Disney+ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 16 May 2024 06:12:36 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 CEO ของ Disney เผย “จะลดการลงทุนคอนเทนต์ในสื่อโทรทัศน์ลง แม้ช่องทางดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือสำคัญทางการตลาดก็ตาม” https://positioningmag.com/1473896 Thu, 16 May 2024 02:26:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1473896 CEO ของ Disney ได้กล่าวในงานสัมมนาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสื่อ โดยเขาได้กล่าวถึงแผนการของบริษัทที่จะลดการลงทุนคอนเทนต์ในสื่อโทรทัศน์ลง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณกลายๆ ว่ายุคทองของโทรทัศน์นั้นกำลังใกล้จะจบสิ้นแล้ว ขณะเดียวกันก็จะโฟกัสไปในเรื่องวิดีโอสตรีมมิ่งแทน

Bob Iger ซึ่งเป็น CEO ของ Walt Disney ได้เปิดเผยในงานสัมมนา ธุรกิจสื่อ ธุรกิจอินเทอร์เน็ต ธุรกิจด้านการสื่อสาร ของบริษัทวิจัย MoffettNathanson’s ว่า Disney จะลดการลงทุนคอนเทนต์ในสื่อโทรทัศน์ลดลงอย่างมาก เพื่อที่จะเน้นไปยังธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างวิดีโอสตรีมมิ่ง ซึ่งผู้ชมกำลังเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ

เขายังกล่าวเสริมว่า คอนเทนต์ในสื่อโทรทัศน์ จะโฟกัสไปยังกลุ่มผู้ชมสูงอายุซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ไม่สามารถที่จะรับชมความบันเทิงผ่าน Disney+ ได้ แต่ CEO ของ Disney เองก็ยังมองว่าโทรทัศน์ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในด้านการตลาดของบริษัทอยู่

ไม่เพียงเท่านี้เขายังมองว่า Disney กำลังรวบรวมผู้ชมให้มีจำนวนมากขึ้น รวมถึงการใช้การตลาดของเครือข่ายโทรทัศน์ เพื่อช่วยในบางกรณี แต่ในขณะเดียวกันบริษัทก็กำลังตัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

ปัจจุบัน Disney มีช่องโทรทัศน์ทั้งแบบฟรีทีวีคือ ABC ในสหรัฐอเมริกา และยังมีช่องโทรทัศน์สำหรับบริการให้เครือข่ายทีวีบอกรับสมาชิก ไม่ว่าจะเป็น Disney ไปจนถึง National Geographic เป็นต้น อย่างไรก็ดีธุรกิจดังกล่าวนั้นได้รับผลกระทบจากทีวีบอกรับสมาชิกนั้นมีจำนวนสมาชิกลดลงในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

ผลประกอบการธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งล่าสุดของ Disney ในไตรมาสล่าสุดนั้นอยู่ที่ 5,642 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 14% มีกำไรจากการดำเนินงาน 47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นกำไรครั้งแรกในรอบ 5 ปีหลังจากเปิดให้บริการ

CEO ของ Walt Disney ยังมองว่ากลยุทธ์ที่เน้นไปยังแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งแล้วนำคอนเทนต์ไปออกอากาศผ่านช่องทางโทรทัศน์จะเป็นการใช้เครือข่ายสถานีโทรทัศน์หรือแม้แต่ช่องทีวีบอกรับสมาชิกได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

การที่ CEO ของ Walt Disney ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณครั้งใหญ่ว่าช่องทางโทรทัศน์แบบเดิมๆ กำลังอาจใกล้หมดอนาคตเข้าไปทุกขณะ

ที่มา – Reuters

]]>
1473896
CEO ของ ‘ดิสนีย์’ เผย “มาตรการห้ามแชร์รหัสผ่าน Disney+ จะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายนนี้ในบางประเทศ” https://positioningmag.com/1469175 Fri, 05 Apr 2024 02:09:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469175 CEO ของ ‘ดิสนีย์’ ได้เปิดเผยว่ามาตรการห้ามแชร์รหัสผ่าน Disney+ จะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายนนี้ในบางประเทศ และจะมีการใช้งานทั่วโลกภายในเดือนกันยายน ซึ่งมาตรการดังกล่าวนั้นบริษัทมองว่าจะทำให้ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นเติบโตเพิ่มมากขึ้น หลังจากคู่แข่งอย่าง Netflix ได้เริ่มมาตรการดังกล่าวเป็นรายแรก

Bob Iger ซึ่งเป็น CEO ของ ดิสนีย์ (Disney) ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ CNBC โดยเขาเผยว่ามาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านของ Disney+ จะทดลองในบางประเทศก่อนในเดือนมิถุนายน และจะใช้งานทั่วโลกภายในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวนั้นช่วยทำให้บริษัทสามารถทำให้แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งสามารถกลับมามีกำไรได้

CEO ของ Disney ยังกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวถือเป็นเรื่องสำคัญของบริษัทที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้น แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดว่าในมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านที่จะใช้ในเดือนมิถุนายนนั้นจะมีการทดลองในประเทศใดบ้าง

ในช่วงที่ผ่านมามาตรการดังกล่าวเริ่มใช้โดยแพลตฟอร์มคู่แข่งอย่าง Netflix ซึ่งชี้ว่าสมาชิกของบริษัทมากกว่า 100 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 43% ได้มีการแชร์รหัสผ่าน ส่งผลทำให้บริษัทสูญเสียความสามารถในการลงทุนในคอนเทนต์ใหม่ๆ จนทำให้บริษัทออกมาตรการดังกล่าว ส่งผลทำให้มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นทันที

ผลที่เกิดขึ้นยังทำให้ Disney ได้ออกมาตรการดังกล่าวตามมาเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2023 เพื่อที่จะลดการขาดทุนของแพลตฟอร์ม โดยตัวเลขในผลประกอบการไตรมาส 4 ของบริษัท ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นขาดทุนลดลงเหลือแค่ 387 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

สัมภาษณ์พิเศษดังกล่าวนั้น หัวเรือใหญ่ของ Disney ยังได้ชื่นชมการทำงานของ Netflix ว่าคู่แข่งรายนี้ได้สร้างมาตรฐานของวงการวิดีโอสตรีมมิ่ง และทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม และเขายังกล่าวเสริมว่า “ถ้าเราสามารถบรรลุผลสำเร็จในสิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คงจะดีมาก”

ขณะเดียวกัน Bob ยังได้กล่าวว่า บริษัทเองก็เตรียมงัดมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการลดงบด้านการตลาด และพยายามที่จะทำความเข้าใจลูกค้า มีการส่งคอนเทนต์เพื่อเอาใจลูกค้านอกสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น หรือแม้แต่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อที่จะเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

นอกจากนี้ CEO ของ Disney เองยังคาดว่าธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งจะกลับมามีกำไรได้ภายในช่วงสิ้นปีนี้

]]>
1469175
ลือ! ซีอีโอของ ‘Warner Bros. Discovery’ ซุ่มคุยกับซีอีโอ ‘Paramount’ เกี่ยวกับการ ‘ควบรวมกิจการ’ https://positioningmag.com/1456705 Thu, 21 Dec 2023 07:31:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1456705 ต้องยอมรับว่านับตั้งแต่การมาของแพลตฟอร์ม วิดีโอสตรีมมิ่ง ที่ทำให้วงการสื่อเปลี่ยนเเปลงไป ค่ายผู้ผลิตสื่อรายใหญ่ก็ต้องลงสู่ตลาดสตรีมมิ่ง ท่ามการการแข่งขันที่ดุเดือด โดยล่าสุด สื่อได้ออกข่าวว่าผู้บริหารระดับสูงของของค่าย ‘Warner Bros. Discovery’ ได้ไปเจรจากับค่าย ‘Paramount’ เกี่ยวกับการ ‘ควบรวมกิจการ’

CNN ได้รายงานว่า David Zaslav ซีอีโอของ Warner Bros. Discovery ได้พบกับ Bob Bakish ซีอีโอของ Paramount Global เมื่อวันอังคารที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ณ สำนักงานใหญ่ของ Paramount ในไทม์สแควร์ นิวยอร์กซิตี้ เพื่อพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการควบรวมกิจการระหว่างทั้งสองบริษัท อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 บริษัทปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวดังกล่าว

แม้จะยังไม่มีการยืนยันว่าทั้งสองบริษัทจะตกลงควบรวมกิจการกัน แต่หลายคนมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากทั้งสองบริษัทจะควบรวมกัน เพราะการควบรวมนี้อาจอาจทำให้อุตสาหกรรมสื่อพลิกผันได้อีกครั้ง ขณะที่ Paramount ก็ต้องการพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดในปัจจุบัน

เพราะต้องยอมรับว่า การแข่งขันในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ในยุคสตรีมมิ่งนั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ และยังต้องใช้เงินมหาศาล เพราะต้องแข่งทั้งผู้เล่นที่แข็งแกร่งมาก ๆ อย่าง Netflix และ Disney ขณะที่ปัจจุบันทั้งสองบริษัทเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญในสภาพแวดล้อมของสื่อที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เรตติ้งทีวีลดลงเนื่องจากลูกค้ายกเลิกบริการเคเบิลทีวีมากขึ้น ส่วนตลาดโฆษณากำลังเปลี่ยนไปสู่การสตรีม นอกจากนี้ ต้นทุนการสร้างคอนเทนต์ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ 

ดังนั้น หากทั้งสองบริษัทควบรวมกัน Warner Bros. Discovery ก็จะได้แพลตฟอร์มของ Paramount+ มาเสริมแกร่งให้กับบริการสตรีมมิ่งอย่าง HBO ขณะเดียวกัน Paramount ก็จะได้ช่องทางการขายในต่างประเทศเพื่อส่งเสริมแฟรนไชส์ต่าง ๆ ของค่าย

“ฉันคิดว่ามันบ่งบอกถึงความตื่นตระหนก เพราะอุตสาหกรรมนี้กำลังเผชิญกับอนาคตที่ท้าทายอย่างยิ่ง พวกเขาจะพยายามทำให้ตัวเองใหญ่ขึ้นเพื่อแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่ง” Rich Greenfield นักวิเคราะห์อุตสาหกรรม ผู้ร่วมก่อตั้ง LightShed Partners กล่าว

อย่างไรก็ตาม Warner Bros. Discovery จะไม่สามารถทำธุรกรรมกับ Paramount หรือหน่วยงานอื่นใดได้ในขณะนี้ จนกว่ากฎหมายภาษีอากรที่ห้ามไม่ให้บริษัทเข้าซื้อกิจการหรือการควบรวมกิจการเพิ่มเติมจนกว่าจะหลังเดือนเมษายน 2024 เนื่องจาก WarnerMedia เพิ่งซื้อ Discovery ไปเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมาในมูลค่า 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจุบัน Warner Bros. Discovery มีมูลค่าอยู่ที่ราว 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน Paramount มีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ทางบริษัทกำลังเผชิญกับภาระหนี้ ทำให้อยู่ภายใต้ความกดดันที่จะหาพาร์ตเนอร์ด้านกลยุทธ์หรือผู้ซื้อกิจการต่อ ดังนั้น อาจต้องรอดูว่าทั้งสองบริษัทจะตกลงควบรวมกิจการกันได้หรือไม่

]]>
1456705
‘ดิสนีย์’ ประกาศจะ ‘ลดต้นทุน’ อีก 2 พันล้านเหรียญฯ มั่นใจธุรกิจ ‘สตรีมมิ่ง’ ทำกำไรภายในปีหน้า https://positioningmag.com/1451093 Thu, 09 Nov 2023 03:18:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1451093 ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลาย ๆ เรื่องรายได้ไม่เข้าเป้า แถมค่อนไปทางขาดทุน เลยทำให้ ดิสนีย์ (Disney) ต้องวางแผนลดต้นทุนอีกระลอกหรือเปล่า หลังจากที่เคยประกาศว่าต้องการลดต้นทุนให้ได้ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ดิสนีย์ ประกาศว่า จะลดค่าใช้จ่ายลงอีก 2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มเติมจากที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลดต้นทุน 5.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้บริษัทต้อง ลดจ้างงาน 7,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม แผนการลดต้นทุนในครั้งนี้ บริษัทยืนยันว่า ไม่มีแผนเลิกจ้างเพิ่มเติม

โดย Bob Iger ซีอีโอ ดิสนีย์ กล่าวว่า ที่บริษัทยังคงลดต้นทุน เนื่องจากบริษัทกำลัง การสร้างธุรกิจใหม่ ในสภาพแวดล้อมของสื่อที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน บริษัทยังคง ขาดทุน ในธุรกิจสตรีมมิ่ง Disney+ แม้ว่าบริษัทจะลดการขาดทุนได้อย่างมากแล้วก็ตาม โดยในไตรมาส 4 ตามปีงบประมาณ (ก.ค.-ต.ค.) บริษัทลดการขาดทุนในธุรกิจสตรีมมิ่งเหลือ 420 ล้านดอลลาร์ จากเดิมขาดทุนถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรายได้ในกลุ่มสตรีมมิ่งเพิ่มขึ้น +12%

“ผลประกอบการของเราในไตรมาสนี้สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าที่สำคัญที่เราได้ทำในปีที่ผ่านมา แต่เรายังมีงานที่ต้องทำ ความพยายามเหล่านี้ช่วยให้เราก้าวข้ามช่วงเวลาแห่งการแก้ไขนี้ และเริ่มสร้างธุรกิจของเราอีกครั้ง” Bob Iger ซีอีโอกล่าว

สำหรับรายได้ของดิสนีย์ในไตรมาส 4 อยู่ที่ 2.12 หมื่นล้านดอลลาร์ แม้รายได้จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดเล็กน้อย แต่หุ้นของดิสนีย์สูงขึ้นมากกว่า 3% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ โดยถือว่า ดีดตัวจากระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 10 ปี

ทั้งนี้ รายได้ในช่วงไตรมาส 3 ของดิสนีย์ถือเป็นช่วงที่หยักหน่วงของบริษัท เพราะต้องดันธุรกิจสตรีมมิ่งที่ต้องใช้เงินสด, ความล้มเหลวของภายนตร์ฟอร์มยักษ์หลาย ๆ เรื่อง รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างการที่นักแสดงประท้วงหยุดงาน แต่ธุรกิจ สวนสนุก กลายเป็นดาวเด่นของดิสนีย์ โดยเติบโตขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ในส่วนของ Disney+ ที่ดิสนีย์ทุ่มเงินไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2562 จำนวนสมาชิกยังคงเติบโตขึ้น โดยฐานในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเพิ่มขึ้น +1% ส่วนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น +11% โดยเฉพาะแพ็กเกจโฆษณา สามารถเพิ่มการสมัครสมาชิกมากกว่า 2 ล้านครั้ง โดย Bob Iger มั่นใจว่า ธุรกิจสตรีมมิ่งจะ ทำกำไร ภายในสิ้นปี 2567

Source

]]>
1451093
ตี้แตกอีกหนึ่ง! ‘Disney+’ เตรียมออกระบบป้องกันการแชร์รหัสผ่านตามรอย ‘Netflix’ https://positioningmag.com/1440492 Thu, 10 Aug 2023 02:35:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1440492 หลังจากที่ เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ผู้นำในตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งของโลกได้ออกมาตรการห้าม แชร์รหัสผ่าน จนทำให้จำนวนผู้ใช้ช่วง Q2/2023 เพิ่มขึ้นถึง 5.9 ล้านราย ทำให้สตรีมมิ่งรายใหญ่อย่าง ดิสนีย์พลัส (Disney+) ก็ขอเดินตามรอยรุ่นพี่ เตรียมออกมาตรการห้ามแชร์รหัสผ่านบ้าง

Bob Iger ซีอีโอ ดิสนีย์ กล่าวว่า บริษัทกำลังสำรวจการแชร์บัญชีของผู้ใช้และจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายที่จะ ควบคุมการแชร์รหัสผ่านของผู้ใช้ ในปลายปีนี้ ก่อนที่จะออกมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านภายในปี 2024 อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้เปิดเผยว่าจะใช้วิธีใดเพื่อลดการใช้บัญชีร่วมกัน

“แน่นอนว่าเราเชื่อว่ามาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านจะส่งผลต่อการเติบโตของสมาชิกแน่นอน แต่เราไม่ได้คาดเดาได้ว่าจะเป็นในทางไหน”

โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่เหมือนกับบริการสตรีมมิ่งรายอื่น ๆ ก็คือ เพิ่มกำไร เพราะนอกจากมาตรการดังกล่าวแล้ว บริการสตรีมมิ่งหลายรายพยายามลดค่าใช้จ่ายในการผลิตคอนเทนต์ รวมถึงการออกแพ็กเกจราคาถูกลงโดยเพิ่มโฆษณาเข้ามา ซึ่งปัจจุบัน ดิสนีย์กำลังทำทั้งหมด

นอกจากนี้ ดิสนีย์ยัง ขึ้นราคา บริการสตรีมมิ่งเกือบทั้งหมด โดยแพลตฟอร์ม Disney+ แบบไม่มีโฆษณาจะมีราคา 13.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ราว 490 บาท) เพิ่มขึ้น 27% ส่วน Hulu เพิ่มขึ้นเป็น 17.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ราว 630 บาท) เพิ่มขึ้น 20% ส่วนแพ็คเกจโฆษณาของทั้ง 2 บริการยังมีราคาเท่าเดิม ส่วนค่าบริการรายเดือนในไทยมีการปรับเป็น 289 บาท และรายปีปรับเป็น 2,290 บาท ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายที่ผ่านมา

ทั้งนี้ Netflix ถือเป็นผู้บุกเบิกในการออกมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่าน เนื่องจากพบว่ามากกว่า 100 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 43% ของฐานผู้ใช้ทั่วโลกใช้บัญชีร่วมกัน และด้วยเหตุนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการลงทุนในคอนเทนต์ใหม่ ๆ ซึ่งหลังจากที่ Netflix ออกมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้ในช่วง Q2/2023 เพิ่มขึ้น 5.9 ล้านราย

Source

]]>
1440492
Disney+ เสียสมาชิกมากถึง 4 ล้านราย เตรียมขึ้นราคากับออกแพ็กเกจใหม่แบบมีโฆษณา https://positioningmag.com/1430171 Thu, 11 May 2023 06:29:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1430171 แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งรายใหญ่อย่าง Disney+ ล่าสุดในไตรมาสที่ผ่านมายังเสียสมาชิกมากถึง 4 ล้านราย อย่างไรก็ดีรายได้กลับเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็เตรียมที่จะปรับราคารวมถึงออกแพ็กเกจใหม่แบบมีโฆษณา เพื่อที่จะหารายได้เพิ่มขึ้น

Walt Disney ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาสล่าสุด โดยสิ่งที่น่าสนใจในไตรมาส 1 นี้นั้นบริษัทได้สูญเสียสมาชิกแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ รวมทั่วโลกไปมากถึง 4 ล้านราย

โดยลูกค้าที่หายไปนั้นมาจาก แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ Hotstar ส่วนสมาชิกของ Disney+ นั้นกลับเพิ่มขึ้น 600,000 ราย อย่างไรก็ดี รวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ยังขาดทุนจากการดำเนินงานที่ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการขาดทุนลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา

หลังจากนี้บริษัทเตรียมรวมบริการของ Hulu และ Disney+ ในสหรัฐอเมริกาเข้าด้วยกันเป็นบริการเดียว เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสมาชิก

ขณะเดียวกันบริษัทเตรียมที่จะให้บริการแพ็กเกจใหม่แบบมีโฆษณา รวมถึงขึ้นราคาค่าบริการ โดย Bob Iger ซึ่งเป็น CEO ของ Walt Disney ได้ชี้แจงว่ามาตรการดังกล่าวทำขึ้นเพื่อที่จะแสดงให้เห็นคุณค่าของคอนเทนต์ของบริษัทที่นำเสนอให้กับสมาชิก

อย่างไรก็ดี CEO รายดังกล่าวได้ชี้ว่าแผนการที่จะนำแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งขึ้นมาเป็นรายได้หลักแทนจากรายได้ของเคเบิลทีวีนั้นยังต้องใช้เวลา และบริษัทยังต้องเรียนรู้ รวมถึงสร้างแผนธุรกิจเพื่อที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ในการลดค่าใช้จ่ายมาตรการที่งัดออกมาใช้คือลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคอนเทนต์ต่างๆ ลง แต่ CEO รายดังกล่าวก็ได้กล่าวว่าการลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะต้องไม่กระทบจนทำให้จำนวนลูกค้าลดลง

ถ้าหากมองผลประกอบการทั้งหมดของ Walt Disney ในไตรมาสที่ผ่านมา รายได้รวมทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ 21,800 ล้านเหรียญสหรัฐ มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมบริษัทได้ลดค่าใช้จ่ายสำคัญนั่นก็คือการปลดพนักงานบางส่วนออก เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่อาจไม่เป็นใจ

ปัจจุบัน Disney+ มีจำนวนสมาชิกมากถึง 158 ล้านราย อย่างไรก็ดีวิดีโอสตรีมมิ่งรายนี้ยังมีจำนวนสมาชิกตามหลังคู่แข่งรายสำคัญอย่าง Netflix ที่มีสมาชิกมากถึง 232.5 ล้านราย

ที่มา – CNN, BBC

]]>
1430171
‘ดิสนีย์’ ประกาศปรับโครงสร้างเตรียมปลดพนักงาน 7,000 คน หวังลดต้นทุน-เพิ่มโอกาสทำกำไรให้สตรีมมิ่ง https://positioningmag.com/1418519 Thu, 09 Feb 2023 04:03:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1418519 หลังจากที่ ‘บ็อบ ไอเกอร์’ (Bob Iger) อดีตซีอีโอของดิสนีย์ได้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2022 ที่ผ่านมา และได้มีการระบุว่า เขามีแผนจะปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ ล่าสุด ดิสนีย์ ก็เตรียมลดคนประมาณ 3% และจัดระเบียบใหม่เป็น 3 หน่วยงาน พร้อมตั้งเป้าลดต้นทุนให้ได้ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ย้อนไปช่วงปลายปี 2022 ที่ บ็อบ ไอเกอร์ ได้กลับมารับตำแหน่ง ซีอีโอของดิสนีย์ อีกครั้ง สิ่งแรกที่บ็อบปรับเปลี่ยนในวันแรกก็คือ ไล่หัวหน้าฝ่ายสื่อและความบันเทิงของบริษัท ซึ่งถือเป็น มือขวา ของอดีตซีอีโอ บ็อบ ชาเพ็ก (Bob Chapek) ออก พร้อมระบุว่า ดิสนีย์เตรียมปรับโครงสร้างใหม่ โดยล่าสุด ดิสนีย์ก็ได้ประกาศแผนที่จะจัดระเบียบใหม่เป็น 3 ส่วนแผนก ได้แก่

  • Disney Entertainment : โดยจะเป็นการรวมหน่วยงานด้านสื่อรวมถึงแพลตฟอร์มสตรีม
  • แผนก ESPN : หน่วยงานดูแลเครือข่ายทีวีและบริการสตรีมมิ่ง ESPN+ ที่เป็นสตรีมมิ่งเกี่ยวกับกีฬา
  • สวนสนุก ประสบการณ์ และผลิตภัณฑ์

การปรับโครงสร้างดังกล่าว ทำให้ดิสนีย์ประกาศว่าจะ เลิกจ้างงานพนักงาน 7,000 ตำแหน่ง หรือราว 3% ของพนักงานทั้งหมด 220,000 คน โดยแบ่งเป็นในสหรัฐฯ 166,000 คน และประมาณ 54,000 คนในต่างประเทศ โดยการปรับโครงสร้างใหม่นี้ ถือเป็นหนึ่งในแผนในการลดต้นทุนบริษัทให้ได้ 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำให้ ธุรกิจสตรีมมิ่งมีกำไร จากที่ก่อนหน้านี้ดิสนีย์เคยโดนนักลงทุนบ่นว่า ใช้เงินลงทุนในธุรกิจสตรีมมิ่งมากเกินไป

โดยในช่วง Q4/2022 ที่ผ่านมา สมาชิกของ Disney+ ลดลง 2.4 ล้านราย และนับเป็นการสูญเสียสมาชิกครั้งแรกของแพลตฟอร์ม นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2019 ซึ่งการลดลงดังกล่าวนี้ ดิสนีย์คาดว่าบริษัทสูญเสียรายได้ราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับการลดต้นทุนมูลค่า 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะแบ่งเป็นการลดต้นทุนจากการผลิตคอนเทนต์ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอีก 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะมาจากการลดต้นทุนในส่วนอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการผลิตคอนเทนต์ โดยผู้บริหารของดิสนีย์ระบุว่า บริษัทได้ดำเนินการลดต้นทุนมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเป้าหมายดังกล่าวตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่แล้ว

ปัจจุบัน การแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่งนับวันยิ่งดุเดือด โดยผู้เล่นแต่ละรายลงเงินไปกับการผลิตคอนเทนต์จำนวนมาก ทำให้ต้องมีการลดพนักงานและตัดส่วนงานที่ไม่จำเป็นเพื่อลดต้นทุน นอกจากนี้ แพลตฟอร์มดัง ๆ อย่าง Netflix และ Disney+ ต่างก็มีแผนที่จะออกแพ็กเกจโฆษณาราคาถูกเพื่อสร้างรายได้

Source

]]>
1418519
‘Disney’ เตรียม ‘ปลดพนักงาน’ เพื่อลดต้นทุน พร้อมตั้งเป้าทำ ‘กำไร’ ในปี 2024 https://positioningmag.com/1408084 Sun, 13 Nov 2022 06:28:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1408084 ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก หรือว่าการบริหารงานภายในองค์กรของเหล่าบริษัทระดับโลกกันแน่ ทำให้ในช่วงเดือนนี้จะมีแต่ข่าวการลดพนักงานกันเต็มไปหมด ล่าสุด ดิสนีย์ (Disney) สื่อบันเทิงระดับโลกก็มีข่าวว่าจะลดจำนวนพนักงานลงและจะชะลอการจ้างงานในอนาคตอีกด้วย

Bob Chapek ซีอีโอของดิสนีย์ ได้ส่งจดหมายภายในถึงทีมผู้บริหารในแผนกต่าง ๆ ว่าบริษัทมีแผนจะ ลดพนักงานบางส่วน และ ระงับการจ้างพนักงานใหม่ นอกจากนี้ ยังพยายาม ลดการเดินทางในการประชุมทางธุรกิจ เพื่อลดค่าใช้จ่าย หลังจากที่บริษัทได้ทบทวนการใช้จ่าย รวมถึงผลประกอบการของบริษัทที่ไม่ค่อยดีนักในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนคนงานที่อาจได้รับผลกระทบ เนื่องจากดิสนีย์กำลังการจัดตั้ง คณะทำงานด้านโครงสร้างต้นทุน เพื่อดำเนินการด้านการเงิน หลังจากที่ผ่านมา ดิสนีย์ใช้เงินหลายล้านเพื่อสร้างคอนเทนต์ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มสมาชิกใน Disney+ แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่ง แม้จำนวนเพิ่มสมาชิกหลายล้านรายในไตรมาสที่แล้ว แต่บริษัทก็ยังขาดทุน เพราะด้วยต้นทุนการผลิตคอนเทนต์ที่สูง ทำให้บริษัทต้องขึ้นราคา ขณะที่ปีหน้า บริษัทตั้งเป้าว่าจะต้องเริ่ม ทำกำไร ให้ได้ภายในปี 2024

ไม่ใช่แค่ดิสนีย์ แต่ถ้าจำกันได้ เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ก็เลิกจ้างพนักงานหลายร้อยคนในปีนี้ หลังจากที่การเติบโตของสมาชิกลดลง แม้ว่าธุรกิจจะยังทำกำไรได้ก็ตาม นอกจากนี้ เอชบีโอ แม็กซ์ (HBO Max) และ วอร์เนอร์บราเธอส์ เทเลวิชั่นส์ (Warner Bros. Television) ก็ได้เลิกจ้างพนักงานหลายสิบคนในปีนี้เช่นกัน

นอกเหนือจากอุตสาหกรรมความบันเทิงแล้ว บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกก็มีการลดจำนวนพนักงานอย่างมาก โดยเฉพาะ Meta และ Twitter ที่ได้เลิกจ้างพนักงานหลายพันคนในสัปดาห์ที่ผ่านมา

Source

]]>
1408084
‘Disney+’ เตรียม ‘ขึ้นราคา’ พร้อมออกแพ็กเกจ ‘โฆษณา’ เนื่องจาก ‘ขาดทุน’ แม้ผู้ใช้เติบโต https://positioningmag.com/1395890 Thu, 11 Aug 2022 00:58:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1395890 ดิสนีย์ (Disney) เคยออกมาประกาศเมื่อช่วงเดือนมีนาคมว่าบริการสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ จะเพิ่มแพ็กเกจแบบมีโฆษณาแทรกในราคาประหยัด ล่าสุด ดิสนีย์ก็ประกาศว่าจะเริ่มเพิ่มแพ็กเกจดังกล่าวในช่วงเดือนธันวาคม เริ่มจากใน อเมริกา นอกจากนี้จะขึ้นราคาแพ็กเกจปกติ เพื่อเพิ่มกำไรให้บริษัท เพราะแม้ฐานผู้ใช้จะเติบโต แต่ต้นทุนการผลิตคอนเทนต์ที่สูง

ดิสนีย์ เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมขึ้นราคาบริการสตรีมมิ่ง Disney+ โดยเพิ่มจาก 6.99 ดอลลาร์ เป็น 10.99 ดอลลาร์ แต่ก็จะเพิ่มแพ็กเกจราคาประหยัดที่มีโฆษณาแทรกในราคา 7.99 ดอลลาร์ โดยแพ็กเกจดังกล่าวจะเริ่มให้บริการในวันที่ 8 ธันวาคม เฉพาะในสหรัฐอเมริกาก่อน

ส่วนราคาบริการสตรีมมิ่งของ Hulu จะปรับจาก 12.99 ดอลลาร์ เป็น 14.99 ดอลลาร์ต่อเดือน มีผล 10 ตุลาคม ส่วนแพ็กเกจโฆษณาจะปรับจาก 6.99 ดอลลาร์ เป็น 7.99 ดอลลาร์ ส่วน ESPN+ จะขึ้นราคา 43% เป็น 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน

แม้ว่าจำนวนสมาชิกใหม่ของบริการสตรีมมิ่งจะมีถึง 15 ล้านราย ในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ถึง 5 ล้านราย แต่ที่ดิสนีย์ต้องขึ้นราคาก็สะท้อนให้เห็นถึงต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นสำหรับบริการสตรีมมิ่งของดิสนีย์ Disney+, Hulu และ ESPN+ ซึ่งรวมแล้วบริษัท ขาดทุนถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 300 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อผู้ใช้สำหรับ Disney+ ลดลง 5% สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

โดยรวมแล้ว ไตรมาสที่ผ่านมามีรายได้ 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยรายได้จากฝั่งสวนสนุก และสินค้าต่าง ๆ เติบโต 72% มีรายได้รวม 7.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนจำนวนสมาชิกของบริการสตรีมมิ่งทั้งหมดของดิสนีย์ (Disney+, ESPN+ และ Hulu) มีสมาชิกรวมถึง 221 ล้านคน แค่เฉพาะ Disney+ มีสมาชิกถึง 152.1 ล้านราย โดยดิสนีย์ตั้งเป้าที่จะเพิ่มเป็น 230-260 ล้านราย ภายในปี 2024

Source

]]>
1395890
ไม่ต้องคิดเยอะ! นักวิเคราะห์ชี้ ‘Netflix’ แค่ปล่อยซีรีส์ ‘สัปดาห์ละตอน’ ก็ดูดผู้ใช้ได้แล้ว https://positioningmag.com/1389410 Tue, 21 Jun 2022 02:38:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1389410 หากใครเป็นแฟนซีรีส์ของ ‘เน็ตฟลิกซ์’ (Netflix) ไม่ว่าจะเป็น Stranger Things, Peaky Blinders, Locke & Key ส่วนใหญ่จะปล่อยออกมาแบบ ‘รวดเดียว’ ต่างจากซีรีส์เกาหลีหรือผู้ให้บริการสตรีมมิ่งรายอื่น ๆ ที่จะปล่อยสัปดาห์ละ 1-2 ตอน และนี่อาจเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ Netflix ควรทำหากอยากดึงผู้ใช้ให้อยู่กับแพลตฟอร์มนานขึ้น

แม้ซีรีส์ Stranger Things ซีซั่น 4 ที่ปล่อยมาทีเดียว 7 ตอน และสามารถทำลายสถิติรายการทีวีภาษาอังกฤษที่ให้บริการซึ่งมีการรับชมเกือบ 287 ล้านชั่วโมงภายในสัปดาห์แรก แต่หากพูดถึงการดึงดูดให้ผู้ใช้อยู่กับแพลตฟอร์มนาน ๆ อาจไม่ได้ผล

หลังจากที่จำนวนผู้ใช้ Netflix ลดลงครั้งแรกในรอบ 10 ปี บริษัทก็พยายามคิดทุกวิธีเพื่อเร่งการเติบโตของสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นการปรับแพ็กเกจให้ราคาถูกลงแต่มีโฆษณา การเพิ่มเกมในแพลตฟอร์ม และแม้แต่การทำรายการถ่ายทอดสด แต่ดูเหมือนว่าวิธีการง่าย ๆ แบบเส้นผมบังภูเขาอย่างการปล่อยซีรีส์สัปดาห์ละตอนกลับไม่ได้ทำ

Robert Thompson ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Syracuse และผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมสมัยใหม่ กล่าวว่า สมัยก่อน Netflix เลือกที่จะปล่อยซีรีส์ออกมาทีเดียวทั้งซีซั่น เพื่อให้เกิดกระเเสปากต่อปากจากคนดูจนเกิดการรับรู้เป็นวงกว้าง ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจากกลยุทธ์เดิมอาจใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน เนื่องจากตลาดสตรีมมิ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเฉพาะจำนวนคู่แข่ง นอกจากนี้ ซีรีส์เก่าที่สามารถดึงดูดในผู้ใช้กลับมาดูซ้ำได้อย่าง The Office หรือ Friends ก็ไม่มีฉายแล้วบนแพลตฟอร์ม ในขณะที่ซีรีส์ใหม่ ๆ ที่ดัง ๆ อย่าง Stranger Things, Bridgerton และ The Witcher ก็ยังไม่ได้ปังในระดับเดียวกับซีรีส์เก่า

“การฉายซีรีส์สัปดาห์ละตอน เป็นการออกแบบมาเพื่อนำผู้ชมกลับมาในแพลตฟอร์ม เพื่อรอดูคอนเทนต์ที่เขากำลังตั้งตารอ แม้ Netflix จะเริ่มปล่อยทีละครึ่งซีซั่น แต่มันเป็นรูปแบบการตลาดที่แตกต่างกันมาก”

หากดูแพลตฟอร์มคู่แข่งอย่าง Disney +, HBO Max และ Hulu เน้นที่การฉายสัปดาห์ละตอน เพื่อทำให้ผู้ชมอยู่บนแพลตฟอร์มหลายสัปดาห์ ซึ่งหมายถึงการยกเลิกบริการที่น้อยลงในแต่ละเดือน ในขณะเดียวกัน สมาชิก Netflix สามารถรับชมซีรีส์ที่สนใจในรวดเดียวแล้วก็ยกเลิก

อย่างซีรีส์ของ Disney+ สามารถดึงดูดสมาชิกให้เข้ามาชมคอนเทนต์ใหม่ ๆ ได้ในแต่ละเดือน แถมยังกระตุ้นให้พวกเขาจ่ายค่าสมัครสมาชิกรายปีล่วงหน้าด้วย โดย Disney+ ใช้ 2 แฟรนไชส์ที่ใหญ่ที่สุดอย่าง Star Wars และ Marvel เพื่อให้ผู้ชมกลับมาใช้บริการอีก

ไม่ว่าจะเป็น The Book of Boba Fett ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2021 จนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ จากนั้นจึงเพิ่ม Moon Knight ในช่วงปลายเดือนมีนาคม ซึ่งยาวไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม จากนั้นในปลายเดือนพฤษภาคม ก็มีการเปิดตัว Obi-Wan Kenobi ซึ่งจะดำเนินต่อไปจนถึงปลายเดือนมิถุนายน จะเห็นว่าแพลตฟอร์มสามารถดึงดูดแฟน Star Wars และแฟน Marvel ให้ใช้บริการในระยะยาวได้

แม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มฉายครั้งละครึ่งซีซั่นก็ตาม แต่นั่นก็เกิดจากปัญหาด้านการถ่ายทำที่ได้ผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้ไม่สามารถถ่ายทำจนจบได้ ก็ไม่รู้ว่าจากนี้ Netflix จะปรับเปลี่ยนการฉายซีรีส์ของตัวเองไหม แต่ในแง่คนดูแล้ว การปล่อยยาวก็ดีเพราะไม่ต้องค้างคา แต่อาจไม่ดีในแง่ธุรกิจที่ไม่สามารถยื้อให้ผู้ใช้อยู่กับแพลตฟอร์มได้นานอย่างที่ควรจะเป็น

Source

]]>
1389410