ในช่วง 2-3 ปีมานี้คงไม่มีอะไรร้อนแรงไปกว่าตลาด คริปโตเคอร์เรนซี และ NFT อีกแล้ว เพราะถือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจในการลงทุนเป็นจำนวนมาก ขณะที่รัฐบาลหลาย ๆ ประเทศเริ่มให้ความสำคัญอย่างจริงจัง รวมไปถึง รัฐบาลสหราชอาณาจักร ที่วางโรดแมปพาประเทศไปสู่ ผู้นำระดับโลกของตลาดคริปโต
รัฐบาลยูเครน ระดมทุนขาย ‘NFT’ ได้มากกว่า 6 แสนดอลลาร์ นำไปฟื้นฟูเมือง-พิพิธภัณฑ์
รัฐบาลสหราชอาณาจักร ได้ประกาศแผนการที่จะสร้าง NFT ของตัวเอง ซึ่งแผนเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้ประเทศกลายเป็น ‘ผู้นำระดับโลก’ ในตลาดสกุลคริปโตเคอร์เรนซี โดย Rishi Sunak รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ขอให้โรงกษาปณ์ Royal Mint ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐบาลที่รับผิดชอบในการผลิตเหรียญสำหรับสหราชอาณาจักร ให้จัดทำและออก NFT ในช่วงซัมเมอร์นี้ และจะแถลงถึงรายละเอียดเพิ่มเติมเร็ว ๆ นี้
NFT เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่แสดงถึงการเป็นเจ้าของไอเทมเสมือน เช่น อาร์ตเวิร์กหรืออวาตาร์วิดีโอเกมโดยใช้มีเทคโนโลยีบล็อกเชนอยู่เบื้องหลัง โดย NFT ได้รับความสนใจอย่างมากในปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการยอมรับเพิ่มขึ้นจากคนดังและองค์กรขนาดใหญ่
ยิ่งกว่าก้าวกระโดด! ตลาด ‘NFT’ โตพุ่ง 21,000% มูลค่าทะลุ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ สหราชอาณาจักรกำลังศึกษาถึงมาตรการในการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาอยู่ภายใต้การตรวจสอบด้านกฎระเบียบเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงแผนการที่จะสร้าง Stablecoins เพื่อใช้ในการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์, การตรวจสอบการรักษาทางภาษีของสินเชื่อการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi), การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการออกตราสารหนี้ รวมถึงปรึกษาเกี่ยวกับกฎการเทรดคริปโตกับบริษัทชั้นนำของโลกอย่าง Bitcoin เป็นต้น
“เราไม่ควรคิดว่ากฎระเบียบเป็นสิ่งที่เข้มงวดและไม่ยืดหยุ่น แต่เราควรคิดให้กฎระเบียบเป็นเหมือนโค้ดคอมพิวเตอร์ ที่สามารถปรับแต่งและเขียนขึ้นใหม่ได้เมื่อจำเป็น” John Glen รัฐมนตรีเศรษฐกิจกระทรวงการคลัง
สำหรับ Stablecoins ที่เป็นคริปโตที่อ้างอิงมูลค่าตามสกุลเงิน เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่กำลังมีข้อกังวลเกี่ยวกับมีเหรียญ Tether ซึ่งเป็นเหรียญ stablecoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีอุปทานหมุนเวียนมากกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากการขาดความโปร่งใสเกี่ยวกับเงินสำรองที่สนับสนุนเหรียญอยู่ ซึ่งรัฐบาลสหราชอาณาจักพร้อมที่จะนำ Stablecoin เข้าสู่ระบบการกำกับดูแล
ไม่ใช่แค่เรื่องของคริปโต แต่รัฐบาลสหราชอาณาจักรกำลังศึกษาเรื่อง Web3 ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีบล็อกเชน โดย Web3 นั้นจะเป็นอีกขั้นของอินเตอร์เน็ตโดยจะกระจายอำนาจมากขึ้น
“ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า Web3 จะเป็นอย่างไร แต่มีโอกาสที่บล็อกเชนจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนา ซึ่งเราต้องการให้ประเทศนี้เป็นผู้นำแถวหน้าในการแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”