แม้ว่าในช่วงแรกจะมีผู้คนให้ความสนใจและระดมทุนเป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันตลาด NFT กลับเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างมาก เพราะสามารถเติบโตอย่างรวดเร็วและตกต่ำอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
โดยจากการวิเคราะห์ของ nftevening.com ที่สำรวจในคอลเลกชัน NFT กว่า 5,000 รายการ และธุรกรรม NFT 5 ล้านรายการ จาก NFTScan nftevening จากนั้นได้ใช้เกณฑ์ 3 ข้อเพื่อดูว่า NFT เหล่านั้น ตายไปจากตลาดหรือไม่ ได้แก่
ซึ่งผลสำรวจพบว่า 96% ของ NFTs ถือว่า ตาย แล้ว และในปี 2023 ถือเป็นปีที่ NFT ตายมากที่สุดถึง 30% ขณะที่เจ้าของที่ถือครอง NFT ประมาณ 43% ไม่สามารถทำกำไรได้ นอกจากนี้ อายุขัยเฉลี่ยของ NFT นั้นสั้นมาก โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 1.14 ปี เท่านั้น ซึ่งสั้นกว่าอายุขัยเฉลี่ยของโครงการคริปโตแบบดั้งเดิมถึง 2.5 เท่า
โดยอายุขัยที่สั้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติของการเก็งกำไรอย่างเข้มข้นของ NFT ซึ่งความผันผวนของราคาอย่างรวดเร็วทำให้ สินทรัพย์ดิจิทัลไม่สามารถรักษามูลค่าในระยะยาวได้ ดังนั้นจะเห็นว่า ตลาด NFT ที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นอนาคตของการเป็นเจ้าของและการลงทุนทางดิจิทัล กำลังประสบกับความยากลำบากอย่างมาก และอายุการใช้งานที่สั้นของ NFT แสดงให้เห็นว่า ตลาดนี้อาจไม่ใช่ห่านทองคำอย่างที่หลายคนคาดหวัง
อีกหนึ่งจุดที่แสดงถึงความไม่แน่นอนของตลาดก็คือ คอลเลกชันที่สามารถทำกำไรและขาดทุนที่ต่างกันมาก สำหรับคอลเลกชัน NFT ที่ทำกำไรได้มากที่สุดตอนนี้ Azuki โดยผู้ถือครองจะได้รับผลตอบแทนมากกว่า 2.3 เท่าของเงินลงทุนเริ่มต้น ซึ่งคอลเลกชัน Azuki นั้น มีความโดดเด่นที่สไตล์ทางศิลปะ และการสนัยสนุนจากคอมมูนิตี้ที่แข็งแรง
ส่วนคอลเลกชันที่ ขาดทุนมากที่สุด คือ Pudgy Penguins เนื่องจากผู้ถือครองต้องขาดทุนถึง 97% ทำให้เป็นคอลเล็กชันที่มี กำไรน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา
]]>“ตลาด NFT ตายหรือยัง?” เป็นคำถามตั้งโจทย์ของนักวิจัย dappGambl และคำตอบที่พวกเขาพบก็น่าจะตอบได้กลายๆ ว่า “ตายแล้ว”
นักวิจัยกลุ่มนี้ใช้ดาต้าจาก NFT Scan และ CoinMarketCap รวบรวมราคาคอลเล็กชัน NFT ทั้งหมด 73,257 ชิ้น และปรากฏว่ามี 69,795 ชิ้น หรือคิดเป็น 95% ที่มีมูลค่าตลาดเท่ากับ “0 ETH”
พวกเขายังประเมินด้วยว่า มีนักสะสมราว 23 ล้านคนที่ถือสินทรัพย์ไร้ค่าเหล่านี้ไว้ในมือ
“ความจริงวันนี้เป็นเหมือนอาการสร่างเมาจากฤทธิ์ยาที่ทำให้เคลิบเคลิ้มในช่วงที่ทุกคนเห่อ NFT” นักวิจัยกล่าว “ท่ามกลางเรื่องราวฮือฮาของการขายงานศิลปะดิจิทัลได้ชิ้นละหลายล้านเหรียญสหรัฐ และการประสบความสำเร็จชั่วข้ามคืนของการขายทำกำไร มันก็ง่ายที่คนจะมองข้ามความจริงที่ว่าตลาดนี้เต็มไปด้วยหุบเหวของความเสี่ยงที่จะขาดทุน”
NFT คืองานศิลปะหรืองานสะสมแบบดิจิทัลที่อยู่บนระบบบล็อกเชน ส่วนใหญ่มักจะใช้ระบบอีเธอเรียม (ETH) แต่ละชิ้นงานบนบล็อกเชนนี้มีเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่สามารถทำซ้ำได้
ช่วงปี 2021-2022 งาน NFT ได้รับความนิยมมากจนตลาดขยายตัวเร็ว ช่วงที่ขยายตัวมากที่สุดคือมีการเทรดคิดเป็นมูลค่า 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1 แสนล้านบาท) ภายในเดือนเดียว
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คอลเล็กชันดังๆ อย่าง Bored Apes และ CryptoPunks ออกสู่ตลาดและขายได้ในราคาหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเซเลปดังๆ เช่น Snoop Dogg หรือ Justin Bieber ร่วมวงประมูลซื้อด้วย
จังหวะการบูมของ NFT สอดคล้องไปกับจังหวะขาขึ้นของสกุลเงินดิจิทัล ในช่วงเดียวกันนั้นบิตคอยน์ซื้อขายกันที่ราคาเกือบ 70,000 เหรียญ (ประมาณ 2.52 ล้านบาท) แต่ในเดือนกันยายน 2023 ราคาบิตคอยน์ลงมาเหลือแค่ 27,000 เหรียญ (ประมาณ 9.73 แสนบาท)
dappGambl พบว่า 79% ของผลงาน NFT ในตลาดปัจจุบันยังไม่เคยขายได้เลย และเมื่อซัพพลายล้นเกินดีมานด์ไปแล้วทำให้ปัจจุบันตลาด NFT คือตลาดของผู้ซื้อ ซึ่งก็เป็นตลาดที่ไม่ได้มีอะไรจะมาปลุกชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ในจำนวนคอลเล็กชันมากกว่า 7 หมื่นชิ้นนั้น ถ้านับเฉพาะคอลเล็กชันที่มีความสำคัญในตลาด เป็นผลงานที่พอจะมีชื่อเสียง จะมีประมาณ 8,850 ชิ้น แม้กระทั่งคัดกรองแต่กลุ่มผลงานระดับบนมาแล้ว แต่ผลงานเหล่านี้ส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วน 41% ก็มีมูลค่าแค่ 5-100 เหรียญ (ประมาณ 180-3,600 บาท) หนำซ้ำยังมีถึง 18% ที่จัดอยู่ในหมวด “ไร้ค่า” ไม่เหลือราคาแล้ว
เหลืองาน NFT เพียง 1% ในตลาดเท่านั้นที่ยังทำราคาได้เกิน 6,000 เหรียญต่อชิ้น (ประมาณ 2.16 แสนบาท) แต่ราคานี้ก็ยังถือว่าต่ำลงฮวบฮาบเทียบกับเมื่อ 2 ปีก่อนที่ผลงานพวกนี้มีราคาอย่างน้อย 1 ล้านเหรียญต่อชิ้น (ประมาณ 36 ล้านบาท)
“เห็นได้ชัดเลยว่าตลาด NFT ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยนักเก็งกำไรและเข้าตลาดมาด้วยความหวังว่าราคาจะขึ้น” นักวิจัยระบุ “นอกจากนี้ ความต่างของราคาตั้งขายกับราคาที่ขายได้จริงในตลาดวันนี้ ยังเป็นตัวบอกด้วยว่าผู้ขายหลายรายยังคงรอคอยที่จะมีเวฟขาขึ้นรอบใหม่ของ NFT เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2021 ซึ่งอาจจะไม่เกิดอีกเลยก็ได้”
]]>Justin Bieber ถือเป็นหนึ่งในคนดังที่เคยซื้อ คอลเลกชัน NFTs Bored Ape Yacht Club ซึ่งมูลค่าของ Bored Ape NFT ที่เจ้าตัวถือครองลดลงประมาณ 95% ในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา โดยจากประมาณ 1.3 ล้านดอลลาร์ เหลือเพียงประมาณ 59,000 ดอลลาร์เท่านั้น ตามข้อมูลของ Bitcoinist
ไม่ใช่แค่ NFT ของ Bieber เท่านั้นที่มีมูลค่าลดลงอย่างมาก Stephen Curry นักบาสเกตบอลชื่อดังซื้อ Bored Ape #7990ในราคา 55 ETH (เกือบ 180,000 ดอลลาร์ในขณะนั้น) เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2021 แต่ ณ วันที่ 6 กรกฎาคม ราคาเสนอสูงสุดสำหรับ NFT คือ 30.5 ETH หรือประมาณ 58,000 ดอลลาร์ ลดลงเกือบ 68%
หรือแม้แต่ตัวแม่ตลอดกาลอย่าง Madonna ที่ซื้อ Bored Ape #4988ในราคา 180 ETH (ประมาณ 466,000 ดอลลาร์ในขณะนั้น) เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2022 แต่การเสนอราคาสูงสุดใน NFT คือ 28 ETH (ราว 53,000 ดอลลาร์) ณ วันที่ 6 กรกฎาคม ตามรายงานของ OpenSea
นอกจากนี้ ที่น่าสนใจคือ ในเดือนธันวาคม 2022 คนดังหลายคนรวมถึง Bieber, Curry และ Madonna ถูกเสนอชื่อในคดีฟ้องร้องแบบกลุ่มที่ยื่นฟ้องโดยนักลงทุนที่ซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลของ Yuga Labs ซึ่งอ้างว่าคนดังรับรองและโปรโมต Bored Ape คอลเลกชัน Yacht Club NFT ถูกผลิตขึ้น ตามรายงานของ Los Angeles Times
ณ วันที่ 6 กรกฎาคม ราคาเสนอขายต่ำสุดของคอลเลกชัน Bored Ape อยู่ที่ประมาณ 30.6 ETH (ราว 57,712 ดอลลาร์) ส่วนราคาแพงสุด อยู่ที่กว่า 6,969 ETH (13 ล้านดอลลาร์) เลยทีเดียว ซึ่งBored Ape Yacht Clubยังคงเป็นหนึ่งในคอลเลกชัน NFT อันดับต้น ๆ ใน OpenSea และผู้ขายบางรายยังคงมีความหวังว่านักสะสมจะจ่ายเงินหลายล้านเพื่อซื้องานศิลปะดิจิทัล
]]>รายงานของ Artprice บริษัทผู้จัดประมูลงานศิลปะในฝรั่งเศส เปิดเผยว่า การประมูลงานศิลปะในปี 2023 ทำสถิติสูงสุด โดยมีงานศิลปะ กว่าล้านชิ้นถูกนำออกประมูลเป็นครั้งแรก ในปีที่ผ่านมา แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะซบเซาก็ตาม กลับกันในตลาด NFTs ที่ใช้แสดงถึงความเป็นเจ้าของในงานศิลปะดิจิทัล กลับมียอดขาย ลดลง 94% เหลือ 13.9 ล้านดอลลาร์
ในงานศิลปะจำนวนกว่า 1 ล้านชิ้นที่ถูกประมูล สามารถประมูลได้ถึง 704,747 ชิ้น โดยมี 6 ชิ้น ที่ปิดประมูลไปในมูลค่าเกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,500 ล้านบาท) โดยงานศิลปะที่ได้รับการตอบรับดีที่สุดคือ ภาพวาด
“ปัญหาเศรษฐกิจของโลกไม่มีผลกระทบต่อตลาดการประมูลงานศิลปะ และแน่นอนว่าสำหรับผลงานชิ้นเอกของประวัติศาสตร์ศิลปะปี 2022 มีการแข่งขันที่เข้มข้นกว่าที่เคยเป็นมา”
แม้จะมีจำนวนชิ้นในการประมูลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่รายได้จากการประมูลงานศิลปะทั่วโลกลดลงเล็กน้อยจาก 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์เหลือ 1.65 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเกิดจากการชะลอตัวของตลาดจีน ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของ COVID-19
ส่วนยอดขายในตลาด นิวยอร์ก เติบโตขึ้น 1.5 พันล้านดอลลาร์ จากยอดขายผลงานชิ้นเอกหลายชิ้นจากคอลเล็กชั่นส่วนตัวของ Paul Allen ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft เช่น Cezanne, Van Gogh และ Monet นอกจากนี้ ภาพเหมือนของ มาริลีน มอนโร เซ็กซ์ซิมโบลระดับตำนานของวงการฮอลลีวูดที่วาดโดย Andy Warhol สามารถปิดประมูลไปที่ 195 ล้านเหรียญสหรัฐ และถือเป็นผลงานศิลปะของชาวอเมริกันที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติการณ์
ขณะที่ผลงานของ ปิกัสโซ ยังคงเป็นศิลปินที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ผลงานของเขาสร้างรายได้ 494 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
“เมื่อ 20 ปีที่แล้ว การขายงานศิลปะต้องใช้เวลาหลายเดือน วันนี้ขายได้ภายในไม่กี่วัน” เธียร์รี เออร์มันน์ หัวหน้าของ Artprice กล่าว
ในส่วนของตลาด NFTs แม้จำนวนจะเพิ่มขึ้นจาก 284 เป็น 373 รายการ แต่ผลงานส่วนใหญ่ถูกซื้อในราคาที่ ต่ำกว่า 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุที่ NFTs ไม่ได้รับความนิยมส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลาดคริปโตฯ ที่มีปัญหา
อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้ว ตลาดศิลปะยังคงถูกขับเคลื่อนโดยตลาด สหรัฐอเมริกา จีน และอังกฤษ ซึ่งรวมกันแล้วคิดเป็น 81% ของยอดขายทั่วโลก โดยสหรัฐอเมริกากลับมาครองตำแหน่งสูงสุดด้วยมูลค่า 7.34 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 44% ของตลาดทั้งหมด
]]>หลายคนน่าจะพอรู้ว่า NFT ได้ถูกนำไปใช้ในวงการศิลปะไม่ว่าจะเป็น ภาพวาด ภาพกราฟิก วิดีโอ และเพลง โดยถือเป็นวิธีสากลสำหรับครีเอเตอร์ในการเป็นผู้ ควบคุม และ ได้รับประโยชน์ จากการสร้างสรรค์ผลงานของพวกเขา ไม่เหมือนในอดีตที่ถูกก๊อปเกลื่อนอินเทอร์เน็ต ดังนั้น NFT จึงช่วยขยายตลาดของคน รักงานศิลปะ เพราะไม่ต้องซื้อของจริงเพื่อสะสม
“ศิลปินที่ทำผลงานในรูปแบบ NFT มันทำให้เขาได้ส่วนแบ่งกลับมาเรื่อย ๆ ช่วยแสดงความเป็นตัวตน ไม่ได้ถูกก๊อปไปลงอินเทอร์เน็ตเหมือนอดีต นอกจากนี้ ยังใช้บล็อกเชนบันทึกเส้นทางร่องรอยของผลงานได้ คนเป็นเจ้าของร่วมก็ได้ประโยชน์ ถือเป็นโอกาสที่ดีของศิลปินในอนาคต” วรพจน์ ธาราศิริสกุล Chief of Technology บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด อธิบาย
ที่น่าสนใจคือ ตัวเลขของปี 2021 ที่รวบรวมโดย Statista ระบุว่า ไทยถือเป็นประเทศที่มีผู้ใช้ NFT มากที่สุดในโลกถึง 5.65 ล้านบัญชี ตามด้วย
“ส่วนหนึ่งคนไทยชอบเล่นเกม และที่ผ่านมาก็มีเกม NFT เยอะ และต้องยอมรับว่า คนไทยชอบเก็งกำไร เห็นอะไรทำกำไรได้ก็โดดเข้ามาเล่น มันเลยเติบโตในกลุ่มคนรุ่นใหม่ แต่เราเชื่อว่าตลาดจะไม่ได้ขับเคลื่อนเพราะเก็งกำไร แต่เกิดจากนักสะสม”
ตั้งแต่การมาบูมของตลาด คริปโตเคอร์เรนซี ในช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา จะเห็นว่าแบรนด์เริ่มใช้ประโยชน์จากการออก Token และ NFT โดยในส่วนของการออก Token นั้น จะใช้เสมือนการแจก พอยต์ สำหรับใช้แทนอะไรบางอย่าง แต่สำหรับ NFT นั้นจะเปรียบเสมือน ของสะสม ดังนั้น จะเหมาะสำหรับการตลาดที่เล่นกับ Emotional การสร้าง Membership การสร้าง Community ของลูกค้า แฟนคลับ และกลุ่มคนรุ่นใหม่
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่ใช้ NFT เป็นเครื่องมือการตลาด แต่ควรเป็นแบรนด์ที่มี ฐานลูกค้า หรือ ฐานแฟนคลับ ดังนั้น สำหรับประเทศไทยจะเห็นแบรนด์ในกลุ่ม คอนซูมเมอร์โปรดักส์ เพื่อใช้ NFT เป็นของสะสมหรือสร้าง Engagement ให้กับลูกค้า เพราะจะช่วยให้แบรนด์หา Real User หรือ แฟนคลับของแบรนด์จริง ๆ เพื่อเก็บเป็นข้อมูลในการทำการตลาดต่อไป ไม่ใช่แค่แจกแล้วจบ
นอกจากนี้ NFT ยังช่วยเพิ่มรายได้จากการขายสินค้า เพราะข้อดีของการทำ NFT คือ งบลงทุนที่น้อยกว่า ดังนั้น สามารถทำควบคู่กับของสะสมแบบ Physical ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับแบรนด์ที่ทำ NFT เพื่อแจกให้เป็นของสะสมในปริมาณมาก ควรจะแบ่งระดับความหายากหาง่าย (Rare, Super Rare) เพื่อให้เกิดความต้องการ
“อย่างหัวเว่ย ทำ NFT แจกเฉพาะลูกค้าที่ซื้อมือถือ แปลว่าคนที่ถือ NFT เป็นแฟนคลับจริง ๆ ต่อไปการทำโฟกัสกรุ๊ป หรือจะทำการตลาดอื่น ๆ เราก็สามารถต่อยอดกับคนกลุ่มนี้ได้ ซึ่งเราเชื่อว่า NFT มันเป็นตัวเชื่อมโลกดิจิทัลและเทรดดิชันนอล โดยที่แบรนด์เข้ามาโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ โดยเราเชื่อว่า NFT มันจะแมสมากขึ้น เพราะเข้าใจง่ายกว่าคริปโตฯ”
“อย่างงาน หมู่ วาไรตี้โชว์ ที่ Jmart Group เป็นสปอนเซอร์เราก็ใช้ NFT เป็นตั๋วเข้างาน และจะเป็นของสะสมจากงานนี้ ซึ่งเราเชื่อว่าโลกจากนี้จะเป็นการไฮบริดระหว่างดิจิทัลและประสบการณ์บนโลกจริง ช่วยสร้างแวลู และประสบการณ์ใหม่ ๆ ในยุคที่คนรุ่นใหม่ต้องการความแตกต่าง ความแปลกใหม่”
สำหรับเป้าหมายของ JNFT ในปี 2566 ตั้งเป้าที่จะขยายความร่วมมือระหว่างธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) เพื่อนำเอา NFT เข้าสู่ธุรกิจและองค์กรในรูปแบบต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังเดินหน้าผลักดันแพลตฟอร์ม NFT Marketplace ของตัวเองที่เปิดมาประมาณ 1 ปี โดยปัจจุบันมีทรานแซกชั่นประมาณ 50,000 – 100,000 ครั้ง/เดือน จากผู้ใช้ประมาณ 5,000 บัญชี โดยตั้งเป้าปีหน้าเติบโตหลายเท่าตัว
“ต้องยอมรับว่าตอนนี้มันเป็นช่วงขาลง แต่เราเชื่อว่าตลาดยังกลับมาได้ เพราะ NFT เป็นของสะสม มูลค่าอาจไม่มีตอนนี้แต่อนาคตมันอาจมีมูลค่าเหมือนของสะสมอื่น ๆ”
ปัจจุบัน มีแบรนด์ที่สนใจทำ NFT กับบริษัทประมาณ 2 ราย/เดือน นอกจากนี้ เริ่มมีเอเจนซี่การตลาดเริ่มมาปรึกษาการทำ NFT ให้กับลูกค้า ซึ่งถ้าแบรนด์ใช้ NFT ในการทำการตลาดมากขึ้น ต่อไป NFT ก็จะแมสและผู้ใช้แพลตฟอร์ม Marketplace ก็จะตามมา
ตอนนี้ความท้าทายการประยุกต์ใช้ NFT กับการตลาดคือเรื่องความเข้าใจ แบรนด์ยังคิดว่ามันเป็นเรื่องการเก็งกำไรนำ แต่เป็นในแง่ของสะสมซึ่งมันแมสมากกว่า การแจก NFT มันสามารถสร้างแวลูได้มากกว่าแทนที่จะแจกเป็นสิ่งของแล้วเขาเอาไปทิ้ง แต่ให้ NFT เราสามารถเก็บข้อมูลลูกค้ากลับมาได้ด้วย
]]>บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ซิกซ์ เน็ตเวิร์ก จำกัด (SIX Network) ประกาศความร่วมมือบนเครือข่ายบล็อกเชน “SIX Protocol” โดยชาญอิสสระเป็นหนึ่งใน Validator ของเครือข่าย และเริ่มใช้งานแล้วกว่า 1 เดือน
“ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์” Co-Founder และซีอีโอ บริษัท ซิกซ์ เน็ตเวิร์ก จำกัด อธิบายถึง SIX Protocol ก่อนว่า เป็นเครือข่ายบล็อกเชนหนึ่งที่บริษัทสร้างขึ้น โดยมีการเชิญพาร์ตเนอร์เข้ามาเป็น Validator Node ปัจจุบันตกลงเข้าร่วมแล้วมากกว่า 21 รายจากหลายอุตสาหกรรม เช่น บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด, บมจ.แพลน บี มีเดีย, PIMRYPIE, หนุ่ย-พงศ์สุข (แบไต๋), ซี-ฉัตรปวีณ์ (Ceemeagain) ทุกรายที่เข้ามาเป็น Validator จะมีการซื้อ SIX Coin รายละ 1 ล้านเหรียญเพื่อ stake ไว้ในระบบบล็อกเชน
จากนั้นแต่ละรายสามารถสร้างโปรเจกต์ของตนเองที่ทำงานบนระบบบล็อกเชน SIX Protocol ได้ เช่น การออก NFT (non-fungible token), การออก Utility Token, ใช้งานร่วมกับโลกเมตาเวิร์ส เป็นต้น
“สงกรานต์ อิสสระ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเข้าร่วมในเครือข่ายบล็อกเชนถือเป็นเครื่องมือทางธุรกิจแบบใหม่ที่ชาญอิสสระก้าวเข้าไป เชื่อว่าระบบนี้จะมาเปลี่ยนแปลงการซื้อขายและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในวงการอสังหาฯ และโรงแรม เหมือนยุคหนึ่งที่ ‘อินเทอร์เน็ต’ ท้ายที่สุดแล้วเข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจในด้านการขายและการตลาด ทำให้บริษัทต้องเร่งปรับตัวและพร้อมเข้าไปศึกษา
“ดิฐวัฒน์ อิสสระ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสร้างสรรค์สื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ บมจ.ชาญอิสสระฯ กล่าวว่า บริษัทจะทยอยทดลองโปรเจกต์บนเครือข่ายบล็อกเชน โดยคาดว่าโปรเจกต์แรกจะเริ่มได้ช่วงปลายไตรมาส 1/2566 เป็นโปรเจกต์ NFT สำหรับโรงแรมศรีพันวาและบาบา บีช ทั้ง 3 แห่ง
บริษัทจะมีการออก NFT ที่ใช้แทนเวาเชอร์ในการเข้าพักในห้องพัก รับบริการสปา ทานอาหาร และกิจกรรมอื่นๆ ที่มีในโรงแรม การออกเป็น NFT บนบล็อกเชนจะทำให้เกิดความถูกต้องในการใช้งาน ตามคอนเซ็ปต์พื้นฐานของบล็อกเชนที่ไม่สามารถแก้ไขหลอกลวงได้ ซึ่งยังทำให้ลูกค้าสามารถเทรดซื้อขาย NFT นี้ในตลาดได้อย่างปลอดภัยด้วยเช่นกัน
ดิฐวัฒน์กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายของ NFT มองว่าจะเป็นลูกค้าประจำของโรงแรมในเครือศรีพันวา และเป็นลูกค้าที่มีความรู้ความเข้าใจในสินทรัพย์ดิจิทัล เชื่อว่าการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่จะทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ได้รับประสบการณ์ที่ดี เป็นการตลาดอย่างหนึ่งของแบรนด์
ที่ผ่านมาชาญอิสสระเคยจับกระแสสกุลเงินคริปโตที่บูมในไทยมาแล้วเมื่อปีก่อน โดยโปรโมตให้ลูกค้าสามารถนำคริปโตมาซื้อคอนโดฯ หรือจองโรงแรมในเครือได้ อย่างไรก็ตาม ในการทำธุรกรรมก็ยังต้องแปลงเป็นสกุลเงินบาทก่อน แต่ในครั้งนั้นก็นับว่าได้รับผลตอบรับจำนวนหนึ่งจากลูกค้า ทำให้เห็นว่ากระแสคริปโตเกิดขึ้นแล้ว
ส่วนการขยายการใช้บล็อกเชน SIX Protocol ไปในส่วนอื่นจะ ‘ก้าวทีละก้าว’ เช่น การนำบล็อกเชนมาช่วยด้านความโปร่งใสของการบริหารงานบริษัทนิติบุคคล, การออก NFT เพื่อจำหน่ายห้องชุดคอนโดมิเนียม, ความร่วมมือกับบริษัทพาร์ตเนอร์อื่นที่อยู่บนเครือข่ายบล็อกเชนเดียวกัน ในการแลกเปลี่ยนพริวิลเลจสำหรับลูกค้า ทำให้ขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น
“เราต้องเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่ทุกคนเขาวิ่งไปแล้วแต่เรายังไม่สตาร์ทรถ ตอนนี้เหมือนเพิ่งจะเริ่ม แต่เชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะติดตลาดเร็วแน่” สงกรานต์กล่าวปิดท้าย
]]>จากการรายงานของ OpenSea แพลตฟอร์มซื้อขาย NFT รายใหญ่ระบุว่า ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มูลค่าการขายผ่านแพลตฟอร์มลดลงเหลือ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเมื่อเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือลดลง 73%
ล่าสุด รายงานจาก Cointelegraph ระบุว่า ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา นักลงทุนกว่า 53% ขาดทุนจากการซื้อ-ขาย NFT โดยสาเหตุมาจากราคาที่ร่วงอย่างแรงของ CyberKongz และ CyberKongzBabies ขณะที่ตลาด Blue-Chip หรือ คอลเลกชั่น NFT ที่มีความผันผวนน้อย และมีมูลค่าถึงหรือสูงกว่าระดับ 10 Ether ยังไม่ฟื้นตัว
ไม่ใช่มูลค่าที่ลดลงอย่างเดียว แต่จำนวนผู้ซื้อขายลดลงค่อนข้างมาก จากประมาณ 37,843 คนในวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา เหลือเพียงแค่ 10,571 คนเท่านั้น แต่ที่น่าสนใจคือ นักลงทุนที่เลือกจะถือครอง NFT แบบ ระยะยาวเพิ่มขึ้น โดยจากข้อมูลชี้ว่า ในช่องเดือนมิถุนายนเทียบกับเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ถือระยะยาวของเพิ่มกว่า 500,000 คน ทำให้ตอนนี้มีมากกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก
โดยหมวดหมู่ที่มีการถือครองแบบระยะยาวมากที่สุด คือ กลุ่ม PFP (proof of profile) เป็นหมวดที่คนถือมากสุดและมีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดถึง 1.39 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 5 แสนล้านบาท ส่วน NFT ในกลุ่มของสะสม เกม และศิลปะ ที่เคยเป็นผู้นำตลาด แต่ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดประมาณ 6.7 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 2 แสนล้านบาทเท่านั้น
]]>OpenSea แพลตฟอร์มซื้อขาย NFT (non-fungible token) ที่ใหญ่ที่สุด ประกาศตัวเลขการซื้อขายบนแพลตฟอร์มที่ลดลง -73% เมื่อเทียบเดือนมิถุนายนกับพฤษภาคม 2022 และจะถือว่าลดลงหลายเท่าตัว หากนับจากเดือนที่มีการซื้อขายสูงสุดเมื่อเดือนมกราคม 2022 เคยมีการซื้อขายถึง 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ราคาเฉลี่ยต่อชิ้นของ NFT ก็ลดลงแรงเช่นกัน โดยเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเหลือเฉลี่ยชิ้นละ 412 เหรียญสหรัฐ เทียบกับเมื่อสิ้นเดือนเมษายนปีนี้เคยอยู่ที่เฉลี่ย 1,754 เหรียญสหรัฐ เก็บข้อมูลจาก NonFungible.com ซึ่งติดตามยอดขายผ่านบล็อกเชนของอีเธอเรียมและโรนิน
“ตลาดหมีของการเทรดคริปโตมีผลกระทบต่อวงการ NFT อย่างแน่นอน” เกาเธียร์ ซัปปิงเกอร์ ผู้ร่วมก่อตั้ง NonFungible.com กล่าว “เราได้เห็นการเก็งกำไรอย่างหนัก มีกระแสนิยมสูงอย่างรวดเร็วในสินทรัพย์ชนิดนี้ แต่ขณะนี้เราเห็นความนิยมที่ลดลง เพราะคนเริ่มเข้าใจแล้วว่าตัวเองจะไม่ได้กลายเป็นเศรษฐีได้ภายในสองวัน”
NFT เริ่มปรับตัวลดมูลค่าลงพร้อมกับคริปโต เมื่อธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู้กับปัญหาเงินเฟ้อ และทำให้นักลงทุนในวงการนี้เริ่มชะลอลง
ราคาบิตคอยน์ลดลง -57% ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ราคาอีเธอเรียมก็ลดลง -71% เช่นกัน
ตัวอย่างความเจ็บปวดของนักลงทุน NFT เช่น นักธุรกิจชาวมาเลเซียรายหนึ่งที่ลงทุนซื้อ NFT ข้อความทวีตแรกของ “แจ็ค ดอร์ซีย์” ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter ไปในราคา 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อปี 2021 เขาพยายามจะรีเซลขายต่อผลงานชิ้นนี้เมื่อเดือนเมษายน 2022 แต่ไม่เคยได้ราคาเสนอซื้อที่มากกว่าหลักพันดอลลาร์เลย
อย่างไรก็ตาม บางกลุ่มลงทุนก็ยังเห็นโอกาส “เบนัวต์ บอช” หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ระดับสากลของบริษัท GSR บริษัทเทรดคริปโต ยังคงมองว่า ตลาดขาลงแบบนี้คือช่วงเวลาเหมาะเจาะที่จะสร้างคอลเลกชัน NFT ของบริษัท ในมุมมองเดียวกับธนาคารดั้งเดิมที่สะสมศิลปะชั้นสูงไว้จัดแสดงสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า
เดือนก่อนนี้ GSR ใช้เงินลงทุน 500,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อประมูลซื้อ NFT คอลเลกชันที่บอชเรียกว่าเป็น “บลูชิพ” แห่งวงการ นั่นคือผลงานศิลปะที่มีแฟนคลับออนไลน์กลุ่มใหญ่
ผลงานที่เขาซื้อนั้นรวมถึงผลงานชื่อดังอย่าง Bored Ape Yacht Club ศิลปะการ์ตูนรูปลิงจำนวน 10,000 ชิ้น ผลิตโดยบริษัท Yuga Labs และมีคนดังมากมายเข้าซื้อและสนับสนุนผลงาน เช่น ปารีส ฮิลตัน, Eminem แรปเปอร์ดัง
งานชุด Bored Ape เคยขึ้นไปสูงสุด 238,000 เหรียญต่อชิ้นเมื่อเดือนมกราคม 2022 แต่ล่าสุดในเดือนมิถุนายน ตกลงไปเหลือ 110,000 ต่อชิ้น จากข้อมูลของ CryptoSlam
ทางบริษัท GSR จึงไปซ้อนชื้อมาได้ชิ้นหนึ่งในราคา 125,000 เหรียญ และนำมาจัดแสดงบนจอภายในสำนักงานของบริษัทที่นิวยอร์ก
“สำหรับเรา มันเป็นการบริหารแบรนด์ของเราด้วย” บอชกล่าวว่า การเป็นเจ้าของ NFT ที่มีมูลค่าและนำมาใช้เป็นภาพโปรไฟล์บนโซเชียลมีเดีย คือการวางรากฐานของความน่าเชื่อถือ การมีอำนาจ และมีอิทธิพลในโลกคริปโต
นักวิเคราะห์บางรายในตลาดมองว่า NFT ในแง่ของการเป็นศิลปะสำหรับนักสะสมน่าจะหดตัวลง ขณะที่ตลาดในโลกเมตาเวิร์สก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทำให้ความหวังน่าจะอยู่ในวงการเกม ตัวอย่างเช่น มีช่องทางให้ผู้เล่นครอบครองสินทรัพย์ภายในเกมนั้น อย่างการมีสกินตัวละครแบบพิเศษ
แต่การรวมกันของวงการเกมและวงการเก็งกำไรทางการเงินก็อาจจะยากลำบาก เพราะเกมเมอร์หลายคนไม่ชอบแนวคิดการมี NFT ในเกม หรือการมีฟังก์ชัน ‘play-to-earn’ จากข้อมูลของ จอห์น อีแกน ซีอีโอบริษัท L’Atelier บริษัทด้านการวิจัยเทคโนโลยี
ขณะนี้ L’Atelier ยังเห็นว่า ตลาด NFT ไม่น่าจะฟื้นกลับไปได้เท่ากับที่เคยบูมมาก่อนหน้านี้ “มันเป็นสถานการณ์ที่มีเงินทุนมากผิดปกติไหลเข้าไปจ่ายให้กับสินทรัพย์ที่มีจำกัดอย่างผิดปกติ และไม่ได้ทำเงินเพิ่มได้สักเท่าไหร่” อีแกนกล่าว
แต่คอนเซ็ปต์ของการสร้างสรรค์สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความเฉพาะตัวก็จะยัง “เป็นพื้นฐานที่สำคัญ” และจะเป็นคุณสมบัติที่สำคัญให้กับวงการการเงินต่อไปในอนาคต
]]>ณ เวลานี้คงไม่มีเทรนด์อะไรร้อนแรงไปกว่าสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหลาย เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักลงทุนในยุคนี้ โดยเฉพาะ NFT ที่ได้รับการพูดถึงเป็นวงกว้าง หลายธุรกิจต่างให้ความสนใจ และสร้างสรรค์ผลงาน พร้อมกับช่วยผลักดันอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโตมากขึ้นในไทย
NFT หรือ Non-Fungible Token เป็นผลงานศิลปะในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล ในไทยมีศิลปินผู้ออกแบบผลงานมากมาย พร้อมสร้างสรรค์ผลงานโกอินเตอร์อย่างต่อเนื่อง มีทั้งศิลปินอิสระ และศิลปินชื่อดังที่อยู่ในวงการนี้
“โลตัส” ผู้นำตลาดค้าปลีกในประเทศไทย ก็ขอร่วมนำขบวน NFT ด้วย โดยได้เปิดตัวผลงาน my Lotus’s NFT คอลเล็กชั่นพิเศษเฉพาะสมาชิกมายโลตัส เป็นผลงานการออกแบบของ “ไตเติ้ล ฐิติพันธ์ ทับทอง” ศิลปิน NFT อันดับต้นๆ ของไทย
ล่าสุดไตเติ้ลยังได้โชว์ความเจ๋งของคนไทยสู่เวทีระดับโลก โดยได้รับเชิญร่วมเวที NFT NYC 2022 จัดขึ้นที่ไทม์สแควร์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 20 – 23 มิถุนายน 2565 ซึ่งงาน NFT NYC เป็นงานของวงการ NFT ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก มีศิลปินชื่อดังระดับสากลมากมายเข้าร่วม ในวงการ NFT งานนี้เหมือนงานระดับคานส์ของวงการโฆษณาเลยทีเดียว จึงมีความสำคัญอย่างมาก
งานนี้จัดขึ้นเพื่อ NFT Communityให้ศิลปิน NFT รวมทั้งแบรนด์ ผู้ผลิตผลงาน เกมเมอร์ นักลงทุน นักสะสม และนักธุรกิจได้พบปะและเรียนรู้ศิลปะของ NFT มากยิ่งขึ้น ในงานจะมีการจัดแสดงผลงานศิลปะ NFT จากศิลปินต่างๆ มากมายให้ได้ชม
นอกจากผลงาน my Lotus’s NFT แล้ว ไตเติ้ลยังมีผลงาน NFT Art อีกหลายโปรเจกต์ที่ประสบความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงโด่งดัง เช่น “Flipped Face” ที่มีเอกลักษณ์รูปคนกลับหัว “Thai Ghost” ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมความเชื่อเรื่องผีและสิ่งลี้ลับของคนไทย โด่งดังจนกลายเป็นเหมือนตัวแทนวัฒนธรรมของไทย
วรวรรณ เพียรลิขิตวงศ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการตลาด โลตัส กล่าวว่า
“จากที่โลตัส ได้มีการเปิดตัว MyLotus’s รีวอร์ดโปรแกรมที่เพิ่มความคุ้มค่าและสมาร์ทให้กับสมาชิกในทุกการใช้จ่ายที่โลตัส เราได้จัดกิจกรรมมอบชิ้นงานศิลปะดิจิทัล my Lotus’s NFT จำนวน 1,500 ชิ้นให้กับลูกค้าที่เป็นสมาชิกมายโลตัสเพื่อเป็นการขอบคุณ โดยผลงานดังกล่าวเป็นการจับมือร่วมกับคุณไตเติ้ล ศิลปิน NFT เบอร์ต้นๆ ของไทย ในการรังสรรค์ผลงานที่ออกแบบมาพิเศษไม่ซ้ำใคร เอ็กซ์คลูซีพเฉพาะลูกค้าของโลตัส
ซึ่งล่าสุดนับเป็นเรื่องน่ายินดีของคนไทยที่คุณไตเติ้ลได้รับเชิญไปร่วมขึ้นเวที NFT ระดับโลกในเทศกาล NFT NYC 2022 ที่ไทม์สแควร์ นิวยอร์ก ร่วมกับศิลปินชั้นนำระดับโลก ซึ่งเป็นงานที่จัดว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในวงการศิลปะ NFT โดยคุณไตเติ้ลเป็นศิลปินไทยเพียงหนึ่งเดียวในงานนี้ ที่ได้ร่วมพูดคุยเรื่องการทำ NFT ในเรื่องกลยุทธ์รวมถึงวัฒนธรรมในการทำงานที่คุณไตเติ้ลใช้ความรัก เป็นตัวขับเคลื่อนในการสร้างสรรค์ NFT Art พร้อมโชว์ผลงาน NFT ของคุณไตเติ้ลที่รวมถึงโปรเจกต์ my Lotus’s NFT ที่ร่วมมือกับโลตัสด้วย โลตัส จึงขอร่วมแสดงความยินดีกับคุณไตเติ้ล ที่ได้เป็นตัวแทนศิลปิน NFT ไทยไปอวดผลงานในระดับสากลครั้งนี้”
โลตัส เป็นค้าปลีกไทยรายแรกที่มีส่วนร่วมในวงการ NFT งานศิลปะรูปแบบไฟล์ดิจิทัล สำหรับแคมเปญ my Lotus’s NFT ที่ผ่านมา ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ลูกค้า โดยมีลูกค้าให้ความสนใจและเข้าร่วมสนุกในกิจกรรมแลกรับ my Lotus’s NFT จำนวน 1,500 ชิ้น และหมดทุกวันภายในเวลาเพียง 4 นาทีเท่านั้น
นอกจากนี้ มายโลตัส ยังมีกิจกรรม NFT เพื่อร่วมเฉลิมฉลอง Pride Month ตลอดเดือนมิถุนายนนี้ด้วยเช่นกัน เพราะโลตัสเคารพและเชื่อว่าความแตกต่างทำให้โลกของเราสวยงามกว่าเดิม โลตัสจึงต่อยอดความร่วมมือกับคุณไตเติ้ล สร้างสรรค์ชิ้นงาน my Lotus’s NFT สุดลิมิเต็ดในคอลเลกชั่นพิเศษ “2022 Pride Collection” พร้อมแจกให้กับสมาชิกมายโลตัสกว่า 200 รางวัล
โดยสามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมเพื่อร่วมสนุกและรับของรางวัลจาก my Lotus’s NFT 2022 Pride Collection ได้ทางเฟซบุ๊ก www.facebook.com/lotussth ตลอดเดือนมิถุนายนนี้
รวมไปถึงสามารถติดตามผลงานและสนับสนุนคุณไตเติ้ลเพิ่มเติมได้ที่ https://linktr.ee/taitern
]]>NFT ถือเป็นคริปโตเคอร์เรนซีรูปแบบหนึ่งที่ใช้แสดงถึงความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ โดยจะมีลักษณะเฉพาะตัว ไม่สามารถทดแทนได้ ถือเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ซ้ำใครในโลกดิจิทัล โดยยังสามารถซื้อและขายได้เหมือนกับทรัพย์สินอื่น ๆ ปัจจุบัน NFT ได้ถูกนำไปใช้ในวงการศิลปะ โดยครีเอเตอร์ใช้ในการเป็นเจ้าของ ควบคุม และได้รับประโยชน์จากการสร้างสรรค์ผลงาน
ที่ผ่านมา มีคนดังอย่าง Paris Hilton, Gwyneth Paltrow และ Serena Williams ต่างก็โอ้อวดเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของ NFT จนหลายคนมองว่านี่เป็นการล่อลวงเด็กที่อายุต่ำกว่า 30 ปีจำนวนมาก ให้เข้ามาหาโอกาสในการทำกำไรอย่างรวดเร็ว
ยิ่งกว่าก้าวกระโดด! ตลาด ‘NFT’ โตพุ่ง 21,000% มูลค่าทะลุ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์
แต่หลังจากที่ตลาดคริปโต ส่อแววว่าจะไม่ค่อยดี เนื่องจากมูลค่าเหรียญในตลาดต่างกอดคอกันร่วงหมด ทำให้ NFT ถูกมองว่าอาจจะตามเหรียญคริปโตไป โดยจำนวน NFT ที่ซื้อขายในตลาดช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ลดลงเกือบ 50% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2021 ตามรายงานของบริษัทวิเคราะห์ Non-Fungible
และจากรายงานของบริษัทตรวจสอบ CryptoSlam ระบุว่า ตลาดนับตั้งแต่วันที่ 1-15 พฤษภาคม มียอดใช้จ่ายไปกับงานศิลปะและของสะสมเพียง 31 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดตลอดทั้งปี หรืออย่างการขาย ทวีตแรกของ Jack Dorsey ผู้ก่อตั้ง Twitter ที่เคยขายได้เกือบ 3 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว มาปีนี้เจ้าของใหม่ยังไม่เจอผู้ที่เสนอราคาสูงกว่า 20,000 ดอลลาร์เพื่อซื้อมันได้
Molly White นักวิจารณ์ของ Crypto Sphere บอกกับ AFP ว่า มีเหตุผลที่เป็นไปได้หลายประการสำหรับการชะลอตัว อาทิ โฆษณาที่ลดลง, การกลัวการหลอกลวงหลังจากคนมีชื่อเสียงจำนวนมาก หรืออาจเป็นเพราะผู้คนรัดเข็มขัดเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ
ด้าน OpenSea แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนหลักยอมรับว่า ในเดือนมกราคมว่ามากกว่า 80% ของ NFT ที่สร้างขึ้นด้วยเครื่องมือฟรีนั้นเป็นการโกง ส่วนใหญ่เป็นสำเนา NFT อื่น ๆ หรืองานศิลปะที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นการก๊อบปี้โดยไม่ได้รับอนุญาต เช่นเดียวกันกับ LookRare ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน NFT ได้พบว่าการทำธุรกรรมมากถึง 95% บนแพลตฟอร์มนั้นเป็น NFT ของปลอม
Eric Barbry ทนายความ กล่าวกับ AFP ว่า ตลาด NFT ไม่มีกฎระเบียบเฉพาะ ทำให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจึงละเลย ขณะที่ Molly White กล่าวเสริมว่า กฎระเบียบที่เข้มงวดสามารถช่วยขจัดการเก็งกำไรที่รุนแรงได้อีกด้วย
]]>