เเผนธุรกิจ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 07 Feb 2022 13:55:37 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ก้าวต่อไป ‘Rabbit Care’ หลังรีเเบรนด์ครั้งใหญ่ กับเป้าหมายเบี้ยประกันโต 3 พันล้านในปีนี้ https://positioningmag.com/1373037 Mon, 07 Feb 2022 11:13:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373037 ก้าวต่อไปของ ‘Rabbit Care’ โบรกเกอร์ประกันออนไลน์ หลังรีเเบรนด์ครั้งใหญ่จาก ‘Rabbit Finance’ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ายุคดิจิทัลให้หลากหลายมากขึ้น พร้อมรุกประกันสุขภาพ ตั้งเป้าหมายเพิ่มมาร์เก็ตเเชร์เป็น 5-10% ให้ได้ภายใน 5-10 ปี เล็งบุกเวียดนาม-อินโดฯ 

เเม้จะเจอความท้าทายจากวิกฤตโควิด เเต่ดูเหมือนว่าธุรกิจแพลตฟอร์มนายหน้าประกันภัย จะได้รับอานิสงส์ที่ดีจากการที่ลูกค้าเริ่มเห็นความสำคัญในการซื้อประกันมากขึ้น

ในปี 2564 ที่ผ่านมา Rabbit Care มีเบี้ยประกันภัยเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 700 ล้านบาทในปี 2563 เป็น 1.9 พันล้านบาทในปี 2564 เพิ่มขึ้นถึง 166% เป็นแพลตฟอร์มนายหน้าประกันภัยที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย ขยายทีมงาน 300 คนสู่ 700 คนในปัจจุบัน

โดยประกันภัยรถยนต์ของบริษัท มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 212% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งมาจากการเข้าซื้อกิจการของโบรกเกอร์ ‘Asia Direct’ ขณะที่กลุ่มประกันสุขภาพ เติบโตขึ้น 261% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมถึงด้านประกันภัยองค์กรที่เติบโต 63%

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ผู้ถือหุ้นรายใหม่ผ่านรอบการลงทุน Series B ได้แก่ Samsung Ventures และ Korea Investment Partners

รีเเบรนด์ให้เข้าถึงง่าย 

Rabbit Finance (แรบบิท ไฟแนนซ์) เริ่มรีแบรนด์ดิ้งปรับภาพลักษณ์ใหม่เป็น Rabbit Care (แรบบิท แคร์) ตั้งเเต่ช่วงเดือนตุลาคม ปีที่ผ่านมา

ไมเคิล มันเฟรด สไตลเบิล ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท แรบบิท แคร์ จำกัด เล่าว่า นับเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ผู้คนได้รู้จักเเบรนด์มากขึ้น ให้มากกว่าการเป็นมาร์เก็ตเพลสของผลิตภัณฑ์ประกัน ซึ่งได้ร่วมมือกับเอเยนซี่เจ้าใหญ่อย่างโอกิลวี่เพื่อสื่อสารเเบรนด์ในรูปแบบใหม่

โดยจะมุ่งเน้นไปยังการให้คำปรึกษาเเละนำเสนอโซลูชันการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันและการเงินอย่างโปร่งใส ในขณะเดียวกันยังแสดงออกถึงความใส่ใจทุกความต้องการของลูกค้า

ในส่วนของการออกเเบบโลโก้ใหม่นั้นที่เป็นรูปหัวใจนั้น ได้แรงบันดาลใจมาจากหูของมาสคอตกระต่าย รวมถึงการเปลี่ยนสีประจำองค์กรให้เป็น “Caring Blue” ที่สื่อถึงความสงบ และดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ตลอดจนการเปลี่ยนสโลแกนของแบรนด์เป็นใช้ใจแคร์ ดูแลครบหรือ “Complete Care” ควบคู่ไปกับการนำเสนอมาสคอตน้องแคร์ในฐานะผู้จัดการความแคร์ สื่อให้เห็นถึงการดูแลและสนับสนุนลูกค้า

เราอยากจะเป็นทางเลือกเเรกที่ให้คอยคำปรึกษา เมื่อผู้คนคิดจะซื้อประกันหรือผลิตภัณฑ์การเงินใดๆ สร้างความรู้เเละความเข้าใจ ให้สามารถตัดสินใจเลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด ในราคาที่ดีที่สุด

เป้าปี 65 เบี้ยประกันภัย 3 พันล้าน เล็งขยายอาเซียน 

สำหรับภาพรวมของตลาดประกันภัยทั่วโลก และในประเทศไทย ปี 2565 คาดว่าจะทยอยฟื้นตัวจากโควิด-19

โดยตลาดประกันภัยในไทย อยู่ในระดับที่ยังสามารถดำเนินการได้ดีเเละมีโอกาสขยายตัวได้สูง เนื่องจากสัดส่วนเบี้ยประกันรวมยังอยู่ที่ 5.3% ของ GDP ถือว่าต่ำกว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อย่าง ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ เเละสิงคโปร์ ซึ่งมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 20.8%, 17.4% , 11.6% เเละ 9.5% ของ GDP ตามลำดับ

แนวโน้มของตลาดในเชิงบวกนี้ สอดคล้องไปกับแนวโน้มพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ของประชาชนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Rabbit Care คาดว่าการเติบโตของบริษัทในปีนี้ จะเเตะตัวเลข 2 หลัก ตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยเติบโตเเตะ 3 พันล้านบาท พร้อมตั้งเป้าหมายมีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) เบี้ยประกันวินาศภัยในระดับ 5-10% ในช่วง 10 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันครองมาร์เก็ตแชร์เพียง 1% เพราะยังเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีโอกาสเติบโตต่อไป

นอกจากนี้ ภายใน 18 เดือนข้างหน้า Rabbit Care มีเเผนจะขยายธุรกิจออกไปยังอาเซียนอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียด้วย

โดยในช่วงนี้จะมุ่งโฟกัสไปที่การสร้างเเพลตฟอร์มประกันเเละการเงินที่ครบวงจรให้เเข็งเกร่งก่อน ยังไม่ได้มองข้ามสเต็ปว่าจะขยายไปยังธุรกิจอื่น

พัฒนาระบบ ‘CareOS’ ช่วยลูกค้า ‘เปรียบเทียบ’ ได้ง่าย 

กลุ่มลูกค้าหลัก Rabbit Care ส่วนใหญ่จะเป็นวัยทำงาน อายุ 30-50 ปีมีกำลังซื้ออาศัยในเมืองเเละเเถบชานเมืองซึ่งมักจะเป็นคนดูเเลการซื้อประกันให้คนในครอบครัว โดยบริษัทมีเเผนจะขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้นทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่เเละคนต่างจังหวัด

โจฮันเนส ฟริดริค วอน โรห์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แรบบิท แคร์ จำกัด เปิดเผยถึงกลยุทธ์ธุรกิจในปีนี้ ว่าจะเน้นตลาดออนไลน์ โดยได้พัฒนาระบบ ‘CareOS’ ด้วยงบประมาณหลายสิบล้านบาท เพื่อเสนอดีลประกันภัยในราคาที่ดีที่สุดภายในเวลาไม่ภายใน 30 วินาที เชื่อมต่ออัตโนมัติกับระบบของพันธมิตรกว่า 70 รายเเละพร้อมมองหาพันธมิตรใหม่ๆ

ช่วยให้ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบและซื้อประกันภัยและผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้สะดวกสบาย ตรงกับความต้องการแบบเฉพาะบุคคลและประหยัดเวลา

นอกจากนี้จะมีเจ้าหน้าที่กว่า 300 คนให้คำปรึกษาผ่านการโทรและแชท ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ Care Emergency บริการช่วยเหลือเร่งด่วนสำหรับผู้ซื้อประกันรถยนต์ เเละ Health Caresultant บริการรับคำปรึกษาจากแพทย์สำหรับลูกค้าประกันสุขภาพ

Rabbit Care เตรียมจะขยายข้อเสนอผลิตภัณฑ์ในกลุ่มการประกันภัยรถยนต์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น ตลอดจนการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพในราคาที่เข้าถึงได้ เเละวางแผนที่จะเปิดตัวแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีความคุ้มครองทันทีภายในปีนี้

พอร์ตการเติบโตหลักของเราในปีนี้ จะมาจากธุรกิจประกัยรถยนต์ ตามมาด้วยประกันสุขภาพและประกันชีวิต

สำหรับการความท้าทายเเละการเเข่งขันในตลาด ผู้บริหาร Rabbit Care ยอมรับว่ามีการเเข่งขันสูงมากจึงต้องสร้างความเเตกต่างให้ได้เเละทำงานให้มีประสิทธิภาพ ทั้งการนำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วนชัดเจนโปร่งใส ง่ายต่อการเปรียบเทียบ นำมาสู่การเเข่งขันด้านราคา บริการเเละคุณค่าที่ให้กับลูกค้า โดยเร็วๆ นี้จะเปิดตัวโปรดักต์ใหม่มาลองตลาดด้วย

เร่งโปรโมตเเบบ 360 องศา 

ขณะที่ ชยพัทธ์ สกุลร่มโพธิ์ชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเชิงพาณิชย์ บริษัท แรบบิท แคร์ จำกัด กล่าวถึงกลยุทธ์การตลาดของ Rabbit Care ว่า จะมีการสื่อสารเเบบแบบครบวงจรบนแพลตฟอร์มออมนิแชแนลทั้งก่อนซื้อเเละดูเเลหลังการขายนำเสนอโปรโมชันต่างๆ ที่ดึงดูดใจ

อย่างในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ต้องทำให้ผลิตภัณฑ์ประกันภัยและการเงินเข้าถึงได้ง่ายขึ้น จึงได้จัดโปรโมชันด้วยข้อเสนอสุดคุ้ม ให้ลูกค้าได้ประหยัดสูงสุด 70% และซื้อเลยจ่ายทีหลังกับโปรโมชัน ผ่อน 0% นาน 10 เดือนเป็นต้น

นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาครั้งแรก ซึ่งจะโปรโมตผ่านทางทีวี สื่อนอกบ้าน ทางวิทยุ และออนไลน์ โดยเนื้อเรื่องจะเป็นการยกตำแหน่งให้บุคคลที่คอยทำหน้าที่จัดการเรื่องการประกันภัยและการเงินให้คนในครอบครัว เป็นเหมือน Chief Family Officer หรือ CFO

สำหรับเเนวโน้มการบริหารความเสี่ยงของธุรกิจประกันในไทย เขามองว่า จากนี้จะมีการเปลี่ยนเเปลงพอสมควร หลังเจอกรณีเจอ จ่าย จบโดยเทรนด์ของธุรกิจประกันจะเน้นไปที่การรุกตลาดเรื่องรักษาพยาบาลมากขึ้น เเละประกันสุขภาพจะเป็นตัวชูโรงในตลาดไทย

 

 

]]>
1373037
กางเเผน ‘เอ็กซ์สปริง’ ขอลุย ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ รับตลาดโตเร็ว เปิดลงทุนเเบบ One Stop Service https://positioningmag.com/1347432 Wed, 18 Aug 2021 11:58:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1347432 เปิดเเผนธุรกิจ ‘เอ็กซ์สปริง‘ หลังมีเงินทุนหมื่นล้าน ขอลุย ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ เต็มสูบ ปั้นเป็น New S-curve รับตลาดโลกขยายตัว พัฒนาแพลตฟอร์มให้ลงทุนเเบบ One Stop Service ได้เเทบทุกผลิตภัณฑ์ ประเดิมขายโทเคนดิจิทัล ‘สิริฮับ’ ก.ย.นี้

เอ็กซ์สปริงขยับมูฟใหม่อีกครั้งในปีนี้ หลังเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG เเละระดมทุนได้ 7,111 ล้านบาท รวมถึงการจับมือร่วมลงทุนกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่ฝั่งอสังหาฯอย่างแสนสิริ

ปัจจุบัน เอ็กซ์สปริงประกอบด้วย 5 กลุ่มธุรกิจการเงิน เเบ่งเป็น 1) ธุรกิจหลักทรัพย์ โดยบริษัท หลักทรัพย์กรุงไทยซีมิโก้ จำกัด 2) ธุรกิจจัดการกองทุน โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็กซ์สปริงจำกัด 3) ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ โดยบริษัท บริหารสินทรัพย์เอ็กซ์สปริงเอเอ็มซี จำกัด 4) ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยบริษัท เอ็กซ์สปริงดิจิทัล จำกัดเเละ 5) ธุรกิจจัดการเงินลงทุน

ระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเพิ่มทุนครั้งนี้ ทำให้เอ็กซ์สปริงมีสภาพคล่องทางการเงินสูง ด้วยเงินทุนจากสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม 3,094 ล้านบาท บวกสัดส่วนการเพิ่มทุนอีก 7,111 ล้านบาท รวมกันเเล้วเอ็กซ์สปริงมีเงินทุนในมือกว่า 10,000 ล้านบาท

ความเคลื่อนไหวสำคัญที่ต้องจับตามองคือ บริษัทกำลังเดินหน้าขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจเพิ่มอีก 4 ใบอนุญาต ได้แก่ นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Broker) ผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Dealer) ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (Private fund Management) และใบอนุญาตในการเป็นตัวแทนขายกองทุนรวม (LBDU)

เราจะสร้างระบบนิเวศการลงทุนของบริษัทให้สมบูรณ์มากที่สุด เพื่อเป็น One Stop Service ให้ลูกค้า โดยคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตภายในสิ้นปีนี้ หรือย่างช้าในต้นปี 2565″ 

วาง ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ เป็น New S-curve

สำหรับเงินทุนก้อนใหญ่ที่ได้มานั้น บริษัทชี้เเจงว่า จะนำไปพัฒนาธุรกิจในส่วน ธุรกิจดิจิทัล เพื่อมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนรูปแบบดิจิทัล และสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจสำหรับบริการด้านการเงิน 

อีกส่วนคือ ธุรกิจปัจจุบัน เพื่อขยายธุรกิจหลักทรัพย์และให้บริการโซลูชันทางการเงินแบบครบวงจรแก่ลูกค้า การสนับสนุนการลงทุนนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity) ขยายธุรกิจบริหารจัดการกองทุนและสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงและความสามารถด้านเทคโนโลยี ส่วนที่เหลือจะนำไปชำระคืนเงินกู้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

“ปีนี้เราวางแผนรุกธุรกิจครั้งใหญ่สู่การเป็น Digital Financial Service เปลี่ยนธุรกิจการเงินเดิมๆ สู่นวัตกรรมการเงิน โดยตั้งเป้าหมายว่า ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจะเป็น New S-curve ที่ช่วยสร้างการเติบโตใหม่ของบริษัท เสริมกับธุรกิจดั้งเดิม” 

ระเฑียร สรุปจุดแข็งของบริษัท เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด คือ  “พันธมิตร- เงินทุนที่แข็งแกร่ง และการมี 17 Licenses ในมือ” โดยเป็นพาร์ตเนอร์ที่มีความชำนาญในอุตฯ ของตัวเอง อย่างในวงการอสังหาริมทรัพย์คือ บมจ.แสนสิริ (SIRI) วงการประกันภัยคือ บมจ.วิริยะประกันภัย และ เอเลเวตเท็ด รีเทิร์นส์ (Elevated Returns) ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารหลักทรัพย์ วางโครงสร้างทางการเงิน และควบรวมกิจการ

“เราจะเติบโตด้วยบทบาทของการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางธุรกิจของเอ็กซ์สปริง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทหลักทรัพย์ มุ่งเน้นหุ้นขนาดกลาง (Mid-cap) เป็นหลัก การบริการครบวงจรสำหรับตลาดทุนและโซลูชันในการขายโทเคนดิจิทัล (ICO) สร้างความแข็งแกร่งให้กับทุนมนุษย์ (Human Capital)”

นอกจากนี้ จะต่อยอดพัฒนาประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ (AM) และการลงทุนในบริษัทที่อยู่นอกตลาด (PE) เพื่อดึงดูดกลุ่มมั่งคั่งที่มีจำนวนมากขึ้น ตลอดจนลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อเสนอขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบใหม่อีกด้วย

เตรียมเปิดลงทุนเงินดิจิทัลครบวงจร นำร่องด้วย ‘สิริฮับ’

สำหรับเทรนด์การเติบโตของ ธุรกิจการเงินดิจิทัล ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ล่าสุดมีมูลค่าถึง 40 ล้านล้านบาท หรือราว 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ 

ด้วยโอกาสนี้ เอ็กซ์สปริง จึงวางเเผนการเติบโตไปพร้อมตลาดโลกผ่านสินทรัพย์ที่จะมาแทนที่เงินสกุลต่างๆ เช่น คริปโทเคอเรนซี่ และการซื้อขายทองคำผ่านระบบดิจิทัล

โดยที่ผ่านมา ตลาดบิตคอยน์เติบโตกว่า 24 ล้านล้านบาท (8 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ) รวมทั้งตลาดแพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) และ Decentralized Finance ที่มีขนาดกว่า 11.7 ล้านล้านบาท (3.9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ) และ 1.35 ล้านล้านบาท (45,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตามลำดับ ส่วน Utility Token และ Security Token ก็ยังเป็นการเงินดิจิทัลที่มีการเติบโตสูงเช่นกัน ด้วยขนาดตลาดในปัจจุบันที่สูงถึง 1.95 ล้านล้านบาท (64,000 ล้านเหรียญสหรัฐ)

ทั่วโลกยังนำโทเคนดิจิทัลและระบบบล็อคเชนมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม อย่างโทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ดั้งเดิม เช่น ทอง ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

“เมื่อเราได้ไลเซ่นส์ครบ ลูกค้าจะสามารถเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ได้เเทบทุกอย่างในที่เดียว ไม่ใช่เฉพาะหุ้น พันธบัตร หุ้นกู้ คริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคน เท่านั้น โดยเอ็กซ์สปริงจะทำแพลตฟอร์มในรูปแบบ Open Architecture” 

บริษัทกำลังเตรียมเสนอขายผลิตภัณฑ์สินทรัพย์ดิจิทัลผลิตภัณฑ์แรก คือ โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน ‘สิริฮับ’ (SiriHub Investment Token) คาดจะเปิดขายในเดือนก.ย. นี้  ต่อมาจะเปิดนักลงทุนสามารถซื้อขายโทเคนดิจิทัลของ บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด (ERX) ซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัท โดยใช้เงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10 บาทต่อเหรียญ

สำหรับผลประกอบการของ ‘เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล’ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มีรายได้รวม ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนแล้ว 167 ล้านบาท สูงกว่ารายได้รวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนของทั้งปี 2563 ที่มีจำนวนรวม 141 ล้านบาท กำไรสุทธิฯ อยู่ที่ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 791% โดยทางผู้บริหาร คาดว่าบางธุรกิจมีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ได้ในช่วงกลางปีหน้า

 

]]>
1347432
‘กรุงศรี คอนซูมเมอร์’ ยกเครื่องดิจิทัล หาลูกค้าบัตรเครดิตทางออนไลน์ คุม ‘หนี้เสีย’ พุ่ง https://positioningmag.com/1319604 Tue, 16 Feb 2021 11:06:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1319604 วิกฤต COVID-19 ส่งผลต่อยอดการใช้จ่าย กระทบธุรกิจบัตรเครดิตสินเชื่อส่วนบุคคลกรุงศรี คอนซูมเมอร์ประกาศเเผนกลยุทธ์ปี 2564 ยกเครื่องสู่ดิจิทัลเต็มสูบ หาลูกค้าทางออนไลน์ คุมหนี้เสียเข้มงวดออกบัตร จับมือพันธมิตรหารายได้ใหม่ ตั้งเป้าปีนี้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเริ่มฟื้นตัวที่ 305,000 ล้านบาท

โดยในปี 2563 ที่ผ่านมากรุงศรี คอนซูมเมอร์ ผู้ให้บริการบัตรเครดิตกรุงศรี บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ บัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน และบัตรเครดิตเทสโก้ โลตัส วีซ่า มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตรวมทั้งสิ้น 280,000 ล้านบาท (-11% เทียบกับปี 2562) ยอดสินเชื่อใหม่ 79,000 ล้านบาท (-21%) ยอดสินเชื่อคงค้าง 144,000 ล้านบาท (-4%)

ส่วนจำนวนบัญชีลูกค้าใหม่อยู่ที่ 488,000 ราย ลดลงถึง -51% จากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 9 เเสนบัญชี โดยมีปัจจัยหลักๆ มาจากพิษเศรษฐกิจที่ตกต่ำ พนักงานประจำซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ มีรายได้ลดลง หลายคนต้องอยู่ในภาวะตกงาน

โดยหมวดการใช้จ่ายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ประกันภัย , ไฮเปอร์มาร์เก็ตเเละซูเปอร์มาเก็ต ,อุปกรณ์แต่งบ้านเครื่องใช้ในครัวเรือน , น้ำมัน , ช้อปปิ้งออนไลน์กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ , ห้างสรรพสินค้า , โรงพยาบาล , สินค้าเเฟชั่น , อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เเละเครื่องใช้ไฟฟ้า , อาหารเเละเครื่องดื่ม

ด้าน 5 หมวดใช้จ่ายผ่านบัตรที่เติบโตมากที่สุดในปี 2563 ได้เเก่ ช้อปปิ้งออนไลน์ , โทรศัพท์มือถือ WiFi เเละอินเทอร์เน็ต , ร้านสะดวกซื้อ , ร้านขายยา , ไฮเปอร์มาร์เก็ตเเละซูเปอร์มาเก็ต

ยอดใช้จ่ายในหมวดช้อปปิ้งออนไลน์ ติดอันดับ 5 ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรสูงสุด มีอัตราการเติบโตถึง 50% แซงหมวดห้างสรรพสินค้า ทำให้เห็นถึงเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

กาง 4 กลยุทธ์ ยกเครื่องสู่ดิจิทัล 

ณญาณี  เผือกขำ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เปิดเผยถึงแผนการกำเนินธุรกิจ ‘2021 Business Direction’ ว่า จากเเนวโน้มสภาวะตลาดโดยรวม ยังต้องเผชิญกับผลกระทบโรคระบาด ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจ ภาวะการว่างงาน และทำให้กำลังซื้อลดลง รวมถึงอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น

ตัวเลข NPL ของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ณ ไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 สินเชื่อบัตรเครดิตอยู่ที่ 1.2% สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อผ่อนชำระ อยู่ที่ 3.4% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม

มองว่าจากมาตรการช่วยเหลือลูกค้าต่อเนื่องระยะที่ 1-2 ในปีที่ผ่านมา และต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี 2564 จะทำให้ NPL ไม่ได้เร่งเพิ่มขึ้นรุนแรงมากนัก

คาดว่าจะเห็นอัตรา NPL ของบัตรเครดิตปรับตัวขึ้นสูงสุดในช่วงเดือนมกราคมมีนาคมของปีนี้ เเละ NPL ของสินเชื่อส่วนบุคคล จะขยับไปอยู่ที่ระดับ 4%

ณญาณี เผือกขำ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์

ผู้บริหารกรุงศรี คอนซูมเมอร์ บอกว่า ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด ยังมีโอกาสใหม่ๆ ของธุรกิจจากพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีของคนไทย

โดยมองว่าจะเป็นตัวเร่งให้สังคมไทยก้าวสู่การเป็นสังคมไร้เงินสดได้แบบก้าวกระโดด จึงเป็นที่มาของการปรับเเผนธุรกิจครั้งใหญ่ ซึ่งจะเน้นไปที่การบริหารคุณภาพสินเชื่ออย่างรัดกุม พร้อมดูแลช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยได้วางกลยุทธ์หลักๆ 4 ประการ ดังนี้

  • พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เช่น การใช้ระบบดิจิทัลและการนำหุ่นยนต์มาใช้ในกระบวนการทำงานที่มีการทำซ้ำ (Robotic Process Automation-RPA) ซึ่งช่วยลดชั่วโมงการทำงานได้ 2,833 ชั่วโมงต่อเดือน พร้อมพัฒนา ‘AI มะนาว’ เเละบริการอื่นๆ บนแอปพลิเคชั่น UCHOOSE ที่ปัจจุบันมียอดใช้งานราว 6 ล้านคน
  • นำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกมาใช้ (Data Intelligence Capabilities) เพื่อให้เข้าใจความต้องการของลูกค้า และนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจลูกค้ายิ่งขึ้น
  • ร่วมมือกับบริษัทในเครือกรุงศรีฯ และพันธมิตรชั้นนำทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสการขยายฐานลูกค้า และแสวงหาแหล่งรายได้ใหม่
  • พัฒนาศักยภาพบุคลากร เพื่อก้าวให้ทันโลกธุรกิจยุคใหม่ มีการเทรนนิ่งผ่านระบบการเรียนออนไลน์ ส่งเสริมให้ใช้เครื่องมือดิจิทัล

สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจการเติบโตในปี 2564 กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตร อยู่ที่ 305,000 ล้านบาท หรือเติบโต 9% ยอดสินเชื่อใหม่ 88,000 ล้านบาท เติบโต 11% ยอดสินเชื่อคงค้าง 148,000 ล้านบาท เติบโต 3% และจำนวนลูกค้าใหม่ 583,000 ราย เติบโต 19%

“จะเน้นไปในกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้ใช้สินเชื่อ เเละจะมีการหาลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น” 

โดยเป้าจำนวนลูกค้าใหม่ของปี 2564 ที่ตั้งไว้ราว 5 เเสนรายนั้น ยังถือว่า ‘ต่ำกว่า’ ระดับก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤต COVID-19 ที่จะอยู่ประมาณ 900,000 ราย (ปีที่เเล้วอยู่ที่ 4.8 เเสนราย) ซึ่งหากมองดูจากสถานการณ์ เห็นว่า สภาพเศรษฐกิจเเละอัตราหนี้ครัวเรือนที่สูง ‘ไม่เอื้อต่อการเพิ่มบัตรใหม่มากนัก’

ส่วนการเเข่งขันในตลาดบัตรเครดิตปีนี้ ผู้บริหารกรุงศรี คอนซูมเมอร์ มองว่าจะมีการเเข่งขันที่สูง มีการทุ่มออกโปรโมชั่นจูงใจต่างๆ เเต่ด้วยกำลังซื้อที่ลดลงตามสถานการณ์ ก็ต้องยอมรับว่าปีนี้ยังเป็นปีที่ท้าทาย บริษัทจึงจะเน้นไปที่การช่วยเหลือลูกค้าเก่าให้อยู่ได้ ยืดระยะเวลาการผ่อนชำระ และไม่สนับสนุนให้ลูกค้าใช้จ่ายเกินความจำเป็น

 

]]>
1319604
เปิดเเผน 3 ปี ‘กรุงศรี’ รุกอาเซียน ทุ่ม 8.5 พันล้านลงทุนดิจิทัล ดัน ‘เงินติดล้อ’ เข้าตลาดหุ้น https://positioningmag.com/1317776 Wed, 03 Feb 2021 13:11:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1317776 เเบงก์กรุงศรีประกาศแผนธุรกิจระยะกลาง 3 ปี รุกหนักลงทุนอาเซียน ไม่หวั่นความไม่เเน่นอนทางการเมือง ทุ่มงบดิจิทัล 8,000-8,500 ล้านบาทต่อปี ตั้งเป้าสินเชื่อโต 3-5% เน้นธุรกิจใหญ่ คุมหนี้เสียไม่เกิน 2.7% คงนโยบายตั้งสำรองสูง เดินหน้าส่ง ‘เงินติดล้อเข้า IPO ตลาดหุ้นไทย

กรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY ในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) ประกาศแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ปี 2564 – 2566

เซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAY กล่าวถึง ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่า การเติบโตยังคงชะลอตัว จากผลกระทบของการระบาด COVID-19 ระลอกใหม่ เเต่ก็ยังมีปัจจัยหนุนให้เติบโตได้ อย่าง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เเละการกระจายวัคซีน

ความท้าทายที่สุดของปีนี้ ยังคงเป็นเรื่อง COVID-19 คาดว่าในช่วงไตรมาส 2 กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ จะกลับมาเเละฟื้นตัวดีขึ้น

โดยแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ดังกล่าว จะเน้นให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ดีขึ้น ควบคู่กับการเร่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดใหม่ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ผ่านกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจ 5 ประการได้เเก่

1) ปฏิรูปธุรกิจลูกค้ารายย่อยให้เป็นหนึ่งเดียว (One Retail Transformation) โดยอาศัยฐานข้อมูลลูกค้าขนาดใหญ่ของกรุงศรี เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงความต้องการเฉพาะตัวของลูกค้า

2) เสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจด้านลูกค้าธุรกิจ (Commercial Business Enhancement) ผ่านการเร่งสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับห่วงโซ่ธุรกิจและการให้บริการข้ามกลุ่มลูกค้า

3) สร้างระบบนิเวศของกรุงศรีเองและการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ (Ecosystem and Partnership) เพื่อขยายฐานลูกค้า

4) ขยายธุรกิจสู่ระดับภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Expansion) เปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ สำหรับกรุงศรีและลูกค้าในตลาดอาเซียน โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการลงทุนและการช่วยเหลือลูกค้าในการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในอาเซียน

5) การสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ (New Revenue Stream) โดยอาศัยความแข็งแกร่งและศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาของกรุงศรีในการพัฒนานวัตกรรมโซลูชั่นใหม่ๆ

เซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

ทุ่มงบดิจิทัล 8,000-8,500 ล้านบาทต่อปี

ซีอีโอกรุงศรี มองว่า การพัฒนาศักยภาพทางด้านดิจิทัล เป็นหัวใจสำคัญในการแสวงหาเทคโนโลยีใหม่เเละจะช่วยผลักดันกลยุทธ์ต่างๆ ให้ไปสู่เป้าหมาย เพราะต่อไป ‘องค์กรจะขับเคลื่อนด้วยข้อมูล’

ธนาคารจึงได้ตั้บงบประมาณในการลงทุนด้านไอที ราว 8,000-8,500 ล้านบาทต่อปี โดยส่วนใหญ่จะลงทุนในด้าน ‘Big Data’ พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างระบบนิเวศเทคโนโลยี และต่อยอดการเป็น ‘ดิจิทัลเเบงกิ้ง’ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดต่างประเทศ

ตั้งเป้าสินเชื่อ 3-5% เน้นธุรกิจใหญ่

สำหรับเป้าหมายทางการเงินในปี 2564 กรุงศรีฯ หวังว่า การเติบโตของสินเชื่อจะอยู่ที่ระดับ 3-5% ซึ่งจะเน้นไปที่สินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ราว 5-6% และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และรายย่อยอยู่ที่ 3-4%

ด้านต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 3.1-3.3% การเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา และจะพยายามควบคุมคุณภาพหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้ไม่เกิน 2.7%

ขณะที่การตั้ง ‘สำรองหนี้สงสัยจะสูญ’ ในปีนี้ กรุงศรียังใช้นโยบายการตั้งสำรองในระดับสูงเช่นเดิม เเต่ตัวเลขน่าจะต่ำลงเมื่อเทียบกับปีก่อน

ทั้งนี้ รายงานผลประกอบการในปี 2563 กรุงศรีมีกำไรสุทธิจำนวน 23,040 ล้านบาท ลดลง 14.5% เมื่อเทียบกับปี 2562 อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ 42.52% สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 2% และอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 175.12% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนอยู่ที่ 19.10%

Photo : Shutterstock

ดันขาย IPO เงินติดล้อ 

สำหรับความคืบหน้าการเข้าตลาดหุ้นไทยของบริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ NTL ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าของธนาคารกรุงศรีที่ถือหุ้นอยู่ 50% และ Siam Asia Credit Access Ple Ltd (SACA) ถือหุ้นอยู่ 50%

ดวงดาว วงศ์พนิตกฤต ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า อยู่ระหว่างการดำเนินการออกและเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) และจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

“ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการรอสำนักงาน ก.ล.ต. อนุมัติไฟลิ่ง คาดว่าจะใช้เวลาในการอนุมัติใน 6 เดือน ซึ่งภายหลังการอนุมัติ บริษัทจะดำเนินการภายในเวลาอีก 1 ปี ดังนั้นระยะเวลาปิดรายการแล้วเสร็จ น่าจะเห็นภายในสิ้นปีนี้ หรือกลางปี 2565” 

ด้าน ‘ราคา’ กำลังพิจารณาอยู่นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะต้องดูความสนใจของตลาดเเละมหาชนเป็นหลัก โดยกรุงศรีจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเป็นไม่ต่ำกว่า 30%

รุกลงทุนอาเซียน ไม่หวั่นการเมือง ‘ไม่เเน่นอน’

สำหรับเศรษฐกิจในอาเซียนนั้น กรุงศรี ประเมินว่า จะมีการฟื้นตัวเร็ว เเละจะขยายตัวอย่างแข็งแกร่งกว่าภูมิภาคอื่น ด้วยอานิสงส์จากต่างประเทศ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การลงทุนของภาครัฐ และการขยายเศรษฐกิจสู่ระดับภูมิภาค โดยมองว่าตลาดอาเซียนจะเติบโตสูง หลังวิกฤตโรคระบาด

ส่วนเศรษฐกิจโลก จะเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่การระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้ความเสี่ยงในภาคอุตสาหกรรมบริการเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ความแข็งแกร่งของภาคการผลิต ประกอบกับมาตรการต่างๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จะยังคงเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ

เมื่อถามว่า ความไม่เเน่นอนทางการเมืองในอาเซียน ส่งผลต่อการลงทุนของธนาคารหรือไม่นั้น ผู้บริหารกรุงศรีตอบว่า

“การลงทุนในประเทศ Emerging Market ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องการเมืองที่ไม่เเน่นอน เเต่ไม่ได้ทำให้เป้าหมายใหญ่เปลี่ยนไป เพราะธนาคารเน้นมองในภาพใหญ่และเป็นเป้าหมายในระยะยาวมากกว่า ซึ่งตลาดอาเซียนมีเเนวโน้มเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไปเเละเป็นโอกาสสำคัญในการลงทุน” 

เเผนการขยายธุรกิจในอาเซียนของธนาคารกรุงศรีฯ

ในปีที่ผ่านมา กรุงศรีขยายฐานธุรกิจไปยังภูมิภาคอาเซียน เช่น การยกระดับ Hattha Kaksekar Ltd. บริษัทไมโครไฟแนนซ์เครือกรุงศรีในกัมพูชาขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์ Hattha Bank Plc. รวมถึงการเข้าซื้อหุ้น 50% ในบริษัท SB Finance Company, Inc. (SBF) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครือ Security Bank Corporation (SBC) หนึ่งในธนาคารชั้นนำของฟิลิปปินส์ การลงทุนและสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับ Grab

โดยจะเน้นไปที่ตลาด ‘สินเชื่อรายย่อย’ เพื่อเข้าถึงประชากรในอาเซียนที่มีจำนวนมาก ในยามที่คู่เเข่งยังไม่เยอะ

 

 

]]>
1317776
GDH ครองตลาดหนังไทย รายได้ 471 ล้าน เปิดกลยุทธ์ 2020 ลุยหนัง-ซีรีส์-ปั้นศิลปินใหม่ https://positioningmag.com/1262597 Thu, 30 Jan 2020 19:25:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1262597 เเม้ทุกวันนี้คนไทยจะดู “หนังไทย” กันน้อยลง ถึงขั้นซบเซา เเต่ค่ายหนังขวัญใจวัยรุ่นอย่าง “GDH” ก็ยังครองกระเเส ส่งหนัง 3 เรื่อง ติดท็อปทำรายได้สูงสุดของปี 2019 ยอดทิ้งห่างหนังไทยเรื่องอื่นไปหลายเท่า

“ตุ๊ดซี่ส์ & เดอะเฟค” เป็นหนังไทยที่ทำเงินสูงสุดในปี 2019 ด้วยรายได้141 ล้านบาท รองลงมาคือเรื่อง “Friend Zone ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน” อยู่ที่ 134 ล้านบาท และ “ฮาวทูทิ้ง…ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ” มีรายได้ที่ 57 ล้านบาท

มองกลับมาที่ “หนังไทย” ตลอดปี 2019 ไม่ค่อยสดใสนัก โดยมีออกฉายราว 40 เรื่อง ทำรายได้รวมทั้งหมดประมาณ 711 ล้านบาท ลดลง 14% เฉลี่ยต่อเรื่องทำรายได้เพียง 15 ล้านบาทเท่านั้น จากปีก่อนอยู่ที่ 18-19 ล้านบาท

เเละที่น่าตกใจคือ “มีหนังไทยกว่า 17 เรื่องที่ทำรายได้น้อยกว่า 1 ล้านบาท”

ขณะที่ “ภาพรวมตลาดหนังที่ฉายในไทย” อยู่ที่ 4,700 ล้านบาท โตขึ้น 4% จากมาจากหนังต่างประเทศเป็นหลัก สะท้อนว่าคนไทยไม่มีหนังไทยที่อยากดูเเละชอบดูหนังต่างประเทศมากกว่า

อย่างไรก็ตาม เเม้ตลาดหนังไทยจะดูซึมๆ เเต่ ” GDH” ก็โตสวนทางตลาด ด้วยรายได้รวมอยู่ที่ 471.29 ล้านบาท ในปี 2019 เติบโตจากปี 2018 ประมาณ 12%

GDH เเละ นาดาวบางกอก วางทิศทางธุรกิจเเละเเผนการตลาดอย่างไร รวมถึงตั้งเป้าจะทำโปรเจ็กต์อะไรต่อไปในปี 2020-21 วันนี้ “จินา โอสถศิลป์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า เเละ “ทรงยศ สุขมากอนันต์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท นาดาว บางกอก จำกัด หรือ “ย้ง” หนึ่งในผู้กำกับหนังไทยในตำนานอย่าง “เเฟนฉัน” ที่ขยับมาเป็นผู้บริหาร จะมาให้คำตอบนี้…

ทุ่มการตลาด เข้าถึงทุกเเพลตฟอร์ม 

“การทำหนังเรื่องหนึ่งของ GDH มีต้นทุนราว 45-50 ล้านบาท แบ่งเป็นทุนสร้าง 20-30 ล้าน ส่วนที่เหลือคืองบสำหรับทำการตลาด”

ผู้บริหาร GDH บอกว่าในยุคสมัยนี้ เเม้จะทำหนังออกมาดีเเค่ไหน เเต่หากขาดการโปรโมท เเละการสร้างการรับรู้ที่เข้าถึงก็อาจจะ “ขาดทุน” ได้

ในปี 2020 นี้ GDH จึงเปิดบริษัทในเครือขึ้นมาใหม่ เพื่อดูเเลด้านการโปรโมทโดยเฉพาะอย่าง บริษัท น้ำดีไม้งาม จำกัด เเละ บริษัท งานดีทวีสุข ดูแลงานพีอาร์และอีเว้นท์ ซึ่งน้ำดีไม้งามได้ “เดียว วิชชพัชร์ โกจิ๋ว” มานำทีม ดูแลในเรื่องการโปรโมตหนังและคอนเทนต์ให้กับ GDH เป็นหลักรวมถึงงานของรัชดาลัยเธียเตอร์ และงานของเบิร์ด-ธงไชย

กลยุทธ์หลักของ GDH ปีนี้คือ “ต้องการให้คอนเทนต์เข้าถึงทุกแพลตฟอร์ม” จึงจะขยายเพิ่มขึ้นอีก 1 แอปพลิเคชั่น คือ iQiYi จากจีนที่มาเปิดในไทย จากปัจจุบันที่ผู้ชมสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ GDH ได้หลายแพลตฟอร์มอย่าง WeTV, Viu, Netflix, Line TV, HOOq และ AIS PLAY เป็นต้น

“จินา โอสถศิลป์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า (ขวา)

เมื่อคนดูหนังเปลี่ยน…คนทำหนังต้องปรับตาม

“ทุกวันนี้หนังมีอายุอยู่ในโรงสั้นลง จากเดิมที่เฉลี่ยเคยอยู่ในโรงประมาณ 4 สัปดาห์ ลดลงมาเหลือเเค่ 2 สัปดาห์”

ผู้บริหาร GDH อธิบายเพิ่มว่า “เมื่อก่อนคนดูจะมาแบบแบ่งกันเป็น 3 ล็อตใหญ่ คือสัปดาห์แรก สัปดาห์ที่ 2
เเละสัปดาห์ 3 บางทีลากยาวเป็นเดือน เเต่ตอนนี้คนดูส่วนใหญ่เทไปอยู่สัปดาห์แรกกันหมด บางครั้งถ้ากระแสของหนังดี สัปดาห์แรกของการเข้าฉายก็อาจเป็นรายได้ 65% ทั้งหมดของหนังเลยก็ได้”

ส่วนปัจจัยที่คนไทยดูหนังในโรงน้อยลงนั้น จินามองว่า คอนเทนต์ไทยมีให้ดูฟรีมากมายในหลายช่องทาง บวกกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ปัญหารถติด รวมถึงสภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดี มีส่วนทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น การดูหนังนอกบ้านจึงลดลงตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม การฉายหนังยุคนี้ก็มีข้อดีคือ การมีจำนวนโรงภาพยนตร์ให้ฉายมากขึ้น ก็ย้อนกลับมาที่บริษัททำหนังต้อง “โปรโมต” ให้ดีเพื่อดึงกระเเสสัปดาห์เเรกให้มากที่สุดนั่นเอง

เปิดโปรเจกต์ใหญ่ปี 2020 ส่งซีรีส์เจาะตลาดจีน 

GDH จะมี 3 โปรเจกต์ใหญ่ในปี 2020 เเบ่งเป็นภาพยนตร์ 2 เรื่อง โดยจะเป็นภาพยนตร์เเนว thiller horror กำกับโดย กอล์ฟ-ปวีณ ออกฉายในช่วงเดือน ส.ค. เเละภาพยนตร์เเนวโรเเมนติก คอมเมดี้ ที่กำกับโดย เมษ-ธราธร จะออกฉายในเดือน ธ.ค.นี้

ส่วนอีกโปรเจกต์คือ “ซีรีส์” โดยปีนี้ทุกคนจะได้ดู “ซีรีส์ฉลาดเกมส์โกง” ในเดือน ส.ค. ทางช่องวัน 31 นับเป็นครั้งเเรกที่จะฉายซีรีส์คู่ขนานไปพร้อมกับประเทศจีน และนำมาฉายย้อนหลังในช่องทาง WeTv ของ Tencent

โดย “ฉลาดเเกมโกง” เป็นภาพยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในจีน จนมีนักลงทุนสนใจติดต่อให้ทำต่อเนื่องเป็นซีรีส์เพื่อตีตลาดจีนโดยเฉพาะ

“ในปีต่อไป (2021) เราจะกลับมาทำหนังอย่างเต็มที่ ซึ่งตอนนี้เตรียมไว้เเล้ว 4 โปรเจกต์ อยากจะฉายให้ได้ทุกไตรมาส เเละมีเรื่องของการร่วมทุนกับต่างชาติในเอเชียด้วย”

กลุ่มลูกค้าหลักของ GDH และนาดาว คือคนช่วงวัย 15-30 ปี เเละเป็นความท้าทายของที่จะดึงคนนอกเหนือช่วงวัยนี้ให้เข้าถึงคอนเทนต์ของบริษัทให้ได้

จินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า (ซ้าย) – ทรงยศ สุขมากอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นาดาว บางกอก จำกัด (ขวา)

ภารกิจปั้นเด็กใหม่ ดันกระเเส Nadao Music

ด้านผู้กำกับมือทองที่ผันตัวไปเป็นผู้บริหารอย่าง “ย้ง ทรงยศ” บอกถึงก้าวต่อไปของนาดาวบางกอก บริษัทในเครือ GDH ที่เกิดขึ้นมาเพื่อสำหรับดูแลศิลปินและนักแสดงในค่าย ขยายต่อในงานโปรดักส์ชั่นเเละสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งเปิดมานานกว่า 10 ปีเเล้ว

ในปี 2562 นาดาวบางกอกมีรายได้อยู่ที่ 370 ล้านบาท เติบโตขึ้น 52.71% ซึ่งรายได้กว่า 70% นั้นมาจากการดูแลศิลปิน ส่วนที่เหลืออีก 30% เป็นรายได้ที่มาจากฝ่ายโปรดักชั่น

“ส่วนโปรดักส์ชั่นเราโตขึ้น 34% จากซีรีส์ Greatmen Academy และละครรักฉุดใจนายฉุกเฉิน”

นับตั้งเเต่เริ่มทำซีรีส์ “ฮอร์โมนส์วัยว้าวุ่น” มาจนถึง “เลือดข้นคนจาง” ประสบความสำเร็จ ศิลปินในค่ายโด่งดังเป็นที่ รู้จัก เเต่มีงานต่อยอดมากมายทั้งพรีเซ็นเตอร์เเละงานเพลง

“ซีรีส์เรื่องเลือดข้นคนจาง ทำให้รายได้ของนาดาวบางกอก ในปี 2018 โตขึ้นจากปี 2017 ถึง 200%”

ปีนี้นาดาวจะมุ่งเน้นไปกับการสร้างศิลปินหน้าใหม่ขึ้นมา ผ่านโครงการ Nadao Academy ค้นหาเด็กฝึกมาเป็นศิลปิน นักแสดงในสังกัด โครงการเวิร์คช็อป เขียนบท ส่งนักแสดงร่วมงานช่องอื่นๆ อย่าง ช่องวัน 31 GMM25
และช่อง 3 รวมทั้งเพิ่มพาร์ตเนอร์ OTT แพลตฟอร์ม และแบรนด์ต่างๆ ซึ่งน่าจะมีการร่วมโปรเจกต์กันมากขึ้น

ทรงยศ สุขมากอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นาดาว บางกอก จำกัด

หลังจากเพลง “รักติดไซเรน” ดังทั่วบ้านทั่วเมือง นาดาวก็จะต่อยอดกระเเสนี้ด้วย ยูนิต Nadao Music ดึงศิลปินอย่างเบล-สุพล มาเป็นโปรดิวเซอร์หลัก ซึ่งในปีนี้จะปล่อยซิงเกิลของศิลปินอย่าง ของเจเจ , ไอซ์ พาริส, บิวกิ้น, แพรวา เป็นต้น

หากมองดูการเเบ่งส่วนหารายได้ของ GDH จะพบว่าได้เเยกย่อยเป็นบริษัทลูกในเครือที่หลากหลาย อย่างนาดาวบางกอก ที่มีรายได้หลักจากการดูเเละศิลปิน ขยายไปรับงานโปรดักชั่น ส่วนสวัสดีทวีสุขเเละเสียงดีทวีสุข ก็ให้บริการด้านภาพเเละเสียง รับทำงานให้ลูกค้านอกบริษัทได้ นับเป็นอีกกลยุทธ์หารายได้อีกทางของ GDH โดยเป็นการปั้น “ลูกหม้อ” คนที่ทำงานในบริษัทมานานให้เติบโตขึ้นมาทำหน้าที่ดูเเลบริหารในส่วนต่างๆ

“ปัญหาของเราตอนนี้คือ ปั้นคนทำงานขึ้นมาไม่ทัน” ทรงยศกล่าวเเละทิ้งท้ายถึงอุตสาหกรรมหนังในประเทศว่า “เราอยากให้วงการหนังไทยโตไปด้วยกัน ถ้าเเค่ GDH โตเจ้าเดียวเเล้วคนทำหนังคนอื่นขาดทุน วงการนี้ก็ลำบาก”  

]]>
1262597
อ่านเกม “กู๊ดเยียร์” 2020 บุกยางรถกระบะ ขยายตลาดต่างจังหวัด ดัน “บัวขาว” พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ https://positioningmag.com/1257218 Mon, 16 Dec 2019 11:32:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1257218 เเม้อุตฯ รถยนต์จะอยู่ในช่วงขาลง เเต่ “กู๊ดเยียร์ ประเทศไทย” ยังเดินหน้าขยายลงทุนโรงงานเฟส 2 พร้อมเปิดตัว Cargo Max ยางพรีเมียมเจาะกลุ่มรถกระบะเเละรถตู้ อัดเเคมเปญการตลาดในปี 2020 ดึง “บัวขาว” นักชกขวัญใจชาวไทยขึ้นเเท่นพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ สะท้อนความอึดความทน 

เรียกได้ว่าเตรียมเดินเกมการตลาดอย่างหนัก เพราะกู๊ดเยียร์ห่างหายจากการโปรโมตผ่านคนดังมานาน นับตั้งเเต่ “ ก้อง-สหรัถ” พรีเซ็นเตอร์คนแรกของกู๊ดเยียร์ในไทย เมื่อปี 2556 ที่มาพร้อมยางเอฟฟิเชี่ยนกริป เอสยูวี ชูจุดขายเป็นยางเงียบที่สุดและนุ่มที่สุด เข้ากับคาเเร็กเตอร์ของหนุ่มก้อง ผ่านมาหลายปีก็มาถึง บัวขาว บัญชาเมฆ ยอดนักมวยดุดัน เข้าคาเเร็กเตอร์กับยางรถกระบะรุ่นใหม่ชูความทนอย่าง Cargo Max เช่นกัน 

เปิดตัว Cargo Max เอาใจคนรักระกระบะ-รถตู้ 

ยางรถกระบะ Cargo Max ที่กำลังจะจำหน่ายทั่วประเทศในเดือนมกราคม ปี 2020 นี้ โดยออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับรถกระบะและรถตู้ เน้นจุดขายเรื่องความทนทาน ทางกู๊ดเยียร์เคลมว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่ายางคู่แข่งถึง 20% ซึ่งผ่านการทดสอบทั้งในสหรัฐฯ เเละในไทย

ความสำคัญของยางตัวนี้ได้มีการใช้เทคโนโลยีแมกซ์โหลด (MaxLoad) เทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของกู๊ดเยียร์ ทำให้ขีดความสามารถในการรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น และเหมาะสมกับทุกสภาพถนนในไทย ออกแบบหน้ายาง และปรับปรุงเนื้อยางสูตรพิเศษ ที่ช่วยลดการสึกหรอเเละยังรักษาคุณสมบัติเรื่องการยึดเกาะบนถนนเปียก การรีดน้ำได้เป็นอย่างดี ซึ่งเหมาะกับฤดูฝนของประเทศไทย

ทำไมเลือกรุกตลาดรถกระบะ? 

ผู้บริหารกู๊ดเยียร์ ประเทศไทย บอกว่า Cargo Max เกิดขึ้นจากการค้นหาว่าอะไรคือ Pain point และ Unmet needs ของลูกค้า พบว่า กระบะเป็นรถที่ใช้ 1 ใน 3 ของไทย ที่สำคัญนอกจากใช้เพื่อการขนส่งแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน จึงมีการใช้งานที่หนัก ดังนั้นต้องหายางที่มีความทนทานใช้ได้นาน ซึ่งกู๊ดเยียร์ต้องการตอบโจทย์นี้

ก่อนหน้านี้ กู๊ดเยียร์ได้ตีตลาดกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เเละกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ไปเเล้ว จึงต้องขยายให้ครอบคลุมสู่รถกระบะ เเละมองว่าเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ใช้ขยายฐานลูกค้าในต่างจังหวัดที่นิยมใช้รถกระบะมากกว่าในเมือง ให้เข้ากับเเผนขยายช่องทางการขายที่ในปีหน้าตั้งเป้าจะมีร้านตัวเเทนจำหน่ายให้ถึง 1,000 ร้านทั่วประเทศด้วย 

“ปัจจุบันเรามียางรุ่น แอสชัวแรนซ์ ทริปเปิลแมกซ์ (Assurance TripleMax) สำหรับกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และ แรงเลอร์ ทริปเปิลแมกซ์ (Wrangler TripleMax) สำหรับกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) การเปิดตัวกู๊ดเยียร์ Cargo Max สำหรับกลุ่มรถกระบะและรถตู้ จึงทำให้ยางในตระกูลแมกซ์ครอบคลุมทุกกลุ่มการใช้งานในกลุ่มยางพรีเมียมของลูกค้า”

“บัวขาว” พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ สะท้อนความอึด 

ล่าสุดกู๊ดเยียร์ ประเทศไทย ได้ดึงยอดนักชกขวัญใจมหาชนอย่าง “บัวขาว บัญชาเมฆ” มาเป็นแบรนด์พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ เพื่อต้องการสื่อถึงความแข็งแกร่ง ทนทาน

ลูก้า เครปาโชลี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกว่า

“บัวขาวมีความเหมาะสมกับแบรนด์กู๊ดเยียร์ เป็นยอดนักชกที่โด่งดังท่ามกลางบรรดายอดนักชกมวยไทยมากว่า 30 ปี พร้อมทั้งมีสถิติคว้าชัยชนะในการขึ้นชกระดับโลกมาแล้วอีกนับครั้งไม่ถ้วน สะท้อนความเเกร่ง เเละทรงพลังเหมือนยางรถยนต์ของกู๊ดเยียร์”

ฮึดสู้รอบใหม่ของธุรกิจยางรถยนต์ 

ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังเข้าสู่ยุคขาลง เหล่าผู้ผลิตหลายใหญ่ต่างพากันหั่นค่าใช้จ่าย ปลดพนักงานเพื่อปรับโครงสร้างบริษัทกันถ้วนหน้า สำหรับอุตสาหกรรมยางรถยนต์เเล้วนั้นก็ย่อมได้รับผลกระทบตามๆ กัน

ผู้บริหารกู๊ดเยียร์ เปิดเผยว่า “ในปี 2019 นับเป็นความท้าทายอย่างมาก ทั้งปัจจัยเศรษฐกิจโลกเเละอุตสาหกรรมรถยนต์ ขณะที่ธุรกิจยางรถยนต์ก็ต้องเผชิญกับปัญหา “วัตถุดิบที่มีราคาสูงขึ้น” เเต่ด้วยความพยายามที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เเละการปรับกลยุทธ์การสื่อสารของกู๊ดเยียร์ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ก็ทำให้มองเห็นโอกาสที่จะกลับมาเป็นบวกมากขึ้นในปีหน้า” 

“หากมองอีกมุมเราจะเห็นว่ามีรถใหม่ออกมาจำนวนมากเช่นกัน เเละจะต้องมีการเปลี่ยนยาง นี่คือโอกาสของกู๊ดเยียร์ ที่เราจะเสนอโปรดักส์ใหม่ที่ทนทาน ใช้งานได้ยาวนานกว่าคู่เเข่ง 20% ให้กับผู้บริโภคที่กำลังลังเลใจในการซื้อ” 

สำหรับการลงทุนขยายโรงงานในจังหวัดปทุมธานี นับเป็นการลงทุนเฟส 2 ของงบการลงทุนกว่า 2.97 พันล้านบาทในเเผนปี 2018-2022 ที่คาดว่าจะเพิ่มผลผลิตยางรถยนต์ได้มากขึ้นราว 5-10 % ขึ้นอยู่กับคู่สัญญาซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยโรงงานในประเทศเเห่งนี้ จะผลิต Cargo Max ยางพรีเมียมรุ่นใหม่ รวมไปถึงยางที่ใช้ในเครื่องบินด้วย

ด้านภาพรวมการตลาดของอุตฯ ยางรถยนต์ในไทย เครปาโชลี่ เปิดเผยว่า ตั้งเเต่ช่วงไตรมาสที่ 1-3 ของปีนี้ยังติดลบอยู่ที่ -4% ถึง -5% เเละมียอดขายยางรถยนต์โดยรวมมากกว่า 10 ล้านเส้น อย่างไรก็ตาม มองว่าปี 2020 จะมีทิศทางที่ดีขึ้น 

รวมถึงกลยุทธ์หลักในปีหน้าที่จะมี “กลุ่มยางติดรถยนต์ (OEM)” เพิ่มมากขึ้น โดยจะมีการเจรจาเพิ่มสัญญากับเหล่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ซึ่งรับรองว่ารถยนต์ป้ายเเดงที่จะออกมาในปี 2020 นั้นจะมีโอกาสได้ใช้ยางรถยนต์ของกู๊ดเยียร์ พร้อมกันนั้นจะมีการขยายโรงงานในจังหวัดปทุมธานีเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต 

รวมไปถึงขยายช่องทางการขายให้ครอบคลุม โดยในปีหน้าตั้งเป้าจะมีร้านตัวเเทนจำหน่ายให้ถึง 1,000 ร้าน 

]]>
1257218