ในงานสัมมนา ‘Business of the Future’ มีการวิเคราะห์เเนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ จังหวะลงทุนในช่วงตลาดผันผวน เเละโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ พร้อมประเมินอนาคต 3 ธุรกิจโลกยุคใหม่ กับทิศทาง ESG การลงทุนเพื่ออนาคต โดยมีประเด็นสำคัญๆ ดังต่อไปนี้
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวถึง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจทั่วโลกว่า จะแตกต่างกันเเละจะนำไปสู่การทำนโยบายเศรษฐกิจทั้งทางด้านการเงินและการคลังที่แตกต่างกันด้วย
โดยการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ เริ่มมีความแตกต่างมากยิ่งขึ้น โดยประเทศในกลุ่ม Developed Markets (DMs) เช่น สหรัฐฯ และ อังกฤษ ที่เริ่มส่งสัญญาณถอนคันเร่งนโยบายการเงิน โดยชะลอการเข้าซื้อพันธบัตร (QE tapering) และขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามความพร้อมของเศรษฐกิจในประเทศนั้นๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ Emerging Markets ผ่านต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและความผันผวนของกระแสเงินทุน (fund flows)
สำหรับนโยบายการคลังการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมา “มีต้นทุนสูง” สะท้อนจากหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นค่อนข้างเร็วในหลายประเทศ และอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงที่แม้จะเป็นปัจจัยชั่วคราว แต่น่าจะใช้เวลาพอสมควรในการชะลอลง
อย่างไรก็ตาม คาดว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศในกลุ่ม DMs ในระยะข้างหน้าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรแท้จริง (real yields) จะยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับในอดีต
“ดังนั้นผลกระทบต่อ valuation หุ้นกลุ่ม Quality growth อยู่ในระดับที่จัดการได้ และยังได้รับแรงหนุนจากกระแสแนวโน้มธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังวิกฤตโควิด”
ทั้งนี้ ความเสี่ยงหลักของหุ้นกลุ่ม Quality growth คือ ผลกระทบจากการขึ้นภาษี และการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ภาครัฐ (Regulatory risks) แต่คาดว่าการขึ้นภาษีของภาครัฐ เช่น ในกรณีของสหรัฐฯ อาจทำได้ไม่มากเท่ากับที่ประกาศไว้ เนื่องจากการทำมาตรการโครงสร้างพื้นฐานอาจมีการลดขนาดให้เล็กลง
สำหรับหุ้นกลุ่มอื่นๆ SCB CIO เชื่อว่าการมีหุ้นในกลุ่ม Value ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเป็นการป้องกันความผันผวนในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีการขยับขึ้นเร็ว
ด้านจัดสรรการลงทุน SCB CIO ประเมินว่า กลุ่ม Developed markets มีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ดี หรือ หดตัวน้อยในช่วงวิกฤต ทำให้มีการฟื้นตัวของกำไรและความสามารถในการทำกำไรในระยะข้างหน้าของบริษัทจดทะเบียนได้ดีกว่าตามไปด้วย
“ในช่วงที่ภาวะตลาดผันผวน นับเป็นโอกาสที่ดี ในการเข้าสะสมหุ้นกลุ่มสหรัฐฯ และยุโรป โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Quality growth ที่ยังมีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง”
นอกจากนี้ หุ้นญี่ปุ่น ก็มีความน่าสนใจ จากแนวโน้มการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ และราคาหุ้นไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาด DMs อื่นๆ
ส่วนการลงทุนในจีน ยังคงมุมมองตลาดหุ้น A-Share ที่ neutral จากนโยบายมุ่งเน้นเติบโตจากภายในประเทศของจีน เช่น นโยบาย dual circulation และ common prosperity และคงมุมมองตลาดหุ้นจีน H- Share ที่ slightly negative เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของรัฐที่มีแนวโน้มยืดเยื้ออยู่ค่อนข้างมาก
สำหรับตลาดหุ้นอาเซียน เวียดนามยังคงน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจและผลประกอบการ จะชะลอลงในช่วงไตรมาส 3/2021 แต่ตลาดหุ้นได้สะท้อนการรับรู้ไปบ้างแล้ว โดยในระยะข้างหน้า น่าจะมีการฟื้นตัวได้ของภาคการส่งออกตามเศรษฐกิจโลก และความคืบหน้าในการนำเข้าและฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงต่อสายพันธุ์เดลตา ทำให้การเปิดเมืองและกิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยกลับมาได้
“ส่วนตลาดหุ้นไทย มองเป็น slightly negative จากแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไรที่เสี่ยงถูกปรับลดลง และความตึงตัวของ valuation เมื่อเทียบกับตลาดอาเซียนอื่น”
โดยมองค่าเงินบาทในช่วงที่เหลือของปีที่ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เเละให้น้ำหนักไปทาง 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ด้านราคาน้ำมัน ปรับมุมมองเป็น Neutral จากการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมัน ซึ่งได้อานิสงส์จากการเปิดเมือง และแนวโน้มการเดินทางระหว่างประเทศของประเทศพัฒนาแล้วดีขึ้น รวมถึงการหันมาใช้น้ำมันมากขึ้นทดแทนก๊าซธรรมชาติที่มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังมีมุมมอง slightly negative สำหรับทองคำที่จะได้รับผลกระทบจาก QE tapering และอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร (real yields) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และสำหรับ Asian REITs ที่การปิดเมืองมีแนวโน้มยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้
ด้านมุมมองต่อการลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Transformation ปัจจุบันเห็นว่ามี 3 กลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจ ที่มาพร้อมการเติบโตของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
โดยศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office ให้ข้อมูลว่า
เทรนด์การลงทุนใน Fintech กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นทั่วโลก ทำให้กระแสการลงทุนในบริษัท Fintech ใน Centralized และ Decentralized Finance เติบโตอย่างรวดเร็ว
SCB CIO มองว่าการขยายตัวของกระแส Fintech ที่ครอบคลุมและต่อยอดออกไปในหลายอุตสาหกรรม และการมาถึงของ Decentralized Finance การขยายตัวของบริษัทแพลตฟอร์มระดับโลกเข้าสู่ธุรกิจการเงิน
“พฤติกรรมของผู้บริโภคหลังโควิด รวมถึงกฎระเบียบข้อบังคับที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จะทำให้รูปแบบธุรกิจการเงินเปลี่ยนแปลงอย่างมากจากในอดีต และเปิดโอกาสการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Fintech และ Blockchain ได้อย่างมาก”
การใช้งานอินเทอร์เน็ตและระบบออนไลน์เป็นไปอย่างแพร่หลายในทุกองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบริษัทที่มีสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่สำคัญ เช่น แบรนด์ ความสัมพันธ์กับลูกค้า นวัตกรรม และข้อมูลความลับทางการค้า ซึ่งผลกระทบด้านลบจากการถูกละเมิดและการโจมตีทางไซเบอร์จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของบริษัทโดยตรง
SCB CIO มองว่า การเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของบริษัทและองค์กรทั่วโลก เป็นอีกหนึ่งในโอกาสการลงทุนในบริษัทที่กำลังเติบโตและเป็นผู้นำด้านการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสหรือมัลแวร์ (Anti-Virus/Anti-Malware) การยืนยันตัวตน (Authentication) และการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption)
จากกระแสการลดภาวะโลกร้อนสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนเครื่องยนต์สันดาป เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และนโยบายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ทั่วโลก รวมถึงแนวทางการพัฒนาพลังงานทางเลือกและพลังงานหมุนเวียนที่ยั่งยืน แทนการใช้พลังงานจากน้ำมันและถ่านหิน ก่อให้เกิดการเติบโตในหลายอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนที่เกี่ยวเนื่อง
ทั้งในส่วนของการผลิตแบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการผลิตและการกักเก็บพลังงงานหมุนเวียนไม่ว่าจะเป็น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ ฯลฯ ซึ่งสร้างโอกาสการลงทุนอย่างมากในมุมของห่วงโซ่การผลิตในธุรกิจ EV & Energy Storage โดยเฉพาะในบริษัทที่มีนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านพลังงาน
SCB CIO มองว่า นอกจากเทรนด์การลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียนแล้ว เทรนด์ธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจ ได้แก่
–ธุรกิจผู้ให้บริการเกี่ยวกับระบบกักเก็บพลังงานและแบตเตอรี่ (Energy Storage System Integrator: ESS) สำหรับการใช้พลังงานทางเลือกซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในหลายประเทศ เช่น การใช้งานแบตเตอรี่ร่วมกับพลังงานหมุนเวียน การใช้ระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าเพื่อเพิ่มเสถียรภาพให้กับระบบสายส่ง เป็นต้น
–โรงงานผลิตแบตเตอรี่ต้นแบบ (Battery Manufacturing) เพื่อการขับเคลื่อนธุรกิจพลังงานให้เติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับเทรนด์การลงทุนในอนาคตที่รองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยมุ่งหน้าสู่การลดการใช้ทรัพยากรและเป็นมิตรกับธรรมชาติ
การลงทุนหุ้นในกลุ่ม ESG (Environmental, Social, and Governance) ที่คำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เป็นอีกธีมการลงทุนยอดนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งแกนในการพิจารณาคัดเลือกบริษัทที่เข้าลงทุนควบคู่ไปกับ 3 เทรนด์อุตสาหกรรมแห่งอนาคตข้างต้นได้เป็นอย่างดี
“ในช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะในตลาดหุ้น ผู้ลงทุนต้องเผชิญกับความผันผวนของตลาดหุ้นค่อนข้างมาก แต่ตามสถิติ หุ้นในกลุ่ม ESG ค่อนข้างจะเผชิญความผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นทั่วไปในตลาดและมีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วกว่าหลังจากผ่านพ้นช่วงตลาดปรับฐาน”
SCB CIO มองว่า การลงทุนในบริษัทที่คำนึงถึงมาตรฐาน ESG เปรียบเสมือนการลงทุนในบริษัทที่ต้องคิดค้นนวัตกรรมใหม่เพื่อรักษามาตรฐานอยู่ตลอด สะท้อนการดำเนินธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ มีความรับผิดชอบต่อสังคมและนักลงทุน และมีความเสี่ยงโดยรวมต่อประเด็นการผิดจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจค่อนข้างน้อย
การลงทุนที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงปัจจัยด้าน ESG จึงมีแนวโน้มสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเกณฑ์อ้างอิงที่ใช้เปรียบเทียบผลตอบแทนของตลาดโดยรวมได้ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เม็ดเงินการลงทุนหุ้นในธีม ESG มีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต
]]>สำนักข่าว CNBC รายงานว่า Coursera กำลังยื่นเอกสารต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) เพื่อเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชน (IPO) ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก โดยจะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า ‘COUR’
Coursera เเพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2012 โดย Daphne Koller และ Andrew Ng อดีตศาสตราจารย์ด้านคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
หลังจากที่ทั้งสองได้คลุกคลีในวงการนี้มานาน จึงมองเห็นเทรนด์การศึกษาออนไลน์ ว่าควรเปิดโอกาสให้ ‘บุคคลทั่วไป’ เข้าถึงหลักสูตรการเรียนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นธุรกิจที่เฟื่องฟูขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของ COVID-19
จากมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ทุกคนต้องเว้นระยะห่าง ทางการต้องระงับการเรียนการสอนที่โรงเรียนเเละสถาบันการศึกษา รูปแบบการเรียนรู้จึงเป็นมาเป็นการสื่อสารทางออนไลน์เเทน
ในปี 2020 ที่ผ่านมา มียอดผู้สมัครเรียนกับ Coursera เพิ่มขึ้นถึง 65% บริษัททำรายได้รวมกว่า 293 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9 พันล้านบาท) เติบโต 59% เมื่อเทียบกับปี 2019
จากหนังสือชี้ชวนของบริษัท ระบุว่า “รายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั้น มาจากการเพิ่มขึ้นของผู้ลงทะเบียนในช่วงการระบาดของ COVID-19”
อย่างไรก็ตาม เเม้ Coursera จะมีรายได้เติบโตขึ้น จากอานิสงส์วิกฤตโรคระบาด เเต่ยังคงขาดทุนเพิ่มขึ้นทุก เฉลี่ยปีละ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในปีที่ผ่านมาขาดทุนไปแล้ว 66.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2 พันล้านบาท) เเต่ก็ยืนยันว่าธุรกิจนี้ยังต่อยอดไปได้อีกไกล
ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Coursera มีผู้ที่เรียนออนไลน์และได้รับวุฒิการศึกษาไปแล้ว กว่า 1.2 หมื่นคน มีค่าใช้จ่ายในการเรียนโดยเฉลี่ยต่ำกว่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6 หมื่นบาท) ต่อคน
จากข้อมูล ณ สิ้นปี 2020 มีมหาวิทยาลัยกว่า 150 แห่งทั่วโลก เปิดคอร์สสอนอยู่บน Coursera ทั้งสิ้นกว่า 4,000 คอร์ส โดยมีค่าใช้จ่ายในการเรียนระดับปริญญาตรีและปริญญาโทจนได้วุฒิการศึกษา อยู่ที่ราว 9,000-45,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว2.7 แสนบาท ถึง 1.3 ล้านบาท)
นอกจากนี้ ยังเข้าถึงกลุ่มลูกค้ากำลังทรัพย์น้อย โดยมีใบรับรองการศึกษาและหลักสูตรทักษะวิชาชีพที่ ‘หลากหลาย’ ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 9.99 – 99 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 274 – 3,000 บาท)
โดยช่วงที่มีการแพร่ระบาด Coursera ได้ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐบาลในประเทศต่างๆ มากกว่า 330 แห่งใน 70 ประเทศและ 30 รัฐของสหรัฐอเมริกา เพื่อเสนอให้คนว่างงานเเละผู้ที่สนใจ สามารถเข้าถึงหลักสูตรต่างๆ สำหรับธุรกิจเเละเทคโนโลยีได้ฟรี
ทั้งนี้ PitchBook ประเมินมูลค่าบริษัทของ Coursera ว่าอยู่ที่ราว 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.6 หมื่นล้านบาท)
]]>
ล่าสุด เเบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าในอาณาจักรของอีลอน มัสก์ อย่าง “Tesla” ประกาศว่า บริษัทกำลังจะถูกบรรจุเข้าไปในดัชนี S&P 500 ติดอันดับเป็น 1 ใน 10 บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ธ.ค.นี้
Bloomberg ระบุว่า การที่ Tesla จะเข้าไปอยู่ในดัชนี S&P 500 จะทำให้ อีลอน มัสก์ ร่ำรวยขึ้นเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก แซงหน้า “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” ผู้ก่อตั้งโซเชียลมีเดียพลิกโลกอย่าง Facebook ซึ่งความมั่งคั่งของมัสก์ อาจจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.5 เเสนล้านบาท) ในการซื้อขายระยะยาว
หลังมีการปล่อยข่าวดังกล่าวออกมา ทำให้ราคาหุ้นของ Tesla ในช่วงซื้อขายนอกเวลาทำการ ดีดตัวขึ้นมา 13.19% ที่ 461.92 เหรียญสหรัฐ
สำหรับมูลค่าบริษัท Tesla ล่าสุด ณ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2020 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ อยู่ที่ 386,829 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 11.66 ล้านล้านบาท) มากกว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Toyota สูงกว่า Disney และ Coca-Cola
ทั้งนี้ บริษัทที่จะมีสิทธิ์เข้าร่วม S&P 500 ได้จะต้องผ่านเกณฑ์ต่างๆ อย่างการต้องตั้งอยู่ในอเมริกา มีมูลค่าตลาดอย่างน้อย 8.2 พันล้านเหรียญ มีสภาพคล่องสูงและมีหุ้นอย่างน้อย 50% ซื้อขายให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) มีผลประกอบการของไตรมาสล่าสุด เเละผลรวมของผลประกอบการ 4 ไตรมาสที่ตามมา จะต้องเป็น “บวก” เช่นกัน
Tesla เผยผลประกอบการไตรมาสที่ 3 เมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมาว่า มีรายได้ 874 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 156% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เเม้จะเจอวิกฤต COVID-19 เเต่ก็เป็นการเติบโตในไตรมาสที่ 5 ติดต่อกันของบริษัท
เเม้ว่าคุณสมบัติหุ้นของ Tesla จะมีความพร้อมที่จะอยู่ในดัชนี S&P 500 เเต่ก่อนหน้านี้ เคยถูกปฏิเสธจากทางคณะกรรมการฯ ด้วยเหตุผลบางประการ จนในที่สุดบริษัทก็จะได้เข้าไปในช่วงปลายเดือนธ.ค.นี้
]]>