Forbes – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 05 Apr 2023 06:53:15 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “เบอร์นาร์ด อาโนลต์” แห่ง LVMH ขึ้นแท่นเศรษฐี “รวยที่สุดในโลก” ปี 2023 จัดอันดับโดย Forbes https://positioningmag.com/1426386 Wed, 05 Apr 2023 06:08:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1426386 เศรษฐีชาวฝรั่งเศส “เบอร์นาร์ด อาโนลด์” เจ้าของอาณาจักร LVMH ขึ้นแท่นเป็นบุคคลที่ “รวยที่สุดในโลก” ปี 2023 จัดอันดับโดย Forbes ถือเป็นครั้งแรกที่อาโนลด์ขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ โดยขึ้นมาแทนที่แชมป์เก่าคือ “อีลอน มัสก์” เจ้าของ Tesla และ SpaceX

LVMH เติบโตในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นรายได้ กำไร และราคาหุ้น ซึ่งทำให้สินทรัพย์ของ “เบอร์นาร์ด อาโนลด์” เจ้าของบริษัทวัย 74 ปี เพิ่มขึ้นอีกถึง 5.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้เขามีสินทรัพย์รวม 2.11 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เป็นตัวเลขสินทรัพย์ที่สูงกว่าแชมป์เก่าเมื่อปีก่อนคือ “อีลอน มัสก์” 3.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ชื่อของเบอร์นาร์ด อาโนลด์ อาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงต่อสาธารณชนเท่ากับแบรนด์ที่เขาเป็นเจ้าของภายในอาณาจักร LVMH ประกอบด้วยแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton, Christian Dior, Tiffany, Sephora, Givenchy, Marc Jacobs ฯลฯ

อาโนลด์เริ่มเข้ามาเป็นเจ้าของ LVMH เมื่อ 3 ทศวรรษก่อน และปั้นให้อาณาจักรนี้กลายเป็นบริษัทสินค้าลักชัวรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนแบรนด์ในเครือมากกว่า 70 แบรนด์ พร้อมสร้างฐานลูกค้าลอยัลตี้รอบโลก ตั้งแต่เขาเข้ามากุมบังเหียน บริษัท LVMH มีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 4 พันล้านเหรียญในปี 1989 ขึ้นมาเป็น 8.6 หมื่นล้านเหรียญเมื่อปี 2022 และราคาหุ้นก็เด้งขึ้นมาถึง 35% ภายในปีเดียว

กระเป๋า Louis Vuitton (Photo : Shutterstock)

เบอร์นาร์ด อาโนลด์ เข้ามาอยู่ในทำเนียบคนรวยที่สุดในโลกจัดอันดับโดย Forbes ครั้งแรกเมื่อปี 1997 ก่อนจะค่อยๆ ไต่อันดับขึ้นมา จนเมื่อปี 2022 เขาอยู่ในอันดับ 3 รองจากที่หนึ่งคือ อีลอน มัสก์ และที่สองคือ เจฟฟ์ เบโซส

สินทรัพย์ความร่ำรวยของอาโนลด์นั้นขึ้นอยู่กับการรักษาสถานะความคลาสสิกของแบรนด์หลักในมืออย่าง Louis Vuitton และ Dior เอาไว้ให้ได้ ซึ่งอาโนลด์ทำสำเร็จจากการคงสถานะ “คุณค่าเหนือกาลเวลา” ไว้พร้อมกับการเป็นแบรนด์ที่ทันสมัยในสายตาผู้บริโภค

นอกจากนี้ เขายังเพิ่มความร่ำรวยได้จากการดึงแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาในเครือ LVMH ตัวอย่างเช่น การร่วมทุนกับ Rihanna เพื่อออกไลน์สินค้าเครื่องสำอาง Fenty Beauty เมื่อปี 2017

เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2022 อาโนลด์เริ่มประกาศแผนการปรับองค์กรและการหาผู้สืบทอดตำแหน่งในบริษัทโฮลดิ้ง โดยปัจจุบันเขาแบ่งหุ้นส่วนจำนวนเท่าๆ กันให้กับลูกทั้ง 5 คน และทั้ง 5 คนต่างมีตำแหน่งบริหารภายในบริษัท

สำหรับ 10 อันดับแรกทำเนียบบุคคลที่ “รวยที่สุดในโลก” ปี 2023 จัดอันดับโดย Forbes ได้แก่

1.เบอร์นาร์ด อาโนลด์ และครอบครัว
แหล่งทำเงิน: LVMH
มูลค่าสินทรัพย์ 2.11 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: ฝรั่งเศส

2.อีลอน มัสก์
แหล่งทำเงิน: Tesla และ SpaceX
มูลค่าสินทรัพย์ 1.80 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อเมริกัน

3.เจฟฟ์ เบโซส
แหล่งทำเงิน: Amazon
มูลค่าสินทรัพย์ 1.14 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อเมริกัน

4.แลร์รี่ เอลลิสัน
แหล่งทำเงิน: Oracle
มูลค่าสินทรัพย์ 1.07 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อเมริกัน

5.วอร์เรน บัฟเฟตต์
แหล่งทำเงิน: Berkshire Hathaway
มูลค่าสินทรัพย์ 1.06 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อเมริกัน

6.บิล เกตส์
แหล่งทำเงิน: Microsoft
มูลค่าสินทรัพย์ 1.04 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อเมริกัน

7.ไมเคิล บลูมเบิร์ก
แหล่งทำเงิน: Bloomberg LP
มูลค่าสินทรัพย์ 9.45 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อเมริกัน

8.คาร์ลอส สลิม เฮลู และครอบครัว
แหล่งทำเงิน: กิจการโทรคมนาคมหลากหลายบริษัทในทวีปอเมริกา
มูลค่าสินทรัพย์ 9.30 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: เม็กซิโก

9.มูเกช อัมบานี
แหล่งทำเงิน: กิจการหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่น้ำมันจนถึงโทรคมนาคม
มูลค่าสินทรัพย์ 8.34 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อินเดีย

10.สตีฟ บาลล์เมอร์
แหล่งทำเงิน: Microsoft
มูลค่าสินทรัพย์ 8.07 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
สัญชาติ: อเมริกัน

Source: Forbes

]]>
1426386
Forbes จัดอันดับบริษัท “นายจ้าง” ที่ดีที่สุดในโลก ปี 2021 “การบินไทย” ติดโผ https://positioningmag.com/1356400 Thu, 14 Oct 2021 04:45:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1356400 นิตยสาร Forbes จัดอันดับ 750 บริษัท “นายจ้าง” ที่ดีที่สุดในโลก ปี 2021 แชมป์ตกเป็นของ “Samsung” จากเกาหลีใต้ ส่วนประเทศที่มีบริษัทนายจ้างที่ดีที่สุดจำนวนมาก ได้แก่ สหรัฐฯ เยอรมนี และจีน ประเทศไทยไม่น้อยหน้ามี 5 บริษัทติดอันดับ “การบินไทย” ติดโผในอันดับที่ 318

Forbes ร่วมกับ Statista สำรวจความคิดเห็นพนักงานทั้งแบบประจำและพาร์ตไทม์จำนวน 150,000 คนจาก 58 ประเทศ ที่ทำงานอยู่ในบริษัทระดับนานาชาติ

โดยผู้ได้รับการสำรวจจะถูกสอบถามว่า ต้องการแนะนำให้เพื่อนหรือครอบครัวเข้ามาร่วมงานในบริษัทเดียวกันหรือไม่ รวมถึงให้คะแนนบริษัทของตนในแง่มุมต่างๆ เช่น ภาพลักษณ์องค์กร, อิทธิพลต่อเศรษฐกิจ, การพัฒนาความสามารถพนักงาน, ความเท่าเทียมทางเพศ และความรับผิดชอบต่อสังคม โดย 750 บริษัทที่ได้รับคะแนนมากที่สุดจะเข้ามาอยู่ในการจัดอันดับนี้

10 อันดับแรกบริษัท “นายจ้าง” ที่ดีที่สุดในโลก ปี 2021 มีดังนี้

อันดับ 1 Samsung Electronics – ธุรกิจหลากหลาย – เกาหลีใต้
อันดับ 2 IBM – เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยี – สหรัฐฯ
อันดับ 3 Microsoft – ไอที อินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ – สหรัฐฯ
อันดับ 4 Amazon – ไอที อินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ – สหรัฐฯ
อันดับ 5 Apple – เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยี – สหรัฐฯ
อันดับ 6 Alphabet – ไอที อินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ – สหรัฐฯ
อันดับ 7 Dell Technologies – เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยี – สหรัฐฯ
อันดับ 8 Huawei – บริการด้านโทรคมนาคม ซัพพลายเออร์เคเบิล – จีน
อันดับ 9 Adobe – ไอที อินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ – สหรัฐฯ
อันดับ 10 BMW Group – ยานยนต์ – เยอรมนี

IBM ครองอันดับ 2 ของโลกและดีที่สุดในสหรัฐฯ สำหรับการเป็น “นายจ้าง” ที่พนักงานชื่นชอบ (Photo by Spencer Platt/Getty Images)

ปีนี้สัญชาติบริษัทที่เข้ามาติดโผมากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 236 บริษัท เยอรมนี 91 บริษัท และจีน 57 บริษัท บริษัทเยอรมันนอกจาก BMW Group แล้ว มีบริษัทอื่นๆ ที่ดีที่สุดสำหรับพนักงาน เช่น Adidas, Siemens, Dr.Oetker (จำหน่ายสินค้ากลุ่มแป้งทำขนมเบเกอรี) ส่วนบริษัทจีนที่ติดโผนอกจาก Huawei เช่น Tencent Holdings, JD.com, China Life Insurance (บริษัทประกัน)

ด้านบริษัท “ไทย” นั้นมีติดอันดับ 5 แห่ง ดังนี้

อันดับ 315 ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส์ – เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยี
อันดับ 318 การบินไทย – คมนาคมและโลจิสติกส์
อันดับ 497 กลุ่มมิตรผล – วัตถุดิบอาหาร
อันดับ 585 กลุ่ม ปตท. – เชื้อเพลิง เคมีภัณฑ์
อันดับ 642 ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล – ท่องเที่ยวและพักผ่อน

ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส์ เป็นบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ ปัจจุบันมีโรงงานในไทย จีน สหรัฐฯ และกัมพูชา มีพนักงานกว่า 10,000 คน

Forbes รายงานถึงสถานการณ์การจ้างงานในรอบปีที่ผ่านมาว่ามีความท้าทายต่อนายจ้างอย่างมาก เพราะการระบาดของ COVID-19 ทำให้นายจ้างต้องปรับการทำงานเป็นแบบออนไลน์หรือไฮบริดมากขึ้น ต้องมีมาตรการใหม่ๆ ในการดูแลพนักงาน โดยเฉพาะในสหรัฐฯ พบว่าลูกจ้างมีอัตราลาออกสูงขึ้น ทำให้บริษัทต้องหาแรงจูงใจและแข่งขันกันเพื่อดึงพนักงาน ส่วนใหญ่มักจะเสนอสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการศึกษา

Source

]]>
1356400
รู้จัก Loca ผู้ให้บริการแท็กซี่ผ่านแอปฯ ในลาว ติดอันดับบริษัทน่าจับตาของ Forbes https://positioningmag.com/1346810 Sun, 15 Aug 2021 16:11:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1346810 นิตยสาร Forbes เลือก “Loca (โลกา)” สตาร์ทอัปผู้ให้บริการแท็กซี่ผ่านแอปของลาว เข้าในทำเนียบ 100 บริษัทในเอเชียที่ต้องจับตา เหตุสามารถสร้างรายได้เพิ่มแม้เจอวิกฤตโควิด-19

วันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์นิตยสาร Forbes ได้เผยแพร่ทำเนียบ 100 บริษัทในเอเชียที่ต้องจับตา โดย 1 ในนั้นมีบริษัทโลกา ซึ่งเป็นสตาร์ทอัปของลาว ติดอยู่ในรายชื่อดังกล่าวด้วย ถือเป็นธุรกิจขนาดย่อมแห่งแรก ของลาวที่ได้ขึ้นมาติดทำเนียบระดับโลก

ทำเนียบ 100 บริษัทที่ต้องจับตาจัดทำโดยทีมงาน Forbes เอเชีย โดยคัดเลือกจากกิจการขนาดย่อมและบริษัทสตาร์ทอัปกว่า 900 บริษัทในเอเชีย ที่มีผลประกอบการเติบโตขึ้นท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย Forbes จะตีพิมพ์รายละเอียดของบริษัททั้งหมดในทำเนียบนี้ลงในนิตยสาร Forbes ฉบับเดือนสิงหาคม 2564

บริษัทโลกาทำธุรกิจให้บริการแท็กซี่รับส่งผู้โดยสารโดยผ่านแอปพลิเคชัน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2561 โดยนายสุลิโย วงดาลา นักธุรกิจหนุ่มที่เติบโตมาจากสายเทคโนโลยีและการสื่อสารในลาว ปัจจุบันโลกามีให้บริการอยู่ใน 3 แขวง คือ นครหลวงเวียงจันทน์ หลวงพระบาง และจำปาสัก

เหตุผลที่ให้ Forbes เลือกโลกาเข้ามาอยู่ในทำเนียบนี้ เนื่องจากบริษัทสามารถปรับแผนการตลาดเพื่อรับมือกับวิกฤตโควิด-19 โดยตัดสินใจเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จากเดิมที่ให้บริการแก่นักนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นหลักในช่วง 2 ปีแรก มาให้บริการแก่คนลาว โดยใช้จุดขายเรื่องความสะดวกและปลอดภัย และให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

การตัดสินใจครั้งนั้นทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศในลาวจะหายไปทั้ง 100% จากโควิด-19 นอกจากนี้ รายได้ของโลกายังเพิ่มขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับช่วงที่โควิด-19 ยังไม่ระบาด จากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่

ปัจจุบัน นอกจากให้บริการแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันโดยมีรถให้บริการอยู่ประมาณ 500 คัน ใน 3 พื้นที่แล้ว โลกายังขยายกิจการออกไปอีกหลายแขนง ได้แก่ ธุรกิจโฆษณาเคลื่อนที่ โดยใช้รถแท็กซี่เป็นสื่อ ธุรกิจซื้อขายสินค้าทางออนไลน์ ธุรกิจขนส่งสินค้า รวมถึงให้บริการรถรับส่งพนักงานแบบเหมาเป็นรายเดือนสำหรับองค์กร

ก่อนหน้านี้ ระหว่างวันที่ 8-9 ตุลาคม 2562 นายสุลิโย วงดาลา เคยนำโมเดลธุรกิจของโลกา มาร่วมแข่งขันในรายการ Mekong Innovative Startups in Tourism ในกรุงเทพฯ ซึ่งมีธุรกิจสตาร์ทอัปจากหลายประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเข้าร่วม โดยบริษัทโลกาได้รับรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1

Source

]]>
1346810
“Jeff Bezos” ยังรั้งเบอร์ 1 “มหาเศรษฐี” รวยที่สุดในโลก “Elon Musk” ผงาดขึ้นเบอร์ 2 https://positioningmag.com/1326811 Wed, 07 Apr 2021 06:14:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1326811 Forbes จัดอันดับ “มหาเศรษฐี” รวยที่สุดในโลกปี 2021 ปีนี้ “Jeff Bezos” แห่ง Amazon ยังคงรั้งอันดับ 1 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ส่วนอันดับ 2 ตกเป็นของ “Elon Musk” แห่ง Tesla ซึ่งทะยานขึ้นมาจากอันดับที่ 31 เมื่อปีก่อน ขณะที่ “Warren Buffet” พ่อมดตลาดหุ้นแห่ง Berkshire Hathaway หลุด Top 5 เศรษฐีโลกเป็นครั้งแรกในรอบสองทศวรรษ

นิตยสาร Forbes ซึ่งจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 35 เปิดเผย ลิสต์รายชื่อเศรษฐีปีล่าสุด 2021 (คำนวณเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2021) แม้จะผ่านโรคระบาดกันแบบเต็มปี แต่มูลค่าสินทรัพย์ของเศรษฐีทั้งลิสต์ 2,755 คนรวมกันกลับเพิ่มขึ้นสูง โดยปีนี้มหาเศรษฐีโลกมีสินทรัพย์รวมมูลค่า 13.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับปีก่อนที่มีรวมกัน 8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ ประเทศที่มีมหาเศรษฐีมากที่สุดยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา มีทั้งหมด 724 คน แต่ตามมาติดๆ คือ จีน (รวมฮ่องกงและมาเก๊า) จำนวน 698 คน

10 อันดับ “มหาเศรษฐี” รวยที่สุดในโลกปี 2021 จัดอันดับโดย Forbes

1) Jeff Bezos – Amazon – 1.77 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
2) Elon Musk – Tesla, SpaceX – 1.51 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
3) Bernard Arnault และครอบครัว – LVMH – 1.50 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
4) Bill Gates – Microsoft – 1.24 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
5) Mark Zuckerberg – Facebook – 9.70 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
6) Warren Buffet – Berkshire Hathaway – 9.60 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
7) Larry Allison – ซอฟต์แวร์หลากหลาย (บริษัทหลักคือ Oracle) – 9.30 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
8) Larry Page – Google – 9.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
9) Sergey Brin – Google – 8.90 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
10) Mukesh Ambani – ธุรกิจหลากหลาย (บริษัทหลักคือ Reliance Industries) – 8.80 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

 

Jeff Bezos แชมป์ 4 ปีซ้อน Elon Musk ทะยานขึ้นเบอร์ 2

Jeff Bezos แห่ง Amazon ยังคงเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยสถานการณ์โรคระบาดยิ่งเป็นผลบวกต่อเขา เพราะการล็อกดาวน์อยู่กับบ้านทำให้อีคอมเมิร์ซเติบโตแรง จนช่วงเดือนแรกของการล็อกดาวน์ (มีนาคม-เมษายน 2020) Amazon ประกาศการจ้างงานพนักงานเพิ่มถึง 1.75 แสนตำแหน่ง เพื่อให้ทันกับความต้องการ

Jeff Bezos (Photo by Spencer Platt/Getty Images)

ด้าน Elon Musk แห่ง Tesla และ SpaceX อันดับเศรษฐีพุ่งจาก 31 เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ หลังจากหุ้น Tesla ทะยานไกลจากความสำเร็จในการส่งมอบรถยนต์ และยอดขายที่เติบโตดีในประเทศจีน นอกจากนี้ SpaceX บริษัทท่องอวกาศของเขาเพิ่งระดมทุนรอบเดือนกุมภาพันธ์ 2021 และถูกตีมูลค่าบริษัทเพิ่มเป็น 7.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

Elon Musk (Photo by Kevork Djansezian/Getty Images)

ทั้งนี้ Elon Musk เคยขึ้นไปอยู่อันดับ 1 มหาเศรษฐีโลกมาแล้วในช่วงเดือนมกราคม 2021 แต่ต่อมาราคาหุ้น Tesla กลับลดลงจากหลายๆ ปัจจัย จน Musk กลับมาที่อันดับ 2 อีกครั้ง (อ่านเพิ่มเติม : เปิด 4 สาเหตุฉุดหุ้น ‘Tesla’ ร่วง ทำ ‘Elon Musk’ เสียตำแหน่งเศรษฐีเบอร์ 1 โลก)

สำหรับ Warren Buffet ปีนี้สินทรัพย์เขากลับมาเพิ่มขึ้น แต่บอกได้ว่ายังเพิ่มไม่ทันบรรดาเจ้าพ่อเทคคอมปะนี ทำให้อันดับหย่อนลงมาอยู่ที่อันดับ 6

 

เจ้าพ่อน้ำแร่ เจ้าแม่เครื่องสำอาง

เศรษฐีจีนที่รวยที่สุดปีนี้ตกเป็นของ Zhong Shanshan เจ้าของน้ำแร่ Nongfu Spring อยู่ในอันดับ 13 ของโลก ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 6.89 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เขาพุ่งทะยานขึ้นมาแซงหน้า Jack Ma จากการจดทะเบียนบริษัทในตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อเดือนกันยายน 2020 (อ่านเพิ่มเติม : เปิดอินไซต์ “Nongfu Spring” แบรนด์น้ำแร่ที่พา “จง สานส่าน” รวยกว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์)

Zhong Shanshan
Zhong Shanshan (เเฟ้มภาพ- Photo by Jiang Xin/VCG via Getty Images)

ส่วน “เศรษฐินี” ที่รวยที่สุดของโลกอยู่ในอันดับ 12 เธอคือ Francoise Bettencourt Meyers และครอบครัว เจ้าของธุรกิจเครื่องสำอาง L’Oréal มูลค่าสินทรัพย์ของเธออยู่ที่ 7.36 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

 

เศรษฐีไทยติดโผ 15 คน

ขณะที่เศรษฐีไทยที่ติดท็อประดับโลกยังเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา รวมทั้งหมด 15 คน ได้แก่ ธนินท์ เจียรวนนท์ (อันดับ 103) เจริญ สิริวัฒนภักดี (อันดับ 156) สารัชถ์ รัตนาวะดี (อันดับ 264) สุเมธ เจียรวนนท์ (อันดับ 502) จรัญ เจียรวนนท์ (อันดับ 520) มนตรี เจียรวนนท์ (อันดับ 520)

ชูชาติ เพ็ชรอำไพ และดาวนภา เพชรอำไพ (อันดับ 859) สมโภชน์ อาหุนัย (อันดับ 925) ฮาราลด์ ลิงก์ (อันดับ 986) ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ (อันดับ 986) อาลก โลเฮีย (อันดับ 1205) วานิช ไชยวรรณ (อันดับ 1362) กฤตย์ รัตนรักษ์ (อันดับ 1362) คีรี กาญจนพาสน์ (อันดับ 1517) และ ประยุทธ มหากิจศิริ (อันดับ 1517)

Source: Forbes, Reuters

]]>
1326811
ทำเนียบ 10 อันดับ “มหาเศรษฐีไทย” ประจำปี 2563 จัดอันดับโดย Forbes https://positioningmag.com/1271504 Fri, 03 Apr 2020 05:32:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1271504 Forbes เปิดโผ “มหาเศรษฐี” ที่รวยที่สุด 10 อันดับแรกของไทยประจำปี 2563 พร้อมบทวิเคราะห์ภาพรวมความมั่งคั่งของเศรษฐีไทยปีนี้ มีเศรษฐี 38 คนจาก 50 คนที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 และทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิลดลง

10 อันดับ “มหาเศรษฐี” ไทย ปี 2563 โดย Forbes

อันดับ 1 พี่น้องเจียรวนนท์ (อันดับคงที่)
แหล่งที่มา: เครือเจริญโภคภัณฑ์
มูลค่าทรัพย์สิน: 2.73 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่าทรัพย์สินลดลง)

อันดับ 2 เฉลิม อยู่วิทยา (ขึ้นจากอันดับ 3)
แหล่งที่มา: กระทิงแดง
มูลค่าทรัพย์สิน: 2.02 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น)

อันดับ 3 เจริญ สิริวัฒนภักดี (ขึ้นจากอันดับ 4)
แหล่งที่มา: ไทยเบฟเวอเรจ
มูลค่าทรัพย์สิน: 1.05 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่าทรัพย์สินลดลง)

อันดับ 4 ตระกูลจิราธิวัฒน์ (ลงจากอันดับ 2) 
แหล่งที่มา: กลุ่มเซ็นทรัล
มูลค่าทรัพย์สิน: 9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่าทรัพย์สินลดลง)

อันดับ 5 สารัชถ์ รัตนาวะดี (อันดับคงที่)
แหล่งที่มา: กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์
มูลค่าทรัพย์สิน: 6.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น)

อันดับ 6 อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา (อันดับคงที่)
แหล่งที่มา: คิง เพาเวอร์
มูลค่าทรัพย์สิน: 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่าทรัพย์สินลดลง)

อันดับ 7 ประจักษ์ ตั้งคารวคุณ (ขึ้นจากอันดับ 15)
แหล่งที่มา: TOA
มูลค่าทรัพย์สิน: 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น)

อันดับ 8 ตระกูลโอสถานุเคราะห์ (อันดับคงที่)
แหล่งที่มา: โอสถสภา
มูลค่าทรัพย์สิน: 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่าทรัพย์สินคงที่)

อันดับ 9 วานิช ไชยวรรณ (อันดับคงที่)
แหล่งที่มา: ไทยประกันชีวิต
มูลค่าทรัพย์สิน: 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่าทรัพย์สินลดลง)

อันดับ 10 ชูชาติ เพ็ชรอำไพ-ดาวนภา เพชรอำไพ (ขึ้นจากอันดับ 11)
แหล่งที่มา: เมืองไทย ลิสซิ่ง
มูลค่าทรัพย์สิน: 2.65 พันล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น)

ทั้งนี้ มีเศรษฐีสองรายที่หลุดจาก 10 อันดับแรกไปในปีนี้คือ “นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” มูลค่าทรัพย์สินลดลงเหลือ 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้อยู่ในอันดับ 11 และ “สมโภชน์ อาหุนัย” มูลค่าทรัพย์สินลดลงเหลือ 1.75 พันล้านเหรียญสหรัฐ อยู่ในอันดับ 18

 

เศรษฐีทรัพย์สินหดระนาวหลังตลาดหุ้นร่วง

ปี 2563 นี้ บุคคลร่ำรวยที่สุด 50 อันดับของไทยมีทรัพย์สินรวมกันลดลงถึง 2.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นการลดลงถึงร้อยละ 18 เหลือเพียง 1.32 แสนล้านเหรียญ

สาเหจุเกิดจากเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว ชะลอตัวจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ตั้งแต่ปีก่อน เมื่อเผชิญโรคระบาดไวรัส COVID-19 ทำให้ปัญหาหนักหนาขึ้นอีก และเป็นปัจจัยลบส่งให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยทรุดหนัก ลดลงไปแล้วเกือบ 1 ใน 3 เทียบกับเดือนเมษายน 2562 มหาเศรษฐี 38 คนจาก 50 คนแรกจึงมีทรัพย์สินสุทธิลดลง โดยในจำนวนนี้มี 6 คนที่ความมั่งคั่งลดลงกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ด้านความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในหมู่เศรษฐีไทย พี่น้องตระกูลเจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ ยังครองตำแหน่งอันดับหนึ่ง แม้ว่าทรัพย์สินของพวกเขาจะลดลง 2.2 พันล้านเหรียญ ไปอยู่ที่ 2.73 หมื่นล้านเหรียญ และเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้เข้าซื้อกิจการของเทสโก้ในไทยและมาเลเซียมูลค่า 1.06 หมื่นล้านเหรียญได้สำเร็จ

กลุ่ม CP เข้าซื้อกิจการเทสโก้ในไทยและมาเลเซียเป็นผลสำเร็จ (อ่านรายละเอียดที่นี่)

เฉลิม อยู่วิทยา เจ้าของแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลัง Red Bull ร่วมกับตระกูลของเขา มาในอันดับที่ 2 เขาเป็นหนึ่งในแปดผู้มีรายชื่อในทำเนียบที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นสวนทางเศรษฐกิจ โดยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.99 หมื่นล้านเหรียญเมื่อปีก่อน เป็น 2.02 หมื่นล้านเหรียญในปีนี้

เจริญ สิริวัฒนภักดี จากเครือไทยเบฟเวอเรจ ขยับขึ้นมาในอันดับที่ 3 ด้วยทรัพย์สิน 1.05 หมื่นล้านเหรียญ อย่างไรก็ดี ทรัพย์สินสุทธิของเขาลดลงจาก 1.62 หมื่นล้านเหรียญในปีที่ผ่านมา

ตระกูลจิราธิวัฒน์ หล่นจากอันดับ 2 มาอยู่ในอันดับ 4 ในปีนี้ ด้วยความมั่งคั่งที่ลดลงกว่าครึ่งไปอยู่ที่ 9.5 พันล้านเหรียญ พวกเขาเพิ่งนำบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยนับเป็นการเสนอขายหุ้นไอพีโอครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวและนักช้อปที่ลดลงอย่างมาก ทำให้ราคาหุ้นของเซ็นทรัล รีเทล ต่ำกว่าราคาไอพีโอถึงร้อยละ 27 โดยตกลงต่อเนื่องตั้งแต่เข้าการซื้อขาย

ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร เซ็นทรัล รีเทล

ผู้ที่มีทรัพย์สินลดฮวบอีกคนคือ อาลก โลเฮีย (อันดับ 26) มหาเศรษฐีชาวอินเดียโดยกำเนิด เจ้าพ่อธุรกิจปิโตรเคมีผู้ที่ง่วนอยู่กับการเข้าซื้อกิจการมากมาย ทรัพย์สินสุทธิของเขาลดลงจาก 2.52 พันล้านเหรียญในปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 1.09 พันล้านเหรียญ เมื่อราคาหุ้นบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์ส ของเขาดิ่งลงถึงร้อยละ 57  ในช่วง 11 เดือนผ่านมา

 

นักธุรกิจภาคพลังงานไทยยังแข็งแกร่ง

แม้ว่าราคาพลังงานทั่วโลกจะประสบภาวะตกต่ำครั้งรุนแรง มหาเศรษฐีจากวงการพลังงานของไทย 3 ใน 4 คนกลับมีทรัพย์สินงอกเงย ทั้งนี้เป็นผลจากการที่พวกเขาพุ่งความสนใจไปที่ก๊าซธรรมชาติและพลังงานทดแทน

ในจำนวนนี้ มีสารัชถ์ รัตนาวะดี ผู้ที่ทำเงินเพิ่มขึ้นมากที่สุด ด้วยทรัพย์สินสุทธิ 6.8 พันล้านเหรียญพุ่งขึ้น 1.6 พันล้านเหรียญ ขณะที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ของเขาเปิดโรงพลังงานที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงเพิ่มเติม ตลอดจนเข้าดำเนินการโครงการใหม่ ๆ อาทิ ท่าเรือและถนน

ฮาราลด์ ลิงค์ (อันดับที่ 12 ทรัพย์สิน 2.3 พันล้านเหรียญ) หัวเรือใหญ่รุ่นที่สามของบี.กริม มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 ขณะที่บี.กริม เพาเวอร์เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีกร้อยละ 40 และกำไรของบริษัทกระโดดขึ้นร้อยละ 34 ในปีที่ผ่านมา

ภาคพลังงานที่คึกคักได้พา วิระชัย ทรงเมตตา (อันดับ 40 ทรัพย์สิน 585 ล้านเหรียญ) เข้าทำเนียบเศรษฐีเป็นครั้งแรกหลังจาก บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ ผู้ผลิตพลังไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

นายแพทย์กำพล พลัสสินทร์ (อันดับ 38 ทรัพย์สิน 610 ล้านเหรียญ) ผู้ก่อตั้งเครือโรงพยาบาลจุฬารัตน์ ที่เป็นบริษัทมหาชน กลับเข้าสู่ทำเนียบหลังจากห่างหายไปสามปี อันเป็นผลจากการที่บริษัทเปิดโรงพยาบาลใหม่อีกสองแห่ง ช่วยหนุนราคาหุ้นบริษัทให้ทะยานขึ้น

ปีนี้ Forbes กำหนดทรัพย์สินสุทธิขั้นต่ำสำหรับผู้ที่จะมีรายชื่ออยู่ในทำเนียบที่ 460 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจาก 565 ล้านเหรียญ ในปี 2019

 

]]>
1271504
ถอดถอน “ทรัมป์” รอดหรือร่วง…เเละทำไม “บลูมเบิร์ก” รวยเเซงหน้าทรัมป์ ถึง 17 เท่า https://positioningmag.com/1257976 Fri, 20 Dec 2019 09:40:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1257976 ในยามที่กำลังลุ้นว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 จะถูกถอดถอนออกจากตำเเหน่ง ไปไม่ถึงการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงปลายปีหน้าหรือไม่ Positioning พามาดูขุมทรัพย์ของมหาเศรษฐี 2 ตัวเต็งชิงผู้นำอเมริการะหว่างเจ้าพ่อสื่อ ไมเคิล บลูมเบิร์ก VS โดนัลด์ ทรัมป์ เเละวิเคราะห์โอกาสในการถอดถอน “ทรัมป์” ว่ามีมากน้อยเเค่ไหน

ทำไม “บลูมเบิร์ก” รวยเเซงหน้า “ทรัมป์” ถึง 17 เท่า

ทุกคนรู้ดีว่าปัจจุบันช่องว่างของความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยเเละคนจนมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยเละประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ขณะเดียวกันช่องว่างนี้ก็เกิดขึ้นระหว่างคนรวยกับคนรวยด้วย เมื่อมองไปถึงการชิงตำเเหน่งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะกำลังจะมีขึ้นในปี 2020

“โดนัลด์ ทรัมป์” (Donald Trump) ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบันจากพรรครีพับลิกัน ได้รับการประเมินว่ามีความมั่งคั่งอยู่ที่ 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9.37 หมื่นล้านบาท) ติดอันดับ 715 ของทำเนียบมหาเศรษฐีโลกปีนี้ จากการจัดอันดับของ Forbes ถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่บนโลก

แต่ทรัพย์สินของทรัมป์ กลับดูน้อยมากหากเทียบกับทรัพย์สินของผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตัวเต็งจากพรรคเดโมเเครตอย่าง “ไมเคิล บลูมเบิร์ก” (Michael Bloomberg) ผู้ครองความมั่งคั่งกว่า 5.3 หมื่นล้านเหรียญ (ราว 1.64 ล้านล้านบาท ) ติดอันดับ 9 ของทำเนียบมหาเศรษฐีโลกปีนี้ 

บลูมเบิร์ก สามารถบริหารจัดการธุรกิจและทรัพย์สินได้อย่างเหมาะสม เเละเพิ่มความมั่งคั่งได้เป็นทวีคูณ โดยติดอันดับ 400 บุคคลที่รวยที่สุดในอเมริกาหรือ Forbes 400 เป็นครั้งแรกได้ในปี 1992 ซึ่งคนที่จะติดอันดับได้ต้องมีสินทรัพย์ 350 ล้านเหรียญขึ้นไปในขณะนั้น หลังจากบริษัทของเขาที่ให้บริการข้อมูลหุ้น พันธบัตร และอื่นๆ เริ่มเป็นที่นิยมในวอลสตรีท

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ฟาก “ทรัมป์” ต้องฝ่าวิกฤตเพื่อรักษาอาณาจักรของครอบครัวไว้ หลังมีหนี้สินก้อนโตจนเกือบล้มละลาย

ฟ้าหลังฝน ทรัมป์ฝ่าวิกฤตได้และกลับเข้ามาสู่ทำเนียบ Forbes 400 ได้ในปี 1996 ด้วยความมั่งคั่งราว 450 ล้านเหรียญ ขณะที่ บลูมเบิร์ก ตอนนั้นมีความมั่งคั่งอยู่ราว 1 พันล้านเหรียญ เเล้ว จากมูลค่าหุ้นในธุรกิจข้อมูลทางการเงินของเขา

ตลอดช่วง 23 ปีที่ผ่านมา ความมั่งคั่งสุทธิของทรัมป์ เพิ่มขึ้นในอัตรา 8.8% ต่อปี มากกว่าผลตอบแทนของดัชนีหุ้น S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 6.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยผลตอบแทนของทรัมป์ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในปี 1996-1997 ซึ่งทำให้เขาก้าวกระโดดจาก 450 ล้านเหรียญมาเป็น 1.4 พันล้านเหรียญ

ขณะที่ความมั่งคั่งของบลูมเบิร์ก มีการเติบโตเเละมีความเสถียรมากกว่า ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 18.8% ต่อปี

ผลตอบแทนเเละการเติบโตทางธุรกิจที่โดดเด่น การขยายกิจการเเละเข้าซื้อธุรกิจสื่อ ทำให้บลูมเบิร์กรวยขึ้นมหาศาล เเซงหน้าเหล่ามหาเศรษฐีที่ธุรกิจส่วนใหญ่ยังเป็นการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เก่าดั่งเช่นทรัมป์

โดยช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา บริษัท Bloomberg LP เติบโตขึ้นจากการขยายการรายงานข่าวธุรกิจและการเงินเข้ามาด้วย จากเดิมที่เพียงให้บริการข้อมูลด้านการเงินเท่านั้น

จากนั้น Bloomberg LP ได้เข้าซื้อกิจการหนังสือ BusinessWeek ซึ่งกำลังประสบปัญทางการเงินอย่างหนักจาก McGraw-Hill ด้วยมูลค่า 5 ล้านเหรียญ และรับโอนหนี้สินมาอีกเกือบ 32 ล้านเหรียญในปี 2009

ปัจจุบัน ประเมินว่า Bloomberg LP มีรายได้อยู่ที่ 1 หมื่นล้านเหรียญและ “ไมเคิล บลูมเบิร์ก” ผู้ก่อตั้งนั้นถือครองหุ้นอยู่ 88% ของบริษัท

ไมเคิล บลูมเบิร์ก นักธุรกิจผู้ท้าชืงตำเเหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี 2020 – AFP Photo/Olivier Douliery

นอกจากนี้เจ้าพ่อสื่ออย่างบลูมเบิร์ก ยังมีชื่อเสียงจากการเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่บริจาคเงินเพื่อการกุศล โดยเขาบริจาคเงิน 8 พันล้านเหรียญให้กับองค์การกุศลและกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัย Johns Hopkins
และกิจกรรมที่ผลักดันการควบคุมอาวุธปืน

เเม้การเอาชนะใครบางคนได้ในสนามธุรกิจ กับการเอาชนะใครบางคนได้ในสนามเลือกตั้งนั้นต้องใช้ทักษะที่แตกต่างกัน ซึ่งในปีหน้านี้ บลูมเบิร์ก ผู้เคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กมาเเล้ว 3 สมัย จะได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองว่าเขาจะสามารถต่อสู้กับทรัมป์บนเวทีการเมืองได้หรือไม่เเละอย่างไร

ทุ่มเงินซื้อโฆษณาเลือกตั้ง 2020

มีรายงานจาก Advertising Analytics บริษัทด้านสำรวจโฆษณาในสหรัฐฯ เผยว่าบลูมเบิร์กได้ทุ่มเงินจำนวนอย่างน้อย 33 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 990 ล้านบาท) ซื้อโฆษณารณรงค์ประชาสัมพันธ์การสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาในหลายรัฐ

เป็นที่น่าสนใจว่า เงินดังกล่าวส่วนใหญ่ถูกลงไปกับการซื้อโฆษณาหาเสียงในรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรคคู่เเข่งอย่างรีพับลิกัน และถือเป็น “Swing State” ที่มีจำนวน Electoral College หลายที่นั่ง เช่น รัฐฟลอริดา โอไฮโอ มิชิแกน ยูทาห์ และเท็กซัส

เเม้ข้อมูลตัวเลขของเเคมเปญดังกล่าวจะยังไม่ชัดเจน เเต่ก็นับว่าสูงกว่าสมัยที่อดีตประธานธิบดี “บารัค โอบามา” เคยใช้เงินซื้อโฆษณาที่ 24 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า ทีมหาเสียงของมหาเศรษฐี “บลูมเบิร์ก”
อาจใช้เงินในการรณรงค์แคมเปญหาเสียงสูงเลือกตั้งครั้งนี้ถึง 100 ล้านเหรียญเลยทีเดียว

ถอดถอน “ทรัมป์” รอดหรือร่วง?

ล่าสุดกับข่าวใหญ่ของการเมืองสหรัฐและการเมืองโลกในช่วงปลายปีนี้ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ลงมติด้วยคะแนน 230 :197 ถอดถอน (impeachment) ประธานาธิบดีทรัมป์ใน 2 ข้อกล่าวหาคือ ข้อหาการใช้อำนาจในทางมิชอบ และขัดขวางกระบวนการสอบสวนของสภาคองเกรส โดยพรรคเดโมแครตมี ส.ส. จำนวน 232 เสียง ซึ่งโหวตเห็นชอบเกือบหมด ส่วนพรรครีพับลิกันมี ส.ส. จำนวน 195 เสียงเเละโหวตคัดค้านทุกคน

เเฟ้มภาพ – โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45

ส่งผลให้ทรัมป์กลายเป็นผู้นำคนที่ 3 ของสหรัฐฯ ที่ถูกพิจารณาถอดถอนในขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎร ถัดจากแอนดรูว์ จอห์นสัน และ บิล คลินตัน

อย่างไรก็ตาม การถอดถอนประธานาธิบดีไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องอาศัยเสียงโหวตในสภา โดยการเสนอถอดถอนต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง (1/2) ของสภาล่าง (ผ่านเเล้ว) แต่การโหวตตัดสินว่าผิดจริงหรือไม่ต้องใช้เสียงถึง 2/3 ของสภาสูงหรือวุฒิสภา ที่มีจำนวน 100 ที่นั่ง หรือเท่ากับต้องมี 67 เสียงขึ้นไปถึงจะถอดถอนได้

เเละเมื่อมองดูจากสถานการณ์ ตอนนี้พรรครีพับลิกันนั้นครองเสียงข้างมากในสภาสูงคือ 53 เสียง พรรคเดโมแครตมี 45 เสียง และวุฒิสมาชิกอิสระอีก 2 เสียง ทำให้การที่พรรคเดโมเเครตจะมีคะเเนนโหวตถึง 2/3 ของสภาสูงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้การเมืองสหรัฐฯ มีการเเบ่งขั้วชัดเจน (ดูจากพรรครีพับลิกันมี ส.ส. จำนวน 195 เสียงก็โหวตคัดค้านพร้อมเพรียงกันทุกคน)

อย่างไรก็ตาม หากเกิดการ “พลิกล็อก” ขึ้นมาจริงๆ ในกรณีทรัมป์ถูกถอดถอนสำเร็จ รองประธานาธิบดี “ไมค์ เพนซ์” (Mike Pence) ซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาลพรรครีพับลิกันก็ยังคงบริหารต่อไป โดยขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดีแทน

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าการยื่นถอดถอนทรัมป์ของพรรคเดโมเเครตครั้งนี้ เป็นเทคนิคทางการเมืองที่ทำให้คู่เเข่งอย่างรีพับลิกันไขว้เขวเเละไม่โฟกัส การเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมาถึงในช่วงปลายปีหน้า เพราะกระบวนการต่อสู้ต้องใช้ทรัพยากรมากทั้งการเตรียมข้อมูล การหักล้างฟาดฟันกัน

ในมุมกลับกันก็อาจเป็นการสร้างเเนวร่วมให้กับฐานเสียงของทรัมป์ด้วย ซึ่ง The Wall Street Journal ออกมาวิเคราะห์ว่าการยื่นถอดถอนทรัมป์ครั้งนี้ อาจเป็นการยืนยันว่าทรัมป์จะชนะเลือกตั้งสมัยหน้าอีกก็เป็นได้ (อ่านเพิ่มเติมใน The Democrats Could Re-Elect Trump in 2020) 

ที่มา

 

]]>
1257976
50 อภิมหาเศรษฐีไทย ปี 2562 รวยสะดุด 4 อันดับแรกทรัพย์สินลด เจียรวนนท์ รั้งแชมป์รวยสุด 9.41 แสนล้าน https://positioningmag.com/1228954 Thu, 09 May 2019 03:56:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1228954 จากการเปิดเผย นิตยสาร Forbes ประเทศไทย ได้จัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทย ที่ร่ำรวยที่สุด ประจำปี 2562 โดยพบว่า หลังจากผ่านความมั่งคั่งในปีที่ผ่าน กลุ่มบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของไทยเผชิญจุดสะดุดในปี 2562 เนื่องจากครึ่งหนึ่งของผู้ที่ติดทำเนียบ 50 บุคคลร่ำรวยที่สุดในประเทศไทยมีทรัพย์สินลดลง รวมถึงมหาเศรษฐี 4 อันดับแรก

รวมความไม่แน่นอนก่อนการเลือกตั้งเดือนมีนาคมของไทย มีส่วนบั่นทอนบรรยากาศความเชื่อมั่น ฉุดค่าเงินบาท และดึงดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงลง 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิโดยรวมของมหาเศรษฐีในทำเนียบปรับตัวลงเล็กน้อยไปอยู่ที่ 1.605 แสนล้านเหรียญ (ประมาณ 5.14 ล้านล้านบาท) จากเมื่อปีที่แล้วที่ 1.62 แสนล้านเหรียญ

พี่น้องตระกูลเจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ยังคงครองแชมป์  ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 2.95 หมื่นล้านเหรียญ (9.41 แสนล้านบาท) ลดลงเล็กน้อยจาก 3 หมื่นล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว

หลังดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จากัด (มหาชน) (ซีพีเอฟ) มานาน 25 ปี ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสแห่งซีพี ประกาศลงจากตำแหน่งซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเรือธงของกลุ่มเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ธนินท์ยังคงนั่งเก้าอี้ประธานกรรมการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินการเครือข่ายร้าน 7-Eleven ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

อันดับ 2 เป็นของ ตระกูลจิราธิวัฒน์ แห่งกลุ่มเซ็นทรัล ที่มีทรัพย์สินสุทธิ 2.1 หมื่นล้านเหรียญ (6.70 แสนล้านบาท) แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้วที่ 2.12 หมื่นล้านเหรียญ

ด้าน เฉลิม อยู่วิทยา แห่งกระทิงแดงยังคงอยู่ในอันดับที่ 3 แม้ความมั่งคั่งลดลงมาอยู่ที่ 1.99 หมื่นล้านเหรียญ (6.35 แสนล้านบาท) จาก 2.1 หมื่นล้านเหรียญในปีก่อนหน้า

เจริญ สิริวัฒนภักดี แห่งกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ ครองอันดับ 4 ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 1.62 หมื่นล้านเหรียญ (5.17 แสนล้านบาท) ลดลง 1.2 พันล้านเหรียญ จาก 1.74 หมื่นล้านเหรียญ ในปี 2561

อย่างไรก็ตาม 1 ใน 3 ของมหาเศรษฐีที่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในทำเนียบปีนี้ มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยผู้ที่มั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปีนี้คือ สารัชถ์ รัตนาวะดี นักธุรกิจใหญ่ด้านพลังงาน ซึ่งทรัพย์สินทะยานขึ้น 1.8 พันล้านเหรียญ (5.74 หมื่นล้านบาท) ไปอยู่ที่ 5.2 พันล้านเหรียญ (1.66 แสนล้านบาท) ส่งผลให้เขาคว้าตาแหน่งท็อป 5 มาได้เป็นครั้งแรก หุ้นของเขาในบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จากัด (มหาชน) (GULF) พุ่งขึ้น 57% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้าใหม่เริ่มดำเนินการแล้ว และรายได้ของบริษัทเมื่อปี 2561 เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ไปอยู่ที่ 628 ล้านเหรียญ (2.02 หมื่นล้านบาท)

มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยขึ้นมาอย่างโดดเด่นอีกรายคือ ตระกูลโอสถานุเคราะห์ (อันดับ 8, 3 พันล้านเหรียญ) มีทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 2.3 พันล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว หลังจากได้นำเอาบริษัท โอสถสภา ผู้ผลิตเครื่องดื่มชูกำลังอายุ 128 ปี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเดือนตุลาคม 2561 ภายใต้การบริหารของ เพชร โอสถานุเคราะห์ นักสะสมงานศิลปะตัวยงและอดีตนักร้องเพลงป๊อป บริษัทโอสถสภาก่อตั้งขึ้นโดยปู่ทวดของเขา ที่เริ่มต้นจากร้านขายยาสมุนไพรเล็กๆ

สำหรับในปีนี้ มีมหาเศรษฐีหน้าใหม่อีก 4 ราย ได้แก่ ชัยวัฒน์ แต้ไพสิฐพงษ์ (อันดับ 23, 1.8 พันล้านเหรียญ) ประธานเครือเบทาโกร บริษัทอาหารและอุตสาหกรรมเกษตร อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา (อันดับ 6, 4.7 พันล้านเหรียญ) วัย 33 ปี ซึ่งอายุน้อยที่สุดในทำเนียบ ได้สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดาผู้ล่วงลับ วิชัย ศรีวัฒนประภา ขึ้นเป็นซีอีโอ คิง เพาเวอร์ บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ดาเนินธุรกิจร้านค้าปลอดอากร

ด้าน ชาติศิริ โสภณพนิช (อันดับ 29, 1.1 พันล้านเหรียญ) กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ปรากฏชื่อในทำเนียบเป็นครั้งแรก หลังจากที่ ชาตรี โสภณพนิช ผู้เป็นพ่อเสียชีวิตในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ส่วนตระกูลมาลีนนท์ (อันดับ 47, 600 ล้านเหรียญ) แห่งบริษัทสื่อ บีอีซีเวิลด์ ก้าวเข้ามาเป็นหน้าใหม่ในทำเนียบเช่นกัน

ในบรรดา 4 มหาเศรษฐีที่กลับเข้าสู่ทำเนียบอีกครั้งรวมถึง ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ (อันดับ 45, 640 ล้านเหรียญ) หวนคืนตำแหน่งหลังหยุดชะงักไป 5 ปี ทีพีไอ โพลีน บริษัทผลิตซีเมนต์และคอนกรีตของเขา กลับมาทำกำไรได้ 45 ล้านเหรียญในปี 2561 ซึ่งช่วยดันให้หุ้นบริษัทปรับขึ้น 14% เมื่อปีที่แล้วมูลค่าทรัพย์สินขั้นต่ำในการจัดอันดับปีนี้อยู่ที่ 565 ล้านเหรียญ ลดลงจาก 600 ล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว.

]]>
1228954
เปิด 10 อันดับ YouTuber ทำเงินสูงสุดแห่งปี 2018 https://positioningmag.com/1201765 Fri, 07 Dec 2018 04:32:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1201765 นิตยสาร Forbes เผยรายชื่อ Top 10 ดาวเด่นเน็ตไอดอลที่ทำรายได้สูงที่สุดบน YouTube ประจำปี 2018 โดยคำนวณรายได้จากการโฆษณาบนวิดีโอ รวมถึงดีลพิเศษด้านการขาย และแหล่งรายได้อื่น แน่นอนว่าทั้ง 10 YouTuber มีกลุ่มแฟนคลับที่ไม่ธรรมดา และบางคนยังเกาะกลุ่ม Top 10 ไว้ได้แม้จะเคยพลาดท่าจนถูก YouTube สั่งแบนและถอดออกจากโปรเจกต์ใหญ่ไป

10. Logan Paul – 14.5 ล้านเหรียญ

Logan Paul เป็น YouTuber ที่กลายเป็นข่าวดังช่วงต้นปี 2018 เนื่องจาก YouTube ประกาศปลดช่องของ Paul ออกจากโปรแกรมโฆษณา Google Preferred หลังจาก Paul อัปโหลดวิดีโอที่ฉายภาพศพซึ่งเป็นเหยื่อการฆ่าตัวตายที่ห้อยอยู่กับต้นไม้ในประเทศญี่ปุ่น 

แม้นักแสดงตลกวัย 23 ปีอย่าง Paul ประกาศขออภัยทันทีที่เรื่องกลายเป็นกระแส แต่ความเสียหายนั้นเกิดขึ้นแล้ว YouTube ประณามว่าภาพดังกล่าวละเมิดนโยบายทำให้ต้องระงับวิดีโอนี้ ขณะเดียวกันบัญชีของ Paul ก็ถูกทำเครื่องหมายว่า “strike” นาน 3 เดือนซึ่งหมายถึงการเสียรายได้ไม่น้อยในช่วงนั้น อย่างไรก็ตาม Paul สามารถกลับมายิ้มได้อีกครั้ง และยังคงติดอันดับ Top 10 อันดับนี้ถือว่าลดลงจากปี 2017 ที่ Paul เคยถูกจัดเป็นอันดับที่ 4 ของตารางปีที่แล้ว

9. PewDiePie – 15.5 ล้านเหรียญ

นักพากย์เกมสัญชาติสวีดิชอย่าง PewDiePie มีชื่อจริงว่า Felix Kjellberg ก่อนหน้านี้ PewDiePie วัย 27 ปีกลายเป็นข่าวร้อนแรงเพราะถูกวิจารณ์ว่าวิดีโอหลายชิ้นในช่วงปี 2017 ของเขามีเนื้อหาต่อต้านยิวและเหยียดผิว แน่นอนว่ากระแสนี้ไม่มีผล และ PewDiePie เป็นหนึ่งใน 10 ผู้ที่มีรายได้สูงสุดของ YouTube ประจำปีนี้

รายงานจาก Forbes ชี้ว่าแบรนด์กลับมาสนับสนุนเงินทุนให้ PewDiePie มูลค่ามากถึง 450,000 เหรียญต่อวิดีโอ คิดเป็นเงิน 14.7 ล้านบาททีเดียว

8. Jacksepticeye – 16 ล้านเหรียญ

Seán McLoughlin อายุ 28 ปีถูกขนานนามเป็น YouTuber ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในไอร์แลนด์ หนุ่มไอริชรายนี้เป็นนักพากย์เกมที่มีผู้ติดตามมากกว่า 20 ล้านราย ต้องยอมรับว่า Jacksepticeye โดดเด่นมากในวงการ YouTuber เพราะหนุ่มหน้าใสรายนี้ผลิตซีรีส์ร่วมกับดิสนีย์ และกำลังพัฒนาเนื้อหาสำหรับแพลตฟอร์ม Twitch ที่ถ่ายทอดสดในรูปไลฟ์สตรีมมิ่งต่อเนื่อง

7. VanossGaming – 17 ล้านเหรียญ

อีกหนึ่งเกมเมอร์ระดับโลกที่สร้างชื่อและทำเงินสูงที่สุดบน YouTube คือ Evan Fong นักแคสต์เกมสัญชาติแคนาเดียนที่รู้จักกันดีในชื่อ VanossGaming จุดเด่นของ VanossGaming คือการเลือกเล่นเกมหลักเมนสตรีมเช่น Call of Duty และ Assassin’s Creed 

VanossGaming เป็นครีเอเตอร์วัย 26 ปีที่สามารถโกยฐานแฟนคลับมากกว่า 23 ล้านรายทั่วโลก

6. Markiplier – 17.5 ล้านเหรียญ

Markiplier เป็นดาวรุ่งในกลุ่มนักแคสต์เกม YouTube อเมริกันที่ทำรายได้สูงสุดปี 2018 รายได้รวมทั้งปีไม่ธรรมดาเกินหลัก 17 ล้านเหรียญสหรัฐ

Markiplier วัย 29 ปีมีชื่อจริงคือ Mark Edward Fischbach เป็นที่รู้จักในวิดีโอชุด “Let’s Play” ซึ่ง Markiplier จะแสดงความเห็น on-screen commentary เกี่ยวกับเกมในขณะที่เล่นไปด้วย ก่อนหน้านี้ Markiplier เคยปรากฏตัวในรายการ Jimmy Kimmel Live เมื่อปี 2014 เพื่อแสดงให้โลกรู้ถึงสิ่งที่เขากำลังทำ 

5. Jeffree Star – 18 ล้านเหรียญ

Jeffree Star เป็นเมกอัพอาร์ทิสต์วัย 33 ปีที่เปลี่ยนตัวเองเป็นกูรูความงามหรือ beauty mogul ได้อย่างชาญฉลาด รายงานของ Forbes ชี้ว่า Jeffree Star สามารถขายเครื่องสำอางแบรนด์ Jeffree Star มูลค่ากว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

4. DanTDM – 18.5 ล้านเหรียญ

DanTDM หรือ Daniel Middelton เป็นเกมเมอร์ชาวอังกฤษที่ครองแชมป์ทำรายได้สูงสุดประจำปี 2017 ที่ผ่านมา ประสบการณ์ของ DanTDM คือการเล่นเกมผ่านกล้องและขายสินค้า เช่น เป้สะพายหลัง เสื้อยืดฮู้ดดี้ และหมวกมานานกว่า 6 ปี ปัจจุบัน DanTDM มีผู้ติดตาม 20.7 ล้านคน

3. Dude Perfect – 20 ล้านเหรียญ

5 หนุ่ม Dude Perfect ประกอบด้วยฝาแฝด Coby และ Cory Cotton, Garrett Hilbert, Cody Jones และ Tyler Toney มีฐานสมาชิก 36 ล้านคนที่ติดตามดูภาพเหลือเชื่อบนวิดีโอ วิดีโอไอเดียแหวกแนวของ Dude Perfect ทำรายได้ถึง 20 ล้านเหรียญ

2. Jake Paul – 21.5 ล้านเหรียญ

น้องชายของครีเอเตอร์ YouTuber อย่าง Logan Paul คนนี้มีอายุ 21 ปี ดีกรีความสำเร็จของ Jake Paul คือการถูกจัดให้อยู่ในทำเนียบ top social media influencer ผู้มีอิทธิพลบนสื่อสังคมแถมหน้าซึ่งเป็นที่นิยมมากเพราะ Jake Paul รับบท Dirk ในซีรีส์ของดิสนีย์แชนแนลเรื่อง “Bizaardvark” ทำให้ Jake Paul เป็นที่รู้จักกันดีในช่อง YouTube ของเขาซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 17 ล้านคน

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีบันทึกว่าผู้คนกว่า 800,000 รายยอมจ่ายเงิน 10 เหรียญต่อครั้งเพื่อเข้าชมการแข่งขันชกมวยแบบเสียค่าชม (pay-per-view) บน YouTube ซึ่ง Paul ได้ท้าชนเพื่อน YouTuber อย่าง KSI แน่นอนว่าไม่มีใครเป็นนักมวยมืออาชีพเลย

1. Ryan ToysReview – 22 ล้านเหรียญ

แชมป์รายได้อันดับ 1 บน YouTube ในปีนี้ไม่ใช่ผู้ใหญ่ แต่เป็นของเด็กชายวัย 7 ขวบที่ชื่อว่า Ryan ซึ่งถ่ายทำวิดีโอขณะกำลังเล่นของเล่นหลากหลายตั้งแต่รถของเล่น ตัวต่อ รวมถึงหุ่นไดโนเสาร์

ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า Ryan ทำรายได้ 11 ล้านเหรียญจากช่อง YouTube และเข้ามาอยู่ในอันดับที่ 8 ในทำเนียบ Top 10 ประจำปีที่แล้ว เพียง 1 ปี ช่อง YouTube ของ Ryan ดึงดูดผู้ปกครองและเด็กทั่วโลกที่คอยเฝ้าดูหนุ่มน้อย Ryan ทดสอบของเล่นใหม่ ปัจจุบัน นามสกุลของ Ryan ยังไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน ถือเป็นการเคารพสิทธิ์ส่วนบุคคลของหนูน้อยที่เริ่มรีวิวของเล่นตั้งแต่อายุ 4 ขวบ

วิดีโอของ Ryan ที่ถูกเปิดชมมากที่สุดคือ Ryan กับไข่อีสเตอร์ขนาดยักษ์และบ้านเด้งดึ๋ง วิดีโอนี้มีผู้ชมกว่า 1,600 ล้านวิว ช่อง YouTube ของ Ryan มีผู้ชมรวมกว่า 25,000 ล้านวิว และผู้ติดตาม 17 ล้านราย จุดนี้ Forbes รายงานว่าตอนนี้ Ryan มีไลน์คอลเลกชั่นของตัวเองวางขายอยู่ที่ Walmart เรียบร้อย.

ที่มา :

]]>
1201765