Pfizer – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 15 Feb 2022 05:58:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 หุ้น ‘Moderna’ และ ‘Pfizer’ พากันร่วง หลังการระบาดของโควิดเริ่มลดลง https://positioningmag.com/1373962 Tue, 15 Feb 2022 04:33:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373962 เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ได้คลี่คลายลง อย่างจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ในสหรัฐอเมริกาก็เริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้หุ้นของผู้ผลิตวัคซีนต่างร่วงไปตาม ๆ กัน หลายคนมองว่าหุ้นของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนอาจลดลงได้อีกหากความต้องการวัคซีนลดลง
  • หุ้นของ Moderna ร่วงลงมากกว่า -11%
  • Pfizer ร่วงลงเกือบ -2%
  • BioNTech ลดลงมากกว่า -9%
  • Novavax ลดลงมากกว่า -11%
  • Johnson & Johnson ลดลงมากกว่า -1%

ดร.แอนโธนี เฟาซี หัวหน้าที่ปรึกษาทางการแพทย์ของทำเนียบขาว กล่าวกับ Financial Times ว่า สหรัฐฯ กำลังออกจาก “การระบาดใหญ่ของ COVID-19 อย่างเต็มรูปแบบ” โดยมีจำนวนผู้ป่วยโควิดรายใหม่ประมาณ 175,000 รายต่อวัน ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ถือว่าลดลง 42% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ผู้ป่วยเมื่อช่วงวันที่ 15 มกราคม มีมากกว่า 800,000 รายต่อวัน

โดยประมาณ 64% ของประชากรสหรัฐฯ ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน จากทั้ง ไฟเซอร์, โมเดอร์นา และ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน โดยระยะเวลาเพียงแค่ 2 เดือนกว่า สัดส่วนคนอเมริกันที่ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างครบโดสเพิ่มจาก 40% เป็น 50% และอีก 4 เดือนจะไปถึงระดับ 60%

ทั้งนี้ Pfizer และ BioNTech กำลังพัฒนาวัคซีนป้องกัน COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนโดยเฉพาะ โดย อัลเบิร์ต บูร์ลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Pfizer กล่าวว่า วัคซีนสำหรับสายพันธุ์โอมิครอนจะพร้อมในเดือนมีนาคม แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่าวัคซีนใหม่จะมีความจำเป็นหรือไม่ หากจำนวนผู้ป่วยลดลงอย่างต่อเนื่อง

ที่น่าสนใจคือ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สเตฟาน บานเซล ซีอีโอของ Moderna ขายหุ้นบริษัท 19,000 หุ้น รวมเป็นเงิน 2.9 ล้านดอลลาร์ และลบบัญชี Twitter ของเขาหลังจากไม่ได้ใช้งานมาสองปี จนทำให้เกิดคำถามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

Source

]]>
1373962
“ไฟเซอร์” คาดปีนี้ฟัน 54,000 ล้านเหรียญ จากขายวัคซีน-ยาต้านไวรัส COVID-19 https://positioningmag.com/1373542 Thu, 10 Feb 2022 08:55:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373542 ไฟเซอร์คาดการณ์ ยอดขายวัคซีน COVID-19 และยาต้านไวรัสแพ็กซ์โลวิดของบริษัทน่าจะสูงถึง 54,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ขณะ WHO กระตุ้นประเทศรวยเร่งอัดฉีดช่วยเหลือโครงการแจกจ่ายวัคซีน เพื่อปิดฉาก COVID-19 ในฐานะสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสุขภาพทั่วโลกภายในปี 2022 

บริษัทไฟเซอร์ แถลงคาดการณ์เมื่อวันอังคารที่ 8 .. ว่า ยอดขายวัคซีน COVID-19 และยาต้านไวรัสแพ็กซ์โลวิดของบริษัทในปีนี้อาจสูงถึง 54,000 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นไฟเซอร์ยังแจกแจงว่า บริษัทกำลังเจรจากับกว่า 100 ประเทศเกี่ยวกับแพ็กซ์โลวิด และสามารถผลิตยาตัวนี้ได้ถึง 120 ล้านคอร์ส หากจำเป็น

ไฟเซอร์บอกว่า ในปีนี้รายรับจากยาแพ็กซ์โลวิดน่าจะได้สูงเป็นกอบเป็นกำ ถึงแม้วัคซีนที่บริษัทพัฒนาร่วมกับไบโอเอ็นเทคของเยอรมนีนั้น อาจมียอดขายสุดท้ายต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 32,000 ล้านดอลลาร์ หรือลดลงจากยอดขายปีที่ผ่านมา 13% โดยปีที่แล้วไฟเซอร์ต้องปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ยอดขายวัคซีนหลายรอบเนื่องจากได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากทั่วโลก

ในอีกด้านหนึ่ง อับดิ มาฮาหมูด ผู้จัดการฝ่ายอุบัติการณ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงเมื่อวันอังคารที่ 8 .. ว่า นับจากที่โอมิครอนได้รับการประกาศว่า เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว จนถึงขณะนี้ ทั่วโลกมีเคสผู้ติดเชื้อ 130 ล้านคน และเสียชีวิต 500,000 คน ทั้งๆ ที่ช่วงเวลานี้โลกมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพแล้วก็ตาม

เขาสำทับว่า ขณะที่ทุกคนพูดกันว่า โอมิครอนไม่ร้ายแรง แต่คนเหล่านั้นมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่า มีคนตายถึงครึ่งล้านแล้วนับจากตัวกลายพันธุ์นี้ถูกตรวจพบครั้งแรก

Photo : Shutterstock

ทางด้าน มาเรีย ฟาน เคอร์โคฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคเกี่ยวกับ COVID-19 ของ WHO สำทับว่า เพียงแค่จำนวนผู้ติดโอมิครอนที่ทราบแน่ชัดก็ยังน่าตกตะลึง โดยตัวเลขจริงจะสูงกว่านี้มาก และเสริมว่า ขณะนี้โลกยังอยู่ในระยะกลางๆ ของการระบาดใหญ่ โดยสถานการณ์การระบาดของโอมิครอนในหลายประเทศยังไม่ถึงจุดสูงสุด และเป็นไปได้ว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกหลายสัปดาห์

ในข้อมูลทางระบาดวิทยาประจำสัปดาห์ซึ่งปรับปรุงแก้ไขล่าสุด ที่เผยแพร่ในเวลาต่อมาของวันอังคาร WHO ระบุว่า สัปดาห์ที่แล้วพบผู้เสียชีวิตเกือบ 68,000 คน เพิ่มขึ้น 7% จากสัปดาห์ก่อนหน้า อย่างไรก็ดี จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง 17% อยู่ที่เกือบ 19.3 ล้านคน

หากแยกตามภูมิภาค เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ยุโรปมีสัดส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 53% ของยอดรวมทั่วโลก ขณะที่ผู้เสียชีวิตอยู่ในระดับ 35% รองลงมาคือทวีปอเมริกา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 23% ของทั่วโลก และเสียชีวิตคิดเป็น 44%

รายงานยังบอกอีกว่า ลักษณะสำคัญของโรคระบาดใหญ่ในขณะนี้ก็คือ เกิดระบาดอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในทั่วโลกของสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งเวลานี้ตรวจพบในเกือบทุกประเทศแล้ว

ทั้งนี้ โอมิครอนคิดเป็น 96.7% ของตัวอย่างที่รวบรวมในช่วง 30 วันหลังสุด ที่ได้ทำการลำดับพันธุกรรมและอัพโหลดลงบนฐานข้อมูลกลางโควิด-19 โลก หรือ GISAID ขณะที่เวลานี้เดลตา มีสัดส่วนแค่ 3.3% เท่านั้น

ปัจจุบัน มีผู้เสียชีวิตจากโควิดรวมกว่า 5.7 ล้านคน และผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 392 ล้านคนนับจากที่ไวรัสนี้อุบัติขึ้นในจีนเมื่อเดือนธันวาคม 2019 ขณะเดียวกันมีการฉีดวัคซีนไปแล้วเกือบ 10,250 ล้านโดส

Source

]]>
1373542
ผลวิจัยชี้วัคซีน ‘Moderna’ 2 โดสเสี่ยงต่ออาการ ‘หัวใจอักเสบ’ มากกว่า ‘Pfizer’ แต่หายได้ภายใน 37 สัปดาห์ https://positioningmag.com/1372979 Sun, 06 Feb 2022 05:45:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1372979 ผลวิจัยเปิดเผยว่า วัคซีนป้องกัน COVID-19 ของ Moderna จำนวน 2 โดส มีความเสี่ยงต่อการเกิดการอักเสบของหัวใจมากกว่าของ Pfizer แต่คุณสมบัติการป้องกันเชื้อ COVID-19 ของวัคซีนทั้งสองบริษัทมีมากกว่าความเสี่ยง ตามรายงานของคณะผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค

อาการ Myocarditis เป็นอาการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจที่อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรง ตามที่ National Heart, Lung and Blood Institute แม้ว่ากล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจะพบได้บ่อยที่สุดหลังการติดเชื้อไวรัส แต่ CDC ได้พบความเชื่อมโยงระหว่างการอักเสบของหัวใจกับการฉีดวัคซีนด้วยการฉีด Moderna และ Pfizer

โดยกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดวัคซีนโควิดคือ เด็กชายวัยรุ่นอายุ 18-39 ปี หลังจากฉีดวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ Moderna และ Pfizer ใช้ โดยอาการจะเกิดขึ้นภายใน 2-3 วันหลังจากฉีดวัคซีน เช่น อาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ใจสั่น และเมื่อยล้า ทั้งนี้ ทาง CDC กำลังรวบรวมข้อมูลจากองค์กรดูแลสุขภาพ 9 แห่งใน 8 รัฐ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม

ในทุก ๆ 1 ล้านวินาทีที่มีการฉีดวัคซีนพบว่า ผู้ที่รับวัคซีน Moderna มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบประมาณ 10.7 ราย และพบเกิน 21.9 รายหลังจากฉีดเข็มที่ 2 ในขณะที่ผู้หญิงมีผู้ป่วยเพิ่มเติม 1.6 ราย อย่างไรก็ตาม ไม่มีความแตกต่างในอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ได้รับการฉีดยาของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ผลการศึกษาระบุว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในโรงพยาบาลเพียงวันเดียวและไม่มีใครเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู

ด้านหน่วยงานด้านสาธารณสุขในออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา พบว่า อัตราของกล้ามเนื้อหัวใจหัวใจอักเสบในผู้ชายอายุ 18-24 ปีเพิ่มขึ้น 5 เท่า หลังการฉีดวัคซีน Moderna ครั้งที่ 2 เมื่อเทียบกับของ Pfizer

ดร.ซาร่า โอลิเวอร์ เจ้าหน้าที่ของ CDC กล่าวว่า คาดว่าจะมีผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเพิ่มขึ้นหลังจากวัคซีนของ Moderna แต่การฉีดวัคซีนดังกล่าวจะช่วยป้องกันการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรค COVID-19 ได้มากกว่าวัคซีนของ Pfizer ดังนั้น ประโยชน์ที่ได้รับสำหรับวัคซีน mRNA มีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ในประเทศแคนาดา สหราชอาณาจักร และประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศได้แนะนำวัคซีนของ Pfizer มากกว่าวัคซีนของ Moderna ในกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงสูง โดยวัคซีนของ Moderna ได้รับการอนุมัติให้ใช้กับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป วัคซีนของ Pfizer ได้รับการอนุมัติอย่างสมบูรณ์สำหรับผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป และได้รับอนุญาตในกรณีฉุกเฉินสำหรับเด็กอายุ 5 ถึง 15 ปี

“อย่างน้อยที่สุด ผู้ชายที่อายุน้อยควรแนะนำให้ฉีด Pfizer มากกว่ากับ Moderna”

Photo : Shutterstock

อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังจากฉีดวัคซีนโควิดสามารถฟื้นตัวเต็มที่ และส่วนใหญ่รายงานว่าไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของพวกเขา โดยพบว่า 81% มีโอกาสที่จะหายดีภายใน 37 สัปดาห์หลังเกิดอาการ อีก 15% ดีขึ้น ในขณะที่ 1% ไม่ดีขึ้น แต่ยังไม่พบการเสียชีวิตจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม แพทย์แนะนำว่าผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักเป็นเวลา 2-3 เดือนเพื่อให้แน่ใจว่าหัวใจจะฟื้นตัวเต็มที่

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์เปิดเผยว่า มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากการติดเชื้อ COVID-19 มากกว่าเกิดจากการฉีดวัคซีนถึง 100 เท่า

“การมุ่งเน้นไปที่วัคซีนและกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบมีอันตรายอยู่บ้าง แต่การเกิดอาการดังกล่าวจากการติดเชื้อ COVID-19 อาจถึงขั้นร้ายแรงถึงชีวิตได้” ดร.คามิลล์ คอตตอน ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ กล่าว

Source

]]>
1372979
‘ไฟเซอร์’ ฟัน! โควิดจะกลายเป็น ‘โรคประจำถิ่น’ ภายในปี 67 https://positioningmag.com/1367768 Mon, 20 Dec 2021 05:32:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1367768 2 ปีผ่านไปสำหรับการระบาดของ COVID-19 แม้จะมีวัคซันออกมาแต่ไวรัสเองก็พัฒนาสายพันธุ์ใหม่ ๆ ออกมาหนีภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของ ‘ไฟเซอร์’ (Pfizer) ได้ออกมาคาดการณ์ว่า COVID-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น หรือเป็นเหมือน ‘ไข้หวัดใหญ่’ อย่างเร็วที่สุดในปี 2567

“เราเชื่อว่า COVID-19 จะเปลี่ยนไปเป็นสถานะเป็นโรคประจำถิ่นภายในปี 2024 ซึ่งหมายความว่าไวรัสจะไม่ใช่ภาวะฉุกเฉินทั่วโลกอีกต่อไป” Nanette Cocero ประธานบริษัท Pfizer Vaccines กล่าว

ทั้งนี้ ไวรัส COVID-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นก็ต่อเมื่อ ประชากรมีภูมิคุ้มกันเพียงพอจากวัคซีนหรือจากการติดเชื้อ จนสามารถรักษาการแพร่เชื้อ การรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต แม้ว่าไวรัสจะแพร่ระบาดอยู่ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาของการเปลี่ยนแปลงของ COVID-19 ไปสู่สถานะเฉพาะถิ่นอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ตามข้อมูลของ Mikael Dolsten หัวหน้าเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ของไฟเซอร์

“สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับวิวัฒนาการของโรค ปริมาณการใช้วัคซีนและการรักษาว่ามีประสิทธิภาพเพียงใด และการกระจายวัคอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อัตราการฉีดวัคซีนยังต่ำ แต่แน่นอนว่าการเกิดขึ้นของสายพันธุ์ใหม่อาจส่งผลกระทบต่อการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง” Dolsten กล่าว

ความคิดเห็นจากผู้บริหารของไฟเซอร์เกิดขึ้นในขณะที่ทั่วโลกยังต้องต่อสู้กับการระบาดของ COVID-19 ที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะจากตัวแปรเดลต้า ในขณะที่ สายพันธุ์โอมิครอน เองกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยในสหรัฐฯ จำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 7 วันเพิ่มขึ้น 4%

แองเจลา ฮวัง ประธานกลุ่มบริษัท Pfizer Biopharmaceuticals Group กล่าวว่า การเก็บวัคซีนและการรักษาโควิด เช่น ยาเม็ดต้านไวรัสของไฟเซอร์อาจกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นเนื่องจากโรคนี้กลายเป็นโรคประจำถิ่น โดยคาดว่าประเทศต่าง ๆ จะให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนโควิดประจำปี

Source

]]>
1367768
Pfizer ครบโดสป้องกันติดเชื้อ “โอมิครอน” ได้แค่ 33% แต่ยังป้องกันป่วยหนักได้ 70% https://positioningmag.com/1366918 Wed, 15 Dec 2021 04:41:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1366918 ผลศึกษาจากพื้นที่จริงในแอฟริกาใต้ พบว่า วัคซีน Pfizer เมื่อฉีดครบโดสสามารถป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” ได้ลดลงเหลือเพียง 33% แต่การป้องกันการป่วยหนักยังอยู่ในระดับ 70%

สำนักข่าว Reuters รายงานจากผลการศึกษาในแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นพื้นที่การระบาดจริงของ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน จัดทำโดย Discovery Health บริษัทประกันสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ร่วมกับ สภาการวิจัยทางการแพทย์แห่งแอฟริกาใต้

จากกลุ่มตัวอย่างที่รับวัคซีน Pfizer ครบโดสแล้ว และติดเชื้อระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม 2021 พบว่า 70% ไม่มีอาการป่วยหนักจนต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล ซึ่งลดลงจากอัตราป้องกันการเข้าโรงพยาบาล 93% ในช่วงที่สายพันธุ์เดลตาระบาด ทั้งนี้ การป้องกันการป่วยหนักทำได้ในทุกกลุ่มอายุตั้งแต่ 18-79 ปี แต่ในกลุ่มผู้สูงอายุจะป้องกันได้ลดลงเล็กน้อย

ส่วนการป้องกันการติดเชื้อโอมิครอน Pfizer ครบโดสทำได้เพียง 33% เท่านั้น เมื่อเทียบกับอัตราป้องกัน 80% ต่อเชื้อสายพันธุ์เดลตา

การศึกษานี้ถือเป็นรายงานแรกๆ ที่มาจากโลกจริง เทียบกับก่อนหน้านี้จะเป็นข้อมูลจากการศึกษาในแล็บ ซึ่งมีผลเบื้องต้นออกมาอยู่แล้วว่า วัคซีนจะได้ผลน้อยลงกับไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน

รายงานฉบับนี้ศึกษาจากผลการตรวจเชื้อผู้ป่วย COVID-19 จำนวน 211,000 ราย ในจำนวนนี้มีประมาณ 78,000 รายที่ติดเชื้อพันธุ์โอมิครอน

บทสรุปในรายงานมองว่า มีความเป็นไปได้ที่โอมิครอนจะทำให้เกิดความเสี่ยงการติดเชื้อซ้ำในหมู่ประชากร แม้ว่าจะฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว แต่ก็ยังถือว่าสถานการณ์น่าจะดีกว่าการระบาดรอบแรกเมื่อปี 2020 ที่ยังไม่มีการป้องกันใดๆ อยู่ 29%

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยย้ำอีกครั้งว่าการศึกษาเหล่านี้ยังไม่ชัดเจนแน่นอน ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป และมีอีกหลายเรื่องที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับโอมิครอน เช่น ในเชิงสถิติแล้วแอฟริกาใต้มีเด็กวัยต่ำกว่า 5 ขวบเข้าโรงพยาบาลจากการติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาก แต่ยังไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับสายพันธุ์โอมิครอนหรือไม่ และยังไม่รู้ว่าสรุปแล้วโอมิครอนจะระบาดได้ไวกว่าเดลตาจริงหรือไม่

แอฟริกาใต้เริ่มแจ้งเตือนการค้นพบสายพันธุ์โอมิครอนมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ทำให้ทั้งโลกตื่นตัวและเริ่มสกัดการเดินทางจากทางใต้ของทวีปแอฟริกา การติดเชื้อใหม่รายวันในแอฟริกาใต้พุ่งสูงขึ้นจนรอบสัปดาห์นี้มีการติดเชื้อใหม่เฉลี่ย 20,000 รายต่อวัน แต่ผู้เสียชีวิตยังไม่พุ่งสูงมากนัก โดยจำนวนผู้เสียชีวิตยังอยู่ระหว่าง 20-40 คนต่อวัน ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

Source

]]>
1366918
สิงคโปร์ อนุมัติฉีดวัคซีนโควิดของ Pfizer ให้เด็กอายุ 5-11 ปี ภายในสิ้นปีนี้ https://positioningmag.com/1366382 Sat, 11 Dec 2021 08:29:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1366382 สิงคโปร์ อนุมัติใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ Pfizer-BioNTech กับเด็กอายุ 5-11 ปี โดยจะเริ่มฉีด ภายในสิ้นปีนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเเพร่ระบาดในเด็ก เเละความเสี่ยงของไวรัสกลายพันธุ์ นอกจากนี้ยังขยายเวลา ‘ฉีดบูสเตอร์’ ให้กับประชาชนอายุระหว่าง 18-29 ปีด้วย

สำหรับวัคซีนของ Pfizer-BioNTech ที่จะฉีดให้เด็กในวัยดังกล่าว จะใช้ปริมาณโดสเพียง 1 ใน 3 ของวัคซีนที่ฉีดให้แก่ผู้ใหญ่เท่านั้น (เข็มละ 10 ไมโครกรัม น้อยกว่าปริมาณปกติ 3 เท่า) โดยจะฉีดทั้งหมดสองเข็ม เเละเว้นระยะเวลาห่างกันประมาณ 21 วัน

ทั้งนี้ วัคซีนของ Pfizer-BioNTech เป็นวัคซีนโควิด-19 ชนิดเเรกที่รัฐบาลสิงคโปร์ได้รับรองเป็นกรณีฉุกเฉินให้ใช้งานกับเด็กเล็กได้

ปัจจุบัน สิงคโปร์ เร่งฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนไปเเล้วกว่า 87% จากทั้งหมด 5.5 ล้านคนทั่วประเทศ นับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการกระจายวัคซีนสูงสุดในโลก

โดยรัฐบาลสิงคโปร์เพิ่งประกาศมาตรการเข้มงวด เก็บค่ารักษาพยาบาลกับผู้ป่วยโควิด-19 ที่เลือกไม่ฉีดวัคซีน
หลังยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่กลับมาพุ่งสูง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่ยังไม่ฉีดวัคซีน เเละยังกำหนดให้พนักงานในองค์กรต่างๆ ทั่วประเทศ ต้องฉีดวัคซีนโควิดครบโดส นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ปีหน้าเป็นต้นไป ผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนต้องมีผลตรวจเป็นลบเท่านั้น ถึงจะเข้าออฟฟิศได้ เเละต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง

 

ที่มา : CNA

]]>
1366382
ซีอีโอ ‘ไฟเซอร์’ คาดจำนวนเคส ‘โอมิครอน’ จะเพิ่มจากหลักสิบเป็นหลักล้านในอีกไม่กี่สัปดาห์ https://positioningmag.com/1365810 Wed, 08 Dec 2021 05:37:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1365810 ปัจจุบัน COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) ได้ระบาดไปแล้วใน 54 ประเทศทั่วโลก รวมถึงไทยที่พบผู้ป่วยติดเชื้อรายแรก โดยเป็นผู้ป่วยชาวอเมริกันเดินทางจากประเทศสเปน ซึ่งทาง อัลเบิร์ต บูร์ลา ซีอีโอของไฟเซอร์ ได้ออกมาพูดถึงการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนว่าแพร่กระจายได้เร็วกว่าสายพันธุ์ก่อน และจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มเป็นหลักล้านในไม่กี่สัปดาห์จากนี้

อัลเบิร์ต บูร์ลา ซีอีโอของไฟเซอร์ มองว่า COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนมีโอกาสที่จะรุนแรงกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ เพราะแพร่กระจายเร็วขึ้นและอาจนำไปสู่ การกลายพันธุ์ที่มากขึ้นในอนาคต และคาดว่าจำนวนเคสโอมิครอนที่ได้รับการยืนยันจะเพิ่มขึ้นจากหลายสิบเป็นล้านในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

“เราไม่คิดว่ามันเป็นข่าวดี เมื่อมันสามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เพราะนั่นหมายความว่าจะมีผู้คนหลายพันล้านคนที่ติดเชื้อ และการกลายพันธุ์อื่นอาจเกิดขึ้น”

ด้าน ดร.แอนโธนี เฟาซี หัวหน้าที่ปรึกษาทางการแพทย์ของทำเนียบขาว กล่าวว่า รายงานในช่วงสุดสัปดาห์จากแอฟริกาใต้ระบุว่า โอมิครอนไม่รุนแรงเท่าที่กลัวในตอนแรก อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประเมินความเสี่ยงที่เกิดจากตัวแปรนี้อย่างเต็มที่

โดยรายงานของสภาวิจัยทางการแพทย์แห่งแอฟริกาใต้ที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ ระบุว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพริทอเรีย ซึ่งป่วยด้วยโรค COVID-19 ไม่ต้องการออกซิเจนเสริม นอกจากนี้รายงานยังตั้งข้อสังเกตว่าผู้ป่วยจำนวนมากเข้ารับการรักษาด้วยเหตุผลทางการแพทย์อื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม บูร์ลาเตือนว่า เป็นเรื่องยากที่จะสรุปผลจากการระบาดของการติดเชื้อในแอฟริกาใต้ในขณะนี้ เพราะมีชาวแอฟริกาใต้เพียง 5% เท่านั้นที่อายุเกิน 60 ปี และคนที่อายุน้อยกว่ามักติดเชื้อ COVID-19 น้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้คนจำนวนมากในแอฟริกาใต้ติดเชื้อเอชไอวีด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงจากโควิด

ทั้งนี้ ไฟเซอร์สามารถพัฒนาวัคซีนที่สามารถต่อต้านสายพันธุ์โอมิครอนได้ภายในเดือนมีนาคม 2565 แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจำเป็นต้องฉีดวัคซีนใหม่หรือไม่ และอาจจะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการพิจารณาว่า วัคซีนปัจจุบันให้การป้องกันที่เพียงพอต่อตัวแปรหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ไฟเซอร์มั่นใจว่ายาต้านไวรัส Paxlovid จะต่อสู้กับโอมิครอนและไวรัสอื่น ๆ ทุกชนิดที่โผล่ออกมา เพราะยาเม็ดยับยั้งเอนไซม์ที่ไวรัสจำเป็นต้องทำซ้ำหรือที่เรียกว่า โปรตีเอส เพราะมันเป็นเรื่องยากมากสำหรับไวรัสที่จะกลายพันธุ์โดยปราศจากเอนไซม์โปรตีเอส

“มันยากมากสำหรับไวรัสที่จะสร้างสายพันธุ์ที่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากโปรตีเอสนี้”

ทั้งนี้ บูร์ลาไม่ได้คาดหวังว่าจะสามารถกำจัดโควิดได้ทั้งหมดในเร็ว ๆ นี้ แต่เชื่อว่าสังคมจะเริ่มมองไวรัสเหมือนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากขึ้นได้รับการฉีดวัคซีนและการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นออกสู่ตลาด

Source

]]>
1365810
ยาเม็ด Paxlovid ต้านโควิดของ Pfizer ประสิทธิภาพ 89% คาดราคาคอร์สละ 2.3 หมื่น https://positioningmag.com/1360699 Sat, 06 Nov 2021 10:39:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1360699 การทดลองยาเม็ดต้านไวรัสสำหรับรักษา COVID-19 ของไฟเซอร์ อิงค์ ลดโอกาสที่ผู้ป่วยเสี่ยงติดเชื้ออาการรุนแรงจะเข้าโรงพยาบาล หรือเสียชีวิตได้ 89% ขณะที่ซีอีโอของบริษัทระบุว่า จะทำให้อาวุธใหม่ในการต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่เข้าถึงได้ทั่วโลกอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ผลการทดลองดังกล่าวบ่งชี้ว่ายาเม็ดของไฟเซอร์มีประสิทธิภาพเหนือกว่ายาโมลนูพิราเวียร์ ของบริษัทเมอร์คแอนด์โค อิงค์ ซึ่งเผยผลการทดลองเมื่อเดือนที่แล้ว ว่าช่วยลดโอกาสที่ผู้ป่วยความเสี่ยงสูงติดเชื้ออาการรุนแรงจะเข้าโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ 50%

ยาเม็ดของไฟเซอร์ มีชื่อว่า แพ็กซ์โลวิด (Paxlovid) อาจได้รับการอนุมัติจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบในช่วงสิ้นปี ในขณะที่ไฟเซอร์มีแผนยื่นผลการทดลองชั่วคราวต่อสำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) ก่อนวันหยุดวันขอบคุณพระเจ้า 25 พฤศจิกายน โดยการทดลองหยุดลงก่อนกำหนด เนื่องจากอัตราความสำเร็จระดับสูงของมัน หลังจากใช้เวลาพัฒนามานานเกือบ 2 ปี

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เผยว่ารัฐบาลอเมริกาได้สั่งซื้อยาของไฟเซอร์แล้วหลายล้านคอร์ส “ถ้าได้รับอนุมัติจากเอฟดีเอ เร็วๆ นี้เราอาจมียาเม็ดรักษาไวรัสในคนที่ติดเชื้อ ยารักษานี้จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในกล่องเครื่องมือของเรา เพื่อปกป้องประชาชนจากผลลัพธ์ที่เลวร้ายของโควิด”

(Photo by Jeenah Moon/Getty Images)

หุ้นของไฟเซอร์ ผู้ผลิตหนึ่งในวัคซีน COVID-19 ที่ใช้กันอย่างกว้างขวางที่สุดพุ่งทะยาน 11% ปิดที่ 48.61 ดอลลาร์ ส่วนเมอร์ค ปิดลบ 10% อยู่ที่ 81.61 ดอลลาร์ ส่วนหุ้นของผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยทั้งโมเดอร์นา โนวาแว็กซ์ และไบออนเทค พันธมิตรสัญชาติเยอรมนีของไฟเซอร์ ต่างปิดลบราว 11-21%

แพ็กซ์โลวิด เป็นยาต้านไวรัสชนิดเม็ดที่ถูกออกแบบมาให้ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส (protease) ซึ่งเชื้อไวรัสต้องใช้ในการเพิ่มจำนวน และเมื่อใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสชนิดเม็ดที่เรียกว่า “ริโทนาเวียร์” (ritonavir) ในโดสที่ต่ำ จะทำให้แพ็กซ์โลวิดอยู่ในร่างกายได้นานขึ้น ในการใช้แพ็กซ์โลวิด ผู้ป่วยต้องรับประทานยาครั้งละ 3 เม็ด วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน

อัลเบิร์ต บัวร์ลา ซีอีโอของไฟเซอร์ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ว่า ไฟเซอร์กำลังพูดคุยอย่างกระตือรือร้นกับประเทศต่างๆ 90 ชาติ เกี่ยวกับสัญญาจัดซื้อจัดหายาเม็ดแพ็กซ์โลวิด “เป้าหมายของเราคือทุกคนในโลกจะสามารถเข้าถึงมันอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

Photo : Shutterstock

บัวร์ลา กล่าวต่อว่า สำหรับประเทศที่มีรายได้สูง ไฟเซอร์คาดหมายว่าราคาของการรักษาน่าจะพอๆ กับราคายาของเมอร์ค โดยราคาของเมอร์คที่ทำไว้กับสหรัฐฯ อยู่ที่ราวๆ 700 ดอลลาร์ (ราว 23,000บาท) ต่อ 1 คอร์สรักษาที่ใช้เวลา 5 วัน ส่วนบรรดาประเทศที่มีรายได้ต่ำ บัวร์ลา บอกว่า ไฟเซอร์กำลังพิจารณาหลายทางเลือก โดยมีเป้าหมายคือไม่เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงของประเทศเหล่านี้

พวกผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ แม้ยาเม็ดไฟเซอร์และเมอร์คคืออีกทางเลือกที่เป็นไปได้ แต่การป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ผ่านการฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวาง ยังคงเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับควบคุมโรคระบาดใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 5 ล้านคนทั่วโลก ในนั้นมากกว่า 750,000 รายในสหรัฐฯ

ไฟเซอร์คาดหมายว่าจะผลิตยาเม็ดได้ 180,000 คอร์สรักษาในช่วงสิ้นปีนี้ และอย่างน้อย 50 คอร์สในช่วงสิ้นปีหน้า ในนั้นรวมถึง 21 ล้านคอร์สช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตามทาง บัวร์ลา ระบุว่าไฟเซอร์กำลังพิจารณาความเป็นไปได้ของเพิ่มเป้าหมายการผลิตในปีหน้าเป็น 2 เท่า

บริษัทไฟเซอร์เปิดเผยว่า อาสาสมัครที่เข้าร่วมการทดลองดังกล่าวมีจำนวน 1,219 คน โดยเป็นผู้ป่วย COVID-19 ที่มีอาการไม่รุนแรงถึงปานกลาง และมีความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรงจากโรคโควิด-19 ซึ่งได้แก่ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และการมีอายุมากกว่า 60 ปี

ไฟเซอร์
(Photo by Noam Galai/Getty Images)

ผลการทดลองพบว่า หากผู้ป่วย COVID-19 ได้รับยาของไฟเซอร์ภายในเวลา 3 วันหลังมีอาการ จะมีจำนวนเพียง 0.8% ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และไม่มีผู้เสียชีวิตภายใน 28 วันหลังจากที่ได้รับยา ขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกจำนวน 7% ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 7 คน

นอกจากนี้ หากผู้ป่วยโควิด-19 ได้รับยาของไฟเซอร์ภายในเวลา 5 วันหลังมีอาการ จะมีจำนวน 1% ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และไม่มีผู้เสียชีวิต ขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอก จำนวน 6.7% ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 10 คน ซึ่งไฟเซอร์ บอกว่ามันเป็นตัวแทนของประสิทธิภาพ 85% ของการป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต

ไฟเซอร์ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับผลข้างเคียงใดๆ แต่บอกว่าอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นราวๆ 20% ทั้งในคนไข้ที่ได้รับการรักษาด้วยยาจริงและยาหลอก ซึ่งผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นมีทั้งคลื่นไส้และท้องเสีย

Source

]]>
1360699
ซีอีโอ ‘ไฟเซอร์-โมเดอร์นา’ มองโลกจะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ใน 1 ปี อาจต้องฉีดวัคซีนทุกปี https://positioningmag.com/1353450 Mon, 27 Sep 2021 08:12:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1353450 ซีอีโอของสองบริษัทผู้ลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลกอย่างไฟเซอร์เเละโมเดอร์นามีความเห็นตรงกันถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่าภายใน 1 ปี สังคมโลกจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ เเต่อาจจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี

Albert Bourla ซีอีโอของไฟเซอร์ (Pfizer) ให้สัมภาษณ์ในรายการ This Week ของ ABC ว่า ผู้คนจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ภายใน 1 ปีนับจากนี้ แต่ก็ยังมีข้อควรระวังอยู่ เเละไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องฉีดวัคซีนอีก เพราะยังมีตัวแปรอื่นๆ อีกมาก ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดเป็นประจำทุกปี เพื่อรองรับไวรัสกลายพันธุ์

อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า นี่เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น โดยต้องรอดูสถานการณ์และข้อมูลให้ชัดเจนมากขึ้น

ด้าน Stephane Bancel ซีอีโอของโมเดอร์นา (Moderna) ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Neue Zuercher Zeitung ว่า การระบาดของโควิด-19 อาจจะสามารถสิ้นสุดลงได้ภายใน 1 ปีนับจากนี้ หากยังคงมีการผลิตเเละฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง

โดยหากดูถึงอัตราการขยายตัวของอุตสาหกรรม ในด้านกำลังการผลิตวัคซีนเมื่อช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จะพบว่ามีวัคซีนเพียงพอ’ ในกลางปีหน้า ซึ่งจะทำให้ทุกคนบนโลกสามารถเข้าถึงการฉีดวัคซีน เเละยังสามารถฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เป็นบูสเตอร์ช็อตได้หากมีความจำเป็น

ขณะเดียวกัน เขามองว่า กลุ่มผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ก็จะได้รับภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ จากมีตัวแปรสำคัญอย่างสายพันธ์ุเดลตาที่ติดต่อได้ง่าย ผู้ได้รับวัคซีนเเล้วอาจมีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ เเต่กับคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน จะมีความเสี่ยงติดเชื้อและอาจป่วยถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลมากกว่า

เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เพิ่งจะอนุมัติให้สามารถฉีดวัคซีนป้องกันโควิดของ Pfizer-BioNTech เป็นเข็มบูสเตอร์ช็อตได้ สำหรับผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปและผู้ที่มีอายุ 18-64 ปี ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง หรือผู้ที่ทำงานในที่เสี่ยงภัย ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มมาแล้วเกิน 6 เดือน

ท่ามกลางข้อถกเถียงเรื่องการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ไม่เห็นด้วยเนื่องจากเป็นข้อได้เปรียบของประเทศร่ำรวยเเละยังมีอีกหลายประเทศทั่วโลกยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรก

ซีอีโอไฟเซอร์ ตอบคำถามถึงประเด็นนี้ว่า สิ่งที่ต้องคำนึงถึงที่สุดในตอนนี้คือความจำเป็นของเข็มกระตุ้น ซึ่งถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ต้องใช้

ก่อนหน้านี้ ไฟเซอร์คาดการณ์ยอดขายวัคซีนของบริษัทในปีนี้มากกว่า 2.6 หมื่นล้านเหรียญ เเละกำลังมองหาวิธีที่จะเพิ่มการผลิต โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ได้ 3 พันล้านโดสภายในปีนี้ และ 4 พันล้านโดสในปีหน้า

จากข้อมูลของ IQVIA Holdings ระบุว่า ค่าใช้จ่ายสำหรับวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก และวัคซีนเข็มต่อไปเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อาจมีมูลค่ารวมสูงถึง 1.57 เเสนล้านเหรียญในปี 2025

 

 

ที่มา : CNBC , Fox Business

]]>
1353450
สหรัฐฯ เตรียมอนุมัติใช้วัคซีนของ ‘ไฟเซอร์’ ในเด็กอายุ 5-11 ปี คาดเร็วสุดในสิ้นเดือนต.ค.นี้ https://positioningmag.com/1351395 Sun, 12 Sep 2021 12:07:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1351395 สหรัฐฯ เตรียมอนุมัติใช้วัคซีนต้านโควิดของไฟเซอร์ไบออนเทคในกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี คาดเร็วสุดในสิ้นเดือนต..นี้

สำนักข่าว Reuters รายงานโดยอ้างเเหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสูง บอกว่า วัคซีนของไฟเซอร์ไบออนเทค’ (Pfizer-BioNTech) จะมีข้อมูลการทดลองทางคลินิกเพียงพอ ที่จะขออนุมัติการใช้วัคซีนในภาวะฉุกเฉิน (EUA) เพื่อใช้สำหรับกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปีในช่วงปลายเดือนนี้

โดยหากไทม์ไลน์การยื่นขออนุมัติวัคซีนดังกล่าวตรงกำหนดประเมินว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ จะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ในการตัดสินใจ ว่ามีความปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งหากผ่านการตรวจสอบจะสามารถนำไปฉีดให้เเก่เด็กวัยดังกล่าวได้เร็วที่สุดในช่วงสิ้นเดือนต.ค.

ทั้งนี้ ไฟเซอร์ ผ่านการอนุมัติให้ใช้วัคซีนสำหรับกลุ่มเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปแล้ว

ชาวอเมริกันหลายล้านคน ตั้งตารอการอนุมัติใช้วัคซีนสำหรับเด็กเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ ผู้ปกครองที่บุตรหลาน เริ่มเปิดเทอมในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางโรคระบาดที่ยังรุนแรง จากตัวแปรสำคัญคือสายพันธุ์เดลตาซึ่งทำให้ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งกระฉูด โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน

ด้าน ไบออนเทค ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์กับไฟเซอร์ เปิดเผยกับ Der Spiegel สื่อเยอรมนี คาดว่า บริษัทจะยื่นคำร้องถึงคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบทั่วโลก เพื่อขอใช้วัคซีนโควิด-19 ในเด็กอายุตั้งเเต่ 5 ขวบขึ้นไปในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อยื่นขออนุมัติ

 

 

ที่มา : Reuters , CNBC 

 

 

]]>
1351395