Netflix – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 14 Dec 2025 14:01:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ชำแหละศึกชิง ‘Warner Bros.’ ระหว่าง ‘Netflix vs. Paramount’ ผู้ชนะจะสร้างผลกระทบอะไรให้ตลาดบ้าง? https://positioningmag.com/1551340 Sun, 14 Dec 2025 13:59:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551340 ในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูด คงไม่มีประเด็นไหนจะร้อนแรงและสั่นสะเทือนวงการไปได้กว่าการเสนอควบรวมกิจการระหว่าง Netflix กับ Warner Bros. Discovery (WBD) โดยมีคู่แข่งสำคัญอย่าง Paramount/Skydance ที่ยื่นข้อเสนอเข้าชิง คำถามว่า ทางเลือกไหนจะสร้างผลกระทบในมิติไหนกันบ้าง โดยเฉพาะ คนดู อย่างเรา ๆ 

ทำไมใคร ๆ ก็อยากได้ WBD?

ถ้าใครเป็นแฟนหนังและซีรีส์ ก็คงจะรู้ว่า WBD เป็นค่ายใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1923 จนปัจจุบัน มี ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property – IP) ชื่อดังไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นจักรวาล DC, จักรวาล Wizarding World: (Harry Potter), The Lord of the Rings, Game of Thrones เป็นต้น

แค่ IP ที่ WBD ถือครอง ก็ไม่น่าแปลกใจที่ใคร ๆ ก็อยากจะได้มาครอบครอง โดยเฉพาะกับ Netflix ที่เรื่องของ IP นับเป็น จุดอ่อน เมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน แน่นอนว่าที่ผ่านมา Netflix มีออริจินอลคอนเทนต์ของตัวเองมากมายที่ประสบความสำเร็จ เช่น Stranger Things, The Witcher แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ IP ที่ ขลัง หรือมีประวัติศาสตร์ยาวนานและเป็นที่รักของผู้ชมทั่วโลกเหมือนที่ WBD และ Disney มี

ดังนั้น การทุ่มเงิน 82,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเข้าซื้อ Warner Bros. Discovery (เฉพาะส่วนสตูดิโอและสตรีมมิ่ง) ของ Netflix จึงเป็น ทางลัด สู่การเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งขึ้นไปอีก เพราะการที่ได้ IP ชื่อดัง จะสามารถทำให้ Netflix สามารถแข่งขันในตลาดได้ดียิ่งขึ้น เพราะ Netflix สามารถสร้างสินค้า, เกม, และคอนเทนต์ภาคแยก (Spin-offs) จาก IP เหล่านี้ไปได้อีกนาน ช่วย ลดความเสี่ยง ในการสร้างคอนเทนต์ใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเอง

ขณะเดียวกัน Netflix ก็เหนื่อยน้อยลง เพราะถือเป็นการ ลดคู่แข่ง ไปอีกราย ซึ่งก็จะช่วยให้ Netflix มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจากจำนวนสมาชิก HBO Max มาอยู่กับ Netflix โดยเว็บไซต์ flixpatrol คาดการณ์ว่า บริการสตรีมมิ่ง Top 4 ของโลก ได้แก่ 

  • Netflix: (302 ล้านคน)
  • Amazon Prime Video: (200 ล้านคน)
  • Disney+: (131 ล้านคน)
  • HBO Max: (128 ล้านคน) 

นอกจากนี้ Netflix เชื่อว่าการควบรวมจะทำให้การทำงานดีขึ้น เนื่องจากการรวมบริการสตรีมมิ่งที่ทับซ้อนกัน ซึ่งจะช่วยให้สามารถประหยัดต้นทุนการดำเนินงานได้สูงถึง 2-3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปีที่สามหลังปิดดีล

เช่นเดียวกับ Paramount Skydance ที่ก็ต้องการ IP ของ Warner Bros. เพื่อเสริมแกร่งให้สามารถแข่งขันกับผู้เล่นยักษ์ใหญ่รายอื่น เพราะอย่าง Disney ก็ถือว่าเป็นคู่แข่งสุดแกร่ง เพราะมีทั้งเจ้าหญิงดิสนีย์, จักรวาล Marvel และ Star wars อยู่ในมือ ซึ่งนั่นทำให้ Paramount ถึงทุ่มเงินมหาศาลและตัดสินใจยื่นข้อเสนอแบบไม่เป็นมิตร (Hostile Bid) ในมูลค่าถึง 1.084 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อทั้งบริษัท (ไม่ได้ซื้อแค่เฉพาะส่วนสตูดิโอและสตรีมมิ่งเหมือน Netflix)

และที่ข้อเสนอของ Paramount คือ ซื้อทั้งบริษัท เป็นเพราะ Paramount ยังมองเห็นมูลค่าในสินทรัพย์สายเคเบิลของ WBD (เช่น CNN, Discovery Channel, TNT) อยู่ แม้ว่าธุรกิจนี้จะกำลังหดตัว แต่ยังคง สร้างกระแสเงินสด (Cash Flow) ที่ดี ซึ่งจำเป็นต่อการสนับสนุนธุรกิจสตรีมมิ่งที่ยังต้องลงทุนสูง

นอกจากนี้ Paramount เชื่อว่าการซื้อทั้งหมดและบริหารจัดการสตูดิโอ, สตรีมมิ่ง, และเคเบิลไปพร้อมกัน จะช่วยให้เกิดการประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมได้มากกว่าการแยกธุรกิจเคเบิลออกไป

Warner Paramount

Netflix ได้ไปจะเกิดอะไรขึ้น

ความกังวลแรกหาก Netflix ได้ WBD ไปก็คือ ระยะเวลาฉายโรง แม้ว่า Netflix จะยืนยันว่าจะรักษาการดำเนินงานปัจจุบันของ Warner Bros ไว้ โดยเฉพาะการออกฉายภาพยนตร์ในโรง แต่ที่คนในอุตสาหกรรมกังวลก็คือ Windowing หรือระยะเวลาในการฉายหนังในโรงก่อนจะเข้าสู่ระบบสตรีมมิ่ง

เพราะที่ผ่านมา เครือข่ายโรงภาพยนตร์เคยร้องขอระยะเวลาขั้นต่ำไว้ที่ 45 วัน แต่หาก Netflix เข้ามามีบทบาท อาจบีบให้ระยะเวลาดังกล่าวสั้นลงเหลือเพียง 17 วัน ซึ่งผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์เกรงว่าจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อรายได้

ในแง่ของ คนทำงาน คนในอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่งรู้สึก สบายใจกว่า เพราะ Netflix เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเป็นหลัก ส่วน WBD เป็นสตูดิโอผู้ผลิตคอนเทนต์ การรวมกันจึงเป็นการ ต่อเติม กิจการ ไม่เกิดความซ้ำซ้อนของตำแหน่งงานมากนัก

ส่วน แฟนสตรีมมิ่ง กลุ่มนี้จะ ได้ประโยชน์สูงสุด เพราะคอนเทนต์จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่ก็ยังไม่แน่ว่า ราคาจะสูงขึ้น หรือไม่ เพราะมีทางเลือกน้อยลง (หลัก ๆ ก็ Disney+, Prime Video และ Apple TV)

Paramount ได้ไปจะเกิดอะไรขึ้น

ถ้า Paramout ได้ไป เป็นสิ่งที่ คนทำงาน รู้สึกว่า น่ากังวลที่สุด เพราะทั้ง Paramount และ WBD ต่างเป็นสตูดิโอภาพยนตร์ที่ดำเนินธุรกิจใกล้เคียงกัน การรวมกันจะทำให้เกิด การซ้ำซ้อน ของตำแหน่งงานอย่างมหาศาล ซึ่งคาดการณ์กันว่า หาก Paramount ควบรวมสำเร็จ จะสามารถประหยัดเงินได้ถึง 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า ส่วนใหญ่มาจากการ ปลดพนักงาน ในตำแหน่งที่ซ้ำซ้อนทิ้งไป

อีกความกังวลก็คือ นัยยะทางการเมือง เนื่องจากข้อเสนอของ Paramount นำโดย เดวิด เอลลิสัน (David Ellison) ซึ่งถูกมองว่า ไม่โปร่งใส และมี นัยยะทางการเมืองสูง เพราะในขณะที่แหล่งเงินทุนของ Netflix มาจากเงินสด กับหุ้น Netflix ที่จะเอามาแลก แต่แหล่งเงินทุนของ Paramount  มาจากกลุ่มเงินทุนจากซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และกลุ่มกองทุนที่มีแนวคิดการเมืองขวาจัด นอกจากนี้ ยังมีการดึงตัว จาเร็ด คุชเนอร์ (ลูกเขยของโดนัลด์ ทรัมป์) เข้ามาช่วยล็อบบี้อีกด้วย

ทำให้นักวิเคราะห์ชี้ว่า เอลลิสันไม่ได้ต้องการแค่บริษัทผลิตภาพยนตร์ แต่ต้องการใช้ WBD เป็น เครื่องมือสร้างอิทธิพลและอำนาจสื่อ ในการต่อรองทางการเมือง และช่วยหาเสียงให้กับพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันจำนวนมากกังวลว่าอาจส่งผลเสียต่อภูมิทัศน์สื่อโดยรวม

ในมุมของอุตสาหกรรมจ ลดความเสี่ยงการผูกขาดสตรีมมิ่ง เนื่องจาก Netflix เป็นผู้นำตลาดสตรีมมิ่งอยู่แล้ว การเข้าซื้อ HBO Max จะยิ่งทำให้ Netflix มีส่วนแบ่งตลาดสูงขึ้น ขณะที่การรวม Paramount และ HBO Max ต่างก็เป็นบริการสตรีมมิ่งที่มีขนาดเล็กกว่า Netflix และ Disney+ ดังนั้น การรวมตัวกันของทั้งสองบริษัทจึงถูกมองว่าเป็นการ เพิ่มการแข่งขัน ในตลาด แทนที่จะเป็นการผูกขาด

อีก 2 ปีดีลถึงจะจบ

อย่างไรก็ตาม การควบรวมครั้งนี้ยังต้องรอดูผลภายในกรอบเวลาประมาณ 2 ปี (ก่อนปี 2027) รวมถึงต้องมาลุ้นกันว่าจะได้รับการอนุมัติจากฝั่งกำกับดูแลเรื่องการ ผูกขาด หรือไม่ เพราะถ้าเป็นฝั่ง Paramount อาจไม่น่ากังวลเท่ากับทาง Netflix 

แม้ว่าทาง Netflix จะพยายามย้ำว่า ไม่อยากให้มองว่า Netflix ต้องสู้แค่ในตลาดสตรีมมิ่ง แต่กำลังอยู่ในตลาด Media Consumer Market เพราะนอกเหนือจากแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่ลงทุนกันมหาศาลแล้ว ยังมีแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่มาแย่งชิงเวลา ไม่ว่าจะเป็น YouTube, TikTok, และโซเชียลมีเดียอื่น ๆ อีก

แล้วแฟน ๆ เชียร์ให้ใครได้ WBD ระหว่าง Netflix หรือ Paramount 

AP / finance.yahoo / bbc / flixpatrol / latimes / truthonthemarket / theguardian

]]>
1551340
ลือ! ‘Netflix’ อาจร่วมวงซื้อค่าย ‘Warner Bros.’ เจ้าของลิขสิทธิ์ดังอย่าง Harry Potter และจักรวาล DC https://positioningmag.com/1539471 Wed, 24 Sep 2025 13:23:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1539471 อุตสาหกรรมบันเทิงฮอลลีวูดกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากมีบริษัทใหญ่ ๆ ถูกซื้อ ควบรวมกิจการ และจัดโครงสร้างใหม่อย่างรวดเร็ว ล่าสุดก็ถึงคิวของ Warner Bros. Discovery หนึ่งในสตูดิโอที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮอลลีวูด ว่ามีหลายบริษัทที่สนใจจะยื่นซื้อ รวมถึงยักษ์ใหญ่ในตลาดสตรีมมิ่งอย่าง Netflix

ตามรายงานของ Puck News ที่อ้างอิงแหล่งข่าวในวงในฮอลลีวูด ได้เปิดเผยว่า Netflix กำลังพิจารณาการยื่นข้อเสนอซื้อ Warner Bros. Discovery ซึ่งปัจจุบันมี เดวิด ซาสลาฟ (David Zaslav) เป็น CEO คนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันจากทั้งฝั่งของ Netflix และ Warner Bros. Discovery ถึงข่าวลือดังกล่าว

ไม่ใช่แค่ Netflix เท่านั้นที่สนใจจะซื้อ Warner Bros. Discovery เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีรายงานว่า เดวิด เอลลิสัน (David Ellison) เจ้าของ Skydance Media ซึ่งเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี แลร์รี เอลลิสัน (Larry Ellison) ผู้ร่วมก่อตั้ง Oracle ก็ต้องการซื้อสตูดิโอนี้เช่นกัน โดยก่อนหน้านี้ เอลลิสัน เพิ่งทำข้อตกลงมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อ Paramount Global เสร็จสิ้น แสดงให้เห็นว่าเขามีทั้งทรัพยากรและความทะเยอทะยานที่จะขยายต่อไป

อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อ Warner Bros. Discovery อาจไม่ได้ง่ายนัก เพราะผู้เชี่ยวชาญมองว่า ดีลดังกล่าวอาจเจออุปสรรคด้านกฎระเบียบ โดยเฉพาะกฎหายต่อต้านการผูกขาด เพราะ Warner Bros. Discovery เองมีแพลตฟอร์มสตีมมิ่งอย่าง HBO Max

ทั้งนี้ หนึ่งในปัจจัยที่อาจทำให้ Warner Bros. Discovery อาจต้องพิจารณาขายกิจการ มาจาก หนี้สินสะสม ของบริษัท โดยหลังจากที่ WarnerMedia ของ AT&T ควบรวมกับ Discovery ในปี 2022 ทำให้ Warner Bros. Discovery แบกรับภาระหนี้สินจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันมีรายงานว่าหนี้สินรวมอยู่ที่ประมาณ 35,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ณ ไตรมาส 2 ปี 2025) ทำให้บริษัทต้องหาทางลดหนี้อย่างเร่งด่วนเพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงิน

นอกจากนี้ ธุรกิจสตรีมมิ่งก็มีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น จากผู้เล่นจำนวนมากในตลาด เช่น Netflix, Disney+, Amazon Prime Video, และ Apple TV+ ขณะเดียวกัน ธุรกิจหลักเดิมอย่างช่องเคเบิลทีวี (เช่น CNN, Discovery Channel) กำลังเผชิญกับยอดผู้ชมที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ Warner Bros. Discovery กำลังพิจารณา เพื่อให้ธุรกิจสตูดิโอและสตรีมมิงที่กำลังเติบโตสามารถแยกตัวจากภาระหนี้สินของธุรกิจทีวีดั้งเดิม    ซึ่งจะทำให้แต่ละส่วนมีความยืดหยุ่นและน่าสนใจสำหรับนักลงทุนมากขึ้น

สำหรับ Warner Bros. Discovery ถือเป็นหนึ่งในสตูดิโอที่เก่าแก่และได้รับการยกย่องที่สุดของฮอลลีวูด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้ผลิตภาพยนตร์คลาสสิกจากทุกยุคของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ แต่ถ้าหาก Netflix ซื้อ Warner Bros. จริง แฟน ๆ เองก็มีความกังวลว่าภาพยนตร์อาจจะไม่เข้าฉายโรงฯ และไปสู่การสตรีมมิ่งโดยตรง

Source / Source

]]>
1539471
CEO ร่วมของ Netflix มองสงครามวิดีโอสตรีมมิ่งยังไม่จบ ชี้การเข้ามาของ AI ไม่ได้ทำให้คนวงการบันเทิงตกงาน https://positioningmag.com/1475168 Mon, 27 May 2024 07:43:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1475168 Ted Sarandos ซึ่งเป็น CEO ร่วมของ Netflix ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ New York Times โดยกล่าวถึงธุรกิจของบริษัทและมองว่าบริษัทยังไม่ใช่ผู้ชนะสงครามวิดีโอสตรีมมิ่ง และมองว่าเป็นเรื่องระยะยาว ขณะเดียวกันการเข้ามาของ AI ไม่ได้ทำให้คนวงการบันเทิงตกงาน แต่มองว่าคนที่ใช้เทคโนโลยี AI ได้ดีอาจแย่งงานของคุณได้

Ted Sarandos ซึ่งเป็น CEO ร่วมของ Netflix ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ New York Times โดยเขาได้ให้มุมมองในเรื่องสงครามของบริการวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นยังไม่ได้จบ และไม่ได้มองว่าบริษัทเป็นผู้ชนะในเกมนี้ ขณะเดียวกันการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เองก็ไม่ได้ทำให้คนวงการบันเทิงตกงานแต่อย่างใด

สำหรับ CEO ร่วมของ Netflix รายนี้เข้ารับตำแหน่งในปี 2020 โดยเป็น CEO ร่วมกับ Reed Hastings ก่อนที่ Reed จะลงจากตำแหน่งในปี 2023 และบริษัทได้ตั้ง CEO ร่วมคนใหม่มาคู่กับตำแหน่งของ Ted นั่นก็คือ Greg Peters

สื่อรายดังกล่าวได้ถามถึง Ted ในประเด็นที่ว่าในปัจจุบัน Netflix เป็นผู้ชนะในสงครามวิดีโอสตรีมมิ่ง ซึ่งเขาชี้ว่าเขาเองไม่อยากจะจริงจังในเรื่องนี้มากนัก และเขาได้เล่าว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ถูกตราหน้าว่าจะเป็นผู้แพ้ในสงครามครั้งนี้ด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์หรือคนทั่วไปมองว่า บริษัทด้านความบันเทิงหลายแห่งที่เป็นผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นหลายคนมองว่าไม่น่าจะเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้เช่นเดียวกับ Netflix และพวกบริษัทเหล่านี้ไม่มีวันที่จะเข้าใจธุรกิจ เขายังกล่าวเสริมว่าทุกวันนี้นั้นทุกอย่างแตกต่างกันไปมาก บริษัทเหล่านี้เข้าใจเรื่องเทคโนโลยี

Ted Sarandos ได้เล่าถึงการ Transform ธุรกิจของบริษัทว่าจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน – ภาพจาก Unsplash

ขณะเดียวกันเขาเองได้เล่าถึงวันที่ Netflix ยังเป็นบริษัทให้เช่าวิดีโอ ก่อนที่บริษัทจะเปลี่ยนธุรกิจมาเป็นวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นเพราะบริษัทมีเป้าหมายอย่างชัดเจน ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง CEO ร่วมของ Netflix นั้นเล่าถึงการประชุมของบริษัทจะไม่มีการเชิญพนักงานที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ DVD มาพูดคุยเลย เนื่องจากบริษัทรู้ถึงจุดหมายปลายทางขององค์กร

CEO ร่วมของ Netflix ยังเล่าถึงการที่บริษัทด้านความบันเทิงหลายแห่งในตอนนี้กำลังประสบกับความท้าทายเนื่องจากบริษัทต้องการที่จะปกป้องธุรกิจเดิมของตนเอง และเขากล่าวว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและไม่ควรที่จะลงทุนในธุรกิจแบบเดิมๆ

ในส่วนการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั้นจะสร้างผลกระทบต่อคนในวงการบันเทิงหรือไม่ CEO ร่วมของ Netflix คิดว่าการเข้ามาของ AI ถือเป็นความก้าวหน้าตามธรรมชาติของสิ่งต่างๆ และมองว่าคนเขียนบท ผู้กำกับสามารถใช้เทคโนโลยีดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นได้

เขายังกล่าวเสริมในเรื่องดังกล่าวว่า ให้ลองนึกภาพในกรณีที่เอาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มาทำให้เป็นไปได้ เช่น การวาดภาพแอนิเมชั่นที่ในอดีตทำได้ยาก แต่ปัจจุบันสามารถทำได้ เขายังมองว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านความบันเทิงทุกอย่างจึงมีการต่อสู้กัน และท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่าสิ่งดังกล่าวนั้นทำให้อุตสาหกรรมนั้นเติบโต

นอกจากนี้เขายังทิ้งท้ายว่าเขายังมีศรัทธาในตัวมนุษย์ AI ไม่สามารถที่จะสู้กับนักเขียนบทที่เก่งกาจและยอดเยี่ยมได้ แต่เขามองว่าคนที่ใช้เทคโนโลยี AI ได้ดีอาจแย่งงานของคุณได้

]]>
1475168
Netflix เริ่มสนใจถ่ายทอดสดกีฬาเพิ่มมากขึ้น ปิดดีลลิขสิทธิ์ NFL บางคู่ เหตุผลเพราะรายได้จากค่าโฆษณาที่สูง https://positioningmag.com/1473182 Mon, 13 May 2024 09:41:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1473182 Netflix แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งเริ่มสนใจที่จะถ่ายทอดสดกีฬาเพิ่มมากขึ้น ล่าสุดนั้นบริษัทปิดดีลถ่ายทอดสดกีฬาคนชนคนอย่าง NFL ในช่วงวันคริสต์มาส เป็นเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป เนื่องจากจำนวนของผู้ชม ซึ่งเป็นโอกาสที่บริษัทจะมีรายได้จากค่าโฆษณามหาศาล

CNBC รายงานข่าว ชี้ว่า Netflix ผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งจากสหรัฐอเมริกา เริ่มที่จะมองลู่ทางในการทำรายได้จากการถ่ายทอดสดกีฬามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายได้จากโฆษณาในช่วงการถ่ายทอดสดซึ่งอาจสร้างรายได้ให้กับบริษัทเป็นมูลค่ามหาศาล

สำหรับกีฬาที่ Netflix เริ่มจับตามองและสนใจที่จะซื้อลิขสิทธิ์คือการถ่ายทอดสดกีฬาอเมริกันฟุตบอล (NFL) โดยล่าสุดบริษัทปิดดีลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดวันคริสมาสต์เป็นเวลา 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2024 เนื่องจากมีผู้ชมมหาศาลในช่วงเวลาดังกล่าว

นอกจากจำนวนผู้ชมมหาศาลในช่วงเวลาดังกล่าวแล้วยังเป็นข้อดีในการขายโฆษณาในช่วงเวลาถ่ายทอดสด ซึ่งการถ่ายทอดสด NFL นั้นมักจะมีการตัดเข้าโฆษณาเสมอเมื่อมีช่วงเวลาหยุดเกม ทำให้บริษัทมองถึงรายได้มหาศาลจากช่องทางดังกล่าว

ในปี 2023 ที่ผ่านมา บริษัทได้ลองเชิงในการถ่ายทอดสดกีฬาคู่พิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการนำนักแข่งของ F1 มาแข่งขันรายการกอล์ฟ The Netflix Cup หรือแม้แต่เทนนิสรายการพิเศษ ซึ่งได้รับผลตอบแทนที่ดีไม่น้อย และบริษัทยังเริ่มทำสารคดีที่เกี่ยวข้องกับกีฬาเพิ่มมากขึ้น เช่น สารคดีเกี่ยวกับ NFL ฯลฯ

และในปีนี้ Netflix ได้เริ่มเข้าสู่การซื้อลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดกีฬาเพิ่มมากขึ้น เช่น การปิดดีลถ่ายทอดสดมวยปล้ำ WWE แม้ว่าจะเริ่มต้นถ่ายทอดสดในปี 2025 ก็ตาม

ภายหลังดีลกับ WWE นั้น Ted Sarandos ซึ่งเป็น CEO ของ Netflix มีท่าทีกับเรื่องดังกล่าวเปลี่ยนไปไม่น้อย ก่อนหน้านี้เขาได้กล่าวว่าบริษัทไม่สนใจที่จะถ่ายทอดสดกีฬาเลยด้วยซ้ำ แต่ล่าสุดเขากล่าวว่า เขาไม่ใช่คนต่อต้านกีฬา แต่เขามองว่าการเติบโตของกำไรต้องมาก่อน

และ CEO รายนี้มองว่าถ้าหากการถ่ายทอดสดกีฬาทำให้รายได้และกำไรของบริษัทเติบโตมากขึ้น เขาเองก็พร้อมที่จะลุยกับเรื่องดังกล่าว

สาเหตุที่ทำให้ Netflix เริ่มมองลู่ทางดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นจนน่าแปลกใจคือเครือข่ายทีวีบอกรับสมาชิกในสหรัฐ อเมริกาที่กำลังมีสมาชิกลดลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับแพลตฟอร์มวิดีโอสตีมมิ่งที่มีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น

ไม่เพียงเท่านี้คู่แข่งหลายราย เช่น Apple TV หรือแม้แต่ Peacock ซึ่งเป็นบริการแพลตฟอร์มวิดีโอสตีมมิ่งของ Comcast และ Max ของ HBO ไปจนถึง Prime Video ของ Amazon ซึ่งเป็นบริการของเหล่าคู่แข่งโดยตรง ก็เริ่มมีการซื้อลิขสิทธิ์กีฬาเพื่อถ่ายทอดสดบนแพลตฟอร์มมากขึ้น

ในการประกาศผลประกอบการเมื่อไตรมาส 1 ที่ผ่านมาของ Netflix นั้น บริษัทยังได้ชี้ว่านักลงทุนควรจะดูการเติบโตของรายได้และอัตรากำไรจากการดำเนินงานมากกว่าจำนวนสมาชิก ซึ่งกลยุทธ์หนึ่งของบริษัทก็คือการหารายได้จากค่าโฆษณา รวมถึงรายได้จากธุรกิจอื่นๆ

ทำให้อนาคตอันใกล้นี้เราต้องจับตาดูกันว่า Netflix จะจริงจังกับเรื่องดังกล่าวมากแค่ไหน หลังจากที่ปิดดีล NFL ช่วงวันคริสต์มาสต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

]]>
1473182
Netflix เตรียมเลิกรายงานจำนวนสมาชิกในแต่ละไตรมาส ชี้ควรโฟกัสรายได้และอัตรากำไรจากการดำเนินงานมากกว่า https://positioningmag.com/1470371 Fri, 19 Apr 2024 01:50:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470371 เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่ง ได้เตรียมที่จะยกเลิกการรายงานตัวเลขสมาชิกในแต่ละไตรมาส โดยบริษัทได้ให้เหตุผลถึงว่าปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวถือเป็นส่วนประกอบของการเติบโต แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ซึ่งแตกต่างกับในอดีต

Netflix ได้แจ้งกับนักลงทุนในการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 1 ของปี 2024 ว่าบริษัทจะไม่รายงานจำนวนผู้ใช้งานในแต่ละไตรมาสอีกต่อไป โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปี 2025 เป็นต้นไป ซึ่งการงดรายงานตัวเลขดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติของบริษัทไอทีที่กำลังเริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัว และหารายได้ใหม่ๆ แทน

ในรายงานประจำไตรมาส 1 ของบริษัทยังชี้ว่าการรายงานตัวเลขสมาชิกในอดีตที่ผ่านมาเนื่องจากบริษัทยังมีรายได้ไม่มาก ฉะนั้นแล้วสิ่งที่สามารถรายงานการเติบโตของบริษัทได้ก็คือยอดตัวเลขสมาชิกของบริษัท แต่ปัจจุบันบริษัทมีกำไรและกระแสเงินสดที่เติบโต ซึ่งถือว่าแตกต่างกับอดีต

เจ้าของแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งรายใหญ่จากสหรัฐอเมริกายังชี้ถึงบริษัทได้พัฒนาที่จะหารายได้ในส่วนอื่นเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำโฆษณาเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์ม หรือแม้แต่ราคาสมาชิกที่แตกต่างกัน ฉะนั้นบริษัทอยากให้นักลงทุนได้โฟกัสกับรายได้และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Margin) แทน

อย่างไรก็ดีในรายงานดังกล่าวบริษัทได้กล่าวว่าจะยังมีการรายงานรายได้ในแต่ละภูมิภาคอยู่ รวมถึงชี้ว่าข้อมูลที่บริษัทได้รายงานในแต่ละไตรมาสถือว่ามีความละเอียดเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ

แผนระยะยาวของ Netflix หลังจากนี้ บริษัทจะเน้นเพิ่มคอนเทนต์ให้หลากหลายหรือแม้แต่การเพิ่มคุณภาพของภาพยนตร์ และรายการต่างๆ การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือแคมเปญทางการตลาดใหม่ๆ หรือแม้แต่การหารายได้จากช่องทางอื่นๆ

บริษัทยังได้รายงานตัวเลขผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 9.3 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 16% ซึ่งปัจจัยหลักนั้นมาจากมาตรการห้ามแชร์รหัสผ่าน ยังรวมถึงการที่บริษัทมีแพ็กเกจราคาถูกที่มีโฆษณาออกมาด้วย

ผลดำเนินการของ Netflix ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมานั้นบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 9,370 ล้านเหรียญสหรัฐ มีกำไรทั้งสิ้น 2,633 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีสมาชิกแบบจ่ายเงินทั้งหมด 269.60 ล้านราย

กรณีการไม่รายงานตัวเลขสมาชิกในแต่ละไตรมาสของ Netflix ในปี 2025 ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทไอทีหลายแห่งก็ได้เลิกที่จะรายงานยอดสมาชิกในแต่ละไตรมาส ไม่ว่าจะเป็น Twitter ก่อนที่จะโดนซื้อกิจการ หรือแม้แต่ Meta เจ้าของ Facebook และ Instagram เองก็ไม่ได้รายงานตัวเลขดังกล่าวแล้วด้วยซ้ำ

]]>
1470371
10 อันดับคอนเทนต์ไทยบน “Netflix” ที่มีชั่วโมงการรับชมสูงสุด ครึ่งปีแรก 2023 https://positioningmag.com/1460742 Mon, 29 Jan 2024 09:02:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460742 สำหรับคนที่อยากรู้ว่าคอนเทนต์บน “Netflix” แต่ละเรื่องมีคนดูมากแค่ไหน ความปรารถนาของคุณเป็นจริงแล้ว เพราะสตรีมมิ่งเจ้านี้จะเริ่มเปิดเผยข้อมูลยอดรับชมของคอนเทนต์ทั้งหมดบนแพลตฟอร์ม!

ข้อมูลนี้ออกมาในรูปแบบรายงานชื่อ What We Watched: A Netflix Engagement Report โดยจะประกาศข้อมูลทุกๆ ครึ่งปี ครั้งแรกที่มีการประกาศคือเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2023 เป็นข้อมูลรอบวันที่ 1 มกราคม 2023 – 30 มิถุนายน 2023

รายงานนี้เปิดข้อมูลแบบละเอียดจริงๆ เพราะสามารถดาวน์โหลดตาราง Excel มาอ่านเองได้เลย ภายในแสดงข้อมูลคอนเทนต์ทั่วโลกรวมทั้งหมดกว่า 18,000 เรื่อง! ครอบคลุมคอนเทนต์ 99% ที่มีอยู่บน Netflix ไม่ว่าจะเป็นออริจินอลหรือเป็นการซื้อลิขสิทธิ์มาฉาย

การรายงานนี้จะไม่นับเป็นจำนวนครั้งหรือจำนวนบัญชีที่เข้าไปดู แต่คิดเป็น ‘จำนวนชั่วโมง’

สะท้อนให้เห็นว่า Netflix ต้องการวัดคุณภาพของคอนเทนต์ คนดูต้องชื่นชอบจริงๆ ถึงจะเปิดดูจนจบเรื่อง หรือกดดู EP. ต่อไปและต่อไปเรื่อยๆ รวมถึงถ้าแฟนคลับบัญชีเดิมกดดูวนไปซ้ำๆ ก็ถือว่าเป็นคอนเทนต์ที่ดีเช่นกัน

10 อันดับแรกคอนเทนต์ที่มีชั่วโมงการรับชมสูงสุดบน Netflix ทั่วโลก รอบครึ่งปีแรก 2023
  1. The Night Agent SS1
    ซีรีส์แอคชั่น ภาษาอังกฤษ
    812 ล้านชั่วโมง
  2. Ginny & Georgia SS2
    ซีรีส์คอมเมดี้ ภาษาอังกฤษ
    665 ล้านชั่วโมง
  3. The Glory SS1
    ซีรีส์ดราม่า ภาษาเกาหลี
    623 ล้านชั่วโมง
  4. Wednesday SS1
    ซีรีส์แฟนตาซีสยองขวัญ ภาษาอังกฤษ
    508 ล้านชั่วโมง
  5. Queen Charlotte: A Bridgerton Story
    ซีรีส์โรแมนติกคอมเมดี้ ภาษาอังกฤษ
    503 ล้านชั่วโมง
  6. You SS4
    ซีรีส์เขย่าขวัญ ภาษาอังกฤษ
    441 ล้านชั่วโมง
  7. La Reina del Sur SS3
    ซีรีส์ดราม่าระทึกขวัญ ภาษาสเปน
    430 ล้านชั่วโมง
  8. Outer Banks SS3
    ซีรีส์แอคชั่นผจญภัย ภาษาอังกฤษ
    403 ล้านชั่วโมง
  9. Ginny & Georgia SS1
    ซีรีส์คอมเมดี้ ภาษาอังกฤษ
    302 ล้านชั่วโมง
  10. FUBAR SS1
    ซีรีส์แอคชั่นคอมเมดี้ ภาษาอังกฤษ
    266 ล้านชั่วโมง

จากข้อมูลคอนเทนต์ยอดนิยม Netflix เล็งเห็นข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น 30% ของการรับชมคอนเทนต์บน Netflix เป็นการชมคอนเทนต์ที่ ‘ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ’ ตัวอย่างใน Top 10 มีคอนเทนต์ถึง 2 เรื่องที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ คือ The Glory (เกาหลี) และ La Reina del Sur (สเปน)

ฝั่งอุตสาหกรรมบันเทิงไทยก็มีความร่วมมือกับ Netflix ในการผลิตหรือลงสตรีมคอนเทนต์ที่ใช้ภาษาไทยดำเนินเรื่องเช่นกัน โดย Positioning เจาะตาราง Excel ของ Netflix และจัดลำดับข้อมูลดังนี้

10 อันดับคอนเทนต์ไทยบน “Netflix” ที่มีชั่วโมงการรับชมสูงสุด ครึ่งปีแรก 2023
  1. Hunger คนหิวเกมกระหาย
    ภาพยนตร์ดราม่า
    92.3 ล้านชั่วโมง
  2. Royal Doctor หมอหลวง ซีซัน 1
    ซีรีส์ย้อนยุคคอมเมดี้
    24.3 ล้านชั่วโมง
  3. Girl from Nowhere เด็กใหม่ ซีซัน 1
    ซีรีส์ดราม่าระทึกขวัญ
    14.2 ล้านชั่วโมง
  4. DELETE ซีซัน 1 (*)
    ซีรีส์ดราม่าระทึกขวัญ
    8.0 ล้านชั่วโมง
  5. Nak นางนาค สะใภ้พระโขนง
    ซีรีส์ย้อนยุคโรแมนติก
    8.0 ล้านชั่วโมง
  6. Moo 2 หมู่ 2
    ภาพยนตร์ตลกเดี่ยวไมโครโฟน
    4.9 ล้านชั่วโมง
  7. To the Moon and Back มาตาลดา ซีซัน 1
    ซีรีส์โรแมนติก
    3.9 ล้านชั่วโมง
  8. Bad Romeo คือเธอ ซีซัน 1
    ซีรีส์โรแมนติก
    3.8 ล้านชั่วโมง
  9. Oh My Girl รักจังวะ..ผิดจังหวะ
    ภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้
    3.6 ล้านชั่วโมง
  10. Love Destiny the Movie บุพเพสันนิวาส ๒
    ภาพยนตร์ย้อนยุคโรแมนติก
    3.4 ล้านชั่วโมง

(*) ซีรีส์เรื่อง DELETE เข้าสตรีมมิ่งวันที่ 28 มิถุนายน 2023 ทำให้มีเวลาเพียง 3 วันในการจัดอันดับรอบนี้

คอนเทนต์ภาษาไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในรอบนี้คือ “Hunger คนหิวเกมกระหาย” มีชั่วโมงรับชมที่สูงเป็นอันดับ 110 ของโลก และยิ่งน่าประทับใจหากมองว่านี่คือชั่วโมงรับชมของ “ภาพยนตร์” เรื่องหนึ่งที่มีความยาวประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า แปลว่าถ้ามีการรับชมคนละหนึ่งครั้ง จะเท่ากับมีผู้ชมหนังไทยเรื่องนี้ประมาณ 46 ล้านคนทั่วโลก

สิ่งที่น่าสนใจอีกประเด็นจาก 10 อันดับแรก คือดูเหมือนว่าคอนเทนต์ไทยจะได้รับความนิยมในกลุ่ม “ย้อนยุค” และ “โรแมนติก” มีถึง 3 คอนเทนต์ในการจัดอันดับที่เป็นเรื่องราวย้อนยุคในอดีต และมีถึง 5 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวความรักเป็นหลัก

น่าติดตามต่อว่าคอนเทนต์ไทยบน Netflix ในรอบครึ่งปีหลัง 2023 จะมีเรื่องใดที่ประสบความสำเร็จ เอาชนะใจคนดูบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งได้อีกบ้าง!

]]>
1460742
Netflix จับมือกับ WWE เตรียมถ่ายทอดสดศึกมวยปล้ำ Raw เริ่มต้นใน สหรัฐฯ แคนาดา ลาตินอเมริกา ปี 2025 ประเทศอื่นๆ ตามมาภายหลัง https://positioningmag.com/1459959 Tue, 23 Jan 2024 15:10:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1459959 Netflix จับมือกับ WWE โดยเตรียมถ่ายทอดสดศึกมวยปล้ำ Raw เริ่มต้นใน สหรัฐฯ แคนาดา ลาตินอเมริกา ปี 2025 ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ตามมาภายหลัง ดีลดังกล่าวแสดงให้เห็นความเคลื่อนไหวว่ายักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งรายนี้เอาจริงเอาจังกับการถ่ายทอดสดกีฬาแล้ว

WWE ศึกมวยปล้ำชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศเซ็นสัญญากับ Netflix ในการนำรายการมวยปล้ำชื่อดังอย่าง Raw มาถ่ายทอดสดบนแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งรายดังกล่าว และดีลดังกล่าวยังจะขยายความร่วมมือในการถ่ายทอดสดรายการอื่นๆ หลังจากนี้ด้วย

ดีลที่ทั้งสองฝ่ายเซ็นร่วมกันมีอายุสัญญา 10 ปี โดยจะเริ่มต้นจากการถ่ายทอดสดศึก WWE Raw ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา รวมถึงหลายประเทศในลาตินอเมริกา ก่อนที่จะขยายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกหลังจากนี้ และดีลดังกล่าวจะทำให้ผู้ชมนอกสหรัฐอเมริกานั้นสามารถติดตามศึกมวยปล้ำของ WWE ได้มากกว่าเดิม

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับดีลนี้ได้กล่าวว่า ดีลดังกล่าว Netflix ได้ทำข้อตกลงมูลค่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐกับ WWE สอดคล้องกับแหล่งข่าวของ Variety ที่ได้กล่าวว่าดีลดังกล่าวนั้นมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

การเซ็นสัญญากับ Netflix ของ WWE มาในช่วงจังหวะที่สัญญาเดิมที่ทำไว้กับ Comcast เจ้าของช่องทีวีในสหรัฐอเมริกากำลังจะหมดลง ซึ่งดีลดังกล่าวมีมูลค่าราวๆ 250-260 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

Bela Bajaria เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารด้านคอนเทนต์ของ Netflix ได้กล่าวว่าบริษัทมีความตื่นเต้นที่จะได้ถ่ายทอดสดรายการ WWE Raw บนแพลตฟอร์มของ Netflix เนื่องจากมีฐานแฟนคลับต่างวัยมากมาย และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกัน

ในช่วงที่ผ่านมาแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งหลายรายได้เริ่มถ่ายทอดสดกีฬาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Amazon Prime ที่ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาในหลายประเทศ Peacock ของ Comcast ที่ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ หรือแม้แต่ Apple TV ที่ถ่ายทอดสดฟุตบอลลีกของสหรัฐอเมริกาอย่าง MLS เป็นต้น

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้ยังแสดงให้เห็นว่า Netflix เริ่มเอาจริงเอาจังกับการเข้ามาถ่ายทอดสดกีฬาเพิ่มมากขึ้น ก่อนหน้านี้บริษัทได้ลองเชิงในการถ่ายทอดสดกีฬากอล์ฟ โดยนำนักแข่ง F1 เข้ามาร่วมรายการ เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดี แม้ว่าก่อนหน้านี้ผู้บริหารของบริษัทจะไม่สนใจในการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาเลยก็ตาม

ทางด้านฝั่งของ WWE การจับมือกับ Netflix ยังแสดงให้เห็นถึงภาวะขาลงของเครือข่ายทีวีบอกรับสมาชิกในสหรัฐอเมริกาที่กำลังมีจำนวนลดลง สวนทางกับแพลตฟอร์มวิดีโอสตีมมิ่งที่มีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เจ้าของศึกมวยปล้ำยังสามารถขยายฐานแฟนคลับทั่วโลกได้ด้วย

]]>
1459959
ลือ! ซีอีโอของ ‘Warner Bros. Discovery’ ซุ่มคุยกับซีอีโอ ‘Paramount’ เกี่ยวกับการ ‘ควบรวมกิจการ’ https://positioningmag.com/1456705 Thu, 21 Dec 2023 07:31:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1456705 ต้องยอมรับว่านับตั้งแต่การมาของแพลตฟอร์ม วิดีโอสตรีมมิ่ง ที่ทำให้วงการสื่อเปลี่ยนเเปลงไป ค่ายผู้ผลิตสื่อรายใหญ่ก็ต้องลงสู่ตลาดสตรีมมิ่ง ท่ามการการแข่งขันที่ดุเดือด โดยล่าสุด สื่อได้ออกข่าวว่าผู้บริหารระดับสูงของของค่าย ‘Warner Bros. Discovery’ ได้ไปเจรจากับค่าย ‘Paramount’ เกี่ยวกับการ ‘ควบรวมกิจการ’

CNN ได้รายงานว่า David Zaslav ซีอีโอของ Warner Bros. Discovery ได้พบกับ Bob Bakish ซีอีโอของ Paramount Global เมื่อวันอังคารที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ณ สำนักงานใหญ่ของ Paramount ในไทม์สแควร์ นิวยอร์กซิตี้ เพื่อพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการควบรวมกิจการระหว่างทั้งสองบริษัท อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 บริษัทปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวดังกล่าว

แม้จะยังไม่มีการยืนยันว่าทั้งสองบริษัทจะตกลงควบรวมกิจการกัน แต่หลายคนมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากทั้งสองบริษัทจะควบรวมกัน เพราะการควบรวมนี้อาจอาจทำให้อุตสาหกรรมสื่อพลิกผันได้อีกครั้ง ขณะที่ Paramount ก็ต้องการพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดในปัจจุบัน

เพราะต้องยอมรับว่า การแข่งขันในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ในยุคสตรีมมิ่งนั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ และยังต้องใช้เงินมหาศาล เพราะต้องแข่งทั้งผู้เล่นที่แข็งแกร่งมาก ๆ อย่าง Netflix และ Disney ขณะที่ปัจจุบันทั้งสองบริษัทเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญในสภาพแวดล้อมของสื่อที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เรตติ้งทีวีลดลงเนื่องจากลูกค้ายกเลิกบริการเคเบิลทีวีมากขึ้น ส่วนตลาดโฆษณากำลังเปลี่ยนไปสู่การสตรีม นอกจากนี้ ต้นทุนการสร้างคอนเทนต์ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ 

ดังนั้น หากทั้งสองบริษัทควบรวมกัน Warner Bros. Discovery ก็จะได้แพลตฟอร์มของ Paramount+ มาเสริมแกร่งให้กับบริการสตรีมมิ่งอย่าง HBO ขณะเดียวกัน Paramount ก็จะได้ช่องทางการขายในต่างประเทศเพื่อส่งเสริมแฟรนไชส์ต่าง ๆ ของค่าย

“ฉันคิดว่ามันบ่งบอกถึงความตื่นตระหนก เพราะอุตสาหกรรมนี้กำลังเผชิญกับอนาคตที่ท้าทายอย่างยิ่ง พวกเขาจะพยายามทำให้ตัวเองใหญ่ขึ้นเพื่อแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่ง” Rich Greenfield นักวิเคราะห์อุตสาหกรรม ผู้ร่วมก่อตั้ง LightShed Partners กล่าว

อย่างไรก็ตาม Warner Bros. Discovery จะไม่สามารถทำธุรกรรมกับ Paramount หรือหน่วยงานอื่นใดได้ในขณะนี้ จนกว่ากฎหมายภาษีอากรที่ห้ามไม่ให้บริษัทเข้าซื้อกิจการหรือการควบรวมกิจการเพิ่มเติมจนกว่าจะหลังเดือนเมษายน 2024 เนื่องจาก WarnerMedia เพิ่งซื้อ Discovery ไปเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมาในมูลค่า 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจุบัน Warner Bros. Discovery มีมูลค่าอยู่ที่ราว 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน Paramount มีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ทางบริษัทกำลังเผชิญกับภาระหนี้ ทำให้อยู่ภายใต้ความกดดันที่จะหาพาร์ตเนอร์ด้านกลยุทธ์หรือผู้ซื้อกิจการต่อ ดังนั้น อาจต้องรอดูว่าทั้งสองบริษัทจะตกลงควบรวมกิจการกันได้หรือไม่

]]>
1456705
กลยุทธ์ “Netflix” ถ่ายทอดสด “กีฬา” แมตช์พิเศษ ดึงคนดูกลุ่มใหม่-เพิ่มคอนเทนต์ให้หลากหลาย https://positioningmag.com/1455541 Wed, 13 Dec 2023 11:03:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455541 กลยุทธ์ใหม่ของ “Netflix” ในการครองบัลลังก์สตรีมมิ่งคือการเจาะเข้าสู่ตลาดถ่ายทอดสด “กีฬา” เพื่อดึงคนดูกลุ่มใหม่ๆ และเพิ่มคอนเทนต์ให้หลากหลาย ช่วยดึงสมาชิกเก่าไม่ให้บอกเลิกสมาชิกไปเสียก่อน

คอกีฬาฮือฮากันทันทีเมื่อ “Netflix” ประกาศโปรแกรมถ่ายทอดสด “กีฬา” รายการใหม่ “The Netflix Slam” จับคู่หยุดโลกในวงการเทนนิส “ราฟาเอล นาดาล ปะทะ คาร์ลอส อัลคาราซ” แชมป์แกรนด์สแลม 22 สมัยประจันหน้ากับนักเทนนิสมือวางอันดับ 2 ของโลกคนปัจจุบัน

แมตช์นี้จะพบกันวันที่ 3 มีนาคม 2024 เป็นแมตช์พิเศษที่จัดขึ้นในลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา และ Netflix เป็นสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มที่จะถ่ายทอดสดไปในกลุ่มประเทศที่พูดภาษาอังกฤษและภาษาสเปน

Netflix กีฬา
รายการเทนนิสนัดพิเศษ The Netflix Slam

การถ่ายทอดสดกีฬานัดนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของ Netflix เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 แพลตฟอร์มนี้มีการถ่ายทอดสดกีฬาครั้งแรกในรายการ “The Netflix Cup” เป็นกีฬากอล์ฟแมตช์พิเศษ โดยสร้างสรรค์ไอเดียจับคู่นักกอล์ฟอาชีพจากรายการ PGA Tour กับนักแข่งรถฟอร์มูลาวันมาเป็นทีมกอล์ฟทีมเดียวกัน รวมทั้งหมด 4 ทีมเพื่อแข่งขันหาแชมป์รายการ และมีการถ่ายทอดสดไปหลายประเทศ

เหตุที่ Netflix สนใจการถ่ายทอดสดกีฬา มาจากสถิติจากวงการโทรทัศน์แบบดั้งเดิมและเคเบิลทีวี สถานการณ์วงการโทรทัศน์นั้นมีคนดูน้อยลงเรื่อยๆ แต่กลุ่มที่ยังเปิดโทรทัศน์ปกติดูอยู่เป็นเพราะต้องการชมถ่ายทอดสดกีฬานั่นเอง

โดยข้อมูลจาก Neilsen พบว่า ผู้ชมในสหรัฐฯ​ เปิดโทรทัศน์ดูถ่ายทอดสดกีฬาเพิ่มขึ้นถึง 360% เมื่อฤดูกาลใหม่ของรายการอเมริกันฟุตบอล National Football League (NFL) เริ่มต้นขึ้น

นั่นทำให้ Netflix รู้ว่า บรรดาคอกีฬาถือเป็นกลุ่มผู้ชมที่แข็งแรงมาก และหันมาทำคอนเทนต์เกี่ยวกับกีฬามากขึ้นโดยเฉพาะสารคดีเจาะลึกวงการกีฬาต่างๆ เช่น “Formula 1: Drive to Survive” เพื่อเจาะลึกในรายการแข่งขันรถฟอร์มูลาวัน “Full Swing” เจาะลึกเบื้องหลังการแข่งขัน PGA Tour หรือ “Quarterback” เจาะลึกวงการกีฬาอเมริกันฟุตบอลรายการ NFL เป็นต้น

ซีรีส์สารคดี Formula 1: Drive to Survive

อย่างไรก็ตาม Netflix ยังไม่มีแผนที่จะเข้าไปประมูลชิงลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาตามฤดูกาลใดๆ ทั้งสิ้น ยืนยันโดย “สเปนเซอร์ นอยมานน์” ซีเอฟโอบริษัท เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เหตุเพราะประเมินแล้วคิดว่าการลงทุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐไปกับค่าลิขสิทธิ์คงจะไม่ได้กำไรกลับมามากเท่าไหร่นัก

“เท็ด ซารานดอส” ซีอีโอร่วมของ Netflix ก็เคยประกาศไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2023 ว่าบริษัทไม่ได้สนใจประมูลถ่ายทอดสดกีฬาทั้งฤดูกาล แต่ต้องการจะลงทุนเฉพาะคอนเทนต์ที่ “เกี่ยวกับกีฬา” เท่านั้น โดยหวังว่าจะได้กลุ่มคนดูประเภท “คอกีฬา” กลุ่มเดียวกับที่ชมถ่ายทอดสดในโทรทัศน์ปกติ ให้หันมาดูสารคดีและแมตช์พิเศษใน Netflix ด้วย

เทรนด์การถ่ายทอดสดกีฬาผ่านสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มนั้นไม่ได้มีแต่ Netflix ที่เล็งเห็น แพลตฟอร์มอื่นก็มีการใช้กลยุทธ์นี้เช่นกัน เช่น “Amazon Prime” ชิงลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดรายการ Thursday Night Football การแข่งขัน NFL ในคืนวันพฤหัสบดีมาได้ หรือ “AppleTV” ก็ชิงลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดรายการ Friday Night Baseball การแข่งขันเบสบอลเมเจอร์ลีกทุกคืนวันศุกร์ และรายการฟุตบอล Major League Soccer ของสหรัฐฯ

ที่มา: Reuters, The Verge, CNBC

]]>
1455541
คนดูไหวไหม? Netflix อาจ “ขึ้นราคา” สตรีมมิ่งเร็วๆ นี้ หลังข้อตกลงกับกลุ่มนักเขียนบทกระทบต้นทุน https://positioningmag.com/1447146 Fri, 06 Oct 2023 07:46:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1447146 Netflix มีแผนจะ “ขึ้นราคา” บริการสตรีมมิ่งเร็วๆ นี้ หลังการประท้วงหยุดงานของกลุ่มนักเขียนบทฮอลลีวูดได้ข้อยุติ และอาจมีผลกระทบกับต้นทุนของบริษัท

The Wall Street Journal รายงานข่าวว่า Netflix เตรียมจะ “ขึ้นราคา” บริการสตรีมมิ่ง “ในหลายประเทศทั่วโลก” โดยจะเริ่มจากตลาดสหรัฐอเมริกาและแคนาดาก่อน โดยยังไม่ชัดเจนว่าจะขึ้นราคามากแค่ไหนและเริ่มเมื่อไหร่

เมื่อปีที่แล้ว Netflix เพิ่งจะปรับขึ้นราคสตรีมมิ่งในสหรัฐฯ ไป ปัจจุบันราคามาตรฐานในสหรัฐฯ เริ่มต้นที่ 15.49 เหรียญต่อเดือน และจากการขึ้นราคาทำให้บริษัทมีแพ็กเกจใหม่เข้ามาเสริม คือ แพ็กเกจราคา 6.99 เหรียญต่อเดือน แต่มีโฆษณาคั่น

หลังจากนั้น เมื่อต้นปีนี้เอง Netflix เริ่มเข้มงวดกับการ “แชร์พาสเวิร์ด” ทั่วโลก ทำให้แชร์พาสเวิร์ดกับคนภายนอกบ้านหลังเดียวกันไม่ได้ ยกเว้นจ่ายเพิ่มสำหรับจำนวนคนที่เพิ่มเข้ามาในบัญชีเดียวกัน

การห้ามแชร์พาสเวิร์ดนี้ได้ผลในการเพิ่มจำนวนสมาชิกให้ Netflix ดูได้จากในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2023 ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทเริ่มแบนการแชร์พาสเวิร์ด สตรีมมิ่งเจ้านี้ได้สมาชิกเพิ่มมาถึง 5.9 ล้านคน

ภาพจาก Shutterstock

เป็นที่น่าสังเกตว่า กระแสข่าวการพิจารณาขึ้นราคาสตรีมมิ่งของ Netflix ออกมาในช่วงที่การประท้วงหยุดงานของกลุ่มนักเขียนบทฮอลลีวูด (WGA) เพิ่งจะได้ข้อยุติ และข้อตกลงระหว่างสตูดิโอฮอลลีวูดกับกลุ่มนักเขียนบทนั้นน่าจะส่งผลให้ธุรกิจสตรีมมิ่งเกิดความเปลี่ยนแปลง

ข้อตกลงดังกล่าวคือข้อที่ระบุว่า กลุ่มสตรีมมิ่ง เช่น Netflix, Disney Plus, Hulu ฯลฯ จะต้องเปิดข้อมูลสตรีมมิ่งกับ WGA เพื่อให้นักเขียนได้ทราบว่าคอนเทนต์ของตนเองมียอดวิวมากน้อยแค่ไหน และจะได้ตกลงโบนัสสำหรับคอนเทนต์ที่ได้ยอดวิวสูง รวมถึงมีการกำหนดค่าจ้างเขียนบทขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 18% สำหรับภาพยนตร์ต้นทุนสูง ทั้งนี้ WGA มีการคำนวณพบว่าการเพิ่มต้นทุนค่าเขียนบทจะกระทบรายได้ของ Netflix เพียง 0.2% เท่านั้น

ในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ประท้วงสายนักแสดงก็ยังคงสไตรค์กันอยู่ ทำให้โปรดักชันเดินต่อไม่ได้ ดังนั้น Netflix น่าจะรอจนการประท้วงทั้งหมดสิ้นสุดก่อนที่จะขึ้นราคาสตรีมมิ่ง เพราะการขึ้นราคาขณะที่ไม่ค่อยมีคอนเทนต์ใหม่ๆ มาบริการก็ออกจะเป็นการไม่ฉลาดเกินไป หากนักแสดงและนักเขียนบทกลับมาทำงานแล้ว คอนเทนต์ใหม่ๆ จะได้เข้าฉายมากขึ้น และเป็นจังหวะเหมาะในการขึ้นค่าบริการ

นอกจากความเคลื่อนไหวจากฝั่ง Netflix แล้ว ยังมีรายงานด้วยว่า Disney Plus กำลังพิจารณาเพิ่มแพ็กเกจ “กีฬา” เข้าไปในตลาดที่ไม่ใช่สหรัฐฯ ด้วย เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะต่อสู้ในศึกสตรีมมิ่งยุคนี้

Source

]]>
1447146