Streaming – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 24 Feb 2023 06:00:29 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ไม่ใช่แค่ไทย! ‘Netflix’ หั่นราคาในกว่า 30 ประเทศ หวังกระตุ้นยอดสมาชิกใหม่ https://positioningmag.com/1420666 Fri, 24 Feb 2023 05:26:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1420666 หลังจากที่มีข่าวว่า Netflix (เน็ตฟลิกซ์) ปรับลดราคาแพ็กเกจพื้นฐานจาก 279 บาท/เดือน เหลือ 169 บาท ซึ่งการหั่นราคานี้ก็ไม่ได้เกิดแค่ไทย แต่ลดลงในหลายประเทศ บางประเทศ ลดลงเกินครึ่ง เพื่อหวังจะช่วยกระตุ้นยอดสมาชิกใหม่ ๆ ที่ต้องรัดเข็มขัดจากวิกฤตเศรษฐกิจ

รายงานจาก The Wall Street Journal ระบุว่า Netflix กำลังลดราคาค่าสมาชิกของแพ็กเกจพื้นฐานในกว่า 30 ประเทศ อาทิ เยเมน จอร์แดน ลิเบีย อิหร่าน เคนยา โครเอเชีย สโลวีเนีย บัลแกเรีย นิการากัว เอกวาดอร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ บอสเนีย เฮอร์เซโกวีนา เซอร์เบีย แอลเบเนีย มาซิโดเนียเหนือ และสโลวาเกีย โดยบางประเทศ Netflix มีการปรับราคาลงเกินครึ่งเลยทีเดียว

“เราพยายามที่จะให้บริการสมาชิกมากขึ้นทั่วโลก โดยพยายามส่งมอบคุณค่าที่เหมาะสมในราคาที่แตกต่างกัน มีผู้คนมากมายทั่วโลกในประเทศที่เราไม่ได้เจาะลึก และเรามีโอกาสมากขึ้นที่จะดึงดูดพวกเขา” Greg Peters ซีอีโอร่วมของ Netflix กล่าว

ก่อนหน้าที่ Netflix จะหั่นราคาแพ็กเกจเริ่มต้นลง บริษัทได้ทดลองออก แพ็กเกจที่มีโฆษณาคั่น (ad-tier) สำหรับผู้บริโภคที่อยากรับชมคอนเทนต์ในราคาประหยัด แต่ต้องแลกกับโฆษณา ซึ่งส่วนนี้ก็จะช่วยให้ Netflix มีรายได้ใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มเติม

ต้องยอมรับว่าในช่วง 16 ปีที่ Netflix ให้บริการสตรีมมิ่ง การลดราคาของบริการถือเป็นเรื่องที่บริษัทแทบจะไม่เคยทำ ส่วนใหญ่จะเป็นการปรับขึ้นมากกว่า อาทิ การปรับราคาสมาชิกในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาในเดือนมกราคมเมื่อช่วงต้นปี 2022

แต่ด้วยการแข่งขันกันอย่างดุเดือดจากการมาของผู้เล่นรายใหม่ ๆ เช่น Paramount Plus, HBO Max, Disney Plus และ Hulu ประกอบกับการระบาดของโควิดที่คลี่คลายลง ผู้บริโภคไม่ได้มีเวลาในการรับชมคอนเทนต์เหมือนช่วงที่โควิดระบาดใหม่ ๆ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อค่าครองชีพ ทำให้ผู้บริโภคบางรายเลือกที่จะยกเลิกบริการสตรีมมิ่งเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

ส่งผลให้รายได้รวมถึงยอดผู้ใช้งานของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งหลายรายเริ่มอยู่ในภาวะถดถอย โดยเฉพาะกับ Netflix ที่ต้องมีการปรับกลยุทธ์ใหม่ ทั้งการปรับลดพนักงาน การหั่นงบผลิตคอนเทนต์ รวมถึงการออกมาตรการจัดการกับบัญชีที่มีการแชร์รหัสร่วมกัน เพื่อชดเชยจำนวนยอดสมาชิกที่หายไป รวมถึงการมีแพ็กเกจโฆษณา และล่าสุด ปรับลดราคาลง ซึ่งถือว่า สวนทางกับคู่แข่งที่มีการปรับราคาขึ้น

ทั้งนี้ ช่วง Q4/2022 จำนวนสมาชิกของ Netflix เพิ่มขึ้น 7.6 ล้านคน หลังจากช่วงครึ่งปีแรกจำนวนสมาชิกของแพลตฟอร์มลดลง สวนทางกับคู่แข่งอย่าง Paramount+ และ Disney+ ที่มีสมาชิกเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนสมาชิกของ Netflix จะเพิ่มขึ้น แต่รายได้เฉลี่ยของสมาชิกกลับลดลง

Source

]]>
1420666
‘Disney+’ เตรียม ‘ขึ้นราคา’ พร้อมออกแพ็กเกจ ‘โฆษณา’ เนื่องจาก ‘ขาดทุน’ แม้ผู้ใช้เติบโต https://positioningmag.com/1395890 Thu, 11 Aug 2022 00:58:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1395890 ดิสนีย์ (Disney) เคยออกมาประกาศเมื่อช่วงเดือนมีนาคมว่าบริการสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ จะเพิ่มแพ็กเกจแบบมีโฆษณาแทรกในราคาประหยัด ล่าสุด ดิสนีย์ก็ประกาศว่าจะเริ่มเพิ่มแพ็กเกจดังกล่าวในช่วงเดือนธันวาคม เริ่มจากใน อเมริกา นอกจากนี้จะขึ้นราคาแพ็กเกจปกติ เพื่อเพิ่มกำไรให้บริษัท เพราะแม้ฐานผู้ใช้จะเติบโต แต่ต้นทุนการผลิตคอนเทนต์ที่สูง

ดิสนีย์ เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมขึ้นราคาบริการสตรีมมิ่ง Disney+ โดยเพิ่มจาก 6.99 ดอลลาร์ เป็น 10.99 ดอลลาร์ แต่ก็จะเพิ่มแพ็กเกจราคาประหยัดที่มีโฆษณาแทรกในราคา 7.99 ดอลลาร์ โดยแพ็กเกจดังกล่าวจะเริ่มให้บริการในวันที่ 8 ธันวาคม เฉพาะในสหรัฐอเมริกาก่อน

ส่วนราคาบริการสตรีมมิ่งของ Hulu จะปรับจาก 12.99 ดอลลาร์ เป็น 14.99 ดอลลาร์ต่อเดือน มีผล 10 ตุลาคม ส่วนแพ็กเกจโฆษณาจะปรับจาก 6.99 ดอลลาร์ เป็น 7.99 ดอลลาร์ ส่วน ESPN+ จะขึ้นราคา 43% เป็น 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน

แม้ว่าจำนวนสมาชิกใหม่ของบริการสตรีมมิ่งจะมีถึง 15 ล้านราย ในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ถึง 5 ล้านราย แต่ที่ดิสนีย์ต้องขึ้นราคาก็สะท้อนให้เห็นถึงต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นสำหรับบริการสตรีมมิ่งของดิสนีย์ Disney+, Hulu และ ESPN+ ซึ่งรวมแล้วบริษัท ขาดทุนถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 300 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อผู้ใช้สำหรับ Disney+ ลดลง 5% สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

โดยรวมแล้ว ไตรมาสที่ผ่านมามีรายได้ 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยรายได้จากฝั่งสวนสนุก และสินค้าต่าง ๆ เติบโต 72% มีรายได้รวม 7.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนจำนวนสมาชิกของบริการสตรีมมิ่งทั้งหมดของดิสนีย์ (Disney+, ESPN+ และ Hulu) มีสมาชิกรวมถึง 221 ล้านคน แค่เฉพาะ Disney+ มีสมาชิกถึง 152.1 ล้านราย โดยดิสนีย์ตั้งเป้าที่จะเพิ่มเป็น 230-260 ล้านราย ภายในปี 2024

Source

]]>
1395890
HBO Max และ Discovery+ เตรียมรวมบริการเข้าด้วยกัน ทวีปเอเชียได้ใช้บริการปี 2024 https://positioningmag.com/1395272 Fri, 05 Aug 2022 10:07:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1395272 Warner Bros. Discovery ได้ประกาศข่าวสำคัญของวงการสตรีมมิ่งวิดีโอ นั่นก็คือการรวมบริการของ HBO Max และ Discovery+ เข้าด้วยกัน โดยจะเริ่มให้บริการในปี 2023 ในสหรัฐอเมริกา และทวีปเอเชียในปี 2024 อย่างไรก็ดี บริษัทยังไม่ได้ประกาศถึงชื่อของแพลตฟอร์มใหม่หลังรวมบริการเข้าด้วยกันแต่อย่างใด

ในการประกาศการรวมบริการเข้าด้วยกันนั้นจะทำให้แพลตฟอร์มใหม่นี้มีผู้ใช้งานมากถึง 92 ล้านคน โดยบริษัทหวังว่าจะมีผู้ใช้งานมากถึง 130 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2025 นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมที่จะมีบริการให้กับผู้ใช้งานทั้งแพ็กเกจราคาแพงที่ไม่มีโฆษณามากวนใจ กับแพ็กเกจราคาถูกแต่ผู้ใช้งานต้องดูโฆษณา

ก่อนหน้าการประกาศรวมบริการเข้าด้วยกันเพียงแค่ 1 วันบริษัทยังได้ประกาศยกเลิกการสร้างภาพยนตร์ที่ลงในแพลตฟอร์ม HBO Max ไม่ว่าจะเป็น Batgirl หรือ Scoob!: Holiday Haunt รวมถึงซีรีส์อื่นๆ รวมแล้วหลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งหลายคนมองว่าบริษัทกำลังอยู่ในสภาวะต้องปรับตัวหลังควบรวมกิจการ Warner Bros. มูลค่ามากถึง 43,000 ล้านเหรียญเข้ามา

นอกจากจะยกเลิกการสร้างภาพยนตร์หรือแม้แต่ซีรีส์อื่นๆ แล้ว บริษัทเตรียมที่จะลดต้นทุนรวมถึงค่าใช้จ่ายของบริษัทถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐหลังจากนี้ด้วย หลังจากในไตรมาส 2 ของปี 2022 บริษัทมีรายได้รวม 9,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่บริษัทกลับขาดทุนมากถึง 3,420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา – NBC News, CNN

]]>
1395272
ไม่ต้องคิดเยอะ! นักวิเคราะห์ชี้ ‘Netflix’ แค่ปล่อยซีรีส์ ‘สัปดาห์ละตอน’ ก็ดูดผู้ใช้ได้แล้ว https://positioningmag.com/1389410 Tue, 21 Jun 2022 02:38:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1389410 หากใครเป็นแฟนซีรีส์ของ ‘เน็ตฟลิกซ์’ (Netflix) ไม่ว่าจะเป็น Stranger Things, Peaky Blinders, Locke & Key ส่วนใหญ่จะปล่อยออกมาแบบ ‘รวดเดียว’ ต่างจากซีรีส์เกาหลีหรือผู้ให้บริการสตรีมมิ่งรายอื่น ๆ ที่จะปล่อยสัปดาห์ละ 1-2 ตอน และนี่อาจเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ Netflix ควรทำหากอยากดึงผู้ใช้ให้อยู่กับแพลตฟอร์มนานขึ้น

แม้ซีรีส์ Stranger Things ซีซั่น 4 ที่ปล่อยมาทีเดียว 7 ตอน และสามารถทำลายสถิติรายการทีวีภาษาอังกฤษที่ให้บริการซึ่งมีการรับชมเกือบ 287 ล้านชั่วโมงภายในสัปดาห์แรก แต่หากพูดถึงการดึงดูดให้ผู้ใช้อยู่กับแพลตฟอร์มนาน ๆ อาจไม่ได้ผล

หลังจากที่จำนวนผู้ใช้ Netflix ลดลงครั้งแรกในรอบ 10 ปี บริษัทก็พยายามคิดทุกวิธีเพื่อเร่งการเติบโตของสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นการปรับแพ็กเกจให้ราคาถูกลงแต่มีโฆษณา การเพิ่มเกมในแพลตฟอร์ม และแม้แต่การทำรายการถ่ายทอดสด แต่ดูเหมือนว่าวิธีการง่าย ๆ แบบเส้นผมบังภูเขาอย่างการปล่อยซีรีส์สัปดาห์ละตอนกลับไม่ได้ทำ

Robert Thompson ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Syracuse และผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมสมัยใหม่ กล่าวว่า สมัยก่อน Netflix เลือกที่จะปล่อยซีรีส์ออกมาทีเดียวทั้งซีซั่น เพื่อให้เกิดกระเเสปากต่อปากจากคนดูจนเกิดการรับรู้เป็นวงกว้าง ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจากกลยุทธ์เดิมอาจใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน เนื่องจากตลาดสตรีมมิ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเฉพาะจำนวนคู่แข่ง นอกจากนี้ ซีรีส์เก่าที่สามารถดึงดูดในผู้ใช้กลับมาดูซ้ำได้อย่าง The Office หรือ Friends ก็ไม่มีฉายแล้วบนแพลตฟอร์ม ในขณะที่ซีรีส์ใหม่ ๆ ที่ดัง ๆ อย่าง Stranger Things, Bridgerton และ The Witcher ก็ยังไม่ได้ปังในระดับเดียวกับซีรีส์เก่า

“การฉายซีรีส์สัปดาห์ละตอน เป็นการออกแบบมาเพื่อนำผู้ชมกลับมาในแพลตฟอร์ม เพื่อรอดูคอนเทนต์ที่เขากำลังตั้งตารอ แม้ Netflix จะเริ่มปล่อยทีละครึ่งซีซั่น แต่มันเป็นรูปแบบการตลาดที่แตกต่างกันมาก”

หากดูแพลตฟอร์มคู่แข่งอย่าง Disney +, HBO Max และ Hulu เน้นที่การฉายสัปดาห์ละตอน เพื่อทำให้ผู้ชมอยู่บนแพลตฟอร์มหลายสัปดาห์ ซึ่งหมายถึงการยกเลิกบริการที่น้อยลงในแต่ละเดือน ในขณะเดียวกัน สมาชิก Netflix สามารถรับชมซีรีส์ที่สนใจในรวดเดียวแล้วก็ยกเลิก

อย่างซีรีส์ของ Disney+ สามารถดึงดูดสมาชิกให้เข้ามาชมคอนเทนต์ใหม่ ๆ ได้ในแต่ละเดือน แถมยังกระตุ้นให้พวกเขาจ่ายค่าสมัครสมาชิกรายปีล่วงหน้าด้วย โดย Disney+ ใช้ 2 แฟรนไชส์ที่ใหญ่ที่สุดอย่าง Star Wars และ Marvel เพื่อให้ผู้ชมกลับมาใช้บริการอีก

ไม่ว่าจะเป็น The Book of Boba Fett ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2021 จนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ จากนั้นจึงเพิ่ม Moon Knight ในช่วงปลายเดือนมีนาคม ซึ่งยาวไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม จากนั้นในปลายเดือนพฤษภาคม ก็มีการเปิดตัว Obi-Wan Kenobi ซึ่งจะดำเนินต่อไปจนถึงปลายเดือนมิถุนายน จะเห็นว่าแพลตฟอร์มสามารถดึงดูดแฟน Star Wars และแฟน Marvel ให้ใช้บริการในระยะยาวได้

แม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มฉายครั้งละครึ่งซีซั่นก็ตาม แต่นั่นก็เกิดจากปัญหาด้านการถ่ายทำที่ได้ผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้ไม่สามารถถ่ายทำจนจบได้ ก็ไม่รู้ว่าจากนี้ Netflix จะปรับเปลี่ยนการฉายซีรีส์ของตัวเองไหม แต่ในแง่คนดูแล้ว การปล่อยยาวก็ดีเพราะไม่ต้องค้างคา แต่อาจไม่ดีในแง่ธุรกิจที่ไม่สามารถยื้อให้ผู้ใช้อยู่กับแพลตฟอร์มได้นานอย่างที่ควรจะเป็น

Source

]]>
1389410
‘Netflix’ สู้ยิบตา! ประกาศหั่นงบแผนก ‘Animation’ หลังหุ้นตกทำมาร์เก็ตแคปหาย 1.8 ล้านล้านบาท https://positioningmag.com/1382671 Mon, 25 Apr 2022 09:42:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382671 หลังจากที่จำนวนผู้ใช้ลดลงครั้งแรกในรอบ 10 ปี ส่งผลให้หุ้นของ ‘เน็ตฟลิกซ์’ (Netflix) ก็ดิ่งลงมหาศาล ฉุดบริษัทให้อยู่ในนจุดต่ำสุดของดัชนี S&P 500 ส่งผลให้บริษัทต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการมองหาโมเดลการโฆษณา, พยายามอุดช่องว่างการแชร์บัญชีใช้งาน รวมไปถึงหั่นงบแผนก Animation ทิ้ง

หุ้นของ Netflix ยักษ์ใหญ่ด้านวิดีโอสตรีมมิ่งร่วงลง 64% ในปีนี้ หลังจากแนวโน้มจำนวนผู้ติดตามที่เริ่มลดลง โดยในไตรมาสแรกลดลง 2 แสนราย และมีการคาดการณ์ว่าในไตรมาส 2 จะลดลงถึง 2 ล้านราย ส่งผลให้หุ้นของบริษัทลดลง 35% ซึ่งเป็นการขาดทุนในหนึ่งวันที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2004 ทำมาร์เก็ตแคปหายเป็นมูลค่า 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 1.8 ล้านล้านบาท

สิ่งที่ Netflix จะทำเพื่อแก้ปัญหาก็คือ ทดลอง เก็บค่าบริการเพิ่ม กับผู้ใช้บัญชีที่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้ในปี 2023 อีกทั้งเริ่มพิจารณาโมเดล โฆษณา เพื่อลดค่าบริการให้ถูกลง แต่ไม่ใช่แค่นี้ เพราะ Netflix กำลังหั่นงบแผนก Animation โดยมีอนิเมชั่นหลายเรื่องที่ถูกพับไป อาทิ ซีรีส์อย่าง Boss Baby โปรเจกต์เช่น My Father’s Dragon และซีรีส์แอนิเมชั่นสำหรับผู้ใหญ่ที่ปรับปรุงใหม่ Big Mouth และ Human Resources รวมถึงการดัดแปลงหนังสือการ์ตูนชุด Bone ด้วย

นอกจากนี้ Phil Rynda ที่ดำรงตำแหน่ง Netflix’s Director of Creative Leadership and Development for Original Animation พร้อมกับทีมงานของเขาหลายคนได้ยืนยันแล้วว่า พวกเขาได้ลาออกจาก Netflix

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานว่า Netflix หั่นงบผลิตคอนเทนต์ส่วนอื่น ๆ หรือไม่ เพราะที่ผ่านมา Netflix ได้วางแผนที่จะทุ่มเงินกว่า 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือกว่า 5.8 แสนล้านบาท สำหรับผลิตออริจินอลคอนเทนต์ เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Disney+, Amazon Prime เป็นต้น

Source

]]>
1382671
มาไวไปไว! บริการสตรีมมิ่งข่าว ‘CNN+’ เตรียมปิดบริการหลังเปิดได้ไม่ถึงเดือน https://positioningmag.com/1382372 Fri, 22 Apr 2022 05:21:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382372 ย้อนไปเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2021 CNN สื่อชื่อดังของโลกได้มีแผนที่จะเปิดตัวบริการ สตรีมมิ่งข่าว โดยใช้ชื่อว่า CNN+ โดยวางแผนที่จะเปิดตัวช่วงไตรมาส 1 ปี 2022 และหลังจากที่ให้บริการไปเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริการ CNN+ ก็จะยุติลงในสิ้นเดือนเมษายนนี้

CNN ได้วางตัวบริการ CNN+ ไว้ว่าจะนำเสนอรายการที่แตกต่างจากรายการทีวีตามปกติที่เคยทำ ไม่ว่าจะเป็น CNN International, HLN และ CNN en Español โดย CNN+ จะมีรายการออริจินัล รายการถ่ายทอดสด 8-12 ชั่วโมง และรายอินเทอร์แอคทีฟ โดยผู้ชมสามารถสนทนาเรียลไทม์กับผู้ดำเนินรายการได้

บริการ CNN+ ได้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 มีนาคม และจะยุติบริการในสิ้นเดือนเมษายนนี้ เนื่องจากจำนวนผู้ใช้ไม่เป็นไปตามเป้า ซึ่งมีรายงานว่ามีผู้ใช้ที่ชำระเงินน้อยกว่า 10,000 รายต่อวัน โดยผู้บริหารกล่าวว่า โปรแกรมรายการและพนักงานของ CNN+ บางส่วนจะถูกดูดไปทำงานในเครือข่ายโทรทัศน์และเว็บไซต์ แต่จะ เลิกจ้าง Andrew Morse หัวหน้า CNN+

Chris Licht ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CNN กล่าวว่า “ผู้บริโภคต้องการความเรียบง่ายและบริการแบบครบวงจร มากกว่าข้อเสนอแบบสแตนด์อโลน” ก่อนหน้านี้ Discovery ได้แนะนำว่าต้องการรวมบริการสตรีมมิ่งที่แยกจากกันของบริษัทใหม่ ซึ่งรวมถึง Discovery+ และ HBO Max เข้าเป็นแอปเดียว

ที่ผ่านมา มีความสงสัยจากคนนอกว่า CNN จะพาบริการสตรีมมิ่งให้ประสบความสำเร็จหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากบริการสตรีมมิ่งที่มีอยู่มากมาย แม้แต่ Netflix ผู้บุกเบิกการสตรีมก็ยังรู้สึกกดดันจากการแข่งขัน

“นี่เป็นบริการที่ใช้ประโยชน์จากแบรนด์ CNN แต่ไม่ได้นำเสนอประเภทเนื้อหาที่ รู้จัก ซึ่งเป็นเนื้อหาข่าวที่สร้างผลกระทบแบบสด” Paul Erickson ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Parks Associates กล่าว

ทั้งนี้ CNN+ อยู่ภายใต้การดำเนินการของบริษัท AT&T มีค่าใช้จ่ายในการพัฒนา 100 ล้านดอลลาร์ และพนักงานประมาณ 500 คนได้รับมอบหมายให้สร้าง CNN+ โดยผู้บริหารกล่าวว่า ความรับผิดชอบต่อความล้มเหลวอย่างรวดเร็วนั้นขึ้นอยู่กับผู้บริหารคนก่อน

Source

]]>
1382372
ไม่หยุดแค่หนัง-ซีรีส์! เพราะ ‘Netflix’ เล็งให้บริการ ‘Game Streaming’ ด้วย https://positioningmag.com/1333711 Tue, 25 May 2021 06:29:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1333711 สงครามของแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จากผู้เล่นรายใหม่ ๆ ที่เป็นขาใหญ่ตบเท้าเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น ‘Disney +’ ของค่าย Disney หรือ ‘HBO Go’ ที่ผนึกกับ Warner Bro. ดังนั้น ‘Netflix’ (เน็ตฟลิกซ์) เบอร์ 1 ในตลาดจึงต้องหาทางขยายรูปแบบคอนเทนต์ใหม่ ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นดูเหมือนจะเป็น ‘เกม’

ที่ผ่านมา Netflix ได้ใช้ความพยายามหยิบเอารูปแบบในการเล่นเกมอย่าง ‘เลือกตอนจบได้เอง’ ในซีรีส์เรื่อง ‘Black Mirror: Bandersnatch’ ซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุด นอกจากนี้ ในปี 2019 Netflix ได้ร่วมมือกับบริษัท BonusXP จัดทำเกม ‘Stranger Things’ ในสมาร์ทโฟนให้ได้เล่นกันระหว่างรอซีซั่น 2 เข้าฉาย

แต่ในปลายปีนี้หรือภายในปี 2022 ยักษ์ใหญ่ด้านสตรีมมิ่งอาจขยายไปสู่การตลาดเกมด้วยการเปิดให้บริการ ‘Game Streaming’ ที่เป็นเหมือนกับ ‘Apple Arcade’ ที่จะสมาชิกเล่นเกมในคลังได้ฟรี โดยไม่มีโฆษณากวนใจ หรือปราศจากการซื้อขายฟีเจอร์พิเศษในเกม

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวว่า Netflix ต้องการจ้างผู้บริหารเพื่อดูแลในส่วนของบริการเกม อีกทั้งรายงานจากเว็บไซต์ The Information ได้เปิดเผยว่า Netflix กำลังพูดคุยกับบริษัทเกมหลายแห่ง เพื่อนำเกมเข้ามาสู่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของตนเอง

ที่ผ่านมา Netflix มีภาพยนตร์จำนวนมากที่ดัดแปลงมาจากวิดีโอเกมยอดนิยม เช่น Resident Evil และ The Witcher ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทนั้นเห็นคุณค่าของวิดีโอเกม ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะคิดว่าบริษัทต้องการทำการตลาดซีรีส์ของตนผ่านเกมใหม่ ๆ หรือสร้างเกมใหม่ที่จะกลายเป็นคอนเทนต์ใหม่ ๆ ในอนาคต

ทั้งนี้ หลายบริษัทพยายามสร้างบริการ Game Streaming อาทิ Apple Arcade และ Xbox Game Pass ซึ่งก็คงต้องมาดูกันว่า Netflix จะทำจริงไหม และถ้าทำจะเวิร์กสู้คู่แข่งที่มีในตลาดหรือไม่

theverge / techspot

]]>
1333711
สาวกการ์ตูนเตรียมตัว! ‘Netflix’ วางแผนเปิดตัวอนิเมะ 40 เรื่องในปี 2021 https://positioningmag.com/1325604 Tue, 30 Mar 2021 00:45:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1325604 การแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการมาของ ‘Disney +’ น้องใหม่ที่มีผู้ใช้ครบ ‘100 ล้านคน’ ภายใน 16 เดือน! และคาดว่าภายใน 3 ปีจะแย่งตำแหน่งเบอร์ 1 ของ ‘Netflix’ แน่นอนว่า Netflix คงไม่อยู่เฉย ปีนี้เลยเตรียมเปิดตัวอนิเมะใหม่ถึง 40 เรื่องในปี 2021 เพื่อเดินหน้าโกยผู้ใช้

นักวิเคราะห์คาด ‘Disney +’ แซง Netflix ขึ้น ‘เบอร์ 1’ สตรีมมิ่งโลกใน 3 ปี

‘Netflix’ ประกาศในงาน Anime Japan 2021 Expo ของโตเกียวว่า จะเปิดตัวอนิเมะใหม่ 40 เรื่องในปี 2021 โดยซีรีส์ใหม่ที่จะออกในปีนี้ เช่น Record of Ragnarok หรือ มหาศึกคนชนเทพ ซึ่งมีกำหนดฉายในเดือนมิถุนายน Yasuke อนิเมะที่เกี่ยวกับซามูไรชาวแอฟริกันในญี่ปุ่นยุคศักดินาซึ่งจะฉายในวันที่ 29 เมษายน และ Resident Evil: Infinite Darkness ที่มาจากแฟรนไชส์วิดีโอเกม Resident Evil

ก่อนหน้านี้ Netflix ได้ประกาศซีรีส์อนิเมะเรื่อง The Way of the Househusband ซึ่งสร้างจากซีรีส์มังงะของญี่ปุ่น โดยจะเปิดตัวในวันที่ 8 เมษายน ทั้งนี้ จำนวนอนิเมะที่เข้าฉายใน Netflix ในปีนี้นั้นมากกว่าจำนวนอนิเมะทั้งซีรีส์และภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี 2020 เกือบสองเท่า

“เราอยากภูมิใจในตัวเองที่เป็นแหล่งบันเทิงชั้นนำที่มีเนื้อหาคุณภาพดี การเติบโตของธุรกิจของเราเชื่อมโยงโดยตรงกับการเติบโตของอนิเมะของเรา” ไทกิ ซากุราอิ หัวหน้าผู้ผลิตอนิเมะของ Netflix กล่าว

Record of Ragnarok หรือชื่อไทย มหาศึกคนชนเทพ (ภาพจาก Twitter)

‘Netflix’ อัดงบเพิ่ม 2 เท่าโหมสร้าง ‘ออริจินอลคอนเทนต์’ ลุยตลาดเอเชีย

ตลาดอนิเมะทั่วโลกมีมูลค่าถึง 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และคาดว่าจะเติบโตมากกว่า 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2568 ตามรายงานของ Bloomberg ที่ผ่านมา Sony ประกาศในเดือนธันวาคมว่ามีแผนที่จะซื้อเว็บไซต์วิดีโออนิเมะ Crunchyroll ในราคาเกือบ 1.2 พันล้านดอลลาร์ (แม้ว่าการขายจะล่าช้าออกไปเนื่องจากการสอบสวนการต่อต้านการผูกขาดโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ) ตามรายงานของ New York Times

Source

]]>
1325604
Sony ทุ่มซื้อกิจการ Crunchyroll ยักษ์ใหญ่ “อนิเมะ” ออนไลน์ รุกเเข่งศึกเดือด “วิดีโอสตรีมมิ่ง” https://positioningmag.com/1309947 Thu, 10 Dec 2020 06:23:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1309947 Sony เจ้าเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น เข้าซื้อกิจการ Crunchyroll ยักษ์ใหญ่สตรีมมิ่ง อนิเมะของสหรัฐฯ ที่มีฐานสมาชิกที่จ่ายค่าบริการมากกว่า 3 ล้านคน โดยดีลดังกล่าวมีมูลค่าถึง 1,175 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.5 หมื่นล้านบาท)

เดิมที Crunchyroll เป็นผู้จัดจำหน่ายเกมอนิเมะและมังงะ ภายใต้บริษัท WarnerMedia ในเครือ AT&T ก่อตั้งมาตั้งเเต่ปี 2006 ปัจจุบันมีผู้สมัครใช้งานมากกว่า 90 ล้านคน จากทั้งหมด 200 ประเทศนับเป็นห้องสมุดออนไลน์ของแอนิเมชั่นญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ Sony มุ่งจะเข้าไปเเข่งขันในธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่ง ด้วยการชูจุดเด่นของคอนเทนต์อนิเมะ เพื่อสู้กับเจ้าใหญ่ที่ครองตลาดอยู่อย่าง Netflix และ Hulu

Tony Vinciquerra ซีอีโอของ Sony Pictures Entertainment กล่าวว่า บริษัทได้มีการพัฒนาเเละทำความเข้าใจศิลปะในโลกแอนิเมชั่นมายาวนาน ซึ่งการร่วมงานกับ Crunchyroll เป็นไปเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้เเฟนๆ เเละเป็นการเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้ครีเอเตอร์ในญี่ปุ่นและทั่วโลกได้เเสดงออกผลงานอย่างเต็มที่ โดยหวังว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยี ทำให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตขึ้นไปอีก

ก่อนหน้านี้ Sony ประสบความสำเร็จอย่างมากในญี่ปุ่น ด้วย “Demon Slayer” ผลงานอนิเมะ ที่สร้างโดย Aniplex studio ซึ่งได้รับความนิยมพุ่งสูงในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 โดยภาพยนตร์ที่สร้างจากซีรีส์เรื่องนี้ ทำเงินไปได้ถึง 2.75 หมื่นล้านเยน (ราว 7.9 พันล้านบาท) ขึ้นเเท่นรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับสองใน box office ของญี่ปุ่น

 

ที่มา : AFP , Sony Pictures

]]>
1309947
ครบ 1 ปี ‘Disney+’ ผู้ใช้ทะลุ 73.7 ล้านราย นักวิเคราะห์คาดอาจถึง 230 ล้านรายภายในปี 2025 https://positioningmag.com/1305913 Fri, 13 Nov 2020 07:52:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305913 เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วที่ Disney+ เปิดตัวและบริการสตรีมมิ่งมีประสิทธิภาพเหนือความคาดหมายมาก โดย Disney ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีว่าแพลตฟอร์มมีผู้ติดตามมากกว่า 73.7 ล้านคน ถือเป็นการเติบโตที่โดดเด่นเมื่อพิจารณาจากเป้าหมายของ Disney ที่เคยวางไว้ว่าต้องการมีผู้ใช้ 60-90 ล้านคนภายในปี 2024

เพียงหนึ่งปีเท่านั้น แต่ Disney+ กำลังรุกคืบเข้ามาอย่างรวดเร็วในสมรภูมิสตรีมมิ่ง เพียงวันแรกที่ Disney+ เปิดตัวมีผู้สมัครถึง 10 ล้านคน และในไตรมาสแรกของการดำเนินงานบริการมีผู้ใช้บริการ 26.5 ล้านคน และมันพุ่งขึ้นจากอีกเนื่องจากการระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลให้ผู้ใช้ Disney+ เพิ่มขึ้นอีกเป็น 33.5 ล้านคนในไตรมาสที่สอง และเป็น 57.5 ล้านคนในไตรมาสที่สาม

ขณะที่หลาย ๆ บริการที่เปิดตัวในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกันอย่าง ‘Peacock’ ของ NBCUniversal มีผู้สมัครใช้ประมาณ 22 ล้านคน ส่วน ‘Apple’ ที่เปิดตัว ‘Apple TV’ ยังไม่เปิดเผยหมายจำนวนการสมัครสมาชิก ส่วนผู้นำในตลาดอย่าง ‘Netflix’ สามารถเพิ่มผู้ใช้ได้อีกกว่า 195 ล้านคนในไตรมาสล่าสุด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสังเกตคือ ไม่มีการเปิดเผยว่ามีจำนวนสมาชิกที่เข้ามาใช้บริการผ่านการรวมกลุ่มหรือเข้ามาเพราะโปรโมชันใช้ฟรีแล้วยกเลิกว่ามีมากน้อยแค่ไหน

โปสเตอร์พิเศษฉลองครบรอบ 1 ปี Disney+

อย่างไรก็ตาม ด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้นักวิเคราะห์ได้ปรับคาดการณ์จำนวนสมาชิกของ Disney+ จากเดิมที่คาดว่าจะไม่ถึงผู้ติดตาม 20 ล้านคนภายในสิ้นปี 2020 เป็น 160 ล้านคนในปี 2024 และเพิ่มเป็น 230 ล้านคนภายในสิ้นปี 2025 ทั้งนี้ ก้าวต่อไปของ Disney คือ ต้องพิสูจน์ให้นักลงทุนเห็นว่าสามารถรักษาสมาชิกเดิมไว้ได้ และต้องสามารถเพิ่มผู้ใช้ใหม่ ๆ ได้ด้วย

Source

]]>
1305913