ktb – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 19 Apr 2023 03:19:07 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 กางแผน 5 ปี “ธนาคารกรุงไทย” กับยุทธศาสตร์ X2G2X ย้ำจุดแข็งธนาคารพาณิชย์ของรัฐ https://positioningmag.com/1427444 Mon, 17 Apr 2023 04:29:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1427444 ธนาคารกรุงไทยกางโรดแมป 5 ปี ตั้งแต่ 2566-2570 มีมิชชั่นสำคัญก็คือ การเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทย แล้วทำให้ชีวิตดีขึ้นในในทุกๆ วัน เน้นยุทธศาสตร์หลัก X2G2X ใช้จุดแข็งความเป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐ เชื่อมต่อพาร์ตเนอร์ และพัฒนาแพลตฟอร์มให้ลูกค้า พร้อมเตรียมงบ 12,000 ล้านบาท ลงทุนเทคโนโลยีรองรับการก้าวสู่การเงินดิจิทัล

เข้าถึงปัจจัย 4 ของคนไทย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์ หลายคนเรียกมันว่าเข้ามา Disrupt หลายๆ ธุรกิจเลยก็มี เนื่องจากดิจิทัลทำให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนไป พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป ถ้าธุรกิจไหนไม่ปรับตัว ก็ยากที่จะอยู่รอด

ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอันดับต้นๆ หนีไม่พ้นค้าปลีก และธนาคาร ที่มีหน้าร้านสาขาในการให้บริการลูกค้า ผู้ประกอบการจึงต้องเร่งเครื่องในการเอาตัวเองเข้าสู่อีคอมเมิร์ซ ส่วนธนาคารเองก็ต้องพัฒนาระบบดิจิทัล ซึ่งประเทศถือว่ามีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคตอบรับกับบริการดิจิทัลมากขึ้นด้วย

“ธนาคากรุงไทย” เป็นหนึ่งในกลุ่มธนาคารยักษ์ใหญ่ในไทย ในปีนี้ได้ดำเนินการมาครบ 57 ปีแล้ว แต่เดิมกรุงไทยมีภาพลักษณ์เป็นธนาคารสำหรับข้าราชการ เพราะด้วยความเป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ผู้ใช้งานจึงค่อนข้างมีอายุหน่อย ทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากรุงไทยได้รีเฟรชแบรนด์ให้ทันสมัยขึ้น พร้อมกับดึง “ณเดชน์ คูกิมิยะ” เป็นพรีเซ็นเตอร์แอปพลิเคชัน KRUNGTHAI NEXT เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น

ซึ่งปัจจุบันกรุงไทยเองก็เป็นหนึ่งในฟันเฟืองหลักในการพัฒนาบริการดิจิทัลสู่มือผู้บริโภค เรียกว่ามีบริการแทบจะครอบคลุมไลฟ์สไตล์ของคนไทย มีการพัฒนาเองบ้าง และจับมือร่วมกับพาร์ตเนอร์บ้าง

ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เล่าว่า

“ธนาคารกรุงไทยมีจุดแข็งที่เป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่เราเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืน และมิชชั่นสำคัญก็คือ อยากให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน โฟกัสที่ปัจจัย 4 ของมนุษย์ ลูกค้าส่วนใหญ่ของกรุงไทยจะเป็นผู้สูงวัย จึงให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพเป็นพิเศษ แต่มีการเน้นเรื่องการศึกษามากขึ้น เพราะต้องการดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้น เรียกว่าต้องใช้โมเดลเรือบรรทุกเครื่องบิน กับสปีดโบ้ท เอามาปรับใช้ในการขับเคลื่อนองค์กร”

จุดเปลี่ยนสำคัญก็คือการพัฒนาแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในช่วงแรกเป็นการใช้กับโครงการสวัสดิการต่างๆ ของรัฐ เช่น คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ต่อมาได้พัฒนาบริการต่างๆ ที่สามารถใช้งานผ่านแอปเป๋าตังได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพที่ใช้สิทธิบัตรทอง หรือรับถุงยางอนามัย ยาคุมกำเนิดได้ รวมไปถึงการซื้อสลากดิจิทัล ที่คุมราคาได้ใน 80 บาท และบริการอื่นๆ อีกมากมาย

ปัจจุบันแอปพลิเคชันเป๋าตัง มีผู้ใช้งาน 40 ล้านคน และมีเงินหมุนเวียนในระบบ 600 ล้านบาท ในอนาคตจะมีบริการที่ต่อยอดมากขึ้นเรื่อยๆ อาจมองไปถึง 5 อีโคซิสเท็มหลักของคนไทย ได้แก่ สุขภาพ, การศึกษา, รัฐ, เพย์เมนต์ และการเดินทาง

โรดแมป 5 ปี 7 ยุทธศาสตร์

ทั้งนี้ธนาคารกรุงไทยได้กางแผนงาน 5 ปี ระหว่างปี 2566-2570  เพื่อเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงภายใต้แนวคิด “มุ่งสร้างคุณค่า สู่ความยั่งยืน” เพื่อให้องค์กรเติบโตอย่างมั่นคง ตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างครอบคลุม ทั่วถึง แบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ภายใต้ 7 ยุทธศาสตร์หลัก ดังนี้

1. ปลดล็อกศักยภาพในการสร้างมูลค่าจากการทำธุรกิจกับคู่ค้าของลูกค้า (X2G2X) เร่งต่อยอดยุทธศาสตร์ X2G2X ให้เกิดการเชื่อมโยงในเชิงลึกในกลุ่มลูกค้าต่างๆ ทั้ง B2B B2C G2B และ G2C และมีแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์คู่ค้าของลูกค้า ทั้งการเร่งสร้าง Economic Value จากแอปฯ เป๋าตัง และถุงเงิน เสริมศักยภาพผู้ประกอบการ SME ให้แข็งแกร่ง ต่อยอดความร่วมมือที่ได้ลงทุนไปแล้วทั้งระบบ Smart Transit ตั๋วร่วม Smart Hospital และ Digital Business Platform เป็นต้น

2. ขับเคลื่อนประสิทธิภาพองค์กรด้วยดิจิทัล และข้อมูล เร่งนำข้อมูล และเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เป็น Process Digitalization โดยนำระบบ RPA หรือ Robotic Process Automation และการใช้ AI เข้ามาใช้ในกระบวนการทำงานภายในของธนาคารมากขึ้น ทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการใช้กระดาษ (Paperless) นำไปสู่โครงสร้างการประเมินอัตรากำลังที่เหมาะสมในการให้บริการผ่านสาขา ผสมผสานการให้บริการออนไลน์สู่ออฟไลน์ได้เต็มศักยภาพ โดยช่องทางสาขาจะถูกปรับเป็นการให้บริการทางธุรกิจ และอยู่ระหว่างการทดสอบในพื้นที่ EEC

3. เปิดตัวแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างการเติบโตในมิติใหม่ พัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร ทั้ง Virtual Banking ที่ธนาคารจะร่วมกับพันธมิตร เพื่อดำเนินการ และ Wealth-Tech เพื่อเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และบริการทางการเงินในทุกระดับชั้น ต่อยอดสร้างศักยภาพการออม เสริมสร้างความมั่งคั่งให้คนไทย

4. สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างครอบคลุม เท่าเทียม และยั่งยืน ขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทาง ESG  สนับสนุนประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึงเท่าเทียม โปร่งใส ลดความเหลื่อมล้ำ ลดช่องว่างการกระจายรายได้ เชื่อมโยงกลุ่มลูกค้า SME กับ Digital Economy และเร่งปรับตัวเข้าสู่กลุ่มอุตสาหกรรม New S-Curve เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน

5. พัฒนา และเสริมสร้างขีดความสามารถการทำงานแห่งอนาคต เร่งสร้างการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ทั้งด้านความพร้อมของระบบรองรับ PDPA & Cyber Risk เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม บริหารจัดการ NPL และ NPA เพื่อแก้ปัญหาปรับเป็นสินทรัพย์ที่สร้างคุณค่าในเวลารวดเร็วขึ้น พร้อมบูรณาการบริษัทในเครือ สร้างประโยชน์จากสินทรัพย์ให้เต็มศักยภาพ บนความร่วมมือแบบ ONE Krungthai

6. ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีหลักขององค์กรลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT และ Digitalization อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับโครงสร้างเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย มั่นคง ปลอดภัย มีเสถียรภาพ มีประสิทธิภาพและสามารถรองรับจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อสนับสนุนการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าด้วยต้นทุนที่เหมาะสม

7. ปฏิรูปวัฒนธรรม และปลูกฝังวิธีการทำงานแบบใหม่เพื่อขับเคลื่อนองค์กรด้วยความคล่องตัว ปรับวิธีการทำงานรูปแบบใหม่ให้เป็นไปในลักษณะ Agility มีความกระฉับกระเฉง โดยอาศัยหลักการแบบ Fail Fast Learn Fast ยกระดับพนักงานให้มีทักษะใหม่ๆ (Upskill/Reskill) สามารถดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถในระดับประเทศและระดับโลกเข้ามาทำงานเสริมสร้างความแข็งแกร่ง เป็นองค์กรแห่งการสร้างผู้นำในอนาคต

ทิศทางการดำเนินธุรกิจธนาคารกรุงไทยในระยะต่อไป อยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางการเงินใหม่ ที่เปิดกว้างใน 3 ด้านคือ

  1. Open Infrastructure การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับทั้งผู้เล่นใหม่ และผู้เล่นปัจจุบัน เพื่อให้เกิดการแข่งขันและต่อยอดในเชิงนวัตกรรม
  2. Open Data ส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันข้อมูล เช่น การสนับสนุนให้มีธนาคารไร้สาขา หรือ Virtual Bank เป็นต้น
  3. Open Competition ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายที่สุด จากการแข่งขันที่เปิดกว้างจากผู้เล่นใหม่เส้นแบ่งการแข่งขันระหว่างธนาคารและสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-Bank) ที่แยกกันไม่ออก

เร่งลงทุนเทคโนโลยี

สำหรับแผนการบริหารสินทรัพย์รอการขาย (NPA) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 40,000 ล้านบาท นั้น ผยง กล่าวว่า ธนาคารตั้งเป้าจะลด NPA ให้อยู่ในระดับ 20,000 ล้านบาท เท่ากับอุตสาหกรรมภายในระยะเวลา 5 ปี (66-70) โดยภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ธนาคารจะสามารถสรุปพันธมิตรเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนบริหารสินทรัพย์ (JV AMC) ซึ่งจะช่วยให้สินทรัพย์รอการขาย และหนี้เสียลดลง ส่งผลให้การตั้งสำรองหนี้เสียอยู่ในระดับต่ำได้

ผยง กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ธนาคารกรุงไทยตั้งเป้าลงทุนด้านเทคโนโลยีประมาณ 12,000 ล้านบาท พร้อมรองรับสู่การเงินดิจิทัลทั้งปัจจุบัน และอนาคตในการจัดตั้งธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) กับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เนื่องจาก ADVANC มีความเชี่ยวชาญด้านโมบายเดต้า ทำให้ธนาคารไม่ต้องสำรองวงเงินไว้ลงทุนในเรื่องดังกล่าว

ผยง ศรีวณิช

“วงเงินลงทุนจำนวน 12,000 ล้านบาท เพียงพอสำหรับการลงทุนด้านเทคโนโลยี และการร่วมทุนจัดตั้งธนาคารไร้สาขา เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาใช้เงินลงทุนดังกล่าวไปเพียง 7,000-8,000 ล้านบาท จากวงเงินเป้าหมายทั้งหมดที่ตั้งไว้ 12,000 ล้านบาท”

ธนาคารเตรียมรุกตลาดสินเชื่อออนไลน์ (ดิจิทัลเลนดิ้ง) บนเป๋าตังค์ภายในปีนี้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มอาชีพอิสระและกลุ่มที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน ช่วงเดือนที่ผ่านมาธนาคารปล่อยสินเชื่อออนไลน์ผ่านกรุงไทยเน็กซ์ (NEXT) ได้สูงถึง 5,000 ล้านบาท ทำให้มั่นใจภายในสิ้นปี 66 นี้ ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อดังกล่าวถึง 10,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ธนาคารมีแผนเปิดสาขารูปแบบใหม่ภายใน 1-2 เดือนนี้ ที่ให้บริการในรูปแบบดิจิทัลบนแท็บเล็ตทั้งหมด โดยพนักงานไม่จำเป็นต้องนั่งให้บริการเฉพาะที่หน้าเคาน์เตอร์เท่านั้น ยกเว้นแต่ธุรกรรมถอน-ฝากเงินสด ทำให้ลูกค้าได้รับบริการได้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งเบื้องต้นตั้งเป้าหมายเปิด 20 สาขาในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และเมืองใหญ่ อาทิ ชลบุรี และเชียงใหม่ เป็นต้น

]]>
1427444
กรุงไทยเปิดตัว เป๋าตังเปย์ เน้นเจาะฐานลูกค้ากลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยเริ่มต้นทำงาน https://positioningmag.com/1411523 Tue, 13 Dec 2022 17:10:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1411523 ธนาคารกรุงไทย ร่วมมือกับ อินฟินิธัส เปิดตัวบริการใหม่ เป๋าตังเปย์ โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยเริ่มต้นทำงานเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวบัตร Play โดยคาดมีผู้ใช้งานกว่า 5 ล้านรายได้ภายในปี 2566

ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในความร่วมมือดังกล่าวนั้นต้องการพัฒนา เป๋าตังเปย์ (Paotang Pay) ให้เป็นซูเปอร์วอลเล็ตของคนไทย และยังเป็นการเพิ่มศักยภาพดิจิทัลเพย์เมนต์ให้กับแอปฯ เป๋าตัง ให้ครบวงจรมากขึ้น รวมถึงยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจดิจิทัล

นอกจากตัววอลเล็ตแล้วทางธนาคารกรุงไทยยังได้เปิดตัวบัตร Play (Paotang Pay Play) ซึ่งร่วมมือกับทาง Visa โดยสามารถที่จะสมัครบัตรดังกล่าวผ่านแอปฯ เป๋าตังเปย์ ได้ทันที และยังสามารถนำไปใช้บริการอื่นๆ นอกจาการใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าของ MRT ทั้งสายสีม่วงและสีน้ำเงิน รถไฟฟ้า SRT สายสีแดง รถเมล์ รวมถึงการจ่ายค่าทางด่วนได้

อย่างไรก็ดีสำหรับบัตร Play นั้นมีค่าใช้จ่ายเพียง 50 บาทในการออกบัตรและส่งบัตรไปตามที่อยู่ของผู้ใช้งาน แต่จะไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีสำหรับการใช้บัตรแต่อย่างใด

สำหรับกลุ่มเป้าหมายของธนาคารกรุงไทยต้องการที่จะเจาะนั่นก็คือผู้ใช้งานกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยเริ่มต้นทำงานที่มีเพียง 30% บนแอปฯ เป๋าตังเป็นหลัก

ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ล่าสุด ณ เดือนกันยายนที่ผ่านมา การใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
หรือ e-Payment เพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 400 รายการต่อคนต่อปี จากปี 2564 ที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 312 รายการต่อคนต่อปี โดยช่องทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Internet & Mobile Banking ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้งานกว่า 133 ล้านบัญชี มีปริมาณธุรกรรม 2,139 ล้านรายการ เพิ่มขึ้น 48.6% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยยังชี้ว่ามีธุรกรรมที่เติบโตสูงคือ บริการชำระเงินผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ซึ่งเป็นการชำระเงินของคนรุ่นใหม่ มีไลฟ์สไตล์ชอบความสะดวก รวดเร็ว ทำธุรกรรมได้แบบเรียลไทม์บนมือถือ โดยมีจำนวนผู้ใช้งานถึง 122.6 ล้านบัญชี ปริมาณธุรกรรม 302 ล้านรายการต่อเดือน เพิ่มขึ้น 38.5% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในปัจจุบันในตลาดกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีผู้เล่นรายใหญ่สุดนั่นก็คือ TrueMoney Wallet โดยมีผู้ใช้งานมากถึง 24 ล้านรายในปี 2564 ที่ผ่านมา รองลงมาคือ Rabbit LINE Pay นั้นมีผู้ใช้งาน 9.5 ล้านรายในปี 2564

โดยทางธนาคารกรุงไทยคาดว่าจะมีผู้ใช้งานเป๋าตังเปย์กว่า 5 ล้านราย ภายในสิ้นปี 2566 

]]>
1411523
KTC หั่นเป้ารูดบัตรเหลือ 2 เเสนล้าน ปรับมูฟครึ่งปีหลัง รออัดโปร-แลกพอยต์ คุมเข้มบัตรใหม่ https://positioningmag.com/1340915 Thu, 08 Jul 2021 08:30:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1340915 KTC มองโควิดลากยาวฉุดการใช้จ่าย หวังฟื้นตัวได้ช่วงปลายปี หั่นเป้าใช้จ่ายเหลือ 5% หรือราว 2 แสนล้านบาท จากเป้าหมายเดิม 8% หรือ 2.2 แสนล้านบาท เลือกทำการตลาดเฉพาะบุคคลให้ตรงจุดมุ่ง Partnership Marketing ช่วยคู่ค้าอัดโปรฯ แลกพอยต์ กระตุ้นยอดขาย เน้นวงเงินยอดใช้จ่ายไม่สูงแต่ต่อเนื่อง

พิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจบัตรเครดิตบริษัท บัตรกรุงไทย จํากัด (มหาชน) หรือ KTC ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ยอดรวมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต (Spending) อยู่ที่ 94,000 ล้านบาท เติบโต 4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เเต่ต่ำกว่าที่คาดไว้

ดังนั้น บริษัทจึงปรับลดเป้ายอดใช้จ่ายบัตรเครดิตทั้งปี 2564 เหลือเติบโตที่ 5% หรือราว 200,000 ล้านบาท จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 8% หรือราว 2.2 แสนล้านบาท

ที่ผ่านมา เริ่มเห็นการเติบโตในเดือนเม.. เเต่พอเข้าเดือนพ.. ก็เริ่มกระตุกอีกครั้ง เมื่อต้องเจอโรคระบาดระลอกที่ 3 ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงเดือนมิ.. จากเดิมที่เคยคาดหวังว่าตัวเลขจะเป็นบวกไปเรื่อยๆ เเต่ตอนนี้กลับติดลบ

ต้องยอมรับว่าปัจจัยเหล่านี้ จะกระทบต่อเป้าหมายในช่วงปลายปีของเรา การเจอสถานการณ์เช่นนี้ คงทำให้การหาสมาชิกบัตรใหม่ทำได้ยากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันฐานสมาชิกบัตรเครดิต KTC มีจำนวน 2.5  ล้านใบ สมาชิกบัตรฯ ใหม่ตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 95,000 ใบ จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปี 230,000 ใบ

พิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – ธุรกิจบัตรเครดิตบริษัท บัตรกรุงไทย จํากัด (มหาชน)

ปกติเเล้ว ช่องทางขยายฐานสมาชิกที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ ผ่านสาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ และหน่วยงาน Outsource Sales พนักงานเซลส์จากภายนอก เเต่ในยุคโควิด-19 ต้องเว้นระยะห่าง การไปพบปะลูกค้าทำได้ยากขึ้น รวมไปถึงคุณภาพการเงินของลูกค้าก็ลดลงด้วย

ทั้งนี้ อัตราการอนุมัติบัตรเครดิตใหม่ของ KTC อยู่ที่ 36% ลดลงจากเดิมที่เคยอยู่กว่า 40% โดยยังคงเจาะกลุ่มเป้าหมายหลักคือกลุ่มที่มีรายได้ 30,000 บาทขึ้นไป สัดส่วนสมาชิกอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร 55% และจังหวัดอื่นๆ 45%

เราเชื่อว่าถ้าผ่านพ้นวิกฤตช่วงนี้ไป ยอดบัตรใหม่น่าจะกระเตื้องขึ้น เเต่คิดว่าในช่วงไตรมาส 3 ยังคงไม่ฟื้นตัวได้เร็ว อาจจะค่อยๆ ขยับขึ้นไปรอโอกาสสุดท้ายในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งปกติก็เป็นไฮซีซั่นที่การใช้จ่ายกลับมาอยู่เเล้ว

รูดซื้อ ‘ประกัน’ มากสุด ช้อปออนไลน์-เเต่งบ้านพุ่ง 

สำหรับหมวดหมู่ที่ผู้ถือบัตร KTC นิยมใช้จ่ายมากที่สุด คือหมวดประกัน ซึ่งครองอันดับ 1 มาหลายปีเเล้ว ตามมาด้วยอันดับ 2 อย่างการเติมน้ำมัน

ส่วนอันดับ 3 โตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญคือวาไรตี้สโตร์มาร์เก็ตเพลลสเช่น เช่น Shopee และ Lazada จากเทรนด์การช้อปปิ้งออนไลน์ อันดับ 4 คือ ซูเปอร์มาร์เก็ต เพราะคนซื้อของกักตุนที่บ้านเยอะขึ้น เเละอันดับ 5 คือสุขภาพโรงพยาบาล

ส่วนหมวดเฟอร์นิเจอร์ของตกเเต่งบ้านก็มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ จากการที่หลายคนต้องทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) ปรับเปลี่ยนชีวิตมาอยู่บ้านมากขึ้น ขณะที่หมวดการใช้จ่ายที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็คือ การท่องเที่ยวเเละแฟชั่น

ปัจจุบันวงเงินใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 6,000 บาทต่อราย ลดลงจากราว 7,000 บาท ส่วนหนึ่งมาจากการใช้บัตรเครดิตเพื่อซื้อสินค้าเล็กๆน้อยๆ ตามร้านสะดวกซื้อและช้อปปิ้งออนไลน์ได้มากขึ้น ต่างจากเดิมที่มักจะใช้ซื้อสินค้าใหญ่ๆ

รอจังหวะอัดโปรฯ-แลกพอยต์ กระตุ้นปลายปี 

สำหรับกลยุทธ์การตลาดธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งปีหลังของปี 2564 นั้น จะมีการเปลี่ยนเเปลงไปตามสถานการณ์ โดยเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคล เเละยึดหลัก ‘Partnership Marketing’ สร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรให้หลากหลายมากขึ้น

เเต่เดิมเราคิดว่าในไตรมาสที่ 3 จะเริ่มบุกทำการตลาดเเบบเต็มสูบมากขึ้น เเต่พอเจอสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ทีมต้องกลับมาคิดทบทวนใหม่ โดยทุกวันนี้โปรโมชันของเรามีทำไว้รออยู่เเล้ว เพียงเเต่ว่าเมื่อคนยังไม่กล้าออกมา เราก็คงไม่กล้าที่จะทุ่มโปรโมตมากๆ

การตลาดช่วงนี้จึงจะต้องเน้นไปที่การทำความเข้าใจกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น เมื่อการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ยังจำเป็น เเละการสั่งสินค้าออนไลน์กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตไปเเล้ว

ในช่วงที่คนมีความกังวลมากมาย เเบรนด์ต้องสื่อสารให้ตรงกับเขามากกว่าจะไปพูดสารพัดเรื่อง พยายามให้ข่าวสารที่มีประโยชน์เเละไม่รบกวนลูกค้ามาก

มุ่งเน้นกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้สมาชิกเลือกใช้บัตรเครดิตของ KTC เป็นอันดับแรก หรือตั้งเป็น Default Card ที่ใช้เป็นประจำในทุกวัน โดยร่วมกับพันธมิตรมอบสิทธิประโยชน์และใช้จุดแข็งด้านคะแนนสะสมเน้นวงเงินยอดใช้จ่ายไม่สูงแต่ต่อเนื่อง

ทีมการตลาดทำงานใกล้ชิดกับพาร์ตเนอร์ เมื่อพาร์ตเนอร์ต้องการความช่วยเหลือ เราก็ช่วยได้ เช่น ธุรกิจโรงเเรมในกรุงเทพฯ ที่หันมาจับลูกค้าคนไทยเเละขายอาหารมากกว่าห้องพัก ทาง KTC ก็โปรโมตโปรโมชันเเพ็กเกจเมนูอาหารสำหรับคน Work from Home ให้ ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

พร้อมกันนี้ ยังมี KTC U SHOP ซึ่งเป็นบริการขายสินค้าออนไลน์ที่ใช้เป็นช่องทางในการสนับสนุนพันธมิตรและผู้ประกอบการที่สนใจนำเสนอสินค้าให้แก่สมาชิกบัตรฯ ซึ่งสมาชิกสามารถชำระด้วยคะแนน KTC FOREVER หรือบัตรเครดิตเคทีซีได้

ขณะเดียวกัน บริษัทได้พัฒนาศักยภาพของแอปฯ KTC Mobile ให้มีบริการที่สะดวก เน้นใช้งานง่าย และรวดเร็วขึ้น เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของสมาชิกที่คุ้นชินกับการทำรายการแบบออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันมียอดสมาชิกโหลดใช้งาน KTC Mobile แล้ว 1.8 ล้านราย มียอดใช้ทำธุรกรรมสม่ำเสมอ (Active) คิดเป็นประมาณ 75% จากฐานลูกค้าทั้งหมด 2.5 ล้านราย

ในไตรมาส 3 นี้ เราจะนำเสนอน้องกะทิเเชทบอทตัวใหม่ที่จะมาพูดคุยสื่อสารเเละช่วยเหลือลูกค้าด้วย” 

NPL ยังคุมได้ เข้มอนุมัติบัตรใหม่ 

จากกรณีภาครัฐ กำลังจะมีนโยบายปรับเพดานอัตราดอกเบี้ยในกลุ่มสินเชื่อรายย่อยอีกครั้งนั้น KTC คาดว่าไม่ได้รับผลกระทบ เพราะดอกเบี้ยบัตรฯ ได้ถูกปรับลดลงมาที่ระดับ 16% แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ต้องรอความชัดเจนทางธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.)

ด้านคุณภาพสินเชื่อ หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) นั้น ผู้บริหาร KTC มองว่า ณ ขณะนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ควบคุมได้แม้ว่าแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจ โดยในไตรมาส 1 NPL อยู่ที่ 1.4% และขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.5% ในเดือนพ.. ซึ่งอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับภาพรวมอุตสาหกรรม ที่เดือนเม.. NPL อยู่ที่ 2.3%

การที่ NPL ของเราอยู่ในระดับต่ำได้ ส่วนหนึ่งมาจากการคัดกรองลูกค้าใหม่ที่เข้มงวดและอนุมัติยากขึ้น โดยจะดูที่ความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลัก

 

 

]]>
1340915
โอกาสตลาด ‘ยานยนต์ไฟฟ้า’ ในไทย อีก 7 ปีแตะ 1 ล้านคัน มีเเววต่อยอดเป็นฐานผลิต ‘รถไฮบริด’ https://positioningmag.com/1337621 Thu, 17 Jun 2021 11:40:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1337621 เมกะเทรนด์การเปลี่ยนแปลง Krungthai COMPASS ประเมินอุตสาหกรรม ‘ยานยนต์ไฟฟ้าในไทย คาดปี 2028 มียอดผู้ใช้เเตะ 1 ล้านคัน ในจำนวนนี้จะเป็น ‘รถไฮบริด’ ถึง 93% เเนะรัฐออกมาตรการช่วยดัน มีโอกาสต่อยอดเป็นฐานผลิต’ ของภูมิภาค 

ช่วงวิกฤตโรคระบาด เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจนเข้าสู่ภาวะถดถอยเเต่ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กลับเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยยอดขายสูงถึง 3.2 ล้านคันทั่วโลก หรือเพิ่มขึ้นกว่า 43%

ในไทยก็ได้รับความนิยมไม่น้อย โดยมียอดจดทะเบียนสูงถึง 3 หมื่นคัน ขยายตัวถึง 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สวนทางยอดขายรถยนต์โดยรวมที่ลดลง 21%

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย กล่าวถึงปัจจัยที่สนับสนุน EV ว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากการตื่นตัวของภาครัฐในต่างประเทศเพื่อแก้ไขประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมตามข้อตกลงปารีส โดยเฉพาะนโยบายยกเลิกการขายยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ควบคู่ไปกับการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรม

ประกอบกับความเคลื่อไหวของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่ปรับตัวหันไปทำตลาดยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นตามความสนใจของผู้บริโภคที่มากขึ้นกว่าแต่ก่อน

เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้จำนวนยานยนต์ไฟฟ้าสะสมทั่วโลกมีโอกาสแตะระดับ 25-45 ล้านคันได้ภายในปี 2030 จาก 10 ล้านคันในปัจจุบัน”  

ตลาดไทยยังเล็ก เเต่มีเเววต่อยอด ‘ฐานผลิตไฮบริด’ 

สำหรับประเทศไทยนั้น มียอดใช้ยานยนต์ไฟฟ้าสะสมในประเทศ ณ สิ้นปี 2020 อยู่ที่เพียง 1.9 แสนคัน หรือคิดเป็นเพียง 1% ของยานยนต์ทั้งหมด ถือว่ายังมีขนาดเล็กและอยู่ในช่วงเริ่มต้นเมื่อเทียบกับประเทศชั้นนำอื่นๆ

ดร.มานะ นิมิตรวานิช ผู้อำนวยการฝ่าย ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS มองว่าข้อได้เปรียบของไทย คือการเป็นฐานผลิตยานยนต์เครื่องยนต์ ICE แบบดั้งเดิมมาอย่างยาวนาน ประกอบกับกลยุทธ์การทำตลาดของผู้ผลิตยานยนต์ OEM ในประเทศที่ยังคงเน้นทำตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดตามบริษัทแม่ในญี่ปุ่น

ยอดใช้ยานยนต์ไฟฟ้าสะสมในไทยมีโอกาสแตะ 1 ล้านคันได้ในปี 2028 หรือขยายตัวเฉลี่ยราว 24% ต่อปี โดยยอดใช้ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดที่คาดว่าจะมีสัดส่วนสูงถึง 93% ของยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด

โดยมาตรการภาครัฐที่สนับสนุนทั้งผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค จะเป็นส่วนสำคัญให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย มีโอกาสต่อยอดเป็นฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดที่แข็งแกร่งของภูมิภาคในอนาคตต่อไป

ผู้ประกอบการกลุ่มไหน ได้รับผลประโยชน์-ผลกระทบ ? 

การเป็นฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดของไทย นอกจากจะช่วยรักษาตลาดผู้ผลิตในกลุ่มเครื่องยนต์ ICE ในประเทศเเล้ว รวมถึงห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องในระยะปานกลางแล้ว ยังส่งผลดีต่อ ผู้ผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้า ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ผลิตวัสดุน้ำหนักเบาและแข็งแรงอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม พิมฉัตร เอกฉันท์ นักวิเคราะห์ของ Krungthai COMPASS ระบุว่า ในระยะยาว การที่สัดส่วนยานยนต์ปราศจากการปล่อยมลพิษ หรือ Zero Emission Vehicle : ZEV เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยตามกระแสเมกะเทรนด์ที่กำลังเดินหน้าไปสู่เศรษฐกิจพลังงานสะอาด (Green Economy) นั้น จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนในกลุ่ม Powertrain และ Engine ในไทย ซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงถึงเกือบ 3 แสนล้านบาท หรือประมาณ 20% ของรายได้ของผู้ผลิตชิ้นส่วนในตลาดทั้งหมด

โดยสรุปเเล้ว ในระยะสั้นปานกลาง อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยแบบดั้งเดิม จะถูกปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างเพื่อรองรับฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดมากขึ้น ทำให้ดีมานด์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มยานยนต์เครื่องยนต์ ทั้ง ICE แบบเดิม ควบคู่ไปกับระบบไฟฟ้าสมัยใหม่ ยังเป็นที่ต้องการทั้งในและต่างประเทศ

อย่างไรก็ดี กระแสเมกะเทรนด์ที่ตื่นตัวต่อประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม การปรับตัวของผู้ผลิตที่เน้นไปหายานยนต์แบบปราศจากมลพิษ (ZEV) มากขึ้น รวมทั้งการเปิดรับจากผู้บริโภคที่มากขึ้นกว่าแต่ก่อน

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าแบบ ZEV จะทยอยเข้ามามีบทบาทในไทยมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งก็จะทำให้ในระยะยาวที่สัดส่วนยานยนต์ ZEV เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย ย่อมจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก โดยเฉพาะในกลุ่ม Powertrain และ Engine มากที่สุด

 

 

 

]]>
1337621
ทิศทาง “กรุงไทย” หลังพ้นรัฐวิสาหกิจ วางจุดยืน “แบงก์พาณิชย์ของรัฐ” https://positioningmag.com/1309417 Mon, 07 Dec 2020 12:03:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1309417 กรุงไทย (KTB) กำลังเดินสู่ก้าวใหม่ หลังคณะกรรมการกฤษฎีกา ตีความสถานะของธนาคารว่าพ้นจากความเป็นรัฐวิสาหกิจ ในช่วงเวลาเดียวกัน ต้องเผชิญกับความท้าทายของธุรกิจเเบงก์” ในยุคดิจิทัล ฝ่าฟันวิกฤตเศรษฐกิจจากพิษ COVID-19 

การประกาศจะเป็น “เเบงก์ของคนต่างจังหวัด” เข้าถึงชุมชนในไทย เเละรองรับมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ของรัฐ ก็เป็นอีกหนึ่ง “งานหิน” ที่ต้องพัฒนาต่อไปเช่นกัน วันนี้เรามาฟังทิศทางต่อไปของกรุงไทยชัดๆ จากเอ็มดี KTB กัน 

ชูจุดเด่น “เเบงก์พาณิชย์ของรัฐ” 

ประเด็นการพ้นสภาพรัฐวิสาหกิจผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ยืนยันว่า การเปลี่ยนเเปลงดังกล่าวเป็นเป็นการเปลี่ยนที่รูปแบบ เเต่ไม่ได้เป็นสารสำคัญ 

เรื่องนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของกรุงไทยเเต่อย่างใด เพราะเราวางตัวเป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐมาโดยตลอด เเละจะไม่มีการปลดพนักงานออก

โดยผยงอธิบายเพิ่มว่า เเม้ธนาคารกรุงไทยจะพ้นจากการเป็นรัฐวิสาหกิจเเล้ว ตามการตีความด้วยสถานะ เเต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในภาคปฏิบัติยังคงเป็นธนาคารพาณิชย์ของกระทรวงการคลังของรัฐบาล ที่มีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) และกระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่กว่า 55% มานานกว่า 30 ปีเเล้ว ซึ่งทุกอย่างก็ยังอยู่เหมือนเดิม 

ด้านเงินฝากของหน่วยงานรัฐรัฐวิสาหกิจนั้น ทางกระทรวงการคลังได้เสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้หน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจฝากเงินกับธนาคารกรุงไทยต่อไปได้ ส่วนผลกระทบด้านอื่นๆ ก็ทยอยความชัดเจนออกมาต่อเนื่อง

ผู้บริหารกรุงไทยเน้นว่าการปฏิบัติงานต่างๆ เหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม

ตอนนี้เราค้นพบตัวเอง หาทางเดินที่เหมาะสม โดยการเป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐเเห่งเดียวของประเทศไทยที่วางสถานะให้เเข่งขันกับเเบงก์ใหญ่เจ้าอื่นๆ ได้ อยากให้ความมั่นใจเเละไม่ต้องกังวล

-ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย

ส่วนกระเเสข่าวที่ว่าจะเป็นการฉวยโอกาสเพื่อเอาพนักงานออกนั้นไม่ใช่เรื่องจริง

โดยการพ้นจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ ในด้านสวัสดิการพนักงาน มีเพียงเรื่องเดียวที่จะเปลี่ยนคือ เรื่องการรักษาพยาบาล เนื่องจากพนักงานรัฐวิสาหกิจนั้นจะอยู่ภายใต้ พ... งบประมาณฯ ไม่ต้องเข้า พ... ประกันสังคมเหมือนเอกชน

เเต่เมื่อพ้นสภาพมาเเล้ว ผยงกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะเเต่เดิมกรุงไทยก็ไม่ได้ใช้เงินจากงบประมาณแผ่นดินในการดำเนินงาน ดังนั้นธนาคารจะแก้ไขระเบียบภายในให้สามารถปรับการรักษาพยาบาลของพนักงานให้คงสิทธิ์เช่นเดิมได้ โดยได้หารือกับสหภาพเเรงงานถึงการเปลี่ยนเเปลงดังกล่าวเเล้ว เเละเป็นไปด้วยดี

เราจะยืนอยู่บนตัวตนของเรา เป็นพันธมิตรกับรัฐบาล จับมือกับพาร์ตเนอร์อื่นๆ ที่เข้าใจเราเเละเราเข้าใจเขา ทุ่มลงทุนเทคโนโลยี เเละศึกษาทางเลือกอยู่เสมอ

Photo : Shutterstock

เปลี่ยนบริการให้เป็นเซลส์ 

ช่วงที่ผ่านมา กรุงไทยเริ่มปรับตัวครั้งใหญ่ ด้วยการขยับไปสู่การเป็น Personal Life Banking เข้าไปอยู่ในการใช้ชีวิตของผู้คน ผ่านการยึดโยงทางดิจิทัล เป็น One Stop Service เเละเป็น Omni-Channel 

เราจะเเบงก์ของคนต่างจังหวัด ใกล้ชิดชุมชน เเละจะต่อยอดให้เข้าถึงคนไทยให้ได้มากที่สุดต่อไป

ส่วนความท้าทายในการขับเคลื่อนองค์กรที่อยู่มานานนั้น ผยงตอบว่า คือการ ReskillUpskill เพิ่มทักษะยุคใหม่ให้พนักงาน รวมไปถึงการใช้ Data ที่ธนาคารมีอยู่มหาศาลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

โดยต่อไป กรุงไทย มีวิสัยทัศน์ธุรกิจ 5 เเนวทางหลักๆ ได้เเก่

  • ประคองธุรกิจหลัก ให้ก้าวผ่านช่วงวิกฤตโลก
  • สร้างธุรกิจใหม่ ที่ไม่ใช่เเค่ธุรกรรมธนาคารเเต่ขยายในน่านน้ำอื่นๆ
  • ใช้กระดาษน้อยลง ประหยัดพลังงาน ดำเนินงานสาขาอย่างเป็นมิตรกับสิ่งเเวดล้อม
  • หาพันธมิตรใหม่ๆ ร่วมมือกันสร้างนวัตกรรม เเละลงทุนในเทคโนโลยี
  • ยึดถือสโลเเกนกรุงไทยเคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน  ช่วยเหลือชุมชน SME เพิ่มทักษะให้พนักงาน

เรามีการเปลี่ยนบริการให้เป็นเซลส์ (การขาย) เช่น การเพิ่มบริการคอลเซ็นเตอร์ ด้านการทวงหนี้ ติดตามหนี้ ประเมินหลักทรัพย์ต่างๆ ไปให้บริการกับบริษัทอื่นเพื่อเป็นรายได้อีกช่องทางหนึ่ง

นอกจากนี้ เเต่เดิมกรุงไทยตั้งการใช้งบฯ การลงทุนไว้ที่ 1.4 หมื่นล้าน เเต่ปีนี้ใช้ไปได้เเค่ 7-8 พันล้านจากสถานการณ์โรคระบาด จึงคาดได้ว่าปีหน้าจะมีการทุ่มลงทุนมากขึ้นอย่างเเน่นอน โดยเฉพาะในส่วนดิจิทัล เพื่อรองรับมาตรการต่างๆ ของรัฐ อย่าง เเอปฯ เป๋าตัง เว็บไซต์ลงทะเบียนคนละครึ่ง เที่ยวด้วยกัน ฯลฯ เเละขยายฐานลูกค้าผู้ใช้เเอปพลิเคชัน Krungthai NEXT จากผู้ใช้ตอนนี้ 9.95 ล้านรายให้ได้ 12 ล้านรายในปีหน้า

ธนาคารกรุงไทย ได้แต่งตั้งให้ไปรษณีย์ไทยเป็น Banking Agent อย่างเป็นทางการ เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการทางการเงินให้สะดวกยิ่งขึ้น

ปี 2564 : ประคองธุรกิจ ดูแลสินเชื่อเก่าให้ดีและรอด

ธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบหนักจาก COVID-19 ทั้งด้านผลกำไรที่ลดลงเเละราคาหุ้นที่ตกต่ำ เเม้จะผ่านช่วงวิ
กฤตไปเเล้ว เเต่ปีหน้ายังมีความท้าทายสูง จากความเสี่ยงหนี้เสียเเละคนตกงาน

ไม่ใช่ปีเเห่งกำไร หรือปีเเห่งการเติบโต เเต่เป็นปีเเห่งการรักษาความเเสถียร เน้นดูแลสินเชื่อเก่าให้ดีและรอด ผยง ศรีวณิช กล่าวถึงทิศทางธุรกิจในปี 2564

โดยมองว่า แผนดำเนินงานในปีหน้าจะยังไม่เน้นการเติบโตของสินเชื่อใหม่มากนัก ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 2-3% ใกล้เคียงกับการขยายตัวของจีดีพีไทย

ผยง คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะหดตัวในกรอบ -6% ถึง -7 % ขณะที่ปี 2564 เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน จะขยายตัวได้ในกรอบ 2.0% ถึง 4.0%

เเม้เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวบ้างเเล้ว เเต่ประเทศไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน โดยเฉพาะการพึ่งพาการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนกว่า 10% ของจีดีพี เเต่ยังฟื้นตัวจำกัด ยังไม่สามารถว่าจะมีนักท่องเที่ยวกลับมาได้เท่าใดเเละเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาเเละกระจายจายวัคซีน

ดังนั้น ธนาคารจึงต้องเน้นไปที่การประคองเศรษฐกิจ นำเสนอบริการที่เเยกตามกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ระวังตลาด
เเรงงานที่ยังเปราบาง อัตราว่างงานสูง ระวังความเสี่ยงจากหนี้เสีย (NPL) ซึ่งตอนนี้ของ KTB อยู่ที่ราว 4% นิดๆรวมไปถึงความเสี่ยงจากหนี้ครัวเรือนด้วย

ประเทศไทยจะลดหนี้ครัวเรือนไม่ได้ หากไม่เพิ่มรายได้ให้ประชาชน…”

ช่วงที่ผ่านมา ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบขาก COVID-19 ที่เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือของกรุงไทย คิดเป็น 18% ของสินเชื่อรวมที่ระดับ 1.8 ล้านล้านบาท ถือว่าไม่มากนัก เมื่อเทียบกับธนาคารอื่นจะอยู่ที่ราว 30-40% ปัจจัยหลักๆ มาจากลูกค้าเป็นกลุ่มข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ที่ไม่ได้รับผลกระทบเรื่องรายได้ ส่วนสินเชื่อรายย่อยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เชื่อมโยงไปยังซัพพลายเชนธุรกิจอื่นๆ มากนัก

ภาครัฐยังเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีหน้า ต้องกระตุ้นกำลังซื้อภาคครัวเรือนให้ความต่อเนื่อง ทั้งโครงการคนละครึ่ง เที่ยวด้วยกัน ช้อปดีมีคืน

ผยง บอกอีกว่า การเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ จะเป็นแรงสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงยกระดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในระยะยาว

@ลุยต่อคนละครึ่งคาดเเห่ลงเฟส 2 ถึง 10 ล้านคน

หนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ ณ ขณะนี้ คงหนีไม่พ้น โครงการคนละครึ่ง ที่ส่งเสริมให้พ่อค้าเเม่ค้ารายย่อยมีรายได้มากขึ้น โดยภาครัฐจะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 3,000 บาท ตลอดระยะเวลาโครงการ ภายใต้วงเงินอุดหนุน 30,000 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 23 ..-31 .. (เฟสเเรก)

ล่าสุดเฟส 2” จะเริ่มให้ใช้สิทธิในวันที่ 1 .. – 31 มี.. 2564 ขยายวงเงิน 3,500 บาทต่อคน และเพิ่มวงเงินให้แก่ผู้ได้รับสิทธิในเฟสแรกอีก 500 บาทต่อคน เปิดให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ตั้งแต่วันที่ 16 ..นี้ เป็นต้นไป

เรากำลังเร่งฝ่ายไอทีให้ตรวจสอบเสถียรภาพ ไม่ให้เกิดปัญหาคอขวด แม้ว่าจะเปิดรับลงทะเบียนเพียง 5 ล้านคน แต่เชื่อว่าจะมีผู้สนใจมาลงทะเบียนสูงถึง 10 ล้านคน

โดยมีการปรับปรุงระบบการลงทะเบียนหน้าเว็บไซต์ ให้สามารถรองรับผู้ใช้งานได้มากขึ้นจาก 200,000 คน ต่อการเข้าใช้งาน 1 ครั้ง เป็น 500,000-1,000,000 คน ต่อการใช้งานในแต่ละครั้ง พร้อมประสานกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในการเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วของระบบการส่งข้อความยืนยัน โอทีพี (OTP) ผ่าน SMS

ส่วนผู้เข้าร่วมโครงการในเฟสเเรก แล้วต้องการต่อสิทธิ์อัตโนมัติรัฐบาลจะมีการเพิ่มปุ่มหรือส่งข้อความให้ผู้ลงทะเบียนเฟส 1 ยืนยันว่าจะเข้าร่วมมาตรการต่อในเฟส 2 หรือไม่ ขณะที่ผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์จากโครงการคนละครึ่ง เฟสเเรก เนื่องจากไม่ได้ใช้จ่ายภายใต้โครงการภายในวันที่กำหนดไว้ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเฟส 2 ได้ 

สำหรับโครงการคนละครึ่ง วันที่ 2 ธันวาคม 2563 มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 8.9 แสนร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 9.5 ล้านคน มียอดการใช้จ่ายสะสม 33,754 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 17,236 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 16,518 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายเฉลี่ย 181 บาทต่อครั้ง 

ส่วนจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา นครศรีธรรมราช ชลบุรี และเชียงใหม่ โดยผู้ประกอบการร้านค้ายังคงสมัครเข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่อง

 

 

 

]]>
1309417
กรุงไทย ทุ่ม 3 พันล้าน ลุยศึกแอปฯ ดึง “ณเดชน์” พลิกโฉม สู่ “กรุงไทย NEXT” เติมไลฟ์สไตล์เข้าหา “Gen Y” https://positioningmag.com/1194235 Wed, 24 Oct 2018 23:00:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1194235                                                                                    เรื่อง : Thanatkit

ถึงแม้ธนาคารกรุงไทยจะเปิดตัว “KTB Netbank” Mobile Banking มาตั้งแต่ปี 2010 แต่ที่ผ่านมาการพัฒนากลับค่อยเป็นค่อยไป อาจด้วยความเป็นธนาคารของรัฐ ทำให้การขยับตัวแต่ละครั้งต้องมีขั้นมีตอน จนลูกค้าหลายคนออกมาบ่นว่าใช้งานยากและไม่สะดวกเท่ากับที่อื่น ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้ธนาคารค่ายอื่นๆ ยกเครื่องนำหน้าไปก่อน 2-3 รอบแล้ว

แต่เมื่อพฤติกรรมของคนไทยให้ความสำคัญกับช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพราะคนไทย 69 ล้านคน มีโทรศัพท์มือถือ 56 ล้านคน สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 57 ล้านคน และใช้เวลากับอินเทอร์เน็ต 10 ชั่วโมต่อวัน

ในขณะที่ภาพรวมของ Mobile Banking ทั้งประเทศมีทั้งหมด 37.9 ล้านบัญชีในเดือนมิถุนายน จาก 31.6 ล้านบัญชี ณ สิ้นปี 2018 หรือคิดเป็นจำนวนประชากร 31 ล้านคน หรือ 56% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ แสดงว่า ยังมีคนอีกมากที่เข้าไม่ถึงและเป็นโอกาสของกรุงไทย ที่มีข้อมูลการใช้งาน Netbank เพิ่มขึ้น 57% ส่วน ATM ก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน 1% สวนทางกับจำนวนธุรกรรมในสาขาที่ลดลง 8%

กรุงไทยได้วางแผนยกเครื่อง KTB Netbank มาตั้งแต่ปลายปี โดยทุ่มเม็ดเงินไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบ 8 ปี เพื่อเปิดตัวแอปใหม่ที่ใช้ชื่อว่า “กรุงไทย NEXT” เริ่มโหลดให้ใช้งานได้ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2018 ที่ผ่านมา

แอปใหม่นี้ถูกปรับดีไซน์ใหม่หมดจด Minimal Design สไตล์คลีนๆ โดยชู 3 เรื่องหลัก

1.Product ใช้งานง่ายขึ้น ไม่ซับซ้อน มีความปลอดภัยสูง โดยใช้ทั้ง AI และ Machine Learning มาช่วย

2.Platform ใหม่ เป็นแบบ Microservices ส่งผลให้การทำงานรวดเร็วและมีเสถียรภาพขึ้น สามารถรองรับธุรกรรมได้ 25,000 รายการต่อวินาที หรือ 1 นาทีรองรับลูกค้าได้ 100,000 ราย โดยเคลมว่ามากที่สุดในทุกธนาคาร เวอร์ชั่นเดิมนั้นรอบรับได้เพียง 1,000 รายการต่อวินาทีเท่านั้น

3.การจ่ายค่าบริการที่ครอบคลุมที่สุดกว่า 1,000 บิล

การยกเครื่องในครั้งนี้กรุงไทยได้ตัดสินใจดึงพระเอกช่อง 3 “ณเดชน์ คูกิมิยะ” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ด้วยหวังใช้ชื่อเสียงพระเอกหนุ่มซึ่งเป็นที่รู้จักดีของคนทั่วไป เพื่อขยายไปยังลูกค้ากลุ่มแมส นอกเหนือจากกลุ่มข้าราชการที่ถือเป็นฐานลูกค้าหลักอยู่แล้ว

จักรกฤษณ์ กลิ่นสมิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายนวัตกรรมและวิจัยทางเทคโนโลยี ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า

“กรุงไทย  NEXT ถูกออกแบบมาให้เป็นไลฟ์สไตล์แอป ต่างจากเวอร์ชั่นเก่าที่เป็นแบงกิ้งเพียวๆ เนื่องจากกรุงไทยต้องการเจาะกลุ่ม Gen Y ที่วันนี้มีสัดส่วนเพียง 30% ในขณะที่ฐานลูกค้าหลักเป็นกลุ่ม Gen X ซึ่ง Gen Y มีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากจะพัฒนาเป็นฐานลูกค้าหลักในอนาคต โดยช่วงแรกนี้ตัวแอปจะโชว์ฟีเจอร์โอนเติมจ่ายก่อน แต่หลังจากนี้จะเติมความเป็นไลฟ์ไสตล์มากขึ้น พร้อมกับวางแผนเพิ่ม Killer Feature ออกมาทุกไตรมาส”

เร็วๆ นี้ได้เตรียมออกแอปกรุงไทย NEXT ที่สามารถรองรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์รุ่นเก่าๆ เนื่องจากเห็นว่ายังมีผู้ใช้งานบางส่วนหลักแสนราย ที่ใช้มือถือที่ไม่สามารถรองรับเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดได้

ปัจจุบันธนาคารกรุงไทยมีฐานลูกค้ากว่า 30 ล้านบัญชีทั่วประเทศ มีกลุ่มผู้ใช้งาน Mobile Banking มากกว่า 5 ล้านราย active 2.9 ล้านราย จาก KTB Netbank ขณะนี้ได้มีฐานผู้ใช้ประมาณ 1.8 ล้านรายที่ย้ายไปกรุงไทย NEXT

คาดว่าสิ้นปีนี้จะเติมเป็น 3 ล้านราย ส่วนปี 2019 ตั้งเป้ามีผู้ใช้งานกรุงไทย NEXT ทั้งหมด 10 ล้านราย active ประมาณ 65-70% ทั้งนี้หากย้ายมาหมดแล้วก็จะมีการปิดแอปตัวเดิมไป

การเปิดตัว “กรุงไทย NEXT” เป็นความพยายามของกรุงไทยในการเป็น Invisible Banking อย่างเต็มตัว โดยวางโพสิชั่นของกรุงไทยเป็น “ธุรกรรมในอากาศ” ติดตัวและเคลื่อนที่ไปกับลูกค้าทุกที่ เคียงข้างผู้บริโภคในการทำธุรกรรมทุกที่ทุกเวลา

]]>
1194235