Ted Sarandos ซึ่งเป็น CEO ร่วมของ Netflix ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ New York Times โดยเขาได้ให้มุมมองในเรื่องสงครามของบริการวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นยังไม่ได้จบ และไม่ได้มองว่าบริษัทเป็นผู้ชนะในเกมนี้ ขณะเดียวกันการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เองก็ไม่ได้ทำให้คนวงการบันเทิงตกงานแต่อย่างใด
สำหรับ CEO ร่วมของ Netflix รายนี้เข้ารับตำแหน่งในปี 2020 โดยเป็น CEO ร่วมกับ Reed Hastings ก่อนที่ Reed จะลงจากตำแหน่งในปี 2023 และบริษัทได้ตั้ง CEO ร่วมคนใหม่มาคู่กับตำแหน่งของ Ted นั่นก็คือ Greg Peters
สื่อรายดังกล่าวได้ถามถึง Ted ในประเด็นที่ว่าในปัจจุบัน Netflix เป็นผู้ชนะในสงครามวิดีโอสตรีมมิ่ง ซึ่งเขาชี้ว่าเขาเองไม่อยากจะจริงจังในเรื่องนี้มากนัก และเขาได้เล่าว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ถูกตราหน้าว่าจะเป็นผู้แพ้ในสงครามครั้งนี้ด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์หรือคนทั่วไปมองว่า บริษัทด้านความบันเทิงหลายแห่งที่เป็นผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นหลายคนมองว่าไม่น่าจะเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้เช่นเดียวกับ Netflix และพวกบริษัทเหล่านี้ไม่มีวันที่จะเข้าใจธุรกิจ เขายังกล่าวเสริมว่าทุกวันนี้นั้นทุกอย่างแตกต่างกันไปมาก บริษัทเหล่านี้เข้าใจเรื่องเทคโนโลยี
ขณะเดียวกันเขาเองได้เล่าถึงวันที่ Netflix ยังเป็นบริษัทให้เช่าวิดีโอ ก่อนที่บริษัทจะเปลี่ยนธุรกิจมาเป็นวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นเพราะบริษัทมีเป้าหมายอย่างชัดเจน ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง CEO ร่วมของ Netflix นั้นเล่าถึงการประชุมของบริษัทจะไม่มีการเชิญพนักงานที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ DVD มาพูดคุยเลย เนื่องจากบริษัทรู้ถึงจุดหมายปลายทางขององค์กร
CEO ร่วมของ Netflix ยังเล่าถึงการที่บริษัทด้านความบันเทิงหลายแห่งในตอนนี้กำลังประสบกับความท้าทายเนื่องจากบริษัทต้องการที่จะปกป้องธุรกิจเดิมของตนเอง และเขากล่าวว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและไม่ควรที่จะลงทุนในธุรกิจแบบเดิมๆ
ในส่วนการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั้นจะสร้างผลกระทบต่อคนในวงการบันเทิงหรือไม่ CEO ร่วมของ Netflix คิดว่าการเข้ามาของ AI ถือเป็นความก้าวหน้าตามธรรมชาติของสิ่งต่างๆ และมองว่าคนเขียนบท ผู้กำกับสามารถใช้เทคโนโลยีดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นได้
เขายังกล่าวเสริมในเรื่องดังกล่าวว่า ให้ลองนึกภาพในกรณีที่เอาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มาทำให้เป็นไปได้ เช่น การวาดภาพแอนิเมชั่นที่ในอดีตทำได้ยาก แต่ปัจจุบันสามารถทำได้ เขายังมองว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านความบันเทิงทุกอย่างจึงมีการต่อสู้กัน และท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่าสิ่งดังกล่าวนั้นทำให้อุตสาหกรรมนั้นเติบโต
นอกจากนี้เขายังทิ้งท้ายว่าเขายังมีศรัทธาในตัวมนุษย์ AI ไม่สามารถที่จะสู้กับนักเขียนบทที่เก่งกาจและยอดเยี่ยมได้ แต่เขามองว่าคนที่ใช้เทคโนโลยี AI ได้ดีอาจแย่งงานของคุณได้
]]>CNBC รายงานข่าว ชี้ว่า Netflix ผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งจากสหรัฐอเมริกา เริ่มที่จะมองลู่ทางในการทำรายได้จากการถ่ายทอดสดกีฬามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายได้จากโฆษณาในช่วงการถ่ายทอดสดซึ่งอาจสร้างรายได้ให้กับบริษัทเป็นมูลค่ามหาศาล
สำหรับกีฬาที่ Netflix เริ่มจับตามองและสนใจที่จะซื้อลิขสิทธิ์คือการถ่ายทอดสดกีฬาอเมริกันฟุตบอล (NFL) โดยล่าสุดบริษัทปิดดีลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดวันคริสมาสต์เป็นเวลา 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2024 เนื่องจากมีผู้ชมมหาศาลในช่วงเวลาดังกล่าว
นอกจากจำนวนผู้ชมมหาศาลในช่วงเวลาดังกล่าวแล้วยังเป็นข้อดีในการขายโฆษณาในช่วงเวลาถ่ายทอดสด ซึ่งการถ่ายทอดสด NFL นั้นมักจะมีการตัดเข้าโฆษณาเสมอเมื่อมีช่วงเวลาหยุดเกม ทำให้บริษัทมองถึงรายได้มหาศาลจากช่องทางดังกล่าว
ในปี 2023 ที่ผ่านมา บริษัทได้ลองเชิงในการถ่ายทอดสดกีฬาคู่พิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการนำนักแข่งของ F1 มาแข่งขันรายการกอล์ฟ The Netflix Cup หรือแม้แต่เทนนิสรายการพิเศษ ซึ่งได้รับผลตอบแทนที่ดีไม่น้อย และบริษัทยังเริ่มทำสารคดีที่เกี่ยวข้องกับกีฬาเพิ่มมากขึ้น เช่น สารคดีเกี่ยวกับ NFL ฯลฯ
และในปีนี้ Netflix ได้เริ่มเข้าสู่การซื้อลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดกีฬาเพิ่มมากขึ้น เช่น การปิดดีลถ่ายทอดสดมวยปล้ำ WWE แม้ว่าจะเริ่มต้นถ่ายทอดสดในปี 2025 ก็ตาม
ภายหลังดีลกับ WWE นั้น Ted Sarandos ซึ่งเป็น CEO ของ Netflix มีท่าทีกับเรื่องดังกล่าวเปลี่ยนไปไม่น้อย ก่อนหน้านี้เขาได้กล่าวว่าบริษัทไม่สนใจที่จะถ่ายทอดสดกีฬาเลยด้วยซ้ำ แต่ล่าสุดเขากล่าวว่า เขาไม่ใช่คนต่อต้านกีฬา แต่เขามองว่าการเติบโตของกำไรต้องมาก่อน
และ CEO รายนี้มองว่าถ้าหากการถ่ายทอดสดกีฬาทำให้รายได้และกำไรของบริษัทเติบโตมากขึ้น เขาเองก็พร้อมที่จะลุยกับเรื่องดังกล่าว
สาเหตุที่ทำให้ Netflix เริ่มมองลู่ทางดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นจนน่าแปลกใจคือเครือข่ายทีวีบอกรับสมาชิกในสหรัฐ อเมริกาที่กำลังมีสมาชิกลดลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับแพลตฟอร์มวิดีโอสตีมมิ่งที่มีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น
ไม่เพียงเท่านี้คู่แข่งหลายราย เช่น Apple TV หรือแม้แต่ Peacock ซึ่งเป็นบริการแพลตฟอร์มวิดีโอสตีมมิ่งของ Comcast และ Max ของ HBO ไปจนถึง Prime Video ของ Amazon ซึ่งเป็นบริการของเหล่าคู่แข่งโดยตรง ก็เริ่มมีการซื้อลิขสิทธิ์กีฬาเพื่อถ่ายทอดสดบนแพลตฟอร์มมากขึ้น
ในการประกาศผลประกอบการเมื่อไตรมาส 1 ที่ผ่านมาของ Netflix นั้น บริษัทยังได้ชี้ว่านักลงทุนควรจะดูการเติบโตของรายได้และอัตรากำไรจากการดำเนินงานมากกว่าจำนวนสมาชิก ซึ่งกลยุทธ์หนึ่งของบริษัทก็คือการหารายได้จากค่าโฆษณา รวมถึงรายได้จากธุรกิจอื่นๆ
ทำให้อนาคตอันใกล้นี้เราต้องจับตาดูกันว่า Netflix จะจริงจังกับเรื่องดังกล่าวมากแค่ไหน หลังจากที่ปิดดีล NFL ช่วงวันคริสต์มาสต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
]]>Netflix ได้แจ้งกับนักลงทุนในการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 1 ของปี 2024 ว่าบริษัทจะไม่รายงานจำนวนผู้ใช้งานในแต่ละไตรมาสอีกต่อไป โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปี 2025 เป็นต้นไป ซึ่งการงดรายงานตัวเลขดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติของบริษัทไอทีที่กำลังเริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัว และหารายได้ใหม่ๆ แทน
ในรายงานประจำไตรมาส 1 ของบริษัทยังชี้ว่าการรายงานตัวเลขสมาชิกในอดีตที่ผ่านมาเนื่องจากบริษัทยังมีรายได้ไม่มาก ฉะนั้นแล้วสิ่งที่สามารถรายงานการเติบโตของบริษัทได้ก็คือยอดตัวเลขสมาชิกของบริษัท แต่ปัจจุบันบริษัทมีกำไรและกระแสเงินสดที่เติบโต ซึ่งถือว่าแตกต่างกับอดีต
เจ้าของแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งรายใหญ่จากสหรัฐอเมริกายังชี้ถึงบริษัทได้พัฒนาที่จะหารายได้ในส่วนอื่นเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำโฆษณาเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์ม หรือแม้แต่ราคาสมาชิกที่แตกต่างกัน ฉะนั้นบริษัทอยากให้นักลงทุนได้โฟกัสกับรายได้และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Margin) แทน
อย่างไรก็ดีในรายงานดังกล่าวบริษัทได้กล่าวว่าจะยังมีการรายงานรายได้ในแต่ละภูมิภาคอยู่ รวมถึงชี้ว่าข้อมูลที่บริษัทได้รายงานในแต่ละไตรมาสถือว่ามีความละเอียดเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ
แผนระยะยาวของ Netflix หลังจากนี้ บริษัทจะเน้นเพิ่มคอนเทนต์ให้หลากหลายหรือแม้แต่การเพิ่มคุณภาพของภาพยนตร์ และรายการต่างๆ การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือแคมเปญทางการตลาดใหม่ๆ หรือแม้แต่การหารายได้จากช่องทางอื่นๆ
บริษัทยังได้รายงานตัวเลขผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 9.3 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 16% ซึ่งปัจจัยหลักนั้นมาจากมาตรการห้ามแชร์รหัสผ่าน ยังรวมถึงการที่บริษัทมีแพ็กเกจราคาถูกที่มีโฆษณาออกมาด้วย
ผลดำเนินการของ Netflix ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมานั้นบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 9,370 ล้านเหรียญสหรัฐ มีกำไรทั้งสิ้น 2,633 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีสมาชิกแบบจ่ายเงินทั้งหมด 269.60 ล้านราย
กรณีการไม่รายงานตัวเลขสมาชิกในแต่ละไตรมาสของ Netflix ในปี 2025 ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทไอทีหลายแห่งก็ได้เลิกที่จะรายงานยอดสมาชิกในแต่ละไตรมาส ไม่ว่าจะเป็น Twitter ก่อนที่จะโดนซื้อกิจการ หรือแม้แต่ Meta เจ้าของ Facebook และ Instagram เองก็ไม่ได้รายงานตัวเลขดังกล่าวแล้วด้วยซ้ำ
]]>ข้อมูลนี้ออกมาในรูปแบบรายงานชื่อ What We Watched: A Netflix Engagement Report โดยจะประกาศข้อมูลทุกๆ ครึ่งปี ครั้งแรกที่มีการประกาศคือเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2023 เป็นข้อมูลรอบวันที่ 1 มกราคม 2023 – 30 มิถุนายน 2023
รายงานนี้เปิดข้อมูลแบบละเอียดจริงๆ เพราะสามารถดาวน์โหลดตาราง Excel มาอ่านเองได้เลย ภายในแสดงข้อมูลคอนเทนต์ทั่วโลกรวมทั้งหมดกว่า 18,000 เรื่อง! ครอบคลุมคอนเทนต์ 99% ที่มีอยู่บน Netflix ไม่ว่าจะเป็นออริจินอลหรือเป็นการซื้อลิขสิทธิ์มาฉาย
การรายงานนี้จะไม่นับเป็นจำนวนครั้งหรือจำนวนบัญชีที่เข้าไปดู แต่คิดเป็น ‘จำนวนชั่วโมง’
สะท้อนให้เห็นว่า Netflix ต้องการวัดคุณภาพของคอนเทนต์ คนดูต้องชื่นชอบจริงๆ ถึงจะเปิดดูจนจบเรื่อง หรือกดดู EP. ต่อไปและต่อไปเรื่อยๆ รวมถึงถ้าแฟนคลับบัญชีเดิมกดดูวนไปซ้ำๆ ก็ถือว่าเป็นคอนเทนต์ที่ดีเช่นกัน
จากข้อมูลคอนเทนต์ยอดนิยม Netflix เล็งเห็นข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น 30% ของการรับชมคอนเทนต์บน Netflix เป็นการชมคอนเทนต์ที่ ‘ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ’ ตัวอย่างใน Top 10 มีคอนเทนต์ถึง 2 เรื่องที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ คือ The Glory (เกาหลี) และ La Reina del Sur (สเปน)
ฝั่งอุตสาหกรรมบันเทิงไทยก็มีความร่วมมือกับ Netflix ในการผลิตหรือลงสตรีมคอนเทนต์ที่ใช้ภาษาไทยดำเนินเรื่องเช่นกัน โดย Positioning เจาะตาราง Excel ของ Netflix และจัดลำดับข้อมูลดังนี้
(*) ซีรีส์เรื่อง DELETE เข้าสตรีมมิ่งวันที่ 28 มิถุนายน 2023 ทำให้มีเวลาเพียง 3 วันในการจัดอันดับรอบนี้
คอนเทนต์ภาษาไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในรอบนี้คือ “Hunger คนหิวเกมกระหาย” มีชั่วโมงรับชมที่สูงเป็นอันดับ 110 ของโลก และยิ่งน่าประทับใจหากมองว่านี่คือชั่วโมงรับชมของ “ภาพยนตร์” เรื่องหนึ่งที่มีความยาวประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า แปลว่าถ้ามีการรับชมคนละหนึ่งครั้ง จะเท่ากับมีผู้ชมหนังไทยเรื่องนี้ประมาณ 46 ล้านคนทั่วโลก
สิ่งที่น่าสนใจอีกประเด็นจาก 10 อันดับแรก คือดูเหมือนว่าคอนเทนต์ไทยจะได้รับความนิยมในกลุ่ม “ย้อนยุค” และ “โรแมนติก” มีถึง 3 คอนเทนต์ในการจัดอันดับที่เป็นเรื่องราวย้อนยุคในอดีต และมีถึง 5 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวความรักเป็นหลัก
น่าติดตามต่อว่าคอนเทนต์ไทยบน Netflix ในรอบครึ่งปีหลัง 2023 จะมีเรื่องใดที่ประสบความสำเร็จ เอาชนะใจคนดูบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งได้อีกบ้าง!
]]>WWE ศึกมวยปล้ำชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศเซ็นสัญญากับ Netflix ในการนำรายการมวยปล้ำชื่อดังอย่าง Raw มาถ่ายทอดสดบนแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งรายดังกล่าว และดีลดังกล่าวยังจะขยายความร่วมมือในการถ่ายทอดสดรายการอื่นๆ หลังจากนี้ด้วย
ดีลที่ทั้งสองฝ่ายเซ็นร่วมกันมีอายุสัญญา 10 ปี โดยจะเริ่มต้นจากการถ่ายทอดสดศึก WWE Raw ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา รวมถึงหลายประเทศในลาตินอเมริกา ก่อนที่จะขยายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกหลังจากนี้ และดีลดังกล่าวจะทำให้ผู้ชมนอกสหรัฐอเมริกานั้นสามารถติดตามศึกมวยปล้ำของ WWE ได้มากกว่าเดิม
สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับดีลนี้ได้กล่าวว่า ดีลดังกล่าว Netflix ได้ทำข้อตกลงมูลค่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐกับ WWE สอดคล้องกับแหล่งข่าวของ Variety ที่ได้กล่าวว่าดีลดังกล่าวนั้นมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
การเซ็นสัญญากับ Netflix ของ WWE มาในช่วงจังหวะที่สัญญาเดิมที่ทำไว้กับ Comcast เจ้าของช่องทีวีในสหรัฐอเมริกากำลังจะหมดลง ซึ่งดีลดังกล่าวมีมูลค่าราวๆ 250-260 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
Bela Bajaria เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารด้านคอนเทนต์ของ Netflix ได้กล่าวว่าบริษัทมีความตื่นเต้นที่จะได้ถ่ายทอดสดรายการ WWE Raw บนแพลตฟอร์มของ Netflix เนื่องจากมีฐานแฟนคลับต่างวัยมากมาย และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกัน
ในช่วงที่ผ่านมาแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งหลายรายได้เริ่มถ่ายทอดสดกีฬาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Amazon Prime ที่ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาในหลายประเทศ Peacock ของ Comcast ที่ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ หรือแม้แต่ Apple TV ที่ถ่ายทอดสดฟุตบอลลีกของสหรัฐอเมริกาอย่าง MLS เป็นต้น
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้ยังแสดงให้เห็นว่า Netflix เริ่มเอาจริงเอาจังกับการเข้ามาถ่ายทอดสดกีฬาเพิ่มมากขึ้น ก่อนหน้านี้บริษัทได้ลองเชิงในการถ่ายทอดสดกีฬากอล์ฟ โดยนำนักแข่ง F1 เข้ามาร่วมรายการ เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดี แม้ว่าก่อนหน้านี้ผู้บริหารของบริษัทจะไม่สนใจในการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาเลยก็ตาม
ทางด้านฝั่งของ WWE การจับมือกับ Netflix ยังแสดงให้เห็นถึงภาวะขาลงของเครือข่ายทีวีบอกรับสมาชิกในสหรัฐอเมริกาที่กำลังมีจำนวนลดลง สวนทางกับแพลตฟอร์มวิดีโอสตีมมิ่งที่มีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เจ้าของศึกมวยปล้ำยังสามารถขยายฐานแฟนคลับทั่วโลกได้ด้วย
]]>CNN ได้รายงานว่า David Zaslav ซีอีโอของ Warner Bros. Discovery ได้พบกับ Bob Bakish ซีอีโอของ Paramount Global เมื่อวันอังคารที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ณ สำนักงานใหญ่ของ Paramount ในไทม์สแควร์ นิวยอร์กซิตี้ เพื่อพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการควบรวมกิจการระหว่างทั้งสองบริษัท อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 บริษัทปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวดังกล่าว
แม้จะยังไม่มีการยืนยันว่าทั้งสองบริษัทจะตกลงควบรวมกิจการกัน แต่หลายคนมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากทั้งสองบริษัทจะควบรวมกัน เพราะการควบรวมนี้อาจอาจทำให้อุตสาหกรรมสื่อพลิกผันได้อีกครั้ง ขณะที่ Paramount ก็ต้องการพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดในปัจจุบัน
เพราะต้องยอมรับว่า การแข่งขันในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ในยุคสตรีมมิ่งนั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ และยังต้องใช้เงินมหาศาล เพราะต้องแข่งทั้งผู้เล่นที่แข็งแกร่งมาก ๆ อย่าง Netflix และ Disney ขณะที่ปัจจุบันทั้งสองบริษัทเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญในสภาพแวดล้อมของสื่อที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เรตติ้งทีวีลดลงเนื่องจากลูกค้ายกเลิกบริการเคเบิลทีวีมากขึ้น ส่วนตลาดโฆษณากำลังเปลี่ยนไปสู่การสตรีม นอกจากนี้ ต้นทุนการสร้างคอนเทนต์ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น หากทั้งสองบริษัทควบรวมกัน Warner Bros. Discovery ก็จะได้แพลตฟอร์มของ Paramount+ มาเสริมแกร่งให้กับบริการสตรีมมิ่งอย่าง HBO ขณะเดียวกัน Paramount ก็จะได้ช่องทางการขายในต่างประเทศเพื่อส่งเสริมแฟรนไชส์ต่าง ๆ ของค่าย
“ฉันคิดว่ามันบ่งบอกถึงความตื่นตระหนก เพราะอุตสาหกรรมนี้กำลังเผชิญกับอนาคตที่ท้าทายอย่างยิ่ง พวกเขาจะพยายามทำให้ตัวเองใหญ่ขึ้นเพื่อแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่ง” Rich Greenfield นักวิเคราะห์อุตสาหกรรม ผู้ร่วมก่อตั้ง LightShed Partners กล่าว
อย่างไรก็ตาม Warner Bros. Discovery จะไม่สามารถทำธุรกรรมกับ Paramount หรือหน่วยงานอื่นใดได้ในขณะนี้ จนกว่ากฎหมายภาษีอากรที่ห้ามไม่ให้บริษัทเข้าซื้อกิจการหรือการควบรวมกิจการเพิ่มเติมจนกว่าจะหลังเดือนเมษายน 2024 เนื่องจาก WarnerMedia เพิ่งซื้อ Discovery ไปเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมาในมูลค่า 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจุบัน Warner Bros. Discovery มีมูลค่าอยู่ที่ราว 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน Paramount มีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ทางบริษัทกำลังเผชิญกับภาระหนี้ ทำให้อยู่ภายใต้ความกดดันที่จะหาพาร์ตเนอร์ด้านกลยุทธ์หรือผู้ซื้อกิจการต่อ ดังนั้น อาจต้องรอดูว่าทั้งสองบริษัทจะตกลงควบรวมกิจการกันได้หรือไม่
]]>คอกีฬาฮือฮากันทันทีเมื่อ “Netflix” ประกาศโปรแกรมถ่ายทอดสด “กีฬา” รายการใหม่ “The Netflix Slam” จับคู่หยุดโลกในวงการเทนนิส “ราฟาเอล นาดาล ปะทะ คาร์ลอส อัลคาราซ” แชมป์แกรนด์สแลม 22 สมัยประจันหน้ากับนักเทนนิสมือวางอันดับ 2 ของโลกคนปัจจุบัน
แมตช์นี้จะพบกันวันที่ 3 มีนาคม 2024 เป็นแมตช์พิเศษที่จัดขึ้นในลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา และ Netflix เป็นสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มที่จะถ่ายทอดสดไปในกลุ่มประเทศที่พูดภาษาอังกฤษและภาษาสเปน
การถ่ายทอดสดกีฬานัดนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของ Netflix เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 แพลตฟอร์มนี้มีการถ่ายทอดสดกีฬาครั้งแรกในรายการ “The Netflix Cup” เป็นกีฬากอล์ฟแมตช์พิเศษ โดยสร้างสรรค์ไอเดียจับคู่นักกอล์ฟอาชีพจากรายการ PGA Tour กับนักแข่งรถฟอร์มูลาวันมาเป็นทีมกอล์ฟทีมเดียวกัน รวมทั้งหมด 4 ทีมเพื่อแข่งขันหาแชมป์รายการ และมีการถ่ายทอดสดไปหลายประเทศ
เหตุที่ Netflix สนใจการถ่ายทอดสดกีฬา มาจากสถิติจากวงการโทรทัศน์แบบดั้งเดิมและเคเบิลทีวี สถานการณ์วงการโทรทัศน์นั้นมีคนดูน้อยลงเรื่อยๆ แต่กลุ่มที่ยังเปิดโทรทัศน์ปกติดูอยู่เป็นเพราะต้องการชมถ่ายทอดสดกีฬานั่นเอง
โดยข้อมูลจาก Neilsen พบว่า ผู้ชมในสหรัฐฯ เปิดโทรทัศน์ดูถ่ายทอดสดกีฬาเพิ่มขึ้นถึง 360% เมื่อฤดูกาลใหม่ของรายการอเมริกันฟุตบอล National Football League (NFL) เริ่มต้นขึ้น
นั่นทำให้ Netflix รู้ว่า บรรดาคอกีฬาถือเป็นกลุ่มผู้ชมที่แข็งแรงมาก และหันมาทำคอนเทนต์เกี่ยวกับกีฬามากขึ้นโดยเฉพาะสารคดีเจาะลึกวงการกีฬาต่างๆ เช่น “Formula 1: Drive to Survive” เพื่อเจาะลึกในรายการแข่งขันรถฟอร์มูลาวัน “Full Swing” เจาะลึกเบื้องหลังการแข่งขัน PGA Tour หรือ “Quarterback” เจาะลึกวงการกีฬาอเมริกันฟุตบอลรายการ NFL เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม Netflix ยังไม่มีแผนที่จะเข้าไปประมูลชิงลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาตามฤดูกาลใดๆ ทั้งสิ้น ยืนยันโดย “สเปนเซอร์ นอยมานน์” ซีเอฟโอบริษัท เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เหตุเพราะประเมินแล้วคิดว่าการลงทุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐไปกับค่าลิขสิทธิ์คงจะไม่ได้กำไรกลับมามากเท่าไหร่นัก
“เท็ด ซารานดอส” ซีอีโอร่วมของ Netflix ก็เคยประกาศไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2023 ว่าบริษัทไม่ได้สนใจประมูลถ่ายทอดสดกีฬาทั้งฤดูกาล แต่ต้องการจะลงทุนเฉพาะคอนเทนต์ที่ “เกี่ยวกับกีฬา” เท่านั้น โดยหวังว่าจะได้กลุ่มคนดูประเภท “คอกีฬา” กลุ่มเดียวกับที่ชมถ่ายทอดสดในโทรทัศน์ปกติ ให้หันมาดูสารคดีและแมตช์พิเศษใน Netflix ด้วย
เทรนด์การถ่ายทอดสดกีฬาผ่านสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มนั้นไม่ได้มีแต่ Netflix ที่เล็งเห็น แพลตฟอร์มอื่นก็มีการใช้กลยุทธ์นี้เช่นกัน เช่น “Amazon Prime” ชิงลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดรายการ Thursday Night Football การแข่งขัน NFL ในคืนวันพฤหัสบดีมาได้ หรือ “AppleTV” ก็ชิงลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดรายการ Friday Night Baseball การแข่งขันเบสบอลเมเจอร์ลีกทุกคืนวันศุกร์ และรายการฟุตบอล Major League Soccer ของสหรัฐฯ
]]>The Wall Street Journal รายงานข่าวว่า Netflix เตรียมจะ “ขึ้นราคา” บริการสตรีมมิ่ง “ในหลายประเทศทั่วโลก” โดยจะเริ่มจากตลาดสหรัฐอเมริกาและแคนาดาก่อน โดยยังไม่ชัดเจนว่าจะขึ้นราคามากแค่ไหนและเริ่มเมื่อไหร่
เมื่อปีที่แล้ว Netflix เพิ่งจะปรับขึ้นราคสตรีมมิ่งในสหรัฐฯ ไป ปัจจุบันราคามาตรฐานในสหรัฐฯ เริ่มต้นที่ 15.49 เหรียญต่อเดือน และจากการขึ้นราคาทำให้บริษัทมีแพ็กเกจใหม่เข้ามาเสริม คือ แพ็กเกจราคา 6.99 เหรียญต่อเดือน แต่มีโฆษณาคั่น
หลังจากนั้น เมื่อต้นปีนี้เอง Netflix เริ่มเข้มงวดกับการ “แชร์พาสเวิร์ด” ทั่วโลก ทำให้แชร์พาสเวิร์ดกับคนภายนอกบ้านหลังเดียวกันไม่ได้ ยกเว้นจ่ายเพิ่มสำหรับจำนวนคนที่เพิ่มเข้ามาในบัญชีเดียวกัน
การห้ามแชร์พาสเวิร์ดนี้ได้ผลในการเพิ่มจำนวนสมาชิกให้ Netflix ดูได้จากในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2023 ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทเริ่มแบนการแชร์พาสเวิร์ด สตรีมมิ่งเจ้านี้ได้สมาชิกเพิ่มมาถึง 5.9 ล้านคน
เป็นที่น่าสังเกตว่า กระแสข่าวการพิจารณาขึ้นราคาสตรีมมิ่งของ Netflix ออกมาในช่วงที่การประท้วงหยุดงานของกลุ่มนักเขียนบทฮอลลีวูด (WGA) เพิ่งจะได้ข้อยุติ และข้อตกลงระหว่างสตูดิโอฮอลลีวูดกับกลุ่มนักเขียนบทนั้นน่าจะส่งผลให้ธุรกิจสตรีมมิ่งเกิดความเปลี่ยนแปลง
ข้อตกลงดังกล่าวคือข้อที่ระบุว่า กลุ่มสตรีมมิ่ง เช่น Netflix, Disney Plus, Hulu ฯลฯ จะต้องเปิดข้อมูลสตรีมมิ่งกับ WGA เพื่อให้นักเขียนได้ทราบว่าคอนเทนต์ของตนเองมียอดวิวมากน้อยแค่ไหน และจะได้ตกลงโบนัสสำหรับคอนเทนต์ที่ได้ยอดวิวสูง รวมถึงมีการกำหนดค่าจ้างเขียนบทขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 18% สำหรับภาพยนตร์ต้นทุนสูง ทั้งนี้ WGA มีการคำนวณพบว่าการเพิ่มต้นทุนค่าเขียนบทจะกระทบรายได้ของ Netflix เพียง 0.2% เท่านั้น
ในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ประท้วงสายนักแสดงก็ยังคงสไตรค์กันอยู่ ทำให้โปรดักชันเดินต่อไม่ได้ ดังนั้น Netflix น่าจะรอจนการประท้วงทั้งหมดสิ้นสุดก่อนที่จะขึ้นราคาสตรีมมิ่ง เพราะการขึ้นราคาขณะที่ไม่ค่อยมีคอนเทนต์ใหม่ๆ มาบริการก็ออกจะเป็นการไม่ฉลาดเกินไป หากนักแสดงและนักเขียนบทกลับมาทำงานแล้ว คอนเทนต์ใหม่ๆ จะได้เข้าฉายมากขึ้น และเป็นจังหวะเหมาะในการขึ้นค่าบริการ
นอกจากความเคลื่อนไหวจากฝั่ง Netflix แล้ว ยังมีรายงานด้วยว่า Disney Plus กำลังพิจารณาเพิ่มแพ็กเกจ “กีฬา” เข้าไปในตลาดที่ไม่ใช่สหรัฐฯ ด้วย เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะต่อสู้ในศึกสตรีมมิ่งยุคนี้
]]>Bob Iger ซีอีโอ ดิสนีย์ กล่าวว่า บริษัทกำลังสำรวจการแชร์บัญชีของผู้ใช้และจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายที่จะ ควบคุมการแชร์รหัสผ่านของผู้ใช้ ในปลายปีนี้ ก่อนที่จะออกมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านภายในปี 2024 อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้เปิดเผยว่าจะใช้วิธีใดเพื่อลดการใช้บัญชีร่วมกัน
“แน่นอนว่าเราเชื่อว่ามาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านจะส่งผลต่อการเติบโตของสมาชิกแน่นอน แต่เราไม่ได้คาดเดาได้ว่าจะเป็นในทางไหน”
โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่เหมือนกับบริการสตรีมมิ่งรายอื่น ๆ ก็คือ เพิ่มกำไร เพราะนอกจากมาตรการดังกล่าวแล้ว บริการสตรีมมิ่งหลายรายพยายามลดค่าใช้จ่ายในการผลิตคอนเทนต์ รวมถึงการออกแพ็กเกจราคาถูกลงโดยเพิ่มโฆษณาเข้ามา ซึ่งปัจจุบัน ดิสนีย์กำลังทำทั้งหมด
นอกจากนี้ ดิสนีย์ยัง ขึ้นราคา บริการสตรีมมิ่งเกือบทั้งหมด โดยแพลตฟอร์ม Disney+ แบบไม่มีโฆษณาจะมีราคา 13.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ราว 490 บาท) เพิ่มขึ้น 27% ส่วน Hulu เพิ่มขึ้นเป็น 17.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ราว 630 บาท) เพิ่มขึ้น 20% ส่วนแพ็คเกจโฆษณาของทั้ง 2 บริการยังมีราคาเท่าเดิม ส่วนค่าบริการรายเดือนในไทยมีการปรับเป็น 289 บาท และรายปีปรับเป็น 2,290 บาท ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายที่ผ่านมา
ทั้งนี้ Netflix ถือเป็นผู้บุกเบิกในการออกมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่าน เนื่องจากพบว่ามากกว่า 100 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 43% ของฐานผู้ใช้ทั่วโลกใช้บัญชีร่วมกัน และด้วยเหตุนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการลงทุนในคอนเทนต์ใหม่ ๆ ซึ่งหลังจากที่ Netflix ออกมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้ในช่วง Q2/2023 เพิ่มขึ้น 5.9 ล้านราย
]]>Netflix ยักษ์ใหญ่ด้านสตรีมมิ่งได้ประกาศผลประกอบการในไตรมาส 2 นั้นมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น 5.9 ล้านราย หลังจากออกมาตรการห้ามแชร์รหัสผ่านมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ข้อมูลจากบริษัทวิจัยพบว่ามีผู้สมัครใช้งานเพิ่มมากขึ้นหลังมาตรการดังกล่าวออกมา ส่งผลทำให้สมาชิกเพิ่มขึ้นมากถึง 8% อยู่ที่ 238 ล้านราย
บริษัทได้เปลี่ยนแนวทางหารายได้เนื่องจากรายได้และสมาชิกของบริษัทที่ลดลงในช่วงปี 2022 โดย Netflix ได้รายงานว่ามากกว่า 100 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็นประมาณ 43% ของจำนวนผู้ใช้ได้แชร์รหัสผ่าน ส่งผลทำให้บริษัทต้องออกมาตรการดังกล่าว
ผลจากมาตรการดังกล่าวทำให้ไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 2.7% มาอยู่ที่ 8,187 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีกำไรทั้งสิ้น 1,488 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายงานของบริษัทยังได้เตรียมที่จะหารายได้เพิ่มเติมจากแพ็กเกจราคาถูกแต่มีโฆษณาคั่น โดยชี้ว่าการมีโฆษณาเข้ามานั้นทำให้ Netflix สามารถเสนอแพ็กเกจราคาถูกให้กับลูกค้าได้ และบริษัทจะทำให้ประสบการณ์การรับชมโฆษณานั้นดีทั้งสมาชิก รวมถึงสร้างความประทับใจให้กับคนที่ลงโฆษณา
สอดคล้องกับเว็บไซต์ Cord Busters รายงานว่า Netflix ได้ทยอยไม่ให้ลูกค้าที่สมัครสมาชิกใหม่ในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ สามารถสมัครแพ็กเกจ Basic ที่มีราคาถูกราวๆ 9.99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6.99 ปอนด์ได้แล้ว แต่ลูกค้าจะต้องสมัครแพ็กเกจ Standard ที่ต้องรับชมโฆษณาแทนซึ่งมีราคาถูก และถ้าหากลูกค้าไม่ต้องการที่จะชมโฆษณาก็จะต้องจ่ายเงินเพิ่มไปเป็นแพ็กเกจ Standard ที่ราคาแพงขึ้นมาอีกเล็กน้อย
ข้อมูลจากบริษัทวิจัยอย่าง Antenna ล่าสุดได้ชี้ว่าแพ็กเกจ Standard ที่ต้องรับชมโฆษณามีสมาชิกคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 19% ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของ Netflix แล้ว ขณะที่สัดส่วนลูกค้าที่ใช้งานแพ็กเกจ Basic ก็กำลังมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ ซึ่งล่าสุดมีสัดส่วนแค่ 20% เท่านั้น ทางด้านของแพ็กเกจ Premium นั้นมีสัดส่วนอยู่ที่ราวๆ 28-30% มาเป็นระยะเวลาหลายเดือน
ข้อดีในการยกเลิกแพ็กเกจ Basic ก็คือทุกแพ็กเกจของ Netflix ไม่ว่าจะถูกสุดหรือแพงสุดหลังจากนี้ในอังกฤษคือจะรับชมภาพด้วยความละเอียดแบบ HD 1080p (และ UHD 4K ในแพ็กเกจ Premium) ซึ่งแตกต่างกับแพ็กเกจ Basic ที่คุณภาพของภาพอยู่ที่ HD 720p เท่านั้น
หลังจากการปรับเปลี่ยนในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ คาดว่าบริษัทจะมีการปรับเปลี่ยนแพ็กเกจให้ลูกค้าที่สมัครสมาชิกใหม่ทั่วโลกหลังจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่ารายได้ของ Netflix ที่ได้จากค่าโฆษณาจะสามารถทำรายได้ให้บริษัทเพิ่มได้มากกว่า 1,900 ล้านเหรียญสหรัฐ
]]>