ยิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของเทรนด์นี้ให้เข้มข้นมากขึ้น จึงได้เห็นหลายแบรนด์ออกสินค้าที่บำรุงสุขภาพ เสริมภูมิคุ้นกันต่างๆ นานา

โปรดักต์ฮีโร่ที่หลายคนให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ “น้ำวิตามิน” หรือ “วิตามิน วอเตอร์” เรียกได้ว่ามีสปอตไลต์ฉายมาหลายดวง จากที่แต่เดิมในตลาดมีแค่ไม่กี่แบรนด์ จนในปี 2020 มีทั้งหมด 8 แบรนด์

แน่นอนว่าความฮอตของสินค้า ได้ดันตลาดน้ำวิตามิน วอเตอร์เติบโต 10% มีมูลค่า 2,200 ล้านบาท และในปี 2021 คาดว่าจะเติบโตถึง 59% มีมูลค่า 3,500 ล้านบาท และแค่มกราคมเดือนเดียวก็สามารถเติบโตได้ถึง 76% เลยทีเดียว

หากนับดูดีๆ หลายคนคงจะตกใจกับปริมาณของวิตามิน วอเตอร์ ที่พาเหรดกันลงตลาดนับไม่ถ้วน เริ่มต้นจากผู้บุกเบิกตลาดอย่าง ยันฮี วิตามินวอเตอร์ จากโรงพยาบาลยันฮี เริ่มทำตลาดตั้งแต่ปี 2557 ตอนนี้ก็ยังเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดจากนั้นก็มีหลายเจ้าตบเท้าเข้ามา ได้แก่

  • บลู จากค่าย ดาน่อน-เซ็ปเป้ เบฟเวอเรจส์
  • Good Mood จากค่ายเป๊ปซี่โค แต่หยุดทำตลาดเมื่อเดือนธันวาคม 2563
  • อิชิตัน วิตามิน วอเตอร์ ซี พลัส อี และน้ำด่าง pH Plus 8.5 จากค่ายอิชิตัน
  • Vitaday จากค่าย General Beverage
  • Aqua Vitz จากค่ายเจเล่
  • D.R.Drink
  • เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ จากค่ายสิงห์

เมื่อเปิดศักราชใหม่ เราจึงได้เห็นวิตามิน วอเตอร์แบรนด์ที่ 9 ซึ่งไม่ใช่น้องใหม่ที่ไหน จากค่าย TCP หรือกระทิงแดงนั่นเอง ไม่พลาดที่จะร่วมวงนี้ด้วย ส่ง “แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์” ลงสู่สังเวียนตลาดเป็นที่เรียบร้อย ต้อนรับซัมเมอร์ไปในตัว

กดสูตรแมนซั่ม มาช้าแต่ขอล้มยักษ์

ถ้าพูดถึงค่าย TCP มีเครื่องดื่มหลายตัวที่เป็นตัวท็อปในตลาด ทั้งกระทิงแดง, สปอนเซอร์ และเพียวริคุ แต่แบรนด์หนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ “แมนซั่ม” ต้องบอกว่าแบรนด์นี้เป็นกรณีศึกษาในตลาดฟังก์ชันนอลดริ้งก์มาแล้ว เป็นแบรนด์ที่มาที่หลัง แต่สามารถล้มเบอร์ 1 ในตลาดได้

ในยุคหนึ่งเป็นยุคที่ “ฟังก์ชันนอลดริ้งก์” ครองเมือง ไม่ต่างจากช่วงที่ “ชาเขียว” ครองเมืองเท่าไหร่ ในตอนนั้น “เซ็ปเป้” เป็นผู้บุกเบิกตลาดตั้งแต่ราวๆ ปี 2549 ในยุคนั้นเป็นอะไรที่ฮอตฮิตมาก เพราะเป็นเทรนด์ใหม่ที่ดื่มน้ำแล้วได้ประโยชน์เรื่องความสวย ผิวสวยต่างๆ นานา แบรนด์ใหญ่ๆ ก็พากันปั้นฟังก์ชันนอลดริ้งก์ลงตลาดเช่นกัน

แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อ “แมนซั่ม” ลงตลาดเมื่อปี 2555 เรียกว่าช้ากว่าแบรนด์อื่นไปหลายก้าว แต่ได้ชูความแตกต่างจากตลาดโดยสิ้นเชิง วางจุดยืนเป็นฟังก์ชันนอลดริ้งก์สำหรับ “ผู้ชาย” ชูส่วนผสมหลักคือ “ซิงค์” จริงๆ แล้วเซ็ปเป้ก็เคยออกสูตรสำหรับผู้ชาย แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก แต่แมนซั่มกลับทำได้

ทำได้อย่างเดียวไม่พอ… ยังสามารถชิงส่วนแบ่งตลาด จนสามารถขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดได้ หลังจากเบียดๆ กันอยู่ไม่กี่ปี

ในกรณีนี้แมนซั่มยังคงกดสูตรเดิม แม้จะลงตลาดช้ากว่าคนอื่น แต่ถ้าชูจุดต่างได้ ก็หวังชิงส่วนแบ่งได้เช่นกัน

ครั้งนี้ TCP เลือกใช้แบรนด์แมนซั่มในการทำตลาด ก็เพราะเป็นแบรนด์ที่แข็งในกลุ่มฟังก์ชันนอลดริ้งก์ หรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ สามารถสร้างการรับรู้ได้เร็ว เช่นเดียวกันกับค่ายสิงห์ที่ส่ง “เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์” เพราะการรับรู้ในแบรนด์เพอร์ร่าในแบรนด์น้ำแร่ จะดูเฮลท์ตี้มากกว่าแบรนด์น้ำดื่มสิงห์นั่นเอง

“เรามีความเชี่ยวชาญในตลาดฟังก์ชันนอลดริ้งก์ และที่ผ่านมาแมนซั่มก็เป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคยอมรับ แม้จะเป็นเครื่องดื่มที่เน้นที่ผู้ชาย แต่ลูกค้ากลุ่มผู้หญิงก็มีสัดส่วนถึง 18% จึงทำให้เรามั่นใจและมีความพร้อมที่จะแตกไลน์สินค้าเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย” ประไพภักตร์ ไวเกิล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดโกลเบิล (F&B) กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าว

แผนล้มยักษ์ของแมนซั่ม เริ่มต้นจากการที่ขอส่วนแบ่งตลาดในปีแรกที่ 15% ขึ้น Top 3 ในตลาด โดยที่ผู้นำตลาดอย่างยันฮีฯ ครองเบอร์หนึ่งที่ส่วนแบ่ง 30% แน่นอนว่าแมนซั่มฯ หวังที่จะเคลมบัลลังก์นี้อย่างแน่นอน…

สร้างความต่างที่มากกว่าวิตามิน

จะสังเกตว่าในตลาดวิตามิน วอเตอร์ส่วนใหญ่ มีจุดตั้งต้นด้วยสูตรที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ได้แก่สูตรวิตามิน B รวม และสูตรวิตามิน C เป็นวิตามินที่เหมาะกับร่างกาย และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต่างๆ เพียงแต่ว่าแต่ละเจ้าจะมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่การปรุงรส

จากการที่ได้ทดลองชิม หลายแบรนด์จะพยายามปรุงรสชาติให้ออกแนวสมุนไพรหน่อยๆ ใช้เก๊กฮวย หรือเฉาก๊วย เข้ามาเพื่อทำให้รสชาติกลมกล่อมขึ้น หรือจะเป็นรสชาติที่หลากหลายเหมือนของบลู และวิตอะเดย์ไปเลย

โดยที่แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์ มี 2 สูตร Beta-Glucan ฝาแดง ผสมเบต้า-กลูแคน และ Multi-vitamin ฝาเขียว มีวิตามินบี 3, บี 6, บี 12 และซิงค์ มีการชูจุดเด่นที่ตัวส่วนผสมเบต้า-กลูแคน และรสชาติกลิ่นใบเตยและยังเอาซิงค์มาเป็นตัวชูโรงที่ยังขาดไม่ได้

มาทีหลังก็ต้องเหนื่อยหน่อย งานนี้ได้ทุ่มงบการตลาดกว่า 150 ล้านบาท ดึงเอา “ไมค์ – พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล” เป็นพรีเซ็นเตอร์ ชูภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ สมาร์ท สุขภาพดี และรู้จักดูแลตัวเอง ยังคงเลือกผู้ชายเป็นพรีเซ็นเตอร์ตามคาแร็กเตอร์ของแบรนด์อยู่ แต่ก็สามารถสื่อสารกับสาวๆ ได้เช่นกัน

ดันกลยุทธ์ 2 ราคา

ในส่วนของราคาจำหน่ายจะมี 2 ขนาดด้วยกัน ได้แก่ ราคา 15 บาท ขนาด 475 มล. และ 17 บาท ขนาด 480 มล. ถ้าถามว่าต่างกันอย่างไร … ด้วยปริมาณต่างกันแค่ 5 มล. เท่านั้น

คำตอบอยู่ที่ “ช่องทางจัดจำหน่าย” 15 บาท ขายตามร้านโชห่วย เพราะเน้นที่ราคาย่อมเยา เข้าถึงง่าย ไม่ต้องควักถึง 20 บาท ส่วน 17 บาท ขายตามโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ ด้วยช่องทางนี้กลุ่มลูกค้าจะมีกำลังซื้อ เลือกจำหน่ายในราคาสูงกว่าหน่อย และยังเป็นราคามาตรฐานที่แบรนด์อื่นก็ตรึงราคาที่ 17 บาทกันด้วย

รวมถึงยังมีการดัน “การขายยกลัง” เพื่อไว้ดื่มที่บ้านหรือ Home Stocking เนื่องจากต้องการให้แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์เป็น “เครื่องดื่มประจำบ้าน” แทนที่น้ำเปล่า

เทรนด์ ‘สุขภาพ’ ไม่ได้มาแล้วไป

แม้ว่าปัจจุบันในตลาดวิตามิน วอเตอร์จะมีผู้เล่น 8 ราย แต่เชื่อว่าจะยังมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาอีก เพราะยังเห็นการเติบโตอีกมาก โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี 2022 ตลาดจะติบโต 43% มีมูลค่า 5,000 ล้านบาท และหากเทียบวิตามิน วอเตอร์กับตลาดน้ำดื่มพบว่าคิดเป็นเพียง 10% เท่านั้น

ขณะที่ต่างประเทศอย่าง ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และมาเลเซีย วิตามิน วอเตอร์มีสัดส่วนอยู่ที่ราว 40-50% ของตลาดน้ำดื่มเลยทีเดียว เชื่อว่าอนาคตผู้บริโภคเปลี่ยนจากน้ำดื่ม และน้ำแร่มาเป็นน้ำดื่มผสมวิตามิน

“วิตามิน วอเตอร์เป็นทางเลือกที่ไปแทนที่น้ำเปล่าหรือน้ำแร่ในปัจจุบัน จะเห็นว่าตลาดน้ำติดลบ -5% เนื่องจากถูกวิตามิน วอเตอร์แย่งตลาด มองว่านี่ไม่ใช่กระแสที่มาแล้วไป เพราะการดูแลสุขภาพนั้นเป็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค ดังนั้น มั่นใจว่าเครื่องดื่มในแนวฟังก์ชันนอลยังสดใสไปอีกนาน”

ปัจจุบันกลุ่ม TCP มีไลน์สินค้า 6 กลุ่ม รวม 9 แบรนด์ ได้แก่

  • เครื่องดื่มให้พลังงาน : กระทิงแดง, เรดดี้, โสมพลัส และวอริเออร์
  • เครื่องดื่มสปอร์ตดริ้งก์ : สปอนเซอร์
  • เครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริ้งก์ : แมนซั่ม, แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์ และไฮ่!
  • เครื่องดื่มชาพร้อมดื่ม : เพียวริคุ
  • เมล็ดทานตะวัน : ซันสแนค
  • กลุ่มหัวเชื้อเครื่องดื่ม : เรดบูลรสดั้งเดิม
]]>
1321376
ทำไม “เนสท์เล่” ต้องลงทุนใหญ่ 4,500 ล้าน ขยาย 3 โรงงานในไทย เร่งเสริมพอร์ต “อาหารสัตว์เลี้ยง” https://positioningmag.com/1307826 Thu, 26 Nov 2020 17:18:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307826 เเม้วิกฤต COVID-19 จะทำให้ผู้คนซื้อสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภคมากขึ้น เเต่ภาพรวมของธุรกิจ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) ก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย

วันนี้เนสท์เล่” (Nestlé) ผู้ผลิตอาหารเเละเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก ฉายภาพธุรกิจในไทย เทรนด์ผลิตภัณฑ์ที่ยังเติบโต กลยุทธ์รุกตลาดอีคอมเมิร์ซ พร้อมประกาศเเผนลงทุนปีนี้และปีหน้า ด้วยการขยาย 3 โรงงานในไทย เป็นเม็ดเงินถึง 4,500 ล้านบาท เสริมพอร์ตสินค้ากลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม เเละยูเอชที

อะไรเป็นเหตุผลที่เนสท์เล่ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ในรอบหลายปีกับสินค้าเหล่านี้เราจะมาหาคำตอบกัน

เนสท์เล่เข้ามาทำตลาดไทยได้ 126 ปีเเล้ว ปัจจุบันมีโรงงานในไทยทั้งสิ้น 7 เเห่ง มีพนักงานราว 3,300 คน (จากทั่วโลก 3 เเสนคน) โดยเเผนขยายโรงงาน 3 เเห่งดังกล่าวจะเป็นการสร้างใหม่ 2 เเห่ง เเละขยายจากโรงงานเดิม 1 เเห่ง

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า ให้สัมภาษณ์ว่า เนสท์เล่ ก็เป็นเหมือนหลายบริษัททั่วโลกที่ต้องปรับตัวเพราะสถานการณ์ COVID-19 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบหลักๆ คือ สินค้ากลุ่มบริโภคนอกบ้าน อย่างเช่น น้ำดื่ม ไอศกรีมเเละขนม

ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มสินค้าที่เติบโตได้ดี เเละช่วยพยุงรายได้ของบริษัทไว้ได้ คือกลุ่มสินค้าในครัวเรือน เช่น กาแฟ นม ซอสปรุงรส เพราะผู้คนต้องใช้เวลาอยู่บ้านเเละทำอาหารกินเองมากขึ้นนั่นเอง

ผลประกอบการยังเป็นไปตามเป้า ภาพรวมยังเป็นที่น่าพอใจ เพราะเหมือนเป็นการปรับพอร์ตสินค้าในการเติบโต โดยคาดว่ารายได้ของเนสท์เล่ในไทยปีนี้ จะเติบโตราว 1 digit”

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า

แม้ว่าการทำธุรกิจในช่วงนี้ จะเจอกับความท้าทายหลายด้าน แต่ผู้บริหารเนสท์เล่บอกว่ายังเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย เเละมองว่างบลงทุนกว่า 4.5 พันล้านบาทครั้งนี้ จะเป็นการสร้างการเติบโตในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีไปยังธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างกัมพูชา ลาว และเมียนมาด้วย

ประกอบกับเนสท์เล่มีการทำสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนแปลงใน 5 ด้าน ได้แก่

  • เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
  • ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่น เพื่อเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างวัน
  • ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของสินค้าจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เเน่นอน
  • ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทั้งด้านบรรจุภัณฑ์ที่ต้องรีไซเคิลได้ มีกระบวนการผลิตที่ไม่เป็นพิษต่อโลก
  • นิยมใช้บริการอีคอมเมิร์ซ สั่งอาหารเเละซื้อสินค้าเเบบเดลิเวอรี่ เพิ่มขึ้นมากหลังวิกฤต COVID-19

อินไซต์เทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนี้ ทำให้บริษัทต้องออกสินค้าใหม่ เเละขยายกำลังผลิตในสินค้าที่จะเติบโตได้ดี โดยเนสท์เล่เลือกที่จะขยายการลงทุนใน 3 โรงงาน กับ 3 กลุ่มสินค้าด้วยกันคือ อาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม เเละยูเอชที

อาหารสัตว์เลี้ยงคนซื้อราคาพรีเมียม เเม้ต้องประหยัด

ปัจจุบันมีคนจำนวนมากหันมาดูเเลสัตว์เลี้ยงเพื่อคลายเหงามากขึ้น ทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในไทยเติบโต 9% จากปีที่ผ่านมา

“เเม้ในช่วง COVID-19 ที่หลายครอบครัวเริ่มลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เเต่กำลังซื้อในตลาดสัตว์เลี้ยงยังไม่มีตก” 

สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่พบว่า ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเเบบ “พรีเมียม” ขยายตัวสูงเช่นกัน เเละมีประชากรสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเเมวเเละสุนัข โดยคนไทยนิยมดูเเลสัตว์เลี้ยงเหมือนคนในครอบครัว ซึ่งการที่คนรุ่นใหม่เเต่งงานช้า มีลูกน้อยลงเเละใช้ชีวิตคนเดียวมากขึ้นก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดนี้เติบโต

“ผู้คนยอมตัดค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ เเต่ไม่ยอมตัดค่าใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยง เเถมยังยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่ออาหารพรีเมียมให้สัตว์เลี้ยง

จากเเนวโน้มการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้กับสัตว์เลี้ยงของตัวเอง เนสท์เล่ จึงตัดสินใจทุ่มลงทุนกว่า 2,550 ล้านบาท “สร้างโรงงานแห่งใหม่” ในนิคมอมตะนคร มีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2021 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และเสริมพอร์ตโฟลิโอในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของเนสท์เล่ ซึ่งมีเเบรนด์ที่ติดตลาดอยู่ในมือเเล้ว อย่างเพียวริน่า, ฟริสกี้ส์, อัลโป เเละซุปเปอร์โค้ท เป็นต้น

ภาพจำลองโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงเเห่งใหม่ของเนสท์เล่ จะเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2021

ปั้นรสชาติใหม่ๆ ตีตลาดไอศกรีมไทย 

ไอศกรีมยังเป็นสินค้าที่ขายดี “เมื่อคนเครียด” อยากหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาที่ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่น

เเม้ไอศกรีมของเนสท์เล่จะโดนผลกระทบจาก COVID-19 แต่เชื่อว่าเมื่อสถานการณ์กลับมาปกติ ยอดขายก็จะกลับมาเหมือนเดิม การทุ่มลงทุน 440 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังผลิตไอศกรีม ณ โรงงานบางชันครั้งนี้ จึงเป็นการลงทุนเพื่อตลาดระยะยาว เพื่อออกไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาด

ปัจจุบันสินค้าประเภทไอศกรีมคิดเป็นส่วนแบ่งราว 10% ของเนสท์เล่ มียอดขายเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้มีการเจาะตลาดคนไทยด้วยการนำ “ไอศกรีมโมจิ” ที่นำเทรนด์จากเกาหลีและญี่ปุ่นมาเปิดตลาดในไทย รวมถึง “ไอศกรีมคิทแคทและโอริโอ” ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังไม่ได้มองหาเเค่ไอศกรีมรสชาติใหม่ๆ แต่ยังมองหาสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ทำให้เนสท์เล่ต้องขยับมาทำบรรจุภัณฑ์ไอศกรีมที่ทำจากกระดาษ ไม่มีส่วนผสมของพลาสติก และสามารถรีไซเคิลได้ 100%

ยูเอชที : ต้องดีต่อสุขภาพ พกพาสะดวก

จากผลวิจัยของ Nielson พบว่า เครื่องดื่มยูเอชทีประเภทนมวัวและเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ยูเอสที จะมีการเติบโต 3% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ชี้ให้เห็นว่าคนไทยกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ดีกับสุขภาพเเละพกพาสะดวก

ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เนสท์เล่หันมาจับเทรนด์รักสุขภาพและต้องพกพาสะดวก โดยการออกผลิตใหม่อย่าง นมตราหมีในรูปแบบกล่อง (จากเดิมเป็นกระป๋อง) เเละออกไมโลรสชาติใหม่ สูตรไม่มีน้ำตาลทราย ตามเเนวโน้มผู้บริโภคคนไทยที่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์น้ำตาล 0% มากขึ้นในอนาคต

โดยโรงงานแห่งสุดท้ายจะใช้งบลงทุนราว 1,530 ล้านบาท ซึ่งจะตั้งอยู่ที่นวนคร 7 เพื่อเพิ่มกำลังผลิตในเครื่องดื่มยูเอชที อย่างไมโลและนมตราหมี

“การลงทุนในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและเทรนด์ของผู้บริโภคเป็นหลัก และจะช่วยสร้างการเติบโตในประเทศไทย”

ภาพโรงงานผลิตเครื่องดื่มยูเอชทีของเนสท์เล่ ที่นวนคร 7

ด้านการพัฒนา “อีคอมเมิร์ซ” ของเนสท์เล่นั้น ก่อนหน้าที่จะเกิด COVID-19 ไทยมีอัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 30% แต่ตอนนี้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 100% ส่งผลให้ยอดขายออนไลน์ของเนสท์เล่โตกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 2 เท่า นำมาสู่การทุ่มงบอีก 50 ล้านบาทในปีนี้

“เราเริ่มตั้งทีมอีบิสซิเนส มาตั้งเเต่ปี 2018 ตอนนี้มีทีมงานเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า มีการลงทุนด้านระบบเเละบุคลากรต่อเนื่อง สร้างเทคโนโลยีด้านการตลาดโฆษณา และระบบการจัดการข้อมูลของเราเอง เพื่อนำเสนอสินค้า บริการ และพัฒนาการสื่อสารที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้า”

กำลังศึกษา “น้ำผสมวิตามิน” 

อีกหนึ่งเทรนด์เครื่องดื่มที่กำลังมาเเรงในเมืองไทย ตอนนี้บริษัทใหญ่-เล็ก กระโจนลงมาเล่นตลาด “น้ำผสมวิตามิน” กันไม่หยุด จากปีที่เเล้วตีตลาดเจ้าเดียว มาปีนี้เจอผู้ท้าชิงอีก 7-8 เจ้า ปล่อยทีเด็ดส่งเสริมการขายกันอย่างหนัก ตามเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง ทำให้เกิดคำถามว่า ยักษ์ใหญ่ FMCG อย่าง เนสท์เล่ จะลงมาเล่นสนามนี้หรือไม่ 

วิคเตอร์ เซียห์ ตอบว่า เนสท์เล่ยังอยู่ “ระหว่างการศึกษา” ตลาดของน้ำวิตามิน เพราะตลาดนี้ยังมีขนาดเล็กอยู่ไม่ถึง 5% ของตลาดเครื่องดื่ม “ยังไม่รู้ว่าจะเป็นกระแสที่คงอยู่ในระยะยาว หรือจะอยู่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แล้วหายไป” เเต่มีเเผนจะเปิดตัวสินค้าเพื่อสุขภาพเเนวๆ นี้ อยู่ในช่วงปีหน้า เเต่ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดที่เเน่ชัดได้

ต้องจับตาดูว่า หลังทุ่มงบสร้างโรงงานในไทยเเล้ว “เนสท์เล่” จะมีความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ อะไรออกมาเขย่าตลาดอีก 

 

 

]]>
1307826
เปิดเบื้องหลัง “เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์” ช้าเเต่ชัวร์…สิงห์ส่งหมัดเด็ด ชิงตลาดน้ำผสมวิตามิน https://positioningmag.com/1304761 Thu, 05 Nov 2020 18:02:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1304761 หอมหวานสุดๆ ตอนนี้ยักษ์ใหญ่ยักษ์เล็ก กระโจนลงมาเล่นตลาดน้ำผสมวิตามินกันไม่หยุด จากปีที่เเล้วตีตลาดเจ้าเดียวมาปีนี้เจอผู้ท้าชิงอีก “7-8 เจ้าปล่อยทีเด็ดส่งเสริมการขายกันอย่างหนัก ตามเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง 

ล่าสุดบิ๊กน้ำดื่มอย่างสิงห์ประเดิมส่งเพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ ขอลงสนามโตไวนี้ด้วย เล่นเอาเเบรนด์คู่เเข่งต้องปรับกลยุทธ์กันใหม่เลยทีเดียว

เพราะน้ำแร่เพอร์ร่า” เป็นแบรนด์อันดับ 1 มีส่วนแบ่งทางการตลาดน้ำเเร่ถึง 26% หลังจากเปิดตัวเพียง 8 ปี เเสดงว่าต้องมีฐานเเฟนคลับผู้รักสุขภาพ” อยู่จำนวนมาก เป็นทุนเดิมนั่นเอง ประกอบกับน้ำดื่มสิงห์” ก็ครองเเชมป์ตลาดด้วยมาร์เก็ตเเชร์ 25% (ย้อนหลัง 12 เดือน) ด้วยเช่นกัน

การเสริมพอร์ตด้วยน้ำดื่มผสมวิตามินของสิงห์ จึงน่าจับตาว่าจะสามารถเขย่าตลาดเเข่งดุ” นี้ ได้หรือไม่ ส่วนคำถามที่ว่า “ทำไมออกตัวช้านั้น

เต้ภูริต ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด บอกกับ Positioning ว่า น้ำดื่มผสมวิตามิน ต้องผ่านกระบวนการคิดค้นหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องคุณประโยชน์ที่ต้องไปให้ได้กับรสชาติที่อร่อย จึงจำเป็นต้องใช้เวลา

“อยู่ที่จังหวะ บางทีการปล่อยสินค้าออกมาเร็วๆ ก็ไม่ใช่ทางเลือกดีที่สุด เเม้ตลาดจะมีไปเเล้ว 7-8 เจ้า เเต่ในที่สุดอาจจะเหลือผู้ที่อยู่ครองตลาดได้เเค่ 2-3 เจ้า ภายใน 2-3 ปีนี้

โดยตลาดน้ำผสมวิตามิน มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2562 มีมูลค่าตลาดราว 1,068 ล้านบาท และคาดว่าทั้งปี 2563 จะมูลค่าตลาดถึง 3,500 ล้านบาท เเละเป็นเพียงการเติบโตใน “ช่วงเริ่มต้น” เท่านั้น เเละยังมีโอกาสโตไปได้อีกมาก

ต่อยอดด้วยเเบรนด์ “เพอร์ร่า” ไม่ใช่ “สิงห์” ?

ตลอดช่วง 9 เดือนเเรกของปี 2563 ภาพรวมของตลาดน้ำดื่ม ที่มีมูลค่ากว่า 24,750 ล้านบาท หดตัวไปกว่า -12% จากพิษการเเพร่ระบาดของ COVID-19

เช่นเดียวกับ “ตลาดน้ำเเร่” ที่ติดลบไป -9% เเต่ทว่า “น้ำดื่มผสมวิตามิน” กลับเติบโตเป็นเท่าตัวถึง 110% สวนทิศทางเครื่องดื่มทั้งหลาย นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่สิงห์ต้องกระโจนเข้ามาสู้ตลาดนี้ หลังเตรียมการมานานหลายเดือน 

ธิติพร ธรรมาภิมุขกุล Chief Marketing Officer – Brand ของบุญรอดเทรดดิ้ง บอกถึงเหตุผลที่เลือกเปิดตัวน้ำผสมวิตามินตัวใหม่นี้ ผ่านเเบรนด์ “เพอร์ร่า” ว่า กลุ่มลูกค้าที่เลือกซื้อน้ำเเร่ มักจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับคนที่ซื้อน้ำผสมวิตามิน 

น้ำแร่เป็นเครื่องดื่มที่ผู้บริโภคหลัก คือวัยทำงานกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และนิยม “ดื่มนอกบ้าน” มากกว่าซื้อเป็นแพ็กติดบ้าน เมื่อเกิดล็อกดาวน์และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เปิดประเทศ ทำให้ตลาดน้ำแร่ยิ่งเจ็บหนัก ส่วนเหตุผลรองที่อาจมากระทบคือ เทรนด์ผู้บริโภคที่รักสุขภาพ หันไปดื่มน้ำเสริมวิตามินแทนน้ำแร่

โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพอายุระหว่าง 25-35 ปี ซึ่งคุ้นเคยกับเเบรนด์เพอร์ร่าดีอยู่เเล้ว

อีกทั้ง “เพอร์ร่า” ยังอยู่ในเซ็กเมนต์ของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ดังนั้นการนำเสนอสินค้าไลน์ใหม่ด้วยภาพลักษณ์เดียวกันนั้น จะทำให้ลูกค้า “จำได้ง่ายกว่า” เเละมองเห็นภาพความ “เฮลท์ตี้” ได้ชัดเจนขึ้น ส่วนข้อสงสัยที่ว่าคนจะจำสับสนกันหรือไม่นั้น ทางบริษัทได้ปรับให้ เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ มีดีไซน์ของขวด ฉลากเเละสีสัน เเตกต่างจากน้ำเเร่เพอร์ร่าเเล้ว

เปรียบเทียบเเพ็กเกจจิ้งของน้ำเเร่เพอร์ร่า (ซ้าย) เเละเพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ (ขวา)

เเตกต่างด้วย “ครบจบในขวดเดียว” 

“ความยากคือทำอย่างไรให้ใส่วิตามินเยอะเเล้วยังมีความอร่อย ต้องบาลานซ์คุณภาพของน้ำในขวดตามที่เขียนในฉลาก เเต่รสชาติต้องพอดื่มได้ บางคนลองดมดูเเล้วบอกว่ามีกลิ่นเหมือนยา เเต่เราก็ไม่อยากลดวิตามิน” 

โดยจุดเด่นเเละความเเตกต่างของ เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ (Purra Vitamin Water) ที่จะเข้ามาเจาะตลาดนี้ คือการชูคอนเซ็ปต์ “ครบจบในขวดเดียว”

“เราเห็นช่องว่างว่า ตอนนี้เเบรนด์ต่างๆ ที่ผลิตน้ำผสมวิตามินออกมาจำหน่าย ส่วนใหญ่จะเเยกขาย เช่น วิตามิน C หนึ่งขวด วิตามิน B อีกหนึ่งขวด ผู้บริโภคอาจจะต้องซื้อหลายขวดหลายเเบรนด์ เเต่เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ จะมาเเบบเเร่ธาตุครบในขวดเดียว พร้อมใส่ปริมาณของเเต่ละวิตามินเท่ากับที่เเบรนด์อื่นใส่ไปในขวดเดียวด้วย…นี่คือจุดเด่นของเรา” 

โดยเพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ หนึ่งขวด จะมีวิตามินซีสูง 200% และวิตามินบี 1, 3, 5, 6, 7, 9, 12 รวม 8 ชนิด
ไม่มีน้ำตาล ไม่มีแคลอรี ไม่มีโซเดียม ซึ่งทางเเบรนด์ชูว่า คุณประโยชน์ของวิตามินเหล่านี้จะช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น
เสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย บำรุงระบบประสาทและสมอง มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวและเส้นผม
นอกจากนี้ ยังนำเข้าวิตามินส่งตรงจาก “เยอรมนี” ซึ่งมีชื่อเสียงด้านวิตามินต่างๆ ที่นิยมเติมลงในน้ำดื่มเพื่อบริโภคในชีวิตประจำวัน เป็นอีกจุดขายจุดขายที่สร้างความเเต่างจากคู่แข่ง ที่บางรายนำเข้าวิตามินจากญี่ปุ่น อังกฤษ ฯลฯ 
ภูริต ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด (ขวา) ธิติพร ธรรมาภิมุขกุล Chief Marketing Officer-Brand (ซ้าย)

ทำไมเลือกราคาขายที่ 17 บาท ? 

“เมื่อคำนวณจากต้นทุนเเล้ว เราตั้งราคาของเพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์ ให้ต่ำกว่า 15 บาทไม่ได้ เเละจะไม่ตั้งราคาไปไกลถึง 20 บาทเพราะผู้บริโภครับไม่ไหว ดังนั้นเราจึงเลือกจุดตรงกลางที่ 17 บาท ในขนาดบรรจุ 500 มล. เป็นราคาที่เหมาะสม” 

ธิติพร อธิบายต่อว่า ตามปกติเเล้ว หลักเกณฑ์ในการตั้งราคาขายของเเต่ละสินค้า จะดูที่ 3 เเกนหลัก ได้เเก่ 1)ต้นทุน 2)คู่เเข่ง 3) ผู้บริโภครับได้ไหม ดังนั้น เมื่อทางเเบรนด์ใช้วิตามินนำเข้าเเละใส่ไปในปริมาณเยอะ จึงไม่สามารถปรับราคาให้ลดลงกว่านี้ได้

โดยผู้บริหารบุญรอดทั้ง ภูริตเเละธิติพร ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า จะไม่เข้าไปต่อสู้เเบบ “ดัมพ์ราคา” ในตลาดน้ำดื่มผสมวิตามิน ที่บางเเบรนด์อาจจะมีการลดไปถึงหลักสิบบาทต้นๆ อย่างเเน่นอน เพราะไม่ใช่เเนวทางของบริษัทที่มุ่งเน้นไปที่เเบรนดิ้ง คุณภาพ เเละมองว่าเรื่องราคาเป็นเรื่องรอง 

ในขณะที่ลูกค้าหลายคนให้เหตุผลถึงการเลือกซื้อ “น้ำดื่มผสมวิตามิน” ว่าเป็นการบำรุงร่างกายต่างๆ เเต่ก็มีอีกอีกกลุ่มผู้บริโภคที่สงสัยว่าจำเป็นต่อร่างกายจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงกระเเสนิยมเเละการตลาดเท่านั้น ทางเเบรนด์จะมีการสื่อสารต่อโปรดักต์นี้อย่างไร

ธิติพร ตอบว่า วิตามินเป็นสิ่งที่บำรุงร่างกายอยู่เเล้ว เเต่การที่น้ำดื่มผสมวิตามินจะมีเเร่ธาตุเท่ากับการกินผัก ผลไม้เเละอาหารต่างๆ นั้นเป็นไปไม่ได้ จึงต้องมีการสื่อสารกับลูกค้าถึงสรรพคุณตามความเป็นจริง เน้นเข้าถึงผู้คนผ่านโซเชียลมีเดียเป็นหลัก รองลงมาคือทางออฟไลน์อย่าง กิจกรรมส่งเสริมการขาย จุดขาย ตามแหล่งออฟฟิศต่างๆ เพื่อให้เกิดการทดลองสินค้าไปในวงกว้างที่สุด

นอกจากนี้ ยังสื่อสารผ่านการใช้ “พรีเซ็นเตอร์” ที่ครองใจคนรุ่นใหม่อย่าง “ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก” นักแสดงชื่อดังที่สะท้อนความเป็นคนทันสมัย ที่ไม่ว่างานเยอะแค่ไหน ก็ยังคงใส่ใจรักษาสุขภาพ

เกาะเทรนด์เครื่องดื่มอนาคต : 0 cal – Functional Drink

สิงห์บุกขยายพอร์ตในเครื่องดื่มกลุ่มนอนแอลกอฮอล์มากขึ้น ตลอดช่วงปีที่ผ่านมาตามกระเเสนิยมโลก อีกทั้งยังไม่มีข้อจำกัดด้านโฆษณามากเท่ากับกลุ่มเครื่องดื่มเเอลกอฮอล์

“สัดส่วนในพอร์ตเครื่องดื่มของสิงห์”

ปี 2562 – alcoholic 85 : 15 non-alcoholic
ปี 2563F – alcoholic 80 : 20 non-alcoholic
ปี 2564F – alcoholic 70 : 30 non-alcoholic

เมื่อกลางปีนี้ เพิ่งออกสิงห์ เลมอนโซดา ซึ่งเป็นนอนแอลกอฮอล์ของสิงห์ตัวแรกที่เจาะหมวดใหม่คือ
น้ำอัดลม จากก่อนหน้านี้จะมีเฉพาะน้ำดื่ม น้ำแร่ และโซดา โดยเปิดผลิตภัณฑ์แรกก็มีเฉพาะแบบ
น้ำตาล 0% เลย ไม่มีแบบใส่น้ำตาลปกติ วางขาย 1 เดือนแรกทำยอดขายเกินเป้า 5 เท่า เเละเตรียมออกรสชาติอื่นเพิ่มภายในปีนี้ 

จากปัจจุบันกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล คิดเป็นสัดส่วนเพียง 5% ของตลาดรวมน้ำอัดลม เเบรนด์สิงห์ มองว่าน่าจะโตไปถึง 30% ของตลาดรวมได้ภายใน 3 ปี 

ในอนาคตอันใกล้นี้ ตลาด 0 cal จะโตมาก รวมไปถึงกระเเสนิยมในกลุ่ม Functional Drink เครื่องดื่มที่ดีสุขภาพอื่นๆ เช่น น้ำดื่มผสมวิตามิน ยังจะมีต่อเนื่องไปอีกหลายปี เเละยังเป็นตลาดที่มีช่องว่างให้เติบโตได้อีก

]]>
1304761