อุปกรณ์ไอที – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 19 Aug 2023 09:29:52 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “Mechanical Keyboard” ของสะสมที่ใช้แล้ว “ฟิน” สินค้านิชมาร์เก็ตที่มีคนยินดีจ่ายชิ้นละหลายหมื่น! https://positioningmag.com/1441576 Fri, 18 Aug 2023 10:44:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1441576 คีย์บอร์ดธรรมดาๆ แค่กำเงิน 200 บาทเข้าร้านไปก็หาซื้อได้ แต่ทำไมคนกลุ่มหนึ่งจึงยอมลงทุนกับ “Mechanical Keyboard” สนนราคาชิ้นละหลายหมื่นบาท Positioning ชวนหาคำตอบกับสินค้าตลาดนิชมาร์เก็ต ของรักของสะสมที่บูมขึ้นมาจากช่วง “Work from Home” ระหว่างล็อกดาวน์

คีย์บอร์ดธรรมดาสามัญประจำบ้านสามารถหาซื้อได้ที่ชิ้นละ 200 บาท ขยับขึ้นมาเป็นคีย์บอร์ดเกมมิ่งราคาอาจจะขึ้นมาที่ 1,500-5,000 บาท แต่ถ้าเป็น “Mechanical Keyboard” โดยเฉพาะกลุ่มที่ถอดประกอบได้ทุกชิ้นส่วนหรือ “Custom Keyboard” ราคาจะวิ่งขึ้นมาเริ่มที่ 5,000 บาท หากเข้าสู่ระดับไฮเอนด์ ราคาจะเริ่มที่ 10,000 บาทขึ้นไป และนี่คือสินค้าประเภทกึ่งใช้งานกึ่งสะสมที่มีคนไทยกลุ่มหนึ่งนิยมกันมาก

Positioning ไปพูดคุยกับ “ภูมิ-นันทโชติ รัตนเมธานนท์” เจ้าของร้านนำเข้าคีย์บอร์ดเพจ “NTCH Keys” เพื่อหาคำตอบว่า ทำไมคนเราถึงลงทุนกับคีย์บอร์ดชิ้นละหลายหมื่น?

Mechanical Keyboard
“ภูมิ-นันทโชติ รัตนเมธานนท์” เจ้าของร้านนำเข้าคีย์บอร์ดเพจ “NTCH Keys”

 

คีย์บอร์ดในฝัน ใช้แล้วฟิน

นันทโชติอธิบายความต่างของ Mechanical Keyboard กับคีย์บอร์ดธรรมดาก่อนว่า คีย์บอร์ดประเภทนี้จะสามารถถอดแยกทุกชิ้นส่วนออกจากกันได้ ตั้งแต่ส่วนโครงฐาน สวิตช์ข้างใต้ปุ่ม และคีย์แคปที่อยู่ข้างบน ซึ่งทำให้คีย์บอร์ดกลายเป็นของที่นักสะสมสามารถ ‘customize’ ได้ทั้งหมด ทั้งสีสัน รูปลักษณ์ และสวิตช์ที่สร้างสัมผัสการพิมพ์ที่แตกต่าง

“Custom Keyboard มันสามารถทำให้เป็นแบบที่เราตั้งใจได้ทั้งหมด รูปร่างภายนอกอาจจะทำเป็น theme-built ให้เข้ากับความชอบของเรา เช่น ธีมอนิเมะ, ธีม Star Wars, ธีม Lord of the Rings เสียงพิมพ์ก็สามารถเปลี่ยนสวิตช์ให้เป็นเสียงสูงต่ำได้ สัมผัสการพิมพ์มีแบบหนึบ แบบแข็ง ทั้งหมดเป็นประสบการณ์ใช้งานที่เชื่อมกับความรู้สึกทางใจครับ” นันทโชติกล่าว

Mechanical Keyboard
โครงสร้างในคีย์บอร์ดแยกชิ้นส่วนได้ทั้งสวิตช์ข้างใต้ ปุ่มคีย์แคปด้านบน พร้อมอุปกรณ์ในการประกอบ

นั่นจึงเป็น “เสน่ห์” ของ Mechanical Keyboard คือ การดีไซน์ที่มีคุณค่าทางใจมากขึ้น เปรียบไปจึงคล้ายกับของสะสมอื่น เช่น รถยนต์ นาฬิกา สินค้าระดับทั่วๆ ไปสามารถใช้ขับขี่หรือดูเวลาได้ทั้งนั้น แต่เหตุที่บางคนเลือกรถสปอร์ตหรือเลือกนาฬิกาหรู เพราะสิ่งเหล่านั้นมีค่าทางใจและเป็นของสะสม

Mechanical Keyboard ก็ไม่แตกต่างกัน เป็นของที่สามารถจินตนาการในการตกแต่ง และ ‘เล่น’ กับมันได้ด้วย เพราะนักสะสมสามารถแกะชิ้นส่วนประกอบเองได้

 

สนนราคา ‘หลายหมื่น’ ในระดับไฮเอนด์

นันทโชติเล่าถึงตลาดสินค้าประเภทนี้ว่า Mechanical Keyboard ทั่วไปราคาเริ่มต้นประมาณ 1,000 บาทก็เข้าถึงได้ แต่ถ้าต้องการ Custom Keyboard ถอดประกอบได้ ระดับเริ่มต้นต้องกำเงินมาอย่างน้อย 3,000 บาท และถ้าไต่ระดับขึ้นไปจนถึงไฮเอนด์จะอยู่ที่ 10,000 บาทขึ้นไป

Custom Keyboard แบรนด์ QwertyKeys รุ่น QK80 ราคาเริ่ม 6,280 บาท

ราคาที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียง การผลิตในจำนวนจำกัด (limited) จนถึงวัสดุ งานดีไซน์ คุณภาพการผลิต เป็นรายละเอียดเชิงลึกที่ต้องสัมผัสกับสินค้าเองจึงจะเห็นความแตกต่าง

แน่นอนว่าตลาดของสะสมลักษณะนี้สามารถรีเซลได้ ไม่ว่าจะรีเซลทั้งตัวคีย์บอร์ด หรือรีเซลแยกชิ้นส่วนก็ได้ เพียงแต่ราคาอาจจะเก็งกำไรยาก ส่วนใหญ่ราคาขายต่อจะไม่ต่างจากราคาซื้อมือหนึ่งเท่าไหร่นัก

ยกเว้นกรณีเป็นคีย์บอร์ดรุ่นดังที่มีดีมานด์สูงมากในช่วงนั้น หรือเป็นคีย์บอร์ดที่มีประวัติ เช่น คีย์บอร์ดแบรนด์ TGR รุ่น Jane ซึ่งขายครั้งแรกในราคาประมาณ 10,000-20,000 บาท แต่ถูกรีเซลจนปัจจุบันขึ้นไปถึง 100,000 บาท เพราะคีย์บอร์ดรุ่นนี้ถือเป็น Mechanical Keyboard ชิ้นแรกๆ ในวงการ จึงมีค่าทางประวัติศาสตร์ซ่อนอยู่ด้วย

คีย์บอร์ดแบรนด์ Sososoya รุ่น Violetta ≥70 ราคาเริ่ม 12,150 บาท

ในฝั่งซัพพลายผู้ผลิต นันทโชติมองว่าเจ้าตลาดใหญ่ 90% มาจากจีน ส่วนที่เหลือเป็นเกาหลีใต้ เพราะทั้งสองประเทศเป็นแหล่งผลิตใหญ่ ส่วนในไทยก็เริ่มมีดีไซเนอร์ที่เข้าสู่วงการนี้แล้วเหมือนกัน

 

คนซื้อไม่ได้มีแต่กลุ่ม ‘เกมเมอร์’ อย่างที่ใครคิด

คำถามสำคัญที่คนนอกวงการมักจะสงสัย คือ ‘คนกลุ่มไหนที่ซื้อคีย์บอร์ดราคาเป็นหมื่น?’

“โอ้โห จริงๆ คนติดภาพเนอะว่าคนที่ใช้ Mechanical Keyboard คงเป็นเกมเมอร์หรือโปรแกรมเมอร์ แต่จริงๆ แล้วคนซื้อใช้ก็คือคนทั่วๆ ไปทุกสายอาชีพเลย มีทั้งนักบัญชี หมอ นักศึกษา คนทำงานออฟฟิศ ใช่หมดเลย” นันทโชติกล่าว

…จริงๆ คนติดภาพเนอะว่าคนที่ใช้ Mechanical Keyboard คงเป็นเกมเมอร์หรือโปรแกรมเมอร์ แต่จริงๆ แล้วคนซื้อใช้ก็คือคนทั่วๆ ไปทุกสายอาชีพเลย มีทั้งนักบัญชี หมอ นักศึกษา คนทำงานออฟฟิศ ใช่หมดเลย

แต่ที่พอจะวัดได้ว่ามีลักษณะเฉพาะคือ นันทโชติพบว่าลูกค้าของเขา 80-90% เป็น “ผู้ชาย” ซึ่งถ้าให้คาดเดาอาจจะเป็นเพราะ Mechanical Keyboard ที่ถอดประกอบเองได้มีลักษณะเป็น ‘งานช่าง’ ซึ่งดึงดูดใจผู้ชายได้มากคล้ายๆ กับการแต่งรถ

เมื่อของสะสมชิ้นนี้ไม่ได้จำกัดวงไว้ที่เกมเมอร์ ทำให้แรงขับเคลื่อนที่ทำให้สินค้านี้ ‘ฮิต’ สุดๆ จึงไม่ใช่เกม แต่เป็นการ ‘ล็อกดาวน์’ ที่ทำให้คนจำนวนมากต้อง Work from Home

“ช่วงโควิด-19 เป็นจุดตัดที่สำคัญมากสำหรับวงการคีย์บอร์ดในประเทศไทย” นันทโชติกล่าว “ผมว่ามันเป็นแพทเทิร์นเดียวกันทั่วโลก ช่วงโควิด-19 เป็นช่วงที่เราต้องโฟกัสกับตัวเอง โฟกัสกับที่บ้านมากขึ้นเพราะเส้นแบ่งของที่บ้านกับที่ทำงานเริ่มไม่ชัดเจน บางคนเรียกว่าเป็นที่เดียวกันเลยก็ได้ คนเลยพร้อมจะลงทุนและให้ความสำคัญกับการจัดโต๊ะทำงานที่บ้าน พิถีพิถันมากขึ้น คีย์บอร์ดก็เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ต้องเลือก

คีย์บอร์ด Sonic 170 ราคาเริ่ม 13,550 บาท

วัดได้ชัดเจนจากคอมมูนิตี้ในกลุ่ม Facebook กลุ่ม “Thailand Mechanical Keyboard Community” ช่วงก่อนเกิดโรคระบาดมีสมาชิกเพียง 3,000 คน แต่ในช่วงต้นปี 2563 ทันทีที่เกิดโรคระบาด สมาชิกพุ่งขึ้นเป็น 30,000 คน และเติบโตต่อเนื่องตลอด 3 ปี จนปัจจุบันมีสมาชิกกลุ่มกว่า 82,000 คน

 

คนกลับไปใช้ชีวิตนอกบ้าน โอกาสเริ่ม ‘อิ่มตัว’

สำหรับร้าน NTCH Keys เพิ่งตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนเมษายน 2565 ในฐานะตัวกลางรับสั่งซื้อและนำเข้าสินค้า ร้านทำธุรกิจมาถึงปี 2566 นันทโชติยอมรับว่า ปีนี้ตลาดเริ่มจะเข้าสู่ภาวะ ‘อิ่มตัว’ เพราะการเปิดเมืองทำให้คนหันไปโฟกัสกับกิจกรรมนอกบ้านมากกว่าการจัดโต๊ะทำงาน

อย่างไรก็ตาม ถ้าเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ก็ยังถือว่าตลาดโตขึ้นมามากแล้วและยังมีโอกาสการขายอยู่สำหรับคนที่หลง ‘เสน่ห์’ ของคีย์บอร์ดไปแล้วเรียบร้อย

“ผมคิดว่าหลายคนเริ่มมาจากการหาคีย์บอร์ดใช้งานหรือเล่นเกมก่อน แต่สักพักพอเข้ามาแล้วมันจะเป็น ‘โพรงกระต่าย’ ที่มันลงไปต่อได้เรื่อยๆ ไม่จบสิ้น คุณจะเริ่มมีคีย์บอร์ดหลายตัวมากขึ้น” นันทโชติกล่าว

เขาเสริมว่าเป็นเพราะคนในวงการนี้จะตามหาคีย์บอร์ดที่เรียกกันว่า ‘end game’ หรือคีย์บอร์ดตัวที่ใช่ที่สุด ซึ่งสิ่งที่ยากที่สุดคือ “เสียงและสัมผัสการพิมพ์เพราะถึงแม้จะดูรีวิวมากเท่าไหร่ก็ไม่เท่าสั่งมาลองใช้เอง จึงเป็นที่มาของการซื้อใหม่และขายต่อได้เรื่อยๆ เพราะไม่รู้ว่า ‘end game’ ที่ว่านั้นจะหาเจอเข้าสักวันหรือไม่

]]>
1441576
“คอมมี่” ประเมินตลาด “ฟิล์มกันรอย” 2566 “ฟิล์มกระจก” หลบไป “ไฮโดรเจลฟิล์ม” กำลังมาแทน https://positioningmag.com/1432322 Mon, 29 May 2023 13:41:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1432322
  • “คอมมี่” (COMMY) ชี้ทิศทางตลาด “ฟิล์มกันรอย” กำลังเปลี่ยนความนิยมจาก “ฟิล์มกระจก” สู่นวัตกรรม “ไฮโดรเจลฟิล์ม” รองรับการออกแบบสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่กลุ่มจอโค้งจอพับได้ดีกว่า
  • ตอกย้ำช่องทางจำหน่ายแบบ Omnichannel เตรียมเปิดหน้าร้านรีเทลสาขาแรกบน “เดอะมอลล์” และส่งสินค้าขายผ่าน 7-Eleven
  • บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เสริมสมาร์ทโฟนที่อยู่ในตลาดมานานอย่าง “คอมมี่” (COMMY) ปีนี้เข้าสู่ช่วงครบรอบ 30 ปี พร้อมรีแบรนดิ้งเปลี่ยนโลโก้ใหม่ และส่งสินค้านวัตกรรม “คอมมี่ ซูเปอร์ ไฮโดรเจล ฟิล์ม” เข้ามาลุยตลาด หวังเป็นฮีโร่ โปรดักส์ของปีนี้

    “อรปรียา มโนวิลาส” รองประธานกรรมการ บริษัท คอมมี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยทิศทางตลาด “ฟิล์มกันรอย” ที่คาดว่ามีมูลค่าราวปีละ 6,500 ล้านบาทในไทย ปัจจุบันสินค้าในตลาด 80% เป็นฟิล์มกระจก และ 20% เป็นไฮโดรเจลฟิล์ม ซึ่งในกลุ่มหลังคอมมี่ถือเป็นผู้นำตลาด

    คอมมี่ ฟิล์มกันรอย

    ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทพบว่าดีมานด์ของลูกค้ามีความเปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัด คือ กลุ่มไฮโดรเจลฟิล์มเติบโต 100% ทุกปีต่อเนื่อง กลายเป็นสินค้าแทนที่ฟิล์มกระจกที่เคยได้รับความนิยม

    สาเหตุที่ไฮโดรเจลฟิล์ม ‘ฮิต’ มากกว่า เพราะในระยะหลังการออกแบบสมาร์ทโฟนมีการเปลี่ยนแปลง เริ่มมีหน้าจอแบบขอบโค้ง จอพับ และใช้งานร่วมกับปากกา ซึ่งสมาร์ทโฟนลักษณะนี้ ฟิล์มกระจกไม่สามารถใช้งานควบคู่ได้ดีมากพอ อาจติดหน้าจอได้ไม่พอดี หรือปริแตกร้าวง่ายขึ้น เป็นโอกาสของกลุ่มไฮโดรเจลฟิล์มที่ตัดให้โค้งงอตามขอบโค้งหรือการพับจอได้ เหมาะกับสมาร์ทโฟนสมัยใหม่มากกว่า

    คอมมี่ ไฮโดรเจลฟิล์ม
    คอมมี่ ซูเปอร์ ไฮโดรเจล ฟิล์ม

    เมื่อเห็นเทรนด์ตลาด คอมมี่จึงพัฒนานวัตกรรมฟิล์มกันรอยเป็นสินค้าตัวใหม่ “คอมมี่ ซูเปอร์ ไฮโดรเจล ฟิล์ม” ผลิตภัณฑ์นี้มีการเพิ่มเนื้อเจลในฟิล์ม พัฒนาเทคโนโลยี Self-healing ทำให้ “สมานรอยขีดข่วนขนาดเล็กได้ใน 30 วินาที รอยขนาดใหญ่ทำได้ใน 2 นาที” ซึ่งเป็นเจ้าแรกของประเทศไทยที่วางจำหน่ายสินค้านวัตกรรมนี้ จากปกติไฮโดรเจลฟิล์มธรรมดาในท้องตลาดจะสมานรอยขีดข่วนได้ใน 36 ชั่วโมง

    ราคาวางจำหน่ายปลีกสำหรับ “คอมมี่ ซูเปอร์ ไฮโดรเจล ฟิล์ม” วางไว้ที่ 690 บาทต่อชิ้น ถือเป็นฟิล์มกันรอยในกลุ่มพรีเมียม เทียบกับฟิล์มกันรอยราคามาตรฐานที่จะอยู่ที่ประมาณ 290 บาทต่อชิ้น

     

    เศรษฐกิจชะลอ ผู้บริโภคยิ่งถนอมเครื่อง

    ด้านภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนที่มีแนวโน้มจะตกลงทั่วโลก จากข้อมูลของ Canalys พบว่ายอดขายสมาร์ทโฟนทั่วโลกในช่วงไตรมาสแรกปี 2566 ลดลง -12% อรปรียามองว่าตลาดไทยน่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่สถานการณ์นี้น่าจะเป็นบวกกับการขายฟิล์มกันรอย

    “อรปรียา มโนวิลาส” รองประธานกรรมการ บริษัท คอมมี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด

    อรปรียากล่าวว่า ข้อมูลตลาดสมาร์ทโฟนไทยเมื่อปี 2565 มียอดขายลดลง -10% หากคิดตามจำนวนเครื่อง แต่ถ้าคิดเป็นมูลค่าแล้วตลาดโตขึ้น 10% นั่นหมายความว่า ผู้บริโภคซื้อสมาร์ทโฟนในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เจ้าของเครื่องใช้มือถืออย่างทะนุถนอมตามราคา และยิ่งเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคจะยิ่งต้องการยืดอายุใช้งานเครื่องให้นานที่สุด ทำให้อุปกรณ์เสริมอย่างฟิล์มกันรอยขายดี

    คอมมี่ให้ข้อมูลไว้ด้วยว่า พฤติกรรมผู้บริโภคมักจะเปลี่ยนฟิล์มกันรอยราว 2-3 ครั้งต่อปี และตัวเร่งสำคัญคือนวัตกรรมใหม่ในตลาด ทำให้แม้ฟิล์มชิ้นเดิมยังไม่เสียหายมากก็มักจะเปลี่ยนทันทีเพื่อการใช้งานที่ดีขึ้น เช่น เล่นเกมได้ลื่น ดูหนังได้คมชัด

     

    Omnichannel ต้องครบเครื่อง

    ในแง่ช่องทางการขายปัจจุบันของคอมมี่ ยอดขาย 15% มาจากช่องทางออนไลน์ และ 85% มาจากหน้าร้าน ตัวแทนจำหน่ายที่มีกว่า 1,500 จุดทั่วประเทศ

    อรปรียากล่าวว่าปีนี้บริษัทจะเน้นการสร้าง Omnichannel ให้แข็งแรงขึ้นอีก เช่น การซื้อฟิล์มกันรอยผ่านช่องทางออนไลน์ แล้วนำมาให้ผู้เชี่ยวชาญติดให้ได้ที่หน้าร้าน ทำให้บริษัทเตรียมเปิดหน้าร้านรีเทลในเครือ “เดอะมอลล์” เป็นสาขาแรก และคาดว่าจะขยายได้ 3 สาขาเร็วๆ นี้ เพื่อให้บริการลูกค้า

    นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมจะส่งสินค้าเข้าจำหน่ายผ่านทาง 7-Eleven ด้วย โดยช่องทางนี้จะเน้นลูกค้าที่สะดวกติดฟิล์มกันรอยด้วยตนเอง

    สำหรับภาพรวมบริษัทคอมมี่ ปัจจุบันรายได้หลัก 50% มาจากการขายฟิล์มกันรอย ส่วนอีก 50% ที่เหลือมาจากการขายพาวเวอร์แบงก์ สายชาร์จ หัวชาร์จ หูฟัง ลำโพง ฯลฯ ตลอดจนกลุ่มสุขภาพ เช่น เครื่องฟอกอากาศ หน้ากากN95

    ]]>
    1432322
    เงินเฟ้อทำตลาด ‘ไอที’ ทั่วโลกดิ่งหนัก เหตุผู้บริโภครัดเข็มขัดเบรกซื้อ ‘คอม-มือถือ’ ใหม่ https://positioningmag.com/1391660 Thu, 07 Jul 2022 05:42:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1391660 ช่วงเวลาขาขึ้นผ่านไปไวกว่าที่คิดสำหรับตลาดสินค้า ‘ไอที’ หลังจากที่ 2 ปีก่อนสามารถเติบโตได้เนื่องจากผู้บริโภคอยู่บ้านมากขึ้น จึงมีความต้องการอุปกรณ์ไอทีสำหรับใช้เรียน ทำงาน รวมถึงกิจกรรมคลายเครียดแก้เบื่ออย่างการเล่นเกม บริษัทวิจัยหลายสำนักคาดว่าขาลงของตลาดจะเริ่มเห็นชัดในปีหน้า แต่จากภาวะเศรษฐกิจก็ย่นเวลาให้ตลาดดิ่งหนักในปีนี้

    ตัวเลขจาก Gartner ได้ชี้ให้เห็นว่า ตลาดไอที กำลังจะตกต่ำอย่างมากในปีนี้ โดยคาดว่าตัวเลขยอดจัดส่ง พีซี จะลดลง -9.5% แบ่งเป็น ตลาดคอนซูมเมอร์ -13.5% ส่วน ตลาดองค์กรลดลง 7.2% โดยเฉพาะในทวีปยุโรปตะวันออกกลางและแอฟริกาในภูมิภาค จะแย่ที่สุดโดยลดลงถึง -14%

    ไม่ใช่แค่ตลาดพีซี แต่ ตลาดแท็บเล็ต คาดว่าจะลดลง -9% และ สมาร์ทโฟน -7.1% จากที่ปี 2021 สามารถเติบโต 5% โดยรวมแล้ว ภาพรวมตลาดไอทีลดลง -7.6% จากที่ปี 2021 แต่ที่หนักสุดก็คือ ตลาดพีซี

    ของแพงและเงินเฟ้อทำรัดเข็มขัด

    Ranjit Atwal นักวิเคราะห์อาวุโสของ Gartner กล่าวว่า สำหรับตลาดพีซี กลุ่ม Chromebook เป็นหมวดหมู่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากในอเมริกาไม่มีความต้องการซื้อ เพื่อการศึกษา เนื่องจากเด็ก ๆ กลับไปเรียนได้ตามปกติ ส่วนในยุโรปยังพอมีความต้องการระดับหนึ่ง

    นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนจากสภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน การปรับขึ้นราคาสินค้าเนื่องจากซัพพลายเชน และปัญหาเงินเฟ้อที่ทำให้ผู้บริโภคชะลอการเปลี่ยนไปใช้ของใหม่ รวมไปถึงการล็อกดาวน์ในจีนยังส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคทั่วโลก

    “ตอนแรกเราคาดว่าตลาดจะเริ่มลดลงในปี 2023 แต่มันกลับเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด เนื่องจากการซื้อสินค้าของผู้บริโภคลดลงอย่างรวดเร็ว”

    5G ไม่ช่วยอย่างที่คิด

    หลังจากตลาดเริ่มอิ่มตัว 5G ที่ถือเป็นอีกความหวังใหม่ของตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก ก็ไม่ได้ช่วยอย่างที่คิด อย่างในจีนช่วงปี 2021 ยอดการจัดส่งสมาร์ทโฟน 5G จะเติบโตขึ้น 65% แต่ในปี 2022 นี้คาดว่าจะเติบโตเพียง 2% เท่านั้น

    “ในช่วงต้นปี ตลาดโทรศัพท์ 5G ของจีนในแผ่นดินใหญ่ คาดว่าจะเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก แต่ผลกระทบของนโยบาย Zero COVID-19 ของจีน และผลจากการล็อกดาวน์ได้พลิกกลับแนวโน้มนี้อย่างมาก เพราะผู้บริโภคหยุดซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น รวมถึงสมาร์ทโฟน 5G”

    ส่วนภาพรวมทั่วโลก อยากจัดส่งสมาร์ทโฟน 5G จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ Gartner ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตจาก 47% ในปี 2021 เหลือเพียง 29% เท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขของ IDC ที่คาดการณ์ว่าจะมีการชะลอตัวในทำนองเดียวกัน อย่างไรก็ตาม Gartner คาดว่าความต้องการเปลี่ยนไปใช้สมาร์ทโฟน 5G จะเริ่มกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งในปี 2023 หลังจากที่สมาร์ทโฟน 4G เริ่มตกรุ่น

    ]]>
    1391660
    IDC มอง ‘ตลาดสมาร์ทโฟน’ 2021 ส่งมอบเพิ่ม 7.4% ผู้บริโภคซื้อเพื่ออัพเกรด ใช้ 5G มากขึ้น https://positioningmag.com/1349493 Tue, 31 Aug 2021 12:40:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1349493 IDC ประเมินภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกในปี 2021 เเม้มีปัญหาเรื่องซัพพลายเชน เเต่มีเเนวโน้มดีขึ้น ด้วยอานิสงส์เทคโนโลยี 5G ขายดีในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ผู้บริโภคยังอยากอัพเกรดเป็นระดับพรีเมียมมากขึ้น

    บริษัทวิจัยตลาด International Data Corporation (IDC) เผยรายงานประเมินธุรกิจสมาร์ทโฟน ในปี 2021 โดยคาดว่า

    การจัดส่งสมาร์ทโฟนทั่วโลก ตลอดปีนี้ จะเพิ่มขึ้นราว 7.4% คิดเป็นส่งจำนวน 1.37 พันล้านเครื่อง และคาดว่าจะเติบโต 3.4% ในปี 2022-23

    โดยการเติบโต 7.4% นั้น มาจากการเติบโตอย่างเเข็งเเกร่งของสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS ที่เพิ่มขึ้นถึง 13.8% สองเท่าของ Android ซึ่งอยู่ที่ 6.2% 

    ขณะที่ ตลาดใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง จีน สหรัฐอเมริกา และยุโรปตะวันตก เติบโตได้ในระดับช่วงก่อนโควิด (ปี 2019) เเต่ตลาดเกิดใหม่อย่าง อินเดีย ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง เเละแอฟริกา กลับมีการเติบโตที่สูงมาก

    บรรดาแบรนด์ชั้นนำต่างๆ มีการรับมือในการจัดการซัพพลายเชนได้ดีขึ้น หลังปีที่ผ่านมาต้องเผลิญสารพัดปัญหาจากวิกฤตโรคระบาด ทำให้ไทม์ไลน์การเปิดตัวสินค้าบางอย่างต้องถูกเลื่อนออกไป ซึ่งมีปีนี้ หลายเเบรนด์กลับมาเดินหน้าผลิตสินค้าตามเเผนต่อไป

    ส่วนการกระจายวัคซีนที่ได้ผลดีในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศใหญ่ๆ ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคในช่วงไตรมาสล่าสุด มีการฟื้นตัวต่อเนื่อง

    Photo : International Data Corporation (IDC)

    นอกจากนี้ การมาของเทคโนโลยี 5G’ ก็ช่วยผลักดันการเติบโตของตลาดสมาร์ทโฟนปีนี้ได้เป็นอย่างดี เหล่าผู้ผลิตเเละผู้จัดจำหน่ายต่างมุ่งไปที่การขายสมาร์ทโฟน 5G ที่มีราคาเฉลี่ยต่ออุปกรณ์ (ASP) สูงกว่าอุปกรณ์ 4G รุ่นเก่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2020 อยู่ที่ 634 ดอลลาร์สหรัฐ

    ส่วนราคาของสมาร์ทโฟน 4G ก็มีการลดราคาลงครั้งใหญ่เหลือราว 206 ดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงเกือบ 30% จากปีที่แล้ว (277 ดอลลาร์สหรัฐ)

    IDC ประเมินว่า การจัดส่งสมาร์ทโฟน  5G ทั่วโลก จะอยู่ที่ราว 570 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 123% จากปีที่เเล้ว โดยประเทศจีน ยังผู้นำตลาดต่อไปด้วยส่วนแบ่งตลาด 5G ทั่วโลกถึง 47.1% ตามมาด้วยสหรัฐฯ 16% อินเดีย 6.1% และญี่ปุ่น 4.1%

    ทั้งนี้ คาดว่า ภายในสิ้นปี 2021 อุปกรณ์ 5G จะขึ้นครองส่วนเเบ่งสมาร์ทโฟนใหม่ในตลาดถึง 54.1% 

    ด้านความสนใจของผู้บริโภค เเม้จะเผชิญกับระบาดใหญ่และไวรัสโควิดกลายพันธุ์  เหล่าผู้บริโภคยังคงมีความต้องการจะอัพเกรดเป็นสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม (ราคาตั้งเเต่ 1,000 ดอลลาร์ขึ้นไป) มากขึ้นในปีนี้ เเละมีเเนวโน้มว่าผู้ซื้อจะเปลี่ยนอุปกรณ์ไปเป็นรุ่น 5G ที่มีราคาแพงกว่าเครื่องเดิมที่มีอยู่

     

    ที่มา : IDC 

     

    ]]>
    1349493
    เป็นทุกอย่าง! Xiaomi กับตู้ปลาอัจฉริยะรุ่นใหม่ ให้อาหาร-ปรับอุณหภูมิน้ำผ่านสมาร์ทโฟน https://positioningmag.com/1263253 Tue, 04 Feb 2020 16:58:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1263253 มาอีกเเล้ว กระเป๋าเงินสั่นอีกเเล้ว Xiaomi เปิดตัวสินค้าใหม่เอาใจคนรัก “น้องปลา” ด้วยตู้ปลาอัจฉริยะ Xiaomi Geometry Control AI Fish Tank ที่สามารถกดสั่งให้อาหารปลาอัตโนมัติเเละควบคุมอุณหภูมิน้ำผ่านเเอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน

    สำหรับตู้ปลาอัจฉริยะนี้ มีให้เลือก 2 ขนาดคือความจุ 15 ลิตรเเละ 30 ลิตร มีอุปกรณ์ใหม่ให้ซื้ออัพเดตได้ หรือสามารถเปลี่ยนอุปกรณ์บางชิ้นเมื่อมีบางส่วนเสียหาย ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่ทั้งชุดนั่นเอง โดย Xiaomi วางแผนที่จะพัฒนาชิ้นส่วนต่างๆ ของตู้ปลาเพื่อให้ระบบนิเวศของตู้ปลามีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ส่วนการออกเเบบตู้ปลาจะเน้นความสะดวกสบาย มีพื้นที่ให้ตกเเต่งพืชที่เราชื่นชอบ พร้อมมีเเสงสีเอฟเฟกต์ให้เลือก โดยมีไฟ LED 18 ดวงให้สีได้มากถึง 16 ล้านสี (ในรุ่น 30 ลิตร)

    ด้านฟังก์ชัน “การให้อาหารปลาอัตโนมัติ” ทำได้ง่ายเพียงกดปุ่มเพียงครั้งเดียวบนเเท็งก์ หรือควบคุมการให้อาหารผ่านทางแอปฯ มือถือก็ได้ เเละจุดเด่นอีกอย่างของ Xiaomi Geometry Control AI Fish Tank นั่นคือการควบคุมอุณหภูมิน้ำให้เหมาะสมกับปลาชนิดต่างๆ ได้

    ส่วนตัวเเท็งก์ มีระบบให้ออกซิเจน 3 ระดับ กรองน้ำ 4 ชั้น ฆ่าเชื้อเเบคทีเรียได้ โดยคุณภาพน้ำจะถูกตรวจสอบโดยเซ็นเซอร์ TDS และจะเเจ้งเตือนผู้ใช้ผ่านแอปฯ มือถือ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนน้ำ นอกจากนี้ ยังมีระบบแรงดันไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยต่อเด็ก หรือกรณีเกิดไฟฟ้าดับก็ป้องกันการขาดออกซิเจนของปลาได้

    สำหรับ Xiaomi Geometry Control AI Fish Tank วางจำหน่ายเเล้วในราคาเริ่มต้นที่ 139.99 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4,335 บาท)

    ที่มา: xiaomitoday

    ]]>
    1263253