Walmart – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 22 Aug 2024 12:19:10 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เสร็จศึกฆ่าขุนพล! ‘วอลมาร์ท’ เตรียมเทหุ้น ‘JD.Com’ หลังธุรกิจค้าปลีกของตัวเองไปได้สวย ปิดฉากการลงทุน 8 ปี https://positioningmag.com/1487155 Thu, 22 Aug 2024 12:12:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487155 หลังจากที่ Pinduoduo ผงาดในตลาดอีคอมเมิร์ซจีน อดีตเบอร์ 1 และ 2 อย่าง Alibaba และ JD.com ต่างระส่ำกันหมด และด้วยการแข่งขันที่รุนแรงภายในประเทศ ทำให้ วอลมาร์ท (Walmart) บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ก็ได้ถอนการลงทุนจาก JD.com ทั้งหมด

Walmart เทขายหุ้น JD.com ทั้งหมดมูลค่ารวมราว 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยบริษัทได้เข้าลงทุนใน JD.com ตั้งแต่ ปี 2016 โดยขายร้านขายของชำออนไลน์ในจีนอย่าง Yihaodian ให้กับ JD.com เพื่อแลกกับหุ้น 5% ใน JD.com และในปีเดียวกันนั้น วอลมาร์ทเพิ่มการถือหุ้นใน JD.com เป็นมากกว่า 10% ดังนั้น การขายหุ้นทั้งหมดนี้ ถือเป็นการปิดฉากการลงทุน 8 ปี

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ Walmart ตัดสินใจเทขายหุ้นมาจาก ผลตอบแทนที่ลดลง เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงของอีคอมเมิร์ซจีน ทำให้ทั้ง Alibaba และ JD.com ต่างต้องอัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าเข้าแพลตฟอร์ม ซึ่งนั่นส่งผลให้อัตรา กำไรลดลง

ส่วนอีกสาเหตุก็คือ Walmart ต้องการจะ นำเงินทุนไปใช้กับสิ่งที่มีความสำคัญกว่า โดย Walmart ระบุว่า บริษัทจะมุ่งไปที่การดำเนินธุรกิจของตัวเองในจีน ซึ่งก็คือ Walmart China และ Sam’s Club อย่างไรก็ตาม บริษัทจะมุ่งมั่นรักษาความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่องกับ JD.com ซึ่ง JD.com จะยังคงเป็นแพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้าของ Walmart บนเว็บไซต์

ด้าน JD.com ระบุในแถลงการณ์ว่า บริษัทมีความมั่นใจในความร่วมมือในอนาคตระหว่างทั้งสองบริษัท โดยภายใต้สัญญาเดิม Walmart และ JD.com จะทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับห่วงโซ่อุปทานของตน เพื่อขยายขอบเขตของผลิตภัณฑ์นำเข้าสำหรับผู้บริโภคชาวจีน

อย่างไรก็ตาม โทมัส เฮย์ส ประธานบริษัทการลงทุน Great Hill Capital ให้ความเห็นว่า “ในปี 2016 บริษัท Walmart ต้องการขยายธุรกิจในประเทศจีน และพวกเขาทำสำเร็จผ่านการเรียนรู้ตลาดจาก JD.com  และตอนนี้พวกเขาก็มีช่องทางในการขยายธุรกิจและมีผลประโยชน์ในจีนเป็นของตัวเอง และพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีส่วนได้ส่วนเสียใน JD อีกต่อไป เมื่อพวกเขามีธุรกิจที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว

ปัจจุบัน ราคาหุ้นของ JD.com ร่วงลงราว 70% จากจุดสูงสุดเมื่อต้นปี 2021 และราคาหุ้นก็ใกล้เคียงกับระดับเปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 นอกจากนี้ การเติบโตของยอดขายของ JD.com หยุดนิ่งหลังจากการระบาดใหญ่ เนื่องจากผู้ซื้อแห่กันไปที่บริษัทอีคอมเมิร์ซราคาประหยัดคู่แข่งอย่าง Pinduoduo

โดยหุ้นของ JD.com ที่จดทะเบียนในฮ่องกงปิดตลาดลดลงเกือบ -9% ในวันพุธ ส่วนหุ้นที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ลดลง -5% ในการซื้อขายช่วงเที่ยงวัน ด้านหุ้นของ Walmart เพิ่มขึ้น 0.6% ในวันพุธ หลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 75.58 ดอลลาร์

โดยในไตรมาสล่าสุด Walmart รายงานว่า รายได้จากธุรกิจในประเทศจีนเพิ่มขึ้น +17.7% เมื่อเทียบเป็นรายปีที่ 4.6 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของเครือข่ายคลังสินค้า Sam’s Club และช่องทางดิจิทัล โดยรายได้จากสมาชิกจากธุรกิจ Sam’s Club ในประเทศจีนเติบโตขึ้น +26% ขณะที่จำนวนสมาชิกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

]]>
1487155
Walmart กำลังเจรจาซื้อกิจการ Vizio ผู้ผลิตสมาร์ททีวีในสหรัฐอเมริกา สื่อนอกชี้เป็นอีกช่องทางในการหารายได้จากธุรกิจโฆษณา https://positioningmag.com/1462617 Wed, 14 Feb 2024 05:01:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1462617 วอลมาร์ท (Walmart) กำลังเจรจาซื้อกิจการ Vizio ผู้ผลิตสมาร์ททีวีในสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าจะใช้เม็ดเงินไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยไม่น้อยกว่า 72,000 ล้านบาท ซึ่งยักษ์ใหญ่ค้าปลีกจะได้ทั้งการขายสมาร์ททีวี และรายได้จากค่าโฆษณา รวมถึงยังเป็นช่องทางโฆษณาให้กับลูกค้าด้วย

Wall Street Journal รายงานข่าว โดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Walmart ค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาซื้อกิจการ Vizio ผู้ผลิตสมาร์ททีวีในสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าจะต้องใช้เงินไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยมากกว่า 72,000 ล้านบาท

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Walmart ต้องซื้อกิจการของ Vizio เนื่องจากต้องการขยายตลาดในการขายสมาร์ททีวีราคาถูกให้ลูกค้า เนื่องจากคู่แข่งอย่าง Amazon หรือแม้แต่ Roku ได้ลงมาขายสมาร์ททีวีในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแรงกดดันให้กับค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ ต้องลงมาเล่นเกมดังกล่าวด้วย

ขณะเดียวกัน Vizio เองมีข้อมูลลูกค้าจำนวนมากถึง 18 ล้านราย ทำให้ Walmart สามารถเข้าถึงลูกค้าได้จำนวนมากกว่าเดิม และยังรวมถึงรายได้จากโฆษณาที่ได้จากการเผยแพร่บนสมาร์ททีวี

ในปีที่ผ่านมา Insider Intelligence คาดว่ารายได้จากธุรกิจโฆษณาของ Walmart จะมีมากถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่บริษัทได้ตั้งธุรกิจด้านโฆษณาขึ้นมาในปี 2021 เพื่อที่จะดำเนินธุรกิจดังกล่าวภายใต้ชื่อ Walmart Connect

ปัจจุบัน Walmart Connect มีลูกค้าที่เป็นบริษัทขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ บางรายได้ใช้ช่องทางดังกล่าวแทนที่จะลงโฆษณากับบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Apple หรือแม้แต่ Google

อย่างไรก็ดี ดีลดังกล่าว Wall Street Journal ได้รายงานว่ากำลังอยู่ในช่วงการเจรจาเท่านั้น และอาจมีสิทธิ์ที่ดีลดังกล่าวอาจไม่เกิดขึ้นก็ได้

ที่มา – Reuters, The Verge

]]>
1462617
Walmart เตรียมนำระบบ AI แนะนำลูกค้าเวลาซื้อของผ่านแอป ไปจนถึงช่วยจัดทำเอกสารของพนักงานแต่ละสาขา https://positioningmag.com/1458675 Fri, 12 Jan 2024 11:11:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458675 แม้แต่แบรนด์ค้าปลีกเองก็ยังนำ AI มาใช้ ล่าสุด วอลมาร์ท (Walmart) ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของสหรัฐอเมริกา ก็เป็นอีกบริษัทที่ได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้งาน เพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ทั้งลูกค้า หรือแม้แต่พนักงานของบริษัท

Walmart ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศในงาน CES 2024 ซึ่งเป็นงานแสดงศักยภาพเทคโนโลยีของหลายธุรกิจ ซึ่งบริษัทได้นำเสนอถึงการนำระบบปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้งานเพื่อช่วยให้ลูกค้าจับจ่ายใช้สอยได้อย่างเพลิดเพลิน ขณะเดียวกันก็ช่วยทำให้พนักงานทำงานเอกสารสะดวกมากขึ้น

Doug McMillon ซึ่งเป็น CEO ของ Walmart ได้กล่าวถึงการนำระบบ AI เข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลูกค้าในการหาสินค้าเวลาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การพิมพ์ประโยค “ต้องการที่จัดปาร์ตี้ยูนิคอร์นภายในบ้านให้กับลูกสาว ให้ช่วยเลือกสินค้าหน่อย” โดยระบบจะแนะนำสินค้าขึ้นมาให้

หรือแม้แต่ระบบ AI ที่นำมาเรียนรู้พฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าแต่ละราย ไปจนถึงการนำระบบ AI มาจำลองเสื้อผ้าเสมือนจริง ถ้าหากลูกค้าสนใจที่จะซื้อเสื้อผ้า

ภาพจาก Walmart

ในขณะเดียวกัน Walmart เองได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาช่วยยืนยันว่าลูกค้านั้นจ่ายเงินซื้อสินค้านั้นจริงๆ โดยใช้กล้องถ่ายรถเข็นสินค้า หลังการสแกนใบเสร็จกับระบบ ทดแทนการใช้พนักงานดูใบเสร็จกับสินค้า นอกจากนี้ระบบ AI ที่ Walmart ได้นำมาใช้กับพนักงานของบริษัท เช่น การสรุปรายงาน การจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสินค้า หรือแม้แต่การช่วยคิดไอเดียทำคอนเทนต์เพื่อขายสินค้า

สำหรับระบบ AI ที่นำมาช่วยเวลาค้นหาสินค้า หรือบริการอื่นๆ ทาง Walmart ได้ใช้ระบบ AI จาก Microsoft 

Suresh Kumar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาของ Walmart ได้กล่าวว่าในขณะที่การค้าปลีกแบบ Omnichannel นั้นถือว่ามีมานานหลายทศวรรษแล้ว แต่การค้าปลีกรูปแบบใหม่นี้ได้ถือว่าปรับเปลี่ยนโดยได้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง (จากการใช้ AI)

ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของสหรัฐฯ​ ถือเป็นอีกบริษัทที่ได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ในการซื้อสินค้า ขณะเดียวกันพนักงานของบริษัทก็ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อช่วยในการทำงานเช่นกัน ซึ่งมุมมอง Walmart เองนั้นเริ่มไม่ได้มองถึงการตัดขาดระหว่าง E-Commerce กับการซื้อสินค้าในร้านออกจากกันแต่อย่างใด แต่ทั้ง 2 คือเรื่องเดียวกัน

ที่มา – Engadget, NPR, TechCrunch

]]>
1458675
‘Walmart’ ขึ้นเงินเดือนให้พนักงานกว่า 5.6 แสนคน นับเป็นการขึ้นค่าแรงครั้งที่ 3 ในรอบ 12 เดือน https://positioningmag.com/1350379 Mon, 06 Sep 2021 05:02:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1350379 ถือเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่แสดงว่าคนงานสามารถจับจ่ายได้มากขึ้นในเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย COVID-19 นี้ โดย Walmart ซึ่งเป็นหนึ่งในนายจ้างรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา กำลังขึ้นเงินเดือนให้คนงานมากกว่า 565,000 คน ซึ่งถือเป็นการขึ้นเงินครั้งที่ 3 ในรอบ 12 เดือน

จอห์น เฟอร์เนอร์ ประธานและซีอีโอของ Walmart กล่าวในบันทึกถึงพนักงานว่า เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน พนักงานที่ทำงานในส่วนหน้าร้านของร้านค้าปลีก อาหาร และสินค้าทั่วไปจะได้รับเงินเพิ่มอย่างน้อย 1 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง โดย เฟอร์เนอร์ ระบุว่านี่เป็นการเพิ่มขึ้นครั้งที่ 3 ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

“ในปีที่ผ่านมา เราได้ขึ้นค่าแรงรายชั่วโมงให้กับพนักงานประมาณ 1.2 ล้านคนในร้านค้าที่สหรัฐฯ ทำให้ค่าจ้างรายชั่วโมงเฉลี่ยในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 16.40 เหรียญสหรัฐ (541 บาท)โดยค่าจ้างเฉลี่ยปัจจุบันของ Walmart อยู่ที่ 15.25 เหรียญ (503 บาท)”

จากการขึ้นค่าแรงดังกล่าว ทำให้เงินเดือนของพนักงาน Walmart แซงหน้าผู้ค้าปลีกรายอื่น ๆ มากมายหลายแห่ง อาทิ ร้านขายยา CVS ที่ปัจจุบันได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 15 เหรียญ/ชั่วโมง (495 บาท/ชั่วโมง) เนื่องจากที่รัฐบาลประกาศค่าแรกขั้นต่ำที่ 15 เหรียญ/ชั่วโมง

Source

]]>
1350379
‘Walmart’ เร่งกระจายวัคซีนโควิด หลัง ‘ไบเดน’ ตั้งเป้าแจกจ่าย 100 ล้านโดสใน 100 วันแรกที่รับตำแหน่ง https://positioningmag.com/1316008 Sun, 24 Jan 2021 07:03:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1316008 หลังจากที่เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2020 ห้างวอลมาร์ท (Walmart) บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้ทำข้อตกลงกับมลรัฐในสหรัฐฯ เพื่อจัดการกับวัคซีนต้าน COVID-19 ให้กับลูกค้าและพนักงาน เมื่อไหร่ก็ตามที่วัคซีนดังกล่าวได้รับการอนุมัติแล้ว

ล่าสุด บริษัทได้ดำเนินการฉีดวัคซีนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาในบางพื้นที่ในรัฐนิวเม็กซิโกและอาร์คันซอ และเตรียมเปิดตัววัคซีนในรัฐนิวเจอร์ซีย์, จอร์เจีย, อินเดียนา, หลุยเซียนา, แมริแลนด์, เซาท์แคโรไลนา, เท็กซัส รวมถึงในชิคาโกและเปอร์โตริโก

ทั้งนี้ แต่ละรัฐจะกำหนดกลุ่มประชากรที่มีสิทธิ์ได้รับวัคซีน โดยวัคซีนจะถูกแจกจ่ายให้เฉพาะกลุ่มที่กำหนด ณ ร้านขายยา Walmart ตัวอย่างเช่น ในจอร์เจียผู้ใหญ่อายุ 65 ปีขึ้นไปมีสิทธิ์ได้รับ แต่ผู้ปฏิบัติงานด้านการดูแลสุขภาพจะไม่มีสิทธิ์ได้รับ เป็นต้น

“เรากำลังดำเนินการตามสิ่งที่รัฐบอกเราในแง่ของกลุ่มสำคัญที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือในการฉีดวัคซีน” โฆษกของวอลมาร์ท กล่าว

สำหรับสาเหตุที่ Walmart พยายามที่จะกระจายวัคซีนให้เร็วที่สุดเป็นเพราะประธานาธิบดีโจ ไบเดนและฝ่ายบริหารของเขาพยายามเร่งการกระจายวัคซีน จนถึงขณะนี้มีการฉีดวัคซีนมากกว่า 17 ล้านโดสในสหรัฐอเมริกาตามข้อมูลล่าสุดของ CDC Biden ได้ประกาศเป้าหมายในการจัดการ 100 ล้านโดสใน 100 วันแรกที่เขาดำรงตำแหน่ง

ทั้งนี้ ร้านขายยาและร้านสะดวกซื้อถือเป็นบทบาทสำคัญในการกระจายวัคซีน โดยรัฐบาลกลางมีโครงการความร่วมมือกับเครือข่ายร้านขายยา 19 ราย ซึ่งคิดเป็นมากกว่า 40% ของร้านขายยาในสหรัฐอเมริกา โดย Walmart โพสต์เมื่อวันศุกร์ว่าคาดว่าจะสามารถให้ยาได้ 10-13 ล้านโดสต่อเดือน จากร้านขายยาของ Walmart และ Sam Club รวมกว่า 5,000 แห่ง พร้อมกับเตรียมตู้แช่เย็นให้เป็นตามข้อกำหนดการจัดเก็บวัคซีน ขณะที่เชนร้านขายยาอื่น ๆ อาทิ CVS Pharmacy ได้คาดว่าจะสามารถจัดการแจกจ่ายวัคซีนได้มากถึง 20-25 ล้านโดสต่อเดือน

Source

]]>
1316008
ไปไกลกว่าค้าปลีก ‘Walmart’ ลุยปั้นสตาร์ทอัพ ‘ฟินเทค’ ให้บริการทางการเงินกับผู้บริโภค https://positioningmag.com/1313802 Tue, 12 Jan 2021 06:55:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1313802 ในยุคที่เศรษฐกิจไม่เเน่นอนเเละพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเเปลงตลอดเวลาการพึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพออีกต่อไป 

Walmart ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่เเห่งอเมริกา ที่มีสาขามากกว่า 4,700 เเห่ง เป็นอีกเจ้าที่มีการขยายการลงทุนธุรกิจไปในน่านน้ำอื่น ทั้งเเบรนด์เเฟชั่น คลินิกสุขภาพต้นทุนต่ำและธุรกิจประกันภัย 

ล่าสุด Walmart จับมือกับ Ribbit Capital บริษัทลงทุนที่อยู่เบื้องหลังแพลตฟอร์มซื้อขายหุ้นชื่อดังอย่าง Robinhood เตรียมปลุกปั้นสตาร์ทอัพฟินเทค’ (FinTech) บริษัทเทคโนโลยีทางการเงินของตัวเองขึ้นมา

โดยจะเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ด้านการค้าปลีกของ Walmart เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านฟินเทคของ Ribbit Capital เพื่อส่งมอบประสบการณ์ทางการเงินที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมกับลูกค้าและพนักงานของ Walmart

อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ ยังไม่ได้เปิดเผยว่าบริษัทใหม่เเห่งนี้จะมีชื่อว่าอะไรหรือจะให้บริการเมื่อใด โดยบอกแต่เพียงว่า “จะมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นเอกลักษณ์และราคาไม่แพง”

หลังประกาศข่าวนี้ ราคาหุ้นของ Walmart เพิ่มขึ้น 1.5% ทำให้มูลค่าบริษัทของ Walmart ขยับมาอยู่ที่ 416,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

John Furner ซีอีโอของ Walmart ระบุว่า หลายปีที่ผ่านมาลูกค้าหลายล้านคนได้ให้ความไว้วางใจใน Walmart ที่ไม่เพียงจะช่วยประหยัดเงินเมื่อซื้อสินค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยจัดการความต้องการทางการเงินของพวกเขาด้วย

(Photo by Al Bello/Getty Images)

Walmart หันมาสนใจธุรกิจให้บริการทางการเงิน โดยการเริ่มทดลองตลาดด้วยการออก Walmart MoneyCard บัตรเดบิตแบบเติมเงินเพื่อซื้อสินค้าภายในร้าน ชูจุดเด่นหลักๆ อย่างการไม่มีค่าธรรมเนียมเบิกเกินบัญชีหรือรายเดือน และไม่มีข้อกำหนดยอดเงินขั้นต่ำ

นอกจากนี้ ยังมีการเสนอแผนชำระเงินทางเลือกเพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโถคที่มีงบจำกัด เช่น Layaway และ Affirm ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคที่อนุญาตให้ลูกค้าซื้อสินค้าออนไลน์ เเละสามารถผ่อนชำระทีหลังได้ 

Bloomberg มองว่า เป้าหมายในธุรกิจฟินเทคของ Walmart คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเช่นเดียวกับที่ Alibaba อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ในเอเชีย เป็นทั้งผู้ค้าปลีกออนไลน์และผู้ให้บริการทางการเงินในแพลตฟอร์มเดียวกัน

การขยายไปรุกตลาดฟินเทคอย่างจริงจังของ Walmart ครั้งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในสงครามค้าปลีกยุคใหม่ที่จะเอามาต่อกรกับ Amazon ค้าปลีกออนไลน์ที่เฟื่องฟูขึ้นอย่างมากในวิกฤต COVID-19

 

 

ที่มา : Bloomberg , CNBC , Businesswire

]]>
1313802
สู้ไม่ไหว ‘Walmart’ ถอนตัวจากญี่ปุ่นโดยขายหุ้นของ ‘Seiyu’ ให้ ‘KKR’ และ ‘Rakuten’ https://positioningmag.com/1306479 Tue, 17 Nov 2020 11:04:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1306479 จากความพยายามเกือบ 20 ปีของ ‘Walmart (วอลมาร์ต)’ บริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่สัญชาติอเมริกา ในการบุกตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตในญี่ปุ่น ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกได้สิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันได้

ย้อนไปปี 1956 เครือซูเปอร์มาร์เก็ตญี่ปุ่น ‘Seiyu’ ได้ถือกำเนิดโดย Seibu Group จนกระทั่งมาเจอกับปัญหาหนี้สินบวกกับวิกฤตเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงปี 1990 หลังจากนั้น 12 ปี ‘Walmart’ ที่กำลังถึงทางตันกับตลาดบ้านเกิดจึงได้เริ่มเดินหน้าขยายธุรกิจไปในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น อินเดีย จีน และ ‘ญี่ปุ่น’ โดย Walmart ได้ทุ่มเงินถึง 1 พันล้านดอลลาร์ใน Seiyu เมื่อปี 2002 และได้กลายเป็นเจ้าของกิจการเต็มตัวในปี 2008

(Photo by Al Bello/Getty Images)

แต่ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตซึ่งมีผู้เล่นท้องถิ่นในตลาดหลายราย อาทิ Aeon และ Seven & I Holdings เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven นอกจากนี้ยังมีการรุกคืบของ e-commerce รายใหญ่อย่าง ‘Amazon’ ส่งผลให้ธุรกิจของ Seiyu ขาดทุน 200 ล้านเยนในปี 2016 และในปี 2017 ทำได้แค่เท่าทุนเท่านั้น ดังนั้น Walmart จึงตัดสินใจขายกิจการของ Seiyu โดยประเมินมูลค่าไว้ที่ 3-5 แสนล้านเยน

ปัจจุบัน Walmart ได้ขายหุ้นส่วนใหญ่ของ Seiyu ให้กับ KKR และ Rakuten ในข้อตกลงที่ให้มูลค่า Seiyu ที่ 1.725 แสนล้านเยนหรือประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์ โดยข้อตกลงดังกล่าวกองทุนหุ้นเอกชน KKR เป็นเจ้าของส่วนใหญ่ ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 65% ส่วน Rakuten ถือ 20% และ Walmart ถือ 15% ส่งผลให้ Walmart กลายเป็นต่างชาติรายล่าสุดที่พ่ายให้ตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตของญี่ปุ่น โดยก่อนนี้มี ‘คาร์ฟูร์’ ของฝรั่งเศสที่ออกจากตลาดในปี 2005 และ ‘เทสโก้’ ของอังกฤษที่ออกจากตลาดในปี 2011

ปัจจุบัน Seiyu มีสาขามากกว่า 300 แห่งทั่วญี่ปุ่น โดยข้อตกลงกับ Rakuten และ KKR อยู่ภายใต้การอนุมัติตามกฎข้อบังคับและคาดว่าจะปิดดีลสำเร็จในต้นปีหน้า ทั้งนี้ Rakuten และ KKR กล่าวว่า พวกเขาจะเร่งการลงทุนในการดำเนินงานดิจิทัลของ Seiyu เนื่องจากการระบาดใหญ่กระตุ้นความต้องการซื้อสินค้าออนไลน์ในญี่ปุ่น

Source

]]>
1306479
Walmart เตรียมทดสอบระบบใช้ “รถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับ” ส่งเดลิเวอรี่สินค้า https://positioningmag.com/1305681 Thu, 12 Nov 2020 07:20:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305681 Walmart ยังคงเดินหน้าทดลองการใช้นวัตกรรมในธุรกิจรีเทล ล่าสุดเปิดโครงการนำร่องร่วมกับ Cruise ในเครือ General Motors (GM) นำรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติไร้คนขับ มาเป็นเครื่องมือเดลิเวอรี่สินค้าอุปโภคบริโภค โดยจะทดสอบในรัฐแอริโซนา

“ทอม วาร์ด” รองประธานอาวุโสด้านผลิตภัณฑ์ลูกค้า Walmart ประกาศในบล็อกโพสต์ของเขาว่า โครงการนำร่องของ Walmart กับ Cruise จะเริ่มต้นในช่วงต้นปี 2021 บริเวณพื้นที่เมืองสก็อตส์เดล รัฐแอริโซนา ทางตะวันตกของสหรัฐฯ

โดยรถยนต์ที่ใช้ในโครงการนี้จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า และจะชาร์จไฟจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนเท่านั้นด้วย เพื่อให้ตรงกับนโยบายบริษัทซึ่งมุ่งสู่การลดการปล่อยคาร์บอน

คอนเซ็ปต์ของบริการนี้คือต้องการให้ลูกค้าสามารถสั่งสินค้าจากร้านในท้องถิ่น และรถยนต์ของ Walmart จะนำสินค้าไปส่งให้เอง โดยเป็นรถยนต์แบบไร้คนขับเพื่อลดการสัมผัสของคนกับสินค้า “เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงมีศักยภาพในการประหยัดเงินและเวลาให้กับลูกค้า แต่ยังมีส่วนช่วยสิ่งแวดล้อมโลกด้วย เทคโนโลยีเช่นนี้เป็นสิ่งที่เราต้องการศึกษาเพิ่มเติม” วาร์ดกล่าว

Cruise รถยนต์ไร้คนขับ มีการทดสอบส่งเดลิเวอรี่อาหารในซานฟรานซิสโกไปแล้ว 20,000 ครั้ง (Photo : Cruise)

ขณะนี้ Walmart ยังไม่ประกาศว่าหน่วยรถยนต์ไร้คนขับในโครงการนี้จะมีทั้งหมดกี่คัน และลงทุนไปทั้งหมดเท่าไหร่แต่โครงการร่วมกับ Cruise ไม่ใช่โครงการแรกของ Walmart ก่อนหน้านี้ในปี 2018 บริษัทมีความร่วมมือกับ Waymo บริษัทในเครือเดียวกับ Google เพื่อใช้รถยนต์ไร้คนขับส่งของมาแล้ว (ในโครงการดังกล่าว บริษัทเลือกใช้รถตู้ขนาดเล็ก Pacifica และเป็นรถระบบไฮบริดที่ใช้ไฟฟ้าเป็นบางส่วน)

โรคระบาด COVID-19 ที่เกิดขึ้นในปีนี้เป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลกับแผนของรถยนต์ไร้คนขับอย่าง Cruise และ Waymo จากเดิมที่มองว่าจะมุ่งเป้าเป็นแท็กซี่ขนส่งผู้โดยสาร กลับกลายมามีจุดแข็งในระบบเดลิเวอรี่และโลจิสติกส์แทน เพราะลูกค้าต้องการการขนส่งที่ถูกสัมผัสจากคนน้อยที่สุด

ยกตัวอย่างเช่น Waymo เริ่มมีให้บริการชื่อ “Via” ที่สามารถไปรับพัสดุจากร้านรับส่งพัสดุ UPS ได้ หรือบริษัทสตาร์ทอัพ Nuro สามารถระดมทุนได้สำเร็จเพื่อทำธุรกิจหุ่นยนต์เดลิเวอรี่อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ในอีกฟากโลกคือที่ประเทศจีน สำนักข่าวซินหัวเพิ่งมีรายงานว่า มีบริษัทกำลังทดลองใช้รถส่งอาหารเดลิเวอรี่แบบไร้คนขับ จำนวน 4 คัน ที่นิคมนวัตกรรมหูหลี่ เมืองเซี่ยเหมิน ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน โดยรถดังกล่าวเป็นรถที่ออกแบบมาเพื่อขนส่งอาหารโดยเฉพาะ มีการติดตั้งระบบอุ่นร้อนภายใน และผู้สั่งเพียงสแกน QR CODE ชำระเงินก็รับอาหารออกจากรถได้ทันที

แต่อย่าเพิ่งตกใจไปว่าหุ่นยนต์หรือเทคโนโลยีจะมาแทนที่มนุษย์ได้แบบฉับพลัน เพราะอาจจะยังไม่ถึงจังหวะที่เหมาะสม Walmart เองเพิ่งจะตัดสินใจยกเลิกใช้ “หุ่นยนต์เช็กสต๊อก” ไปในเดือนนี้เอง หลังทดลองมา 3 ปีแล้วพบว่าต้นทุนการใช้มนุษย์ยังถูกกว่า (ในเวลานี้) และลูกค้ามีปฏิกิริยาทางลบเมื่อพบหุ่นยนต์เช็กสต๊อกบนชั้นวางสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต

อย่างไรก็ตาม Walmart และอีกหลายธุรกิจรีเทลยักษ์ใหญ่ก็ยังไม่หยุดทดลองใช้สารพัดเทคโนโลยีที่จะทำให้ตนได้เปรียบในการแข่งขัน ดังนั้นต้องจับตาว่า “จังหวะ” ที่หุ่นยนต์จะมาแทนที่มนุษย์ได้ในแต่ละตำแหน่งจะเป็นเมื่อไหร่

Source

]]>
1305681
Walmart เลิกใช้ “หุ่นยนต์” เช็กสต๊อกสินค้าบนชั้นวาง กลับมาพึ่งพา “แรงงานมนุษย์” https://positioningmag.com/1304267 Tue, 03 Nov 2020 10:38:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1304267 ขณะที่หลายอุตสาหกรรมกำลังนำหุ่นยนต์เข้ามาช่วยงานในธุรกิจมากขึ้น เเต่ Walmart ห้างค้าปลีกรายใหญ่ของโลก กลับตัดใจสินใจเลิกใช้หุ่นยนต์เช็กสต๊อกสินค้าหลังทดลองใช้มา 3 ปี เเละหันมาพึ่งพาแรงงานคนแทน

The Wall Street Journal รายงานว่า Walmart ห้างสรรพสินค้าของสหรัฐฯ ประกาศยุติสัญญาธุรกิจกับ Bossa Nova Robotics บริษัทผู้ผลิตหุ่นยนต์ตรวจสอบสินค้าบนชั้นวาง หลังทดลองใช้งานในหลายสาขา มาตั้งเเต่ปี 2017 ตามเเผนขององค์กรที่ต้องการย้ายการทำงานไปสู่ระบบอัตโนมัติมากขึ้น

โฆษกของทาง Walmart ระบุว่า จนถึงวันสิ้นสุดสัญญา มีหุ่นยนต์ตรวจสอบสินค้าบนชั้นวางในคลังราว 500 ตัว อยู่ตามห้างของ Walmart กว่า 4,700 สาขา โดยทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น ตรวจสอบสต๊อกสินค้า เช็กราคาที่ถูกต้อง เเละให้บริการอื่นๆ เพื่อช่วยลูกค้าหาของบนชั้นวางได้เร็วขึ้น

การตัดสินใจยุติสัญญาการใช้หุ่นยนต์เช็กสต๊อกครั้งนี้ มีขึ้นหลัง Walmart เห็นว่า พนักงานที่เป็นมนุษย์สามารถทำงานนี้ได้ดีและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีต้นทุนที่ถูกกว่าหุ่นยนต์ (ณ ขณะนี้) เเละบางครั้งการที่มีหุ่นยนต์คอยตรวจสอบสินค้า อาจสร้างปฏิกิริยาทางลบต่อลูกค้าที่กำลังเลือกซื้อสินค้าได้

อย่างไรก็ตาม แม้ Walmart จะหันมาเลือกใช้แรงงานคนในการตรวจสอบสต๊อกสินค้า เเต่ก็ยังจะมีพัฒนาการใช้ระบบอัตโนมัติในด้านอื่นๆ ต่อไป

เราพร้อมเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ตลอดเวลา เเละตอนนี้เราก็ยังใช้หุ่นยนต์ถูพื้นอัตโนมัติอยู่

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Walmart เพิ่งปรับเปลี่ยนห้างในเครือ 4 แห่ง ให้เป็นโมเดลทดลองการค้าปลีกเเบบ
อีคอมเมิร์ซ ทดสอบการใช้เครื่องมือดิจิทัลและกลยุทธ์อื่นๆ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการสต๊อกสินค้า และรับคำสั่งซื้อออนไลน์

ในไตรมาสที่เเล้ว Walmart ทำรายได้ถึง 1.37 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มีการเติบโตในส่วนธุรกิจอีคอมเมิร์ซถึง 97% จากอานิสงส์คนอยู่บ้านช่วงวิกฤต COVID-19 ทำให้บริษัทต้องหันมาให้ความสำคัญกับการค้าปลีกเเบบ
เดลิเวอรี่อย่างจริงจัง

(Photo by Al Bello/Getty Images)

การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของ Walmart จากการเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ในธุรกิจห้างสรรพสินค้า คือการเพิ่มสต๊อกสินค้าให้ทันเวลาเเละทันความต้องการของผู้บริโภค ทั้งในส่วนออฟไลฟ์เเละออนไลน์ที่กำลังเฟื่องฟู

Doug McMillon ซีอีโอของ Walmart ให้สัมภาษณ์กับทางรายการ Squawk Box ของ CNBC ว่า ปัญหาสินค้าหมดสต๊อกยังคงเป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับ Walmart ซึ่งจะมีการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารสต๊อกสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ขณะที่คู่เเข่งในวงการค้าปลีกที่มีหารเเข่งขันกันอย่างดุเดือด กำลังลงทุนในเทคโนโลยีหุ่นยนต์กันอย่างต่อเนื่อง เช่น ห้างดังอย่าง Target ที่เริ่มใช้หุ่นยนต์มาบริหารสินค้าเเละให้บริการลูกค้า รวมถึง Amazon ที่ซื้อกิจการหุ่นยนต์เพื่อนำมาใช้ในการต่อยอดธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่ ซึ่งปัจจุบันมีการใช้งานหุ่นยนต์ถึง 2 แสนตัวในการบริหารคลังสินค้า

ด้านรายงาน World Economic Forum ฉบับล่าสุด เปิดเผยว่า การมาของ COVID-19 ที่ระบาดทั่วโลก เป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้มีการเปลี่ยนเเปลงทางเทคโนโลยีในสถานที่ทำงาน โดยตำเเหน่งงานของมนุษย์กว่า 85 ล้านตำแหน่งจะถูกทดเเทนด้วย “ระบบอัตโนมัติ” ภายใน 5 ปีข้างหน้า

“กว่า 2 ใน 5 ของบริษัทขนาดใหญ่ที่ถูกสำรวจ มีแผนจะลดพนักงานลง เนื่องจากการผสมผสานเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน”

 

ที่มา : CNBC , BBC 

]]>
1304267
คนล้มต้องซ้ำ ‘Walmart’ สบช่องแบรนด์แฟชั่นตายช่วง COVID-19 ปั้นแบรนด์ ‘Free Assembly’ เสียบแทน https://positioningmag.com/1298043 Mon, 21 Sep 2020 07:34:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1298043 ก่อนที่จะเกิดโรคระบาด COVID-19 แบรนด์ค้าปลีกรายใหญ่ของโลกอย่าง ‘Walmart’ ได้ระบุว่าบริษัทต้องการเพิ่มยอดขายสินค้าทั่วไป เช่น ‘เสื้อผ้า’ เพื่อพยายามเปลี่ยนอีคอมเมิร์ซให้เป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ แต่หลังจากที่เกิดการระบาดของ COVID-19 ขึ้น Walmart เลยมีโอกาสในการคว้าส่วนแบ่งการตลาดในเครื่องแต่งกายไปแบบงง ๆ ด้วยวิสัยทัศน์ที่มองไว้ตั้งแต่ก่อนเกิด COVID-19

เป็นที่รู้กันว่าช่วง COVID-19 ส่งผลต่อ อุตสาหกรรมแฟชั่น เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ทำงานจากที่บ้านเพื่อลดการระบาดของเชื้อ ส่งผลให้เสื้อผ้าเป็นสิ่งที่ ‘ไม่จำเป็น’ ต้องซื้อใหม่ (เพราะไม่รู้จะใส่ออกไปไหน) ซึ่งนั่นทำให้ผู้ค้าปลีกเครื่องแต่งกายรายใหญ่หลายรายต้องปิดตัวลง เช่น แบรนด์ J.C. Penney และ Neiman Marcus ที่ยื่นล้มละลาย ส่วนแบรนด์ Macy’s และ Kohl’s ก็มีรายได้ลดลง

ขณะที่ข้อมูลของ McKinsey and Company ระบุว่ารายได้ของอุตสาหกรรมค้าปลีกและธุรกิจเครื่องแต่งกายจะลดลง 20-30% ทั่วทั้งอุตสาหกรรมในปีนี้ และลดอีก 10-25% ในปี 2021 แต่ในทางตรงกันข้ามผู้ค้าปลีกจำนวนมากเช่น Walmart และ Target คาดว่าจะเห็นรายได้จากเครื่องแต่งกายเพิ่มขึ้น 10-20% ในปี 2020 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

“พวกเขาได้รับส่วนแบ่งดังกล่าวจากการที่ห้างร้านที่จำหน่ายสินค้าแฟชั่นปิดตัวลง เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของร้านค้าแบบครบวงจร เพราะพวกเขากำลังซื้อเครื่องแต่งกายในเวลาเดียวกับที่พวกเขาจะไปรับสินค้าที่จำเป็น” Althea Peng ผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นเครื่องแต่งกายและงานหรูหราของ McKinsey ในอเมริกากล่าว

ด้วยความตั้งใจที่จะรุกตลาดแฟชั่นมากขึ้นตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดของ COVID-19 และเมื่อเกิดการระบาด คู่แข่งก็พากันล้มหายตายจากไปอีก Walmart เลยถือโอกาสทำข้อตกลงกับ ThredUp แพลตฟอร์มขายสินค้ามือสอง ในการนำสินค้ามือสองในกลุ่มแฟชั่นมาขายบนเว็บไซต์ และล่าสุด Walmart ก็ได้เปิดตัวแบรนด์แฟชั่น ‘Free Assembly’ ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ที่จะขายทั้งทางออนไลน์และในร้านค้า 250 แห่ง

แบรนด์ดังกล่าวได้ Dwight Fenton อดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสร้างสรรค์ของ Bonobos และผู้คร่ำหวอดในแบรนด์ต่าง ๆ อาทิ J. Crew, Vineyard Vines และ Old Navy มาเป็นผู้ออกแบบสินค้า โดยเขากล่าวว่า เสื้อผ้าที่เขาออกแบบนั้นให้รู้สึกเหมือนกับ “ชิ้นส่วนที่คุ้นเคยและอยู่เหนือกาลเวลา” ซึ่งลูกค้าสามารถมิกซ์แอนด์แมตช์กับสิ่งที่มีอยู่แล้วในตู้เสื้อผ้าของพวกเขาได้ นอกจากนี้ แบรนด์จะมีความหลากหลายมาก โดยครอบคลุมกลุ่มอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ราคาเริ่มตั้งแต่ 9-45 ดอลลาร์สหรัฐ (280-1,400 บาท)

อย่างไรก็ตาม แม้ Walmart จะมีโอกาสใหม่ในการชิงส่วนแบ่งการตลาดจากร้านค้าปลีกเครื่องแต่งกายเช่น J.C. Penney ที่ฟ้องล้มละลาย และอื่น ๆ เช่น Kohl’s และ Macy’s ที่มียอดขายลดลงเพราะพิษ COVID-19 แต่ Walmart ยังคงต้องพิสูจน์ว่าสามารถตอบสนองรสนิยมของผู้บริโภคซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนในโลกของแฟชั่นได้หรือไม่

Source

]]>
1298043