สหราชอาณาจักร – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 30 Jul 2024 08:00:22 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สวรรค์เศรษฐี “ดูไบ” จ่อดึงคนมีฐานะย้ายประเทศเพิ่มอีก หลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้งอังกฤษ https://positioningmag.com/1484411 Tue, 30 Jul 2024 06:43:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484411 วิจัยพบ “ดูไบ” เมืองหลวง UAE มีโอกาสเป็นแหล่งดึงดูด “เศรษฐี” ย้ายประเทศเข้าไปพำนักเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ในขณะที่ “สหราชอาณาจักร” น่าจะได้เห็นเศรษฐีย้ายออกราว 17% ภายใน 4 ปี หลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้งและน่าจะออกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อคนมีฐานะ

รายงาน Henley Private Wealth Migration เปิดเผยว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) มีโอกาสเป็นประเทศที่สามารถดึงดูด “เศรษฐี” ย้ายถิ่นฐานเข้าไปพำนักเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

ขณะเดียวกัน Swiss Bank UBS คาดการณ์ว่า “สหราชอาณาจักร” น่าจะเห็นการย้ายออกของเศรษฐีราวๆ 17% ภายในปี 2028 จากปัจจุบันมีเศรษฐีกว่า 3.06 ล้านคน เชื่อว่าใน 4 ปีจะลดเหลือ 2.54 ล้านคนเท่านั้น

เนื่องจากกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง หรือ High-Net Worth Individuals: HNWIs มักจะตัดสินใจลงหลักปักฐานด้วยสิทธิประโยชน์เรื่อง “ภาษี” เป็นหลัก ทำให้นโยบายปลอดภาษีของ “ดูไบ” กลายเป็นสวรรค์เศรษฐีกลางทะเลทราย

กรุงลอนดอน

ตรงกันข้ามกับสหราชอาณาจักร ซึ่งเพิ่งผ่านการเลือกตั้งและกลายเป็นพรรคแรงงานที่กำชัยชนะในครั้งนี้ ทำให้มีแนวโน้มว่าต่อไปรัฐบาลอังกฤษอาจจะออกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อผลประโยชน์ของเศรษฐี

Karim Jetha นักลงทุนรายหนึ่งที่ย้ายออกจากสหราชอาณาจักรไปยัง UAE ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า การเลือกย้ายประเทศไปอยู่ใน UAE แทนนั้นมีทั้งแรงผลักและแรงดึงดูด โดยแรงผลักสำคัญคือ “ภาษี” ที่น่าจะปรับขึ้นในอังกฤษหลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้ง เช่น นโยบายหาเสียงของพรรคแรงงานมีการกล่าวถึงการเก็บภาษี VAT กับโรงเรียนเอกชน ซึ่งจะทำให้ค่าเทอมพุ่งขึ้น 20% ทันที ส่วนแรงดึงดูดจาก UAE เกิดจากการดูแลให้ประเทศมีความปลอดภัยสูงในการอยู่อาศัย และปฏิรูปวีซ่าเพื่อให้การย้ายประเทศเกิดง่ายขึ้น

รายงานของ Henley คาดการณ์ว่า UAE จะมีเศรษฐีใหม่ย้ายเข้าประเทศกว่า 6,700 คนภายในสิ้นปี 2024 ทิ้งห่างอันดับ 2 คือ “สหรัฐอเมริกา” ที่คาดว่าจะมีเศรษฐีย้ายเข้าราว 3,800 คนในสิ้นปีนี้

ดูไบ (Photo : Shutterstock)

รายงานฉบับนี้นำเสนอว่าเหตุที่เศรษฐีนิยมย้ายไป UAE เพราะปัจจัยเรื่องไม่เก็บภาษีเงินได้ มีระบบ “Golden Visa” ไลฟ์สไตล์ลักชัวรี และทำเลที่ตั้งสะดวกในการเดินทางไปทั่วโลก

Golden Visa ของ UAE นั้นมีส่วนสำคัญมากในการดึงดูด เพราะการได้วีซ่านี้หมายถึงสิทธิพำนักถาวรในประเทศ และอนุญาตให้ชาวต่างชาติอาศัย ทำงาน และเรียนในประเทศได้ตามต้องการ

Sunita Singh-Dalal พาร์ทเนอร์บริษัท Hourani Private Wealth & Family Offices ในดูไบ กล่าวเสริมว่า ระบบนิเวศในการจัดการความมั่งคั่งของ UAE มีการพัฒนาสูงมากในช่วง 5 ปีหลังมานี้ โดยมีการสร้างโซลูชันเพื่อทำให้การป้องกัน เก็บรักษา และต่อยอดความมั่งคั่งของผู้มีฐานะทำได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น

UAE สร้างแรงดึงดูดจากโครงสร้างพื้นฐานในประเทศด้วย เช่น ระบบโรงเรียนอินเตอร์แข็งแรง ปราบปรามอาชญากรรมให้อยู่ในอัตราต่ำ และบรรยากาศเมืองที่ทันสมัย

ปัจจุบันเศรษฐีส่วนใหญ่ที่ย้ายไปอยู่ “ดูไบ” มักจะมาจากอินเดีย ตะวันออกกลาง รัสเซีย และทวีปแอฟริกา แต่ในระยะหลังพบว่าเศรษฐีอังกฤษและยุโรปก็เริ่มนิยมย้ายไปอยู่แล้วเช่นกัน

เหตุผลเพราะแต่เดิมภาษีอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษนับว่าไม่จูงใจเศรษฐีอยู่แล้ว ด้วยการเก็บภาษีอสังหาฯ สูงถึง 40% หากครอบครองอสังหาฯ ในราคามากกว่า 325,000 ปอนด์ (ประมาณ 15 ล้านบาท) และอนาคตอันใกล้ รัฐบาลอังกฤษยังเตรียมยกเลิกนโยบายไม่เก็บภาษีเงินได้ผู้พำนักอาศัยหากได้มาจากแหล่งรายได้นอกประเทศ (non-dom tax) โดยจะเริ่มปี 2025 แถมพรรคแรงงานยังมีนโยบายเก็บภาษีโรงเรียนเอกชนซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาบุตรหลานเพิ่มขึ้น

ปัจจัยการรีดภาษีผู้มีฐานะ ทำให้ “เศรษฐี” เหล่านี้เตรียมเก็บกระเป๋าและย้ายประเทศไปอยู่ดูไบมากยิ่งขึ้น

Source

]]>
1484411
‘เศรษฐีสหราชอาณาจักร’ แห่หนีออกนอกประเทศสูงเป็นประวัติการณ์ หลังกังวลการ ‘เก็บภาษีคนรวยเพิ่ม’ https://positioningmag.com/1478867 Wed, 19 Jun 2024 08:45:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1478867 เศรษฐีสหราชอาณาจักร จำนวนมากเป็นประวัติการณ์อาจเดินทาง ออกจากประเทศ ในปีนี้ เนื่องจากความวุ่นวายทางการเมืองและการเก็บภาษีที่สูงขึ้นในอนาคต ทำให้สหราชอาณาจักร ไม่ใช่ปลายทางอันดับต้น ๆ สำหรับคนรวยอีกต่อไป

ตามรายงานของ Henley Private Wealth Migration Report คาดว่ามีจำนวน เศรษฐี 9,500 คน ที่จะ ย้ายออกจากสหราชอาณาจักร ในปีนี้ ซึ่งจำนวนดังกล่าวมากกว่าจำนวนเศรษฐีที่ย้ายออกในปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่า โดยสหราชอาณาจักร ถือเป็นประเทศที่มีจำนวนเศรษฐีไหลออกมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก จีน ที่คาดว่าจะสูญเสียเศรษฐี 15,200 คน ในปีนี้

 “ผลกระทบจากการออกจากสหภาพยุโรปหรือ Brexit ที่เกิดขึ้นหลายปีก่อน ยังคงเกิดขึ้น โดยที่เมืองลอนดอนไม่ได้เป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกอีกต่อไป” ฮันนาห์ ไวท์ ซีอีโอของสถาบันเพื่อรัฐบาล เขียนในรายงาน

การประเมินดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่อังกฤษจะมีการ เลือกตั้ง ในอีก 2 สัปดาห์ ซึ่งพรรคแรงงานฝ่ายค้านที่สนับสนุนการ เก็บภาษีคนรวยเพิ่มขึ้น มีคะแนนนำเหนือพรรคอนุรักษ์นิยมประมาณ 20 คะแนน นอกจากนี้ ผลกระทบของ Brexit ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัย รวมไปถึงการเพิ่มอุปสรรคใหม่ต่อการค้าและการลงทุน และผลกระทบทางเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น สงครามในยูเครน และราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นตามมา ช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ทั้งนี้ หลายสิบปีที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรถือเป็นประเทศปลายทางของเศรษฐีในหลายทวีป ไม่ว่าจะเป็นยุโรป เอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่ลอนดอน

Source

]]>
1478867
‘สหราชอาณาจักร’ ประกาศแผนหนุนอุตสาหกรรม ‘เซมิคอนดักเตอร์’ เน้นเสริมจุดแข็งที่มี ไม่จำเป็นต้องตั้งโรงงานใหญ่ https://positioningmag.com/1431037 Fri, 19 May 2023 05:25:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431037 ในขณะที่หลายประเทศเริ่มวางแผนที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของตัวเอง เพื่อลดการพึ่งพา จีน ซึ่ง สหราชอาณาจักร ก็เป็นอีกประเทศที่มีแผนจะยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของตัวเอง แต่ที่น่าสนใจคือ วางงบสนับสนุนเพียง 1.2 พันล้านปอนด์เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ

ในช่วงที่ผ่านมา สหภาพยุโรป (EU) เตรียมงบลงทุนก้อนใหญ่มากถึง 43,000 ล้านยูโร หรือคิดเป็นเงินไทยราว ๆ 1.6 ล้านล้านบาท ภายใต้ข้อตกลง “EU Chips Act” หวังที่จะเป็นฮับในด้านเซมิคอนดักเตอร์อีกแห่ง หรืออย่าง สหรัฐอเมริกา ได้สนับสนุนเม็ดเงินมากถึง 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แต่ สหราชอาณาจักร วางงบไว้เพียง 1.2 พันล้านปอนด์ (ราว 5.1 หมื่นล้านบาท) สำหรับเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ 20 ปีเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ โดยมาตรการต่าง ๆ ที่มุ่งเป้าไปที่การเติบโตของภาคส่วนชิปในประเทศของสหราชอาณาจักร ลดความเสี่ยงของการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และการปกป้องความมั่นคงของชาติ

เบื้องต้น รัฐบาลจะลงทุน 200 ล้านปอนด์ในช่วงปี 2566-2568 ส่วนงบอีก 1 พันล้านปอนด์จะใช้ในช่วง 10 ปีข้างหน้าโดยเงินทุนจะถูกใช้เพื่อสนับสนุนผู้มีความสามารถและการเข้าถึงการสร้างต้นแบบ เครื่องมือ และการสนับสนุนทางธุรกิจ ซึ่งกลยุทธ์ของสหราชอาณาจักรจะมุ่งเน้นไปที่จุดแข็งในด้านต่าง ๆ เช่น การวิจัยและการออกแบบ มากกว่าจะลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปขนาดใหญ่

“แทนที่จะใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาลเหมือนกับสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป แต่สหราชอาณาจักรกำลังกำหนดแนวทางที่แตกต่างออกไปโดยมุ่งเป้าไปที่การส่งเสริมด้านที่ตนมีความเชี่ยวชาญ เพราะมันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะสร้างโรงงานขนาดใหญ่ของตัวเองเพื่อผลิตชิปที่ทันสมัยที่สุด แต่เราจะเน้นไปที่ส่วนอื่น ๆ ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา การออกแบบ และการผลิตชิปที่ไม่ใช่ซิลิคอน”

ในสหราชอาณาจักรมีสตาร์ทอัพชื่อ Pragmatic Semiconductor ที่ผลิตชิปที่ไม่ใช่ซิลิคอน หรือ ชิปแผงวงจรรวมที่นำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดต่าง ๆ มาใส่ไว้ด้วยกันในแผงวงจรขนาดเล็ก โดย สก็อตต์ ไวท์ ผู้ก่อตั้งบริษัท มองว่า การที่รัฐบาลมีงบสนับสนุนเพียง 1 พันล้านปอนด์ แม้จะเล็กน้อยเมื่อเทียบกับของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป แต่เป็นตัวเลขที่เหมาะสม แต่ต้องนำไปใช้อย่างถูกที่จริง ๆ

ทั้งนี้ หลายคนไม่รู้ว่าสหราชอาณาจักรถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่สำคัญในตลาดชิประดับโลก โดยมีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ทรัพย์สินทางปัญญา การวิจัย และการผลิตสารกึ่งตัวนำขั้นสูง

Source

]]>
1431037
คนงานใน ‘สหราชอาณาจักร’ กว่า 1.5 แสนคน ประท้วง ‘หยุดงาน’ เพื่อขอขึ้นค่าแรง หลังเจอวิกฤตเงินเฟ้อ https://positioningmag.com/1398665 Fri, 02 Sep 2022 10:06:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1398665 พนักงานในสหราชอาณาจักร ตั้งแต่พนักงานรถไฟ นักข่าว ทนายความ และพนักงานไปรษณีย์ หยุดงานประท้วงในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ เพื่อเรียกร้องค่าแรงที่สูงขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี

คนงานอย่างน้อย 155,000 คนกำลังประท้วงหยุดงาน ตั้งแต่พนักงานไปรษณีย์ของประเทศ วิศวกร พนักงานคอลเซ็นเตอร์ และพนักงานรถไฟ นัดหยุดงาน และในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า มีแนวโน้มว่ากลุ่มอาชีพอื่น ๆ อาทิ ครู แพทย์ และพยาบาล เตรียมลงมติหยุดงานประท้วงด้วยเช่นกัน

การประท้วงดังกล่าวถือเป็นการก่อความไม่สงบทางอุตสาหกรรมครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของสหราชอาณาจักร นับตั้งแต่ปี 1970 ที่ปัญหาอัตราเงินเฟ้อทำให้แรงงานจำนวนมากหยุดงานประท้วง โดยปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรพุ่งสูงขึ้นถึง 10.1% ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี และคาดว่าพุ่งทะลุ 18% ในช่วงต้นปีหน้า และ Goldman Sachs คาดว่าอาจถึง 22% หากราคาน้ำมันไม่ลดลง

โดยสาเหตุหลักที่ทำให้สหราชอาณาจักรต้องเจอกับปัญหาเงินเฟ้อ มาจากค่าพลังงานในครัวเรือนที่สูงขึ้นถึง 54% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 80% ในเดือนตุลาคมที่จะถึง โดยคาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3,549 ปอนด์ต่อปี (ราว 150,000 บาท) ตามการประมาณการโดย Auxilione บริษัทวิจัยแห่งหนึ่ง และจะขึ้นเป็ 7,700 ปอนด์ (ราว 326,000 บาท) ภายในเดือนเมษายนปีหน้า

Chiara Benassi รองศาสตราจารย์ด้านการจ้างงานที่ King’s College London มองว่า การหยุดงานของแรงงานในทุกภาคส่วน เป็นสิ่งที่สหราชอาณาจักรไม่เคยเจอมาก่อน เพราะการประท้วงนี้ไม่ได้มาจากแค่แรงงานที่มีรายได้น้อยที่ต้องสู้กับวิกฤตค่าครองชีพ แต่แพทย์และวิศวกรก็ร่วมประท้วงด้วย

Deepsha Agrawal แพทย์ฝึกหัดของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวกับ CNN Business ว่า เพื่อนร่วมงานของเธอจะร่วมประทิ้งเพื่อผลักดันให้ขึ้นค่าแรงที่มากกว่า 2% ตามที่รัฐบาลเคยตกลงกันไว้ในปี 2019 ขณะที่สหภาพการแพทย์อังกฤษของเธอจะลงคะแนนเสียงให้สมาชิกในเร็ว ๆ นี้ว่าจะนัดหยุดงานหรือไม่

“มันค่อนข้างน่าเศร้า เพราะคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันจะสูงขึ้นมากในปีหน้า และเพื่อนร่วมงานของเธอหลายคนรู้สึกว่าไม่สามารถซื้อบ้านหรือมีลูกได้”

Source

]]>
1398665
‘สหราชอาณาจักร’ ปักเป้าเป็น ‘ผู้นำโลกคริปโต’ พร้อมเตรียมสร้าง NFT ของตัวเอง https://positioningmag.com/1380560 Tue, 05 Apr 2022 10:10:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1380560 ในช่วง 2-3 ปีมานี้คงไม่มีอะไรร้อนแรงไปกว่าตลาด คริปโตเคอร์เรนซี และ NFT อีกแล้ว เพราะถือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจในการลงทุนเป็นจำนวนมาก ขณะที่รัฐบาลหลาย ๆ ประเทศเริ่มให้ความสำคัญอย่างจริงจัง รวมไปถึง รัฐบาลสหราชอาณาจักร ที่วางโรดแมปพาประเทศไปสู่ ผู้นำระดับโลกของตลาดคริปโต

รัฐบาลยูเครน ระดมทุนขาย ‘NFT’ ได้มากกว่า 6 แสนดอลลาร์ นำไปฟื้นฟูเมือง-พิพิธภัณฑ์

รัฐบาลสหราชอาณาจักร ได้ประกาศแผนการที่จะสร้าง NFT ของตัวเอง ซึ่งแผนเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้ประเทศกลายเป็น ‘ผู้นำระดับโลก’ ในตลาดสกุลคริปโตเคอร์เรนซี โดย Rishi Sunak รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ขอให้โรงกษาปณ์ Royal Mint ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐบาลที่รับผิดชอบในการผลิตเหรียญสำหรับสหราชอาณาจักร ให้จัดทำและออก NFT ในช่วงซัมเมอร์นี้ และจะแถลงถึงรายละเอียดเพิ่มเติมเร็ว ๆ นี้

NFT เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่แสดงถึงการเป็นเจ้าของไอเทมเสมือน เช่น อาร์ตเวิร์กหรืออวาตาร์วิดีโอเกมโดยใช้มีเทคโนโลยีบล็อกเชนอยู่เบื้องหลัง โดย NFT ได้รับความสนใจอย่างมากในปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการยอมรับเพิ่มขึ้นจากคนดังและองค์กรขนาดใหญ่

ยิ่งกว่าก้าวกระโดด! ตลาด ‘NFT’ โตพุ่ง 21,000% มูลค่าทะลุ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ สหราชอาณาจักรกำลังศึกษาถึงมาตรการในการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาอยู่ภายใต้การตรวจสอบด้านกฎระเบียบเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงแผนการที่จะสร้าง Stablecoins เพื่อใช้ในการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์, การตรวจสอบการรักษาทางภาษีของสินเชื่อการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi), การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการออกตราสารหนี้ รวมถึงปรึกษาเกี่ยวกับกฎการเทรดคริปโตกับบริษัทชั้นนำของโลกอย่าง Bitcoin เป็นต้น

“เราไม่ควรคิดว่ากฎระเบียบเป็นสิ่งที่เข้มงวดและไม่ยืดหยุ่น แต่เราควรคิดให้กฎระเบียบเป็นเหมือนโค้ดคอมพิวเตอร์ ที่สามารถปรับแต่งและเขียนขึ้นใหม่ได้เมื่อจำเป็น” John Glen รัฐมนตรีเศรษฐกิจกระทรวงการคลัง

John Glen รัฐมนตรีเศรษฐกิจกระทรวงการคลัง

สำหรับ Stablecoins ที่เป็นคริปโตที่อ้างอิงมูลค่าตามสกุลเงิน เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่กำลังมีข้อกังวลเกี่ยวกับมีเหรียญ Tether ซึ่งเป็นเหรียญ stablecoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีอุปทานหมุนเวียนมากกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากการขาดความโปร่งใสเกี่ยวกับเงินสำรองที่สนับสนุนเหรียญอยู่ ซึ่งรัฐบาลสหราชอาณาจักพร้อมที่จะนำ Stablecoin เข้าสู่ระบบการกำกับดูแล

ไม่ใช่แค่เรื่องของคริปโต แต่รัฐบาลสหราชอาณาจักรกำลังศึกษาเรื่อง Web3 ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีบล็อกเชน โดย Web3 นั้นจะเป็นอีกขั้นของอินเตอร์เน็ตโดยจะกระจายอำนาจมากขึ้น

“ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า Web3 จะเป็นอย่างไร แต่มีโอกาสที่บล็อกเชนจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนา ซึ่งเราต้องการให้ประเทศนี้เป็นผู้นำแถวหน้าในการแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

Source

]]>
1380560
‘อังกฤษ’ ปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น ‘430 บาท/ชั่วโมง’ หวังแก้ปัญหา ‘เงินเฟ้อ’ https://positioningmag.com/1358583 Wed, 27 Oct 2021 06:26:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1358583 คนงานในสหราชอาณาจักรราว 2 ล้านคน จะได้รับเงินเดือนที่มากขึ้น โดยจะเริ่มในเดือนเมษายนปีหน้า หลังจากที่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ

สหราชอาณาจักรเตรียมค่าแรงขั้นต่ำต่อชั่วโมง สำหรับผู้ที่มีอายุ 23 ปีขึ้นไป โดยจะเพิ่มขึ้น 6.6% เป็น 9.50 ปอนด์ หรือราว 430 บาท โดยการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพนั้น คิดเป็น สองเท่า ของอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันที่ 3.1% อย่างไรก็ตาม เหล่านักวิเคราะห์มองว่ายัง ไม่เพียงพอ เนื่องจากคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และรัฐบาลกำลังลดสวัสดิการสำหรับผู้มีรายได้น้อยในขณะที่ขึ้นภาษีแรงงาน

ขณะที่ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ ยังต้องเผชิญกับรายจ่ายในสัดส่วนที่สูงขึ้นเนื่องจากค่าใช่จ่ายด้านที่พุ่งสูงขึ้น โดยหน่วยงานกำกับดูแลภาคก๊าซและไฟฟ้าของสหราชอาณาจักรประกาศเมื่อเดือนสิงหาคมว่า ขีดจำกัดราคาปกป้องบ้านจากบิลที่พุ่งขึ้นสูงถึง 15 ล้านครัวเรือน จะเพิ่มขึ้นถึง 13% ในเดือนนี้ หลังจากที่ราคาก๊าซธรรมชาติสร้างสถิติใหม่

Nye Cominetti นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้านนโยบายเศรษฐกิจคิดว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำถือเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการระบาดใหญ่ของ COVID-19 แต่มองว่า การปรับขึ้นราคาเดือนเม.ย. ปี 65 อาจทำให้มูลค่าดูน้อยลง เนื่องจากเมื่อถึงช่วงเวลาดังกล่าว อัตราเงินเฟ้อน่าจะมากกว่า 4%

นักเศรษฐศาสตร์บางคนคาดว่า เงินเฟ้อน่าจะพุ่งสูงขึ้นไปอีก โดย Huw Pill นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของ Bank of England กล่าวกับ Financial Times เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เขา “จะไม่ตกใจ” ที่อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 5% ในต้นปีหน้า ดังนั้น ค่าจ้างที่สูงขึ้นจะไม่ชดเชยอย่างเต็มที่ สำหรับการลดลงของสวัสดิการรัฐบาลสำหรับผู้มีรายได้ต่ำ โดยลดลง 20 ปอนด์ หรือราว 920 บาทต่อสัปดาห์

Tom Waters นักเศรษฐศาสตร์วิจัยอาวุโสขององค์กรวิจัย Institute for Fiscal Studies กล่าวว่า คนงานเต็มเวลาที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำจะได้รับรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 ปอนด์ หรือราว 46,000 บาทต่อปี

Source

]]>
1358583
ผู้เชี่ยวชาญเตือน ‘อังกฤษ’ เลิกล็อกดาวน์กำลังพาทั้งโลกเสี่ยงอันตราย! https://positioningmag.com/1342895 Fri, 16 Jul 2021 17:12:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1342895 นายกรัฐมนตรีอังกฤษ บอริส จอห์นสัน ได้มีแผนปลดล็อกดาวน์ประเทศเพื่อฟื้นเศรษฐกิจในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ แม้ยอดผู้ติดเชื้อยังสูงถึง 27,000 คนต่อวัน แต่อังกฤษต้องการจะเปลี่ยนให้ประชาชนอังกฤษหันมาอยู่ร่วมกับ COVID-19 แทนตั้งเป้ากำจัด

แม้ว่าแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์จะบ่งชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในอังกฤษจะเพิ่มขึ้นหลังการคลายล็อกดาวน์ขั้นสุดท้ายลง แต่รัฐบาลอังกฤษก็เชื่อว่ายอดผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตจะลดลงเนื่องจากการฉีดวัคซีนเป็นวงกว้างแก่ประชาชน

จากมาตรการดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกว่า 1,200 คน วิพากษ์วิจารณ์แผนการของรัฐบาลสหราชอาณาจักรที่จะคลายทุกข้อจำกัด รวมถึง การเว้นระยะห่างทางสังคม และ การสวมหน้ากาก ซึ่งอาจจะเป็น อันตรายต่อคนทั้งโลก

Christina Pagel ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยปฏิบัติการทางคลินิกของ UCL ของลอนดอน กล่าวเตือนว่า การปลดล็อกมาตรการล็อกดาวน์นั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเกิด เชื้อโควิดรูปแบบใหม่ ในช่วงหน้าร้อนนี้

“อาจเกิดการกลายพันธุ์ที่ทำให้เชื้อสามารถแพร่สู่คนที่ได้รับวัคซีนได้ดีขึ้น และด้วยตำแหน่งของประเทศที่เป็นศูนย์กลางการเดินทางทั่วโลก ดังนั้น มีโอกาสที่เชื้อจะแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลก อย่างที่ผ่านมา สายพันธุ์อัลฟ่าก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน รวมไปถึงการกระจายเชื้อเดลตาที่เพิ่มขึ้นในยุโรปและอเมริกาเหนือ ดังนั้น นโยบายของสหราชอาณาจักรไม่เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อคนในประเทศ แต่ยังส่งผลกระทบต่อทุกคน”

Photo : Shutterstock

Michael Baker ศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุขและสมาชิกกลุ่มที่ปรึกษาของกระทรวงสาธารณสุขนิวซีแลนด์ กล่าวว่า เขา ประหลาดใจ กับแผนการของรัฐบาลอังกฤษที่จะยกเลิกข้อจำกัดเกือบทั้งหมดในวันจันทร์ที่จะถึง และมองว่าการที่รัฐบาลจะฉีดวัคซีนได้จำนวนมากจนเกิด ‘ภูมิคุ้มกันหมู่’ แต่มันก็จะยังไม่สมบูรณ์

ด้าน William Haseltine นักไวรัสวิทยาและประธานของ ACCESS Health International กล่าวว่า กลยุทธ์การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ตามธรรมชาติผ่านการเจ็บป่วยหรือการสัมผัสกับมันเป็น การฆาตกรรม และวัคซีนเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถยุติการแพร่ระบาดได้ ขณะที่ Jose M Martin-Moreno ศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุขที่มหาวิทยาลัยวาเลนเซียในสเปน เตือนว่าประเทศอื่น ๆ อาจเริ่ม เลียนแบบ นโยบายของอังกฤษได้ ซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบ

ในขณะเดียวกัน Shu-Ti Chiou ผู้ก่อตั้งประธานมูลนิธิสุขภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืนของไต้หวันแสดงความกังวลว่า กลุ่มเด็กที่ยังไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ พวกเขาอาจจะถูก ทิ้งไว้ข้างหลัง เนื่องจากมีโควิดระยะยาวที่แพร่หลายมากในหมู่คนหนุ่มสาว และแม้แต่ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้วก็ยังรู้สึกถึงผลกระทบของอัตราการแพร่เชื้อที่สูง

Meir Rubin ทนายความที่ให้คำแนะนำรัฐบาลอิสราเอลเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงเตือนว่า มากกว่า 80% ของประชากรทั้งหมดของอิสราเอลได้รับวัคซีน Pfizer-BioNTech อย่างครบถ้วน แต่ยังคงมี การระบาดใหญ่ เนื่องจากการระบาดของสายพันธุ์เดลตา นอกจากนี้ อิสราเอลยังพบผู้ป่วยหนักและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แม้กระทั่งในผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดส ดังนั้น

“แม้ว่าคุณจะได้รับวัคซีนครบแล้ว คุณต้องปฏิบัติตามความพยายามอย่างจริงจังและควบคุมเพื่อพยายามกำจัด ไม่ใช่แค่บรรเทาปัญหา นโยบายที่เปิดประเทศท่ามกลางกระแสการติดเชื้อที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ อาจมีผลข้างเคียงที่ร้ายแรงที่สุด”

Source

]]>
1342895
ยักษ์อีคอมเมิร์ซ ‘Amazon’ เตรียมจ้างพนักงานเพิ่ม 10,000 ตำเเหน่งใน UK รับเศรษฐกิจฟื้น https://positioningmag.com/1332375 Sun, 16 May 2021 08:48:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1332375 ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซอย่าง ‘Amazon’ วางเเผนจะจ้างพนักงานเพิ่ม 10,000 ตำเเหน่งในสหราชอาณาจักร หลังประกาศจ้างพนักงานส่งของและพนักงานคลังสินค้ากว่า 75,000 คนในสหรัฐฯ และแคนาดา เชื่อมั่นลงทุนหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้น

โดยตำแหน่งงานใหม่ของ Amazon ที่จะเปิดรับสมัครในสหราชอาณาจักรนั้น จะรวมถึงพนักงานประจำคลังสินค้า 4 แห่งใหม่และพนักงานประจำสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน, แมนเชสเตอร์, เอดินเบอระ และแคมบริดจ์ รวมไปตำแหน่งงานไอทีใน Amazon Web Services ซึ่งเป็นส่วนธุรกิจคลาวด์คอมพิวติ้งของ Amazon ด้วย

อย่างไรก็ตาม Amazon ปฏิเสธที่จะระบุถึงจำนวนการเพิ่มตำแหน่งใหม่ ในส่วนพนักงานขับรถจัดส่งและพนักงานคลังสินค้า หลังมีการประท้วงเรื่องค่าเเรงต่ำและคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ไม่ดีนัก

สำหรับค่าเเรงในการทำงานของ Amazon ในสหราชอาณาจักร จะเริ่มต้นที่ 10.80 ปอนด์ ต่อชั่วโมง (ราว 477 บาท) ในพื้นที่กรุงลอนดอน และ 9.70 ปอนด์ต่อชั่วโมงในส่วนอื่นๆ

โดยตั้งเป้าว่าพนักงานทั้งหมดในสหราชอาณาจักรจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 5.5 หมื่นราย ได้ภายในสิ้นปี 2021 ซึ่งจะทำให้ Amazon บริษัทกลายเป็นหนึ่งเป็นในบริษัทข้ามชาติที่มีพนักงานมากที่สุดในอังกฤษ เหมือนยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอื่น ๆ ของสหรัฐฯ อย่าง Google, Microsoft, Facebook และ Apple

นอกจากนี้ Amazon วางเเผนจะทุ่มงบประมาณราว 10 ล้านปอนด์ในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า เพื่อใช้ฝึกอบรมทักษะใหม่ๆ ให้พนักงานในสหราชอาณาจักรราว 5,000 คน เพื่อเสริมความสามารถในการประกอบอาชีพทั้งในเเละนอกองค์กร พร้อมร่วมงานกับหอการค้าอังกฤษและธุรกิจในท้องถิ่น เพื่อเเก้ปัญหาการขาดแคลนทักษะในส่วนภูมิภาค

เรามีความเชื่อมั่นอย่างมากว่าเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรจะดีขึ้นเรื่อยๆ หลังการระบาดใหญ่ ถือเป็นการลงทุนที่สำคัญในภาคการค้าปลีกของเรา

เเม้ว่า Amazon จะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สร้างงานมากมายในสหราชอาณาจักร แต่บริษัทก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงภาษีที่จ่ายโดยบริษัทจ่ายจ่ายภาษีเเค่ 293 ล้านปอนด์ในปี 2019 จากยอดขายมีมากถึง 1.37 หมื่นล้านปอนด์

 

 

ที่มา : CNBC , BBC

]]>
1332375
ยอดจองโรงแรมใน ‘โปรตุเกส’ พุ่ง 475% หลัง ‘อังกฤษ’ ไฟเขียวเที่ยวได้ กลับมาไม่ต้องกักตัว https://positioningmag.com/1332139 Fri, 14 May 2021 05:37:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1332139 รัฐบาลสหราชอาณาจักร ได้อนุมัติให้ประชาชนชาวอังกฤษที่เดินทางไปประเทศ ‘โปรตุเกส’ ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคมไม่จำเป็นต้องกักตัวเมื่อเดินทางกลับ แต่จะต้องทำการทดสอบ COVID PCR ภายในสองวันหลังจากเดินทางมาถึงสหราชอาณาจักร ซึ่งมาตรการดังกล่าวก็ทำให้ชาวอังกฤษแห่กันเดินทางไปโปรตุเกสจนยอดจองโรงแรมโตถึง 475% เลยทีเดียว

แม้ว่ากฎอาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางระบาด แต่นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษก็รีบคว้าโอกาสในการจองวันหยุดพักผ่อนในต่างประเทศอย่างรวดเร็ว

“เป็นความบ้าคลั่งอย่างแท้จริงในแง่ของการจอง โดยมีความต้องการจองเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า” Katya Bauval ผู้อำนวยการฝ่ายขายของโรงแรม Vila Vita Parc ใน Algarve ทางตอนใต้ของโปรตุเกสกล่าว

ด้านเครือโรงแรม ‘Pestana’ ซึ่งเป็นเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโปรตุเกสก็มียอดการจองห้องพักเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดย Jose Theotonio ซีอีโอของ Pestana Hotel Group กล่าวว่า ความต้องการเพิ่มขึ้น 250% ของเครือ และผู้ให้บริการอื่น ๆ มียอดจองเพิ่มขึ้น 475% โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกใช้สถานที่ใน Algarve และ Porto Santo ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ในหมู่เกาะ Madeira

“สัญญาณนี้จากรัฐบาลอังกฤษได้กระตุ้นให้เกิดการจองอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่ที่พัก นอกจากนี้ยังเห็นความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจากนักท่องเที่ยวในเยอรมนี, สเปน และตลาดในประเทศด้วย”

ภาพจาก shutterstock

แน่นอนว่าอานิสงส์ที่ทำให้การท่องเที่ยวในโปรตุเกสกลับมาคึกคักก็เพราะไม่ต้องถูกกักตัวหลังจากกลับมาที่สหราชอาณาจักร ขณะที่ประเทศอย่าง สเปน, อิตาลี และกรีซ ที่หากไปแล้วต้องกลับมากักตัวอีก 10 วัน จึงทำให้ไม่ได้รับความนิยม นี่จึงเป็นข้อได้เปรียบของโปรตุเกสที่กรีซและสเปนไม่มี

ทั้งนี้ โปรตุเกสกลายเป็นจุดสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2019 โปรตุเกสมีนักท่องเที่ยวกว่า 24.6 ล้านคนซึ่งเพิ่มขึ้น 7.9% จากปี 2018 ขณะที่สหราชอาณาจักรเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการเข้าพักของนักท่องเที่ยวในโปรตุเกสซึ่งคิดเป็น 18.8% ของจำนวนทั้งหมดตามมาด้วยเยอรมนี 12.3% และสเปนซึ่งคิดเป็น 11%

แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศหยุดชะงักลงอย่างสิ้นเชิงจากการระบาดของไวรัส COVID-19 นอกจากนี้โปรตุเกสยังต้องออกมาตรการล็อกดาวน์ครั้งที่ 2 เมื่อต้นปี 2021 เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มาตรการที่เข้มงวดได้คลี่คลายลงแล้ว

ในส่วนของนักท่องเที่ยวสหรัฐฯ อาจจะใช้เวลานานกว่าจะกลับมา แม้จะมีการประกาศจากประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula von der Leyen ว่า ชาวอเมริกันที่ฉีดวัคซีนจะสามารถเดินทางไปเยือนยุโรปได้ในช่วงฤดูร้อนนี้ก็ตาม ทั้งนี้ ในปี 2019 โปรตุเกสยังดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่สหภาพยุโรปจำนวนมาก โดยนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันเพิ่มขึ้น 21.3% นักท่องเที่ยวจีนโต 16.8% และบราซิลเติบโต 14.9%

Source

]]>
1332139
ส.ส. ใน UK เสนอให้การ ‘กักตุนเครื่องเกม’ ผิดกฎหมาย หลัง ‘Ps5’ ราคาพุ่งเพราะโดนปั่นราคา https://positioningmag.com/1319337 Mon, 15 Feb 2021 08:33:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1319337 กลายเป็นปัญหาระดับประเทศไปซะแล้ว สำหรับ ‘Play Station 5’ หรือ ‘Ps5’ ที่ขาดตลาดอยู่ในตอนนี้ ซึ่งแค่ของหมดคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะเชื่อว่าเหล่าเกมเมอร์หลายคนคงรอได้ แต่ประเด็นคือ ด้วยของที่มีน้อยอยู่แล้ว แต่ดันโดนคนบางกลุ่มตัดหน้าจองโดยใช้โปรแกรมช่วย แล้วเอามาเก็งกำไรขายนี่ซิ เป็นเรื่องที่หลายคนรับไม่ได้ถึงขนาดที่ในสหราชอาณาจักร (UK) มีการเสนอให้การกักตุนเครื่องเกมเป็นสิ่งผิดกฎหมายเลยทีเดียว

ในปี 2020 Sony สามารถขายเครื่อง PlayStation 5 ได้ถึง 4.5 ล้านเครื่อง ขณะที่ยอดขายเองก็ยังทำได้ดีเพราะแรงส่งจาก COVID-19 ที่ทำให้คนว่างมากขึ้น ซึ่งช่วยให้ธุรกิจเกมของ Sony ทำรายได้ 883.2 พันล้านเยน ในไตรมาสล่าสุดซึ่งเติบโตขึ้น 40% จากปี 2019

อย่างไรก็ตาม Sony เองก็ได้ออกมาระบุว่า ถึงแม้จะมีแฟน ๆ ที่รอคอยจะเป็นเจ้าของเครื่อง Ps5 อย่างใจจดใจจ่อ แต่ปัญหาด้านการผลิตที่ยังจำกัดทำให้เกิดปัญหาขาดแคลน ทำให้ผู้ที่ชื่นชอบการเล่นเกมหลายคนรู้สึกหงุดหงิด แต่สิ่งที่ทำให้เกมเมอร์หัวร้อนยิ่งกว่าก็คือ มีคนหัวใสใช้บอทหรือโปรแกรมช่วยในการจองสินค้า ก่อนที่จะนำสินค้าไปขายโดยบวกราคาเพิ่มอีกเพียบ

ภาพจาก Skynews.com

อย่างประเทศไทยเอง ราคาของ Ps5 พุ่งเป็นเท่าตัว จากราคาจองอยู่ที่ 1.4 หมื่นบาทสำหรับรุ่นดิจิทัล และ 1.7 หมื่นบาทสำหรับรุ่นปกติ แต่มีคนเอามาปล่อยขายกันที่ 2.5-3 หมื่นบาทเลยทีเดียว ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ก็ไม่ได้ต่างกันนัก อย่างสหรัฐฯ ก็พุ่งจาก 500 ดอลลาร์เป็น 3,000 ดอลลาร์เลยทีเดียว

เช่นเดียวกันกับสหราชอาณาจักรที่เจอปัญหานี้ โดยราคา Ps5 พุ่งไปที่ 950 ยูโรหรือประมาณ 3.5 หมื่นบาท ทำให้ Douglas Chapman หนึ่งในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหราชอาณาจักรได้ออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวพร้อมกับ ส.ส. อีก 32 คนได้ร่วมลงนามในการยื่นร่างกฎหมายควบคุมดูแลป้องกันมิให้เกิดการค้ากำไรเกินควร

การยื่นร่างกฎหมายนี้เกิดจากการที่มีประชาชนจำนวนมากร้องเรียนว่าไม่สามารถจองเครื่องได้ทัน เนื่องจากเจอคนบางกลุ่มที่ใช้บอทหรือโปรแกรมช่วยในการแย่งจองสินค้ากับคนทั่วไป แล้วนำมาปล่อยในราคาที่สูง ซึ่งการกักตุนสินค้าเพื่อขายโก่งราคากำลังกลายเป็นปัญหาที่หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ

ก็ไม่รู้ว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรของสหราชอาณาจักรหรือไม่ แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องการกักตุนสินค้าเพื่อมาจำหน่ายในราคาสูงเกิดขึ้นกับสินค้าหลายประเภท หากย้อนไปในช่วงที่เกิดการระบาดของ COVID-19 ใหม่ ๆ หน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ ก็เป็น 2 สิ่งที่ถูกกักตุนมาขายในราคาสูง ทำให้หลายประเทศฝั่งตะวันตกเริ่มตระหนักถึงปัญหาการกักตุนสินค้าในวงกว้างแล้ว

news.sky.com / birminghammail

]]>
1319337