SC ASSET – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 12 Apr 2024 03:19:56 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดวิสัยทัศน์ซีอีโอ “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” กับอนาคตของ “SC” และ “อสังหาฯ ไทย” ในทศวรรษหน้า https://positioningmag.com/1469923 Thu, 11 Apr 2024 08:44:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469923 คุยกับหัวเรือใหญ่ของ “SC” เปิดมุมมองจาก “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” กับการนำบริษัทก้าวสู่ทศวรรษต่อไปด้วยกลยุทธ์​ “มหาศาล มั่นคง สมดุล” ตั้งรับความเปลี่ยนแปลงในตลาด “อสังหาฯ ไทย” ที่รายใหญ่จะแข่งกันดุเดือดยิ่งขึ้น พร้อมแชร์มุมมองเรื่องพฤติกรรม “Generation Rent” ของคนรุ่นใหม่ การผ่อนเกณฑ์ให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาฯ ไทยง่ายขึ้น และปัญหารายได้โตไม่ทันราคาบ้านในวันนี้

 

Q: กลยุทธ์ของ SC Asset ในทศวรรษที่ 3 ของบริษัทคืออะไร

A: ทศวรรษที่ 3 ของ SC เราวางกลยุทธ์ที่จะทำอยู่ 3 ด้าน คือ “มหาศาล มั่นคง สมดุล”

ความหมายของ “มหาศาล” คือ เป้าหมายในด้านรายได้ต้องมหาศาล ใน 5 ปีข้างหน้าบริษัทเราจะมีรายได้สะสมรวม 1.5 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 3 หมื่นล้านบาท

แต่อสังหาฯ ยุคนี้จะต้อง “มั่นคง” มากด้วยเพราะเป็นธุรกิจที่ต้องใช้ทุนสูงขึ้น แปลว่าเราจะต้องมีจอยต์เวนเจอร์ (JV) เพื่อช่วยกันเติบโต

รวมถึงเราจะต้อง “สมดุล” ในธุรกิจ นั่นทำให้เรามีเป้าหมายเรื่อง Engine 2 ของบริษัท พอร์ตสินทรัพย์สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ของเราจะต้องทำกำไรคิดเป็นสัดส่วน 25% ใน EBITDA

เอสซี แอสเสท

Q: การสร้าง “สมดุล” ให้บริษัท SC มีการลงทุนธุรกิจอะไรบ้าง และอนาคตจะเน้นหนักในด้านไหน

A: ขณะนี้เราลงทุนอยู่ 4 ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ คือ โรงแรม คลังสินค้า ออฟฟิศ และอะพาร์ตเมนต์

ธุรกิจที่เราจะเน้นในช่วงนี้คือ “โรงแรม” และ “คลังสินค้า” เพราะการท่องเที่ยวกำลังกลับมา และอีคอมเมิร์ซกำลังเติบโต ทุกๆ ปีเรากันงบ 10-15% ของงบลงทุนไว้ลงทุนกับ Engine 2 นี้ โดยจะให้น้ำหนักลงทุนสองธุรกิจนี้ใกล้เคียงกัน แต่จังหวะการลงทุนจะดูตามสถานการณ์

ปัจจุบันโรงแรมที่เรามีการลงทุนแล้วมีอยู่ 3 แห่ง รวมทั้งหมด 600 ห้อง คาดว่าภายใน 5 ปีน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,000-2,000 ห้อง ส่วนคลังสินค้ามีการลงทุนแล้วกว่า 160,000 ตารางเมตร คาดว่าใน 5 ปีข้างหน้าจะลงทุนเพิ่มเฉลี่ยปีละ 100,000 ตารางเมตร

SC Asset
โรงแรม YAHN (ย่าน) ราชวัตร โรงแรมแรกในเครือ SC Asset โดยปีนี้บริษัทจะลงทุนโรงแรมเพิ่มอีก 2 แห่ง ที่สุขุมวิท 29 และ พัทยา

 

Q: ในแง่ของการสร้างความ “มั่นคง” ด้วยกลยุทธ์ JV มองในธุรกิจไหน ใครที่จะมาเป็นพาร์ทเนอร์เร็วๆ นี้

A: การหาพาร์ทเนอร์ JV ของเราต้องการร่วมมือกันในระยะยาว สิ่งที่มองหาคือคนที่ให้ได้ทั้งทุนและนวัตกรรมที่จะมาทำด้วยกัน ที่ผ่านมาเราเคยมี JV แล้วในกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม เราร่วมกับทุนญี่ปุ่นอย่าง “Nishitetsu Group” และ “Tokyo Tatemono” ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้าเรามีการร่วมทุนกับ “Flash Group”

ในปีนี้เราจะมีพาร์ทเนอร์ JV รายใหม่เข้ามาในธุรกิจโรงแรม ส่วนธุรกิจอื่นๆ ยังไม่มีที่อยู่ระหว่างเจรจา แต่ก็มีความเป็นไปได้หากต้องลงทุนใหญ่ เช่น โครงการแนวราบ หากจะซื้อที่ดินขนาด 200-300 ไร่ในวันนี้ก็อาจจะต้องมีพาร์ทเนอร์ร่วมทุน

The Crest Park Residences คอนโดฯ ร่วมทุนของ SC Asset กับ Nishitetsu Group
Q: ธุรกิจหลักคือการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขาย SC มีแนวคิดอย่างไร

A: คิดว่าอนาคตคนก็จะยังเลือกซื้อที่อยู่อาศัยด้วย 3 ปัจจัยหลัก คือ ทำเล คุณภาพ และความปลอดภัย ซึ่งเราคิดว่าแบรนด์ SC สามารถส่งมอบทั้งหมดนี้ให้กับลูกค้าได้แล้ว แต่แบรนด์ก็เหมือนคนคือต้องไม่หยุดนิ่งในการพัฒนา

บริบทโลกยุคนี้เราจะต้องสร้าง “ความหลากหลาย” และ “คุณค่า” ให้กับแบรนด์ ความหลากหลายของสินค้าที่ SC มีให้จะทำให้คนไม่มองว่าแบรนด์เรามีมากกว่าแค่บ้านหรู ส่วนการสร้างคุณค่าคือสร้างคุณค่าให้กับสังคมด้วย

 

Q: วันนี้ SC มีสินค้าที่หลากหลายเพียงพอแล้วหรือยัง

A: กลุ่มแนวราบเราวันนี้มีตั้งแต่ราคา 3 ล้านบาทไปจนถึงมากกว่า 100 ล้านบาท แต่ก็ยังมีจุดที่เรายังไม่ได้เข้าไปมากนักคือ “ทาวน์โฮมราคา 2-10 ล้านบาท” กลุ่มนี้เรามีส่วนแบ่งตลาดน้อย และคิดว่าปีหน้าน่าจะได้เห็นบริษัทบุกเข้าไปมากขึ้น

ส่วนกลุ่มคอนโดฯ เรามีในกลุ่มราคา 100,000 บาทต่อตร.ม. ขึ้นไปจนถึง 1 ล้านบาทต่อตร.ม. คิดว่าครบทุกเซ็กเมนต์ที่เราต้องการพัฒนา

SC Asset
Verve รามคำแหง-วงแหวน ทาวน์โฮมในเครือ SC ราคาเริ่ม 3.89 ล้านบาท

 

Q: 5 ปีข้างหน้า คิดว่าอสังหาฯ ไทยจะมีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม

A: สิ่งที่เปลี่ยนไปคิดว่ามี 3 เรื่องหลัก คือ หนึ่ง การแข่งขัน เพราะจะเหลือแต่รายใหญ่เท่านั้นที่พร้อมทั้งเงินทุน บุคลากร และเทคโนโลยี จากวันนี้รายใหญ่กินตลาดไปแล้ว 70-80% ในอนาคตคิดว่าจะยิ่งมากขึ้นเป็น 80-90%

สอง รายใหญ่จะทำงานด้านความหลากหลายทางธุรกิจเหมือนๆ กัน เพราะทุกคนต้องการกระจายความเสี่ยง

สาม เรื่องสิ่งแวดล้อม บริษัทยิ่งใหญ่ยิ่งต้องเน้นเรื่องนี้ เพราะอนาคตสังคมจะกดดันเรามากขึ้นๆ จะมีคำถามว่า ‘สร้างบ้านหนึ่งหลังหรือโรงแรมหนึ่งแห่งคุณปล่อยคาร์บอนฟุตปรินท์เท่าไหร่’ ถ้าเราไม่มีนโยบายด้านนี้เลยก็จะทำให้เราไม่มีคุณค่าต่อผู้บริโภค

Q: แล้วในแง่พฤติกรรมผู้บริโภคกับที่อยู่อาศัย มีอะไรที่อาจจะเปลี่ยนไปไหม?

A: คนรุ่นใหม่ Gen Z มีแนวโน้มจะเป็น “Generation Rent” มากขึ้น ทำให้เรากำลังศึกษาโมเดลที่จะตอบโจทย์คนยุคใหม่ เช่น ระบบ “Rent-to-Own” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนเงินค่าเช่าเป็นเงินดาวน์บ้าน หรืออาจจะทำ “Subscription Model” เป็นระบบสมัครสมาชิก ทำแพ็กเกจชำระค่าเช่าเท่ากันทุกเดือนแต่มีสิทธิ์ย้ายคอนโดฯ ได้ทุกๆ 6 เดือน ตอบโจทย์คนยุคนี้ที่ต้องการทดลองหาที่อยู่ไปจนกว่าจะเจอทำเลที่ชอบ หรือมีความมั่นคงทางการเงินมากพอที่จะผ่อนซื้อได้แล้ว

 

Q: ล่าสุดรัฐเปิดเผยว่ามีแนวทางที่จะกระตุ้นภาคอสังหาฯ ด้วยการปรับหลักเกณฑ์ให้คนต่างชาติซื้อบ้านพร้อมที่ดินในไทยได้ง่ายขึ้น มองประเด็นนี้อย่างไร

A: ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย ข้อดีเรื่องนี้คืออะไร? คือการเพิ่มเม็ดเงินให้ไหลเข้าประเทศ ข้อเสียคืออะไร? เรากลัวว่าจะเกิดการเก็งกำไร ราคาบ้านจะสูงเร็วขึ้นกว่าปกติ หรือวัฒนธรรมของคนที่มาอยู่ใหม่อาจจะขัดแย้งกับคนไทย

ผมคิดว่า ข้อเสียเหล่านี้สามารถควบคุมได้นะ เช่น มีการจำกัดโควตาการซื้อ จำกัดพื้นที่ ราคาที่ซื้อได้ เราอาจจะกำหนดว่าให้ต่างชาติซื้อได้เฉพาะบ้านเดี่ยว ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ไม่เกิน 1,000 ยูนิตต่อปี แบบนี้น่าจะไม่กระทบมาก

แต่ผมว่าเราต้องมีเวทีสาธารณะให้สองฝ่ายได้มาคุยกันอย่างเปิดเผยก่อน ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีการตัดสินใจร่วมกันของสังคม

 

Q: ปัจจุบันคนไทยมีปัญหาเข้าไม่ถึงที่อยู่อาศัย แบงก์ไม่ปล่อยกู้ รายได้โตไม่ทันราคาบ้าน ในฐานะดีเวลอปเปอร์มีหนทางไหนที่จะช่วยปลดล็อกได้ไหม

A: ปัญหานี้เราต้องกลัดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกก่อน นั่นคือสินค้าเราที่จะออกสู่ตลาดต้องมั่นใจว่าลูกค้าเข้าถึงในราคานั้นได้จริง และแบรนด์เราจะต้องน่าเชื่อถือเพราะมีส่วนช่วยให้ลูกค้ากู้แบงก์ได้ง่ายขึ้น รวมถึงเราต้องหานวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยลูกค้า อย่างที่เรากำลังศึกษาเรื่อง Rent-to-Own หรือ Subscription Model อยู่

แต่นี่คือระดับที่ดีเวลอปเปอร์ทำได้นะ ซึ่งเราเป็นส่วนที่เล็กมาก เรื่องนี้จริงๆ ต้องมองในระดับรัฐบาลที่จะเข้ามาช่วยเหลือได้ เช่น นโยบายผ่อนปรน LTV (Loan-to-Value) เพื่อให้คนกู้แบงก์ผ่านได้ง่ายขึ้น หรือการจัดการอัตราหนี้ครัวเรือนที่สูงแตะ 91% รัฐบาลต้องทำทั้งการเพิ่มรายได้และแก้ภาระหนี้ ก็ขอให้กำลังใจภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นระยะยาว มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา ซึ่งจะช่วยเรื่องความเชื่อมั่น สร้างบรรยากาศดีๆ ให้คนอยากจับจ่ายใช้สอย

]]>
1469923
เปลี่ยนสนามกีฬาเก่าให้เป็นสนามแห่ง “ความฝัน” โปรเจ็กต์ “Dream Stadium ซีซั่น 2” by “คิดไซด์โค้ง x SC Asset” https://positioningmag.com/1467200 Fri, 22 Mar 2024 09:34:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1467200

เข้าสู่ซีซั่น 2 ของโปรเจ็กต์ “Dream Stadium” เปลี่ยนสนามฟุตบอลเก่าให้กลับมาเหมือนใหม่ เติม “ความฝัน” ให้เด็กๆ ในชุมชนทั่วกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ซีซั่นนี้ “คิดไซด์โค้ง” จับมือกับสปอนเซอร์หลัก “SC Asset” และอีก 4 พันธมิตร ปรับปรุงสนามฟุตบอล 6 สนาม พร้อมสร้างทัวร์นาเมนต์แข่งขันระหว่างชุมชนกระตุ้นการใช้งานและใจรักกีฬาของเยาวชน

โปรเจ็กต์ “Dream Stadium…สนามแห่งฝัน” เป็นโปรเจ็กต์ที่เริ่มต้นจุดประกายโดย “Think Curve คิดไซด์โค้ง” เอเจนซี่สื่อด้านการกีฬา มีเป้าหมายเข้าไปปรับปรุงสนามฟุตบอลที่เก่าทรุดโทรมในกรุงเทพฯ ให้กลับมาน่าใช้งาน เพื่อให้คนในชุมชนโดยเฉพาะเด็กๆ มีพื้นที่ให้เล่นกีฬาและออกกำลังกาย โดยซีซั่นแรก Dream Stadium มีการปรับปรุงไปแล้ว 4 สนาม

กฤติกร ธนมหามงคล ผู้บริหาร บริษัท คิดไซค์โค้ง จำกัด กล่าวถึงจุดตั้งต้นของโครงการนี้ว่า มาจากสถิติจำนวนพื้นที่สาธารณะในกรุงเทพฯ ที่มีไม่ถึง 1,000 แห่ง เทียบกับประชากรกว่า 10 ล้านคนถือว่ามีน้อยมาก และที่มีอยู่จำนวนมากก็อยู่ในสภาพที่ไม่น่าใช้งาน นำมาสู่แนวคิดปั้นโปรเจ็กต์นี้

หลังตั้งโปรเจ็กต์ Dream Stadium ขึ้นและเชิญ กทม. มาร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ คิดไซด์โค้งยังได้พันธมิตรอีกหลายรายมาร่วมงาน ได้แก่ Big One Group ผู้จัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยว, สโมสรฟุตบอล บีจี ปทุม ยูไนเต็ด, สีทาบ้าน TOA, แบรนด์เสื้อผ้ากีฬา VOLT รวมถึงในซีซั่น 2 มีพันธมิตรหลักรายใหม่เข้ามาสนับสนุนโครงการคือ “SC Asset” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวหน้าของไทย เพิ่มศักยภาพการเนรมิตฝันปรับปรุงสนามให้ดีขึ้น

ในซีซั่น 2 ของ Dream Stadium จะมีการปรับปรุงสนามฟุตบอลอีก 6 แห่ง ได้แก่ สนามปิ่นเจริญ 3 ดอนเมือง, สนามกีฬาสวนสมเด็จสราญราษฎร์มณีรมย์ ห้วยขวาง, ลานกีฬาสามัคคี 4-6 หนองแขม, ลานกีฬาเคหะร่มเกล้า ลาดกระบัง, สนามเอื้ออาทรเศรษฐกิจ 3 สมุทรสาคร และ SEA Complex บางปู สมุทรปราการ รวมทั้ง 2 ซีซั่นจะมีสนามที่ได้รับการปรับปรุง 10 สนาม


การพบกันของคนมี “ความฝัน”

กฤติกรเล่าว่า ความฝันของเขากับโปรเจ็กต์นี้เป็นฝันที่เรียบง่ายมาก คืออยากจะเห็น “รอยยิ้ม” ของเด็กๆ บนสนามฟุตบอล

“คิดไซด์โค้งเราเป็นสื่อด้านกีฬาฟุตบอลเป็นหลัก เราจึงอยากจะพัฒนาด้านฟุตบอล และขอให้เด็กมีรอยยิ้มจากการเตะบอล” กฤติกรกล่าว

“กฤติกร ธนมหามงคล” ผู้บริหาร บริษัท คิดไซค์โค้ง จำกัด และ “โฉมชฎา กุลดิลก” หัวหน้าสายงานกลยุทธ์แบรนด์และสื่อสารองค์กร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น

ส่วนสปอนเซอร์หลักอย่าง SC Asset เองก็เล็งเห็นว่าโปรเจ็กต์นี้มีความสอดคล้องตรงกันกับความฝันที่บริษัทมีในเชิงความรับผิดชอบต่อสังคม

“SC Asset มีแนวคิดเรื่องการพัฒนาอะไรคืนให้กับชุมชน ไม่ใช่แค่ขายโครงการอย่างเดียว เป็นสิ่งที่เรายึดถือมามากกว่า 10 ปีแล้วในฐานะนักพัฒนาอสังหาฯ” โฉมชฎา กุลดิลก หัวหน้าสายงานกลยุทธ์แบรนด์และสื่อสารองค์กร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น กล่าว “พอทางคิดไซด์โค้งเสนอโปรเจ็กต์มา เราเองไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับฟุตบอล แต่เราเข้าใจว่า ‘ความฝัน’ ของเขาคืออะไร และตรงกับฝันของเราที่ต้องการจะสร้างชุมชน สร้างเมือง ทำให้ชุมชนมีสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น”

SC Asset จึงตกลงสนับสนุนโปรเจ็กต์ Dream Stadium โดยนอกจากจะช่วยด้านงบลงทุนเพื่อปรับปรุงสนามแล้ว SC Asset ยังให้คำแนะนำการเลือกพื้นที่ชุมชนที่จะเข้าไปปรับปรุงสนามกีฬา และพร้อมที่จะส่งทีมงานจากไซต์โครงการโดยรอบของบริษัทเข้าไปช่วยเหลือในการทำงาน เพราะถือว่า Dream Stadium เข้ามาเป็นหนึ่งในระบบนิเวศชุมชนที่บริษัท SC Asset จะร่วมดูแลในระยะยาว


เติมไฟฝันด้วย “รูปนักเตะไทย” และ “ทัวร์นาเมนต์”

จากซีซั่นแรกของ Dream Stadium การเพ้นต์สนามใหม่ยังมีกิมมิกที่น่าสนใจด้วย นั่นคือการขอลิขสิทธิ์นำรูปมังงะกีฬาฟุตบอลในตำนานอย่าง “กัปตันสึบาสะ” ของอาจารย์โยอิจิ ทากาฮาชิ มาใช้เป็นรูปเพ้นต์ในสนาม สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ ที่เข้ามาเล่นกีฬา

มาถึงซีซั่น 2 ทางโปรเจ็กต์ Dream Stadium ยังต่อยอดกิมมิกนี้ด้วยการขอลิขสิทธิ์รูปวาด “นักฟุตบอลไทย” ลายเส้นของอาจารย์ทากาฮาชิ มาใช้ในสนามแห่งใหม่ด้วย ได้แก่ “ธีรศิลป์ แดงดา” ในสนามกีฬาปิ่นเจริญ ดอนเมือง, “ชนาธิป สรงกระสินธ์” ในสนามกีฬาสวนสมเด็จสราญราษฎร์มณีรมย์ ห้วยขวาง, “ธีราทร บุญมาทัน” ในสนามกีฬาสามัคคี หนองแขม และ “สิทธิโชค ภาโส” ในสนามกีฬาเคหะร่มเกล้า ลาดกระบัง

ภาพของ “ชนาธิป สรงกระสินธ์” ในสนามกีฬาสวนสมเด็จสราญราษฎร์มณีรมย์ ห้วยขวาง ลายเส้นโดย อาจารย์โยอิจิ ทากาฮาชิ

เหตุที่เลือกนักเตะไทยทั้ง 4 คนนี้ เพราะพวกเขาคือนักบอลไทยที่เคยได้ไปค้าแข้งในญี่ปุ่นและประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพ ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนที่รักฟุตบอลได้

นอกจากนี้ ปีนี้คิดไซด์โค้งยังริเริ่มการจัด “Dream Tournament” ทัวร์นาเมนต์แข่งฟุตบอลแบบทีม 5 คน อายุไม่เกิน 13 ปี แข่งกันระหว่างชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงสนามกีฬาทั้ง 10 แห่ง จัดขึ้นเพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้งานสนามให้มีชีวิตชีวา ทำให้เด็กๆ มีใจรักกีฬา และอาจเป็นจุดเริ่มต้นให้เยาวชนก้าวเข้าสู่อาชีพนักฟุตบอลได้

การแข่งขัน Dream Tournament ของเยาวชนจากชุมชน

เตรียมต่อยอดไปสู่กีฬาประเภทอื่น

กฤติกรเล่าต่อถึงการต่อยอดโปรเจ็กต์ Dream Stadium ที่นอกจากจะมีซีซันต่อๆ ไปแล้ว ยังจะต่อยอดขยายเพิ่มโปรเจ็กต์ “Dream Stadium Road to Sea Games” เพื่อเข้าไปปรับปรุงสนามกีฬาประเภทอื่นด้วย เช่น สนามบาสเก็ตบอล สนามวอลเลย์บอล เบื้องต้นวางเป้าหมายการปรับปรุงไว้ 20 สนาม ต้อนรับการเป็นเจ้าภาพ “ซีเกมส์ 2025” ของกรุงเทพฯ ร่วมกับชลบุรี และสงขลา

ฟากโฉมชฎาแห่ง SC Asset กล่าวว่าเบื้องต้นบริษัทพร้อมให้การสนับสนุนโปรเจ็กต์นี้อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ว่าจะเป็นกีฬาชนิดไหนก็ถือเป็นการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมชุมชนที่ตรงกับเป้าหมายของบริษัท

“โครงการนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า ถ้าเราร่วมกันคนละไม้คนละมือทุกภาคส่วน เราจะสร้างเมืองที่ดีขึ้นมาได้จริงๆ” โฉมชฎากล่าวปิดท้าย

]]>
1467200
“EVERYBODY’S HIGH RISE” ปรัชญาสร้างแบรนด์ “คอนโดฯ” ของ SC Asset เพื่อเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ https://positioningmag.com/1434707 Fri, 23 Jun 2023 04:00:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1434707

หลังเป็นเจ้าตลาดบ้านหรูมานานหลายปี ต่อจากนี้ “SC Asset” จะเพิ่มน้ำหนักฝั่งธุรกิจ “คอนโดฯ” ให้มากขึ้น ผ่านปรัชญาการพัฒนาแบรนด์ตึกสูงให้เป็น “EVERYBODY’S HIGH RISE” จัดสมดุลพื้นที่ “ส่วนตัว-ส่วนกลาง” ให้ลงตัวสำหรับทุกคน ทุกความต้องการ ทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อเจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ ส่งคอนโดฯ ของบริษัทขึ้นเป็น Top of Mind ภายในปี 2568

หากให้จินตนาการถึงแบรนด์ SC Asset โปรดักส์แรกที่จะผุดขึ้นมาในใจผู้บริโภคคือ “บ้านเดี่ยว” ขณะที่ที่อยู่อาศัยประเภท “คอนโดมิเนียม” กลับไม่อยู่ในโผที่คนจะนึกถึง แม้ว่าบริษัทจะเปิดตัวคอนโดฯ เฉลี่ยปีละ 1 โครงการมาโดยตลอด และอยู่ในตลาดมานานกว่า 20 ปี

“กนกอร หลิมกำเนิด” Chief Operating Officer – Property Development – High Rise บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแผนธุรกิจของบริษัทว่า บริษัทตั้งเป้าที่จะเปิดตัวคอนโดมิเนียมคิดเป็นมูลค่าโครงการสะสม 40,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า หรือเท่ากับการเปิดตัวเฉลี่ยปีละ 2-3 โครงการ

เห็นได้ว่าโปรดักส์กลุ่มนี้ของ SC จะเข้าสู่ตลาดมากกว่าที่เคยเป็นมา นี่จึงเป็นโจทย์ใหญ่ของบริษัทที่จะต้องสร้างแบรนด์ให้คอนโดฯ เป็นที่รู้จัก

ทีมงาน บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น: (ซ้าย) “กนกอร หลิมกำเนิด” Chief Operating Officer – Property Development – High Rise และ (ขวา) “โฉมชฎา กุลดิลก” Head of Corporate Brand and Communications


“โฉมชฎา กุลดิลก” หัวหน้าสายงาน กลยุทธ์แบรนด์ และสื่อสารองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เสริมว่า ลูกค้าคอนโดฯ วันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Y และเริ่มมี Gen Z เข้ามา แต่ด้วยธุรกิจของ SC ที่เน้นโครงการบ้านเดี่ยวมาตลอด ทำให้ลูกค้าคนรุ่นใหม่จะมีภาพจำว่า ‘SC ไม่มีโปรดักส์สำหรับฉันหรอก’

“เราจึงต้องการเปลี่ยน โดยมีเป้าหมายผลักดันให้คอนโดฯ ของ SC ขึ้นมาติด Top of Mind ในใจผู้บริโภคให้ได้ภายในปี 2568” โฉมชฎากล่าว


“EVERYBODY’S HIGH RISE” ปรัชญาใหม่ของคอนโดฯ SC

แต้มต่อแต่ดั้งเดิมที่แบรนด์ SC มีอยู่ในตลาดคือเรื่อง “คุณภาพ” ทั้งด้านงานออกแบบที่ยึดผู้อยู่อาศัยเป็นศูนย์กลาง (Human Centric) และการก่อสร้างที่เน้นความคงทนถาวร รวมถึงเรื่อง “งานบริการหลังขาย” ที่พร้อมแก้ไขปัญหา ซ่อมแซม ดูแลลูกบ้านหลังส่งมอบอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมมีความซับซ้อนกว่านั้น เพราะลักษณะการอยู่อาศัยต่างจากในหมู่บ้านแนวราบ

“วิถีชีวิตในคอนโดฯ จะมีพื้นที่ผสมทั้ง ‘ส่วนตัว-ส่วนกลาง’ มากกว่าบ้านเดี่ยวซึ่งคนจะอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวเป็นหลัก” โฉมชฎากล่าว “รวมถึงคนในคอนโดฯ ส่วนใหญ่มักจะมีไลฟ์สไตล์หลากหลายมาก มีความคิด ความต้องการใช้งานพื้นที่คอนโดฯ ที่ไม่เหมือนกัน”

ตัวอย่างส่วนกลางคอนโดฯ Reference สาทร-วงเวียนใหญ่ by SC Asset


กนกอรอธิบายต่อว่า จากการศึกษาของบริษัทพบว่าคนรุ่นใหม่มักจะมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตในคอนโดฯ 2 แบบ แบบแรกคือพฤติกรรมที่ต้องการอยู่ร่วมในชุมชน (community) ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม มีกิจกรรมทำร่วมกัน และแบบที่สองคือ พฤติกรรมการอยู่อาศัยอย่างสงบ เป็นส่วนตัว

ที่น่าสนใจคือ หลายคนไม่ได้มีพฤติกรรมแบบใดแบบหนึ่งตลอดเวลา แต่ต้องการอยู่อาศัยทั้งสองแบบในคนเดียว ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในแต่ละวัน



อินไซต์นี้จึงถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมากในการออกแบบการอยู่อาศัยให้ตอบสนองได้ทุกความต้องการ แต่นั่นคือจุดตั้งต้นให้ SC สร้างปรัชญาแบรนด์คอนโดฯ ใหม่ มี Brand DNA ใหม่เป็น ‘EVERYBODY’S HIGH RISE’ หรือเป็นอาคารสูงสำหรับทุกคน สามารถใช้พื้นที่ทั้งในแบบส่วนตัวและส่วนกลางได้อย่างสมดุล

กนกอรยกตัวอย่างการออกแบบส่วนกลางให้ตอบโจทย์ได้ทั้งสองรูปแบบพฤติกรรม เช่น “Workshop Space” สามารถจองใช้ส่วนตัวผ่านแอปพลิเคชันของ SC ที่ชื่อว่า รู้ใจ (Ruejai) ขณะเดียวกัน บริษัทจะส่งเสริมการสร้าง community ในคอนโดฯ ด้วยการจัดคลาสต่างๆ ใน Workshop Space ตามความสนใจ เช่น จัดดอกไม้ ที่จะดึงดูดคนที่ชอบการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน


เรียนรู้ Insights ต่อเนื่องเพื่อสร้างพื้นที่ “ส่วนตัว-ส่วนกลาง” ที่ดีที่สุด

โฉมชฎากล่าวต่อว่า การออกแบบส่วนกลางคอนโดฯ ในแต่ละทำเลของ SC ไม่ได้สร้างมาในรูปแบบเดียวกันทั้งหมด แต่จะมีการวิจัย เก็บข้อมูลในพื้นที่ เพื่อหาอินไซต์ว่าคนในทำเลนั้นๆ มีพฤติกรรมอย่างไร

“การทำ community ของเรา เราต้องเข้าใจก่อนว่าคนแถวนี้ชอบเก็บตัวหรือชอบมาสังสรรค์กัน แล้วเขาชอบกิจกรรมแบบไหน เช่น ชอบสัตว์เลี้ยง ชอบอ่านหนังสือ ชอบกีฬา การเก็บข้อมูลพวกนี้จะทำให้เราพัฒนาโครงการต่อไปได้ดีขึ้นเรื่อยๆ” โฉมชฎากล่าว

โดย SC มีการลงทุนบุคลากรด้านเทคโนโลยีสูงขึ้นมากในระยะหลัง ส่วนหนึ่งเพื่อทำการวิจัยดาต้าความต้องการของลูกค้าซึ่งผลลัพธ์จะสะท้อนให้เห็นในโปรดักส์ต่อจากนี้อย่างชัดเจน

กนกอรกล่าวว่า ปี 2566 นี้ SC จะเปิดโครงการแนวสูงใหม่ทั้งหมด 3 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแบรนด์ใหม่ “COBE” 2 ทำเล ที่รัชดา-พระราม 9 และ เกษตร-ศรีปทุม ส่วนอีกโครงการหนึ่งเป็นคอนโดฯ ระดับอัลตราลักชัวรีที่บริหารโดย SCOPE

เชื่อว่าตั้งแต่นี้ไป การสื่อสารแบรนด์คอนโดฯ ของ SC จะช่วยให้เกิดภาพลักษณ์ใหม่ เป็นแบรนด์ของคนรุ่นใหม่ที่กระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวา แต่ยังมีจิตวิญญาณความจริงใจและใส่ใจในแบบฉบับของ SC อยู่เต็มเปี่ยม!

สำหรับผู้ที่สนใจปรัชญา EVERYBODY’S HIGH RISE จาก SC Asset สามารถติดตามชมเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ https://m.scasset.com/EI_W พร้อมดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการคอนโดมิเนียมของ SC Asset ได้ที่ https://m.scasset.com/EJuy หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ SC Asset หรือโทร.1749

]]>
1434707
SC ตั้งเป้ารายได้ 5 ปี 150,000 ล้านบาท ไฮไลต์ปี’66 ขายบ้านสุดหรูหลังละ 150 ล้านที่ “95E1” https://positioningmag.com/1421516 Thu, 02 Mar 2023 09:08:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1421516
  • แผน 5 ปีหลังผ่านพ้นโควิด-19 ของ “เอสซี แอสเสท” ตั้งเป้ารายได้สะสม 5 ปี (2566-2570) แตะ 150,000 ล้านบาท เดินหน้ากระจายแหล่งรายได้จากที่พักอาศัย 80% และรายได้ประจำจากธุรกิจอื่นอีก 20%
  • ปี 2566 ผ่อนการเปิดโครงการเล็กน้อย โดยจะเปิดตัวทั้งหมด 25 โครงการ มูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท
  • ไฮไลต์โครงการปีนี้ เอสซีฯ จะเปิดขายบ้านที่แพงที่สุดที่เคยทำมาในโครงการ “95E1” (ไนน์-ตี้-ไฟว์-อีสต์-วัน) หลังที่แพงที่สุดสนนราคา 150 ล้านบาท
  • หลังพ้นช่วงที่ยากลำบากในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) เปิดโรดแมป 5 ปี (2566-2570) ที่จะ “Thriving Beyond” ตั้งเป้าภายใน 5 ปีบริษัทจะมีรายได้สะสม 150,000 ล้านบาท และต้องเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยจะแบ่ง 80% เป็นการลงทุนในกลุ่มที่พักอาศัยเพื่อขาย (บ้าน-คอนโดมิเนียม) กับอีก 20% ลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่ให้รายได้ประจำ (recurring income) เพื่อกระจายความเสี่ยง

    ภาพระยะ 5 ปีของบริษัท จะมีการลงทุนเฉลี่ยปีละ 25,000 ล้านบาท และกระจายไปในสองกลุ่มธุรกิจในอัตราส่วน 80:20 ทุกปี

    “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC)

    “เศรษฐกิจไทยมองไปยาวๆ คงยาก แต่คิดว่าปีนี้ 2566 น่าจะเติบโตได้ดี จากที่ทุกสำนักวิเคราะห์ประเมินจีดีพีไทยจะโต +3% ขึ้นไปทั้งหมด เนื่องจากการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยว และปีนี้จะมีการเลือกตั้งด้วย ซึ่งจะช่วยให้คนกลับมามีความหวังกับเศรษฐกิจ” ณัฐพงศ์กล่าว

    “ส่วนตลาดโดยรวมของภาคอสังหาฯ เชื่อว่าจะเป็นปีที่ดีเช่นกัน เพราะตลาดราคาบ้านเกิน 10 ล้านบาทมีการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง และตลาดคอนโดฯ จะฟื้นตัวกลับมา พร้อมกับกำลังซื้อต่างชาติที่เข้ามาเสริม อย่างไรน่าจะเป็นปีที่ดีกว่าช่วง 3 ปีที่เผชิญโควิด-19 แน่นอน”

     

    เปิดตัวลดลง ยังคงเน้นกลุ่มแนวราบเป็นหลัก

    สำหรับแผนปี 2566 เอสซี แอสเสท ตั้งเป้าหมายในแต่ละด้าน ดังนี้

    • เป้าหมายยอดขาย 30,000 ล้านบาท (เติบโต 23%)
    • เป้าหมายรายได้ 25,000 ล้านบาท (เติบโต 16%)
    • เป้าหมายเปิดตัวโครงการ 25 โครงการ มูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท
    แผนเอสซี แอสเสทฯ ปี 2566

    การเปิดตัวในปีนี้ ณัฐพงศ์กล่าวว่ามีการลดการเปิดตัวลงเล็กน้อย จากปีก่อนเปิดไป 27 โครงการ มูลค่ากว่า 44,000 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าขณะนี้ SC มีสต็อกสินค้าขายทั้งหมดร่วม 90,000 ล้านบาท และปีที่แล้วเป็นปีที่กลับมาเปิดโครงการสูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเพิ่มสต็อกขายสูงจนเกินไป

    อย่างไรก็ตาม ทั้งยอดขายและรายได้เชื่อว่าจะเติบโตแบบดับเบิลดิจิต ด้วยตลาดที่ฟื้นกลับมา และบริษัทจะยังคงเน้นการเป็นผู้นำในตลาดบ้านราคาเกิน 10 ล้านบาท

    ในแผนการเปิดตัวโครงการทั้งหมด จะแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 22 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท และคอนโดฯ 3 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท เห็นได้ว่า SC เน้นแนวราบเป็นหลัก

    SC ปี 2566
    ปักหมุดทำเลคร่าวๆ ที่เอสซี แอสเสทฯ จะเปิดตัวในปี 2566

     

    ไฮไลต์โครงการ: ‘95E1’ บ้านสุดหรูร้อยล้าน

    สำหรับโครงการไฮไลต์ในกลุ่มแนวราบปีนี้ SC จะมีการเปิดขายคฤหาสน์ระดับ ‘Ultimate Luxury’ ในโครงการ ‘95E1’ (ไนน์-ตี้-ไฟว์-อีสต์-วัน) ทำเลเลียบด่วนรามอินทรา เนื้อที่ 4 ไร่ แบ่งแปลงเพียง 10 หลังเท่านั้น ราคาเริ่มต้น 100 ล้านบาท สูงสุด 150 ล้านบาท ซึ่งเป็นบ้านที่แพงที่สุดที่เคยพัฒนามา โดยปี 2567 คาดว่าจะมีโครงการแบบนี้อีก 2 ทำเล

    โครงการนี้บริษัทใช้วิธีออกแบบร่วมกับลูกค้า คือมีการวางโครงแบบไว้บางส่วนแต่สามารถปรับแต่งแบบตามที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งจะตอบโจทย์ลูกค้าที่มีกำลังซื้อในระดับบ้านร้อยล้านมากกว่าการออกแบบบ้านสำเร็จรูป

    แบบบ้านจำลองของ 95E1 เลียบด่วนรามอินทรา

    ส่วนอีกไฮไลต์หนึ่งคือการเปิดตัวแบบบ้านใหม่ “บ้านเกมเมอร์” ภายในโครงการ “Venue ID มอเตอร์เวย์-พระราม 9” ราคาเริ่ม 14.29 ล้านบาท บ้านไทป์ใหม่นี้เกิดจากการออกแบบร่วมกับเกมเมอร์ตัวจริง 2 รายคือ Willcomeback กับ MNJ TV เพื่อให้ได้บ้านที่มีฟังก์ชันตรงกับวิถีชีวิตแบบเกมเมอร์, สตรีมเมอร์, คอนเทนต์ ครีเอเตอร์ ซึ่งไม่เหมือนกับอาชีพอื่นทั่วไป

    แบบบ้านพิเศษนี้ถือเป็นการต่อยอดจากไทป์ “บ้านคนโสด” ที่ได้รับการตอบรับดี ทำให้เห็นว่าการมีแบบบ้านพิเศษเฉพาะกลุ่มถือว่ามาถูกทาง และโปรเจ็กต์ถัดไปของการเจาะตลาดนี้ SC กำลังพัฒนา “แบบบ้านของคน Introvert กับ Extrovert”

    แบบบ้านใหม่ “บ้านเกมเมอร์” ออกแบบให้ตรงวิถีชีวิตการทำงานของสายคอนเทนต์ ครีเอเตอร์

     

    คอนโดฯ แบรนด์ใหม่เจาะกลุ่ม “Gen Z”

    ในขณะที่คอนโดมิเนียม 3 แห่งในปีนี้ จะมี 2 แห่งที่เป็น “แบรนด์ใหม่” ออกแบบมาให้ตอบโจทย์ “Gen Z” โดยเฉพาะ โดยจะเน้นฟังก์ชันส่วนกลางขนาดใหญ่ มีพื้นที่ที่ใช้ร่วมกันหลากหลาย เช่น Co-Living, Co-Cooking และเน้นเรื่องการประหยัดพลังงาน ดีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่คน Gen Z ใส่ใจ

    คอนโดฯ แบรนด์ใหม่ 2 แห่งจะเปิดในทำเล MRT ศูนย์วัฒนธรรม และ เกษตร-ศรีปทุม ราคาเฉลี่ย 100,000-120,000 บาทต่อตร.ม. หรือเริ่ม 2 ล้านกว่าบาทต่อยูนิต

    คอนโดฯ แบรนด์ใหม่ คอนเซปต์ใหม่ เน้นเจาะกลุ่ม Gen Z

    ส่วนอีกแห่งหนึ่งจะเป็นกลุ่มลักชัวรีคือ “SCOPE ประสานมิตร” ราคาเฉลี่ย 250,000-280,000 บาทต่อตร.ม. เน้นฟังก์ชันห้องชุดขนาดใหญ่ อยู่จริงได้ทั้งครอบครัว และมีบริการระดับพรีเมียม ราคาเริ่มต้น 35 ล้านบาทต่อยูนิต

     

    ‘engine 2’ ลุยธุรกิจคลังสินค้า

    ในส่วน ‘engine2’ หรือเครื่องยนต์ที่สองที่จะมาเสริมรายได้ให้ เอสซี แอสเสท ขณะนี้ 3 กลุ่มธุรกิจหลักที่บริษัทลงทุน ได้แก่ ออฟฟิศ, โรงแรม และคลังสินค้า

    ปีนี้ออฟฟิศของ SC ที่มีพื้นที่เช่ารวม 120,000 ตร.ม. จะมีการรีโนเวตบางส่วนให้ตอบรับกระแสการทำงานแบบไฮบริดมากขึ้น

    โรงแรม YANH ราชวัตร เริ่มเปิดบริการเดือนมีนาคม 2566

    ส่วนโรงแรมมีทั้งหมด 3 โครงการที่พร้อมให้บริการหรือมีแผนการลงทุนแล้ว ได้แก่

    • YANH (ย่าน) ราชวัตร – โรงแรมขนาดเล็ก มูลค่าการลงทุน 300 ล้านบาท ในคอนเซปต์ workation ราคาคืนละ 1,800-1,900 บาท เริ่มเปิดบริการแล้ว
    • โรงแรมทำเลสุขุมวิท 29 มูลค่าลงทุน 2,500 ล้านบาท อยู่ระหว่างเจรจาแบรนด์บริหาร คาดจะเปิดบริการปี 2568
    • โรงแรมทำเลพัทยา (ยังไม่ระบุงบลงทุน) อยู่ระหว่างเจรจาแบรนด์บริหาร คาดจะเปิดบริการปี 2569

    ขณะที่อีกส่วนสำคัญคือธุรกิจคลังสินค้า ซึ่งปี 2565 เอสซี แอสเสท ได้ประกาศความร่วมมือกับ Flash Express เพื่อจะเป็นผู้ลงทุนสร้างคลังสินค้าให้เช่าแก่ Flash Express คาดปีนี้จะเริ่มให้บริการคลังสินค้าได้ 150,000 ตร.ม. และมีเป้าหมายเพิ่มไปแตะ 1 ล้านตร.ม. ภายในปี 2573

    “ตลาดคลังสินค้ายังเป็นธุรกิจผู้เล่นน้อยราย แต่มีศักยภาพที่จะโตสูงมาก เพราะจีนมีนโยบาย ‘China +1’ หมายถึงธุรกิจจีนต้องมีการกระจายความเสี่ยง ลงทุนในจีนและในต่างประเทศเพิ่มอีก 1 แห่ง ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในตัวเลือก ทำให้เราสนใจธุรกิจนี้” ณัฐพงศ์กล่าว

    ]]>
    1421516
    แผน 4 ปี “เอสซี แอสเสท” รายได้พุ่ง 1 แสนล้าน! ปักหลักสมรภูมิเดิม เสริมด้วยน่านน้ำธุรกิจใหม่ https://positioningmag.com/1373505 Thu, 10 Feb 2022 07:50:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373505
  • “เอสซี แอสเสท” ขยับแผนการเติบโตเร็วขึ้น วางกลยุทธ์ 4 ปี (2565-2568) รายได้สะสม 1 แสนล้านบาท มาจาก ‘สมรภูมิเดิม’ คือการพัฒนาที่อยู่อาศัย และ ‘น่านน้ำใหม่’ จากธุรกิจโรงแรม อพาร์ตเมนต์ รู้ใจแอปพลิเคชัน ฯลฯ
  • โชว์วิสัยทัศน์นวัตกรรม เตรียมออก ‘SC Morning Coin’ ในลักษณะ Utility Token ไตรมาส 4 ปีนี้
  • สำหรับแผนปี 2565 เตรียมเปิดตัวมากที่สุด 27 โครงการ 40,000 ล้านบาท พร้อมแบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์ บ้านเดี่ยวสุดหรู 50 ล้านบาททำเลเลียบด่วนรามอินทรา และคอนโดฯ เพื่อคนเจนวายทำเลวงเวียนใหญ่
  • หลังเกิดการระบาดของ COVID-19 “เอสซี แอสเสท” เคยประเมินว่าผลกระทบจะยาวนานจนถึงปี 2565 แต่หลังจากสถานการณ์ยังมีโอกาส และบริษัทสามารถรอดผ่านวิกฤตมาได้ ทำให้แผนการกลับมาเติบโตของบริษัทถูกขยับขึ้นมาเร็วขึ้น 1 ปี

    “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จากัด (มหาชน) เปิดแผน “Thriving for Good” ของบริษัทในระยะ 4 ปี (2565-2568) แบ่งเป็น 3 กลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน ดังนี้

    1. เติบโต บนสมรภูมิเดิมและน่านน้ำใหม่

    เอสซีฯ วางเป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง 4 ปี รายได้สะสมรวมกัน 1 แสนล้านบาท เริ่มปี 2565 ปีแรกจะมีรายได้ 20,000 ล้านบาท และปี 2568 รายได้จะขึ้นไปแตะ 30,000 ล้านบาท

    รายได้ดังกล่าวจะมาจาก 2 ฝั่งคือ ‘engine 1’ โครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูงประมาณ 80% และ ‘engine 2’ ซึ่งเป็นธุรกิจโอกาสใหม่ ประมาณ 20%

    สำหรับโอกาสใหม่ (engine 2) จะเป็นธุรกิจจากเทรนด์ใหม่ของโลกคือ Work from Anywhere และ Home is Everything ที่บริษัทมีการลงทุนแล้วคือ โรงแรม “ย่าน” (YAHN) จะเปิดช่วงปลายปีนี้, แอปพลิเคชันรู้ใจ, การลงทุนอพาร์ตเมนต์ในสหรัฐฯ และจะมีธุรกิจใหม่เปิดตัวในช่วงกลางปีนี้

    engine 2 โอกาสใหม่ของเอสซีฯ
    2. เชื่อมต่อ ทุกสิ่งถึงกัน สร้างคุณค่าที่มากกว่า

    กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และการเชื่อมโยงระบบนิเวศของอสังหาฯ เช่น

    • รู้ใจ OS เป็นซอฟต์แวร์เพื่อใช้สั่งการโฮมออโตเมชันซึ่งเอสซีฯ เริ่มติดตั้งตั้งแต่ปี 2564 และปี 2565 จะเพิ่มฟีเจอร์ให้สามารถสั่งการด้วยเสียงได้
    • ระบบ Active Airflow ผลงานจากการทำงานร่วมกับ SCG ทำให้ถ้าหากในบ้านมี 5 มากเกินไป ระบบจะดูดกรองอากาศอัตโนมัติ
    • แอปฯ รู้ใจ จะเชื่อมต่อกับสินค้าและบริการหลากหลายมากขึ้น
    • EV Charger เข้ามาติดตั้งในโครงการแน่นอน
    • SC Morning Coin เป็น Utility Token ให้ลูกค้าและคู่ค้าของเอสซีฯ ได้ใช้ ทำให้ระบบนิเวศเชื่อมต่อกันได้ง่ายขึ้น

    “คอยน์ของเราจะเป็น Utility Token คือไม่ได้นำไปซื้อของโดยตรง แต่เหมือนเป็นพอยท์แลกของ เมื่อเป็นโทเคนเดียวกันจะทำให้แลกได้ง่ายขึ้น การที่เราทำสิ่งนี้เราไม่ได้ได้เปรียบในธุรกิจมากขึ้น แต่ถ้าเราไม่ทำเราจะเสียเปรียบ” ณัฐพงศ์อธิบายถึงแนวคิด

    ส่วนประเด็นการที่ภาครัฐจะพิจารณาควบคุมการใช้คอยน์ซื้อสินค้า แม่ทัพเอสซีฯ ไม่ได้กังวลถึงผลกระทบมากนัก “ผมเชื่อว่าการที่หน่วยงานกำกับควบคุมเข้ามา ก็เพราะว่ากำลังจะเกิดการนำมาใช้งานอย่างแพร่หลาย เราไม่ได้กังวลกับการกำกับควบคุมเพราะสิ่งใหม่เข้ามามันก็ต้องเกิดขึ้น และเราพร้อมจะปรับตาม”

    3. ยั่งยืน สร้างคุณค่าสู่ผู้คนและสิ่งแวดล้อม

    การสร้างความยั่งยืน เอสซีฯ มองเป็น 3 มุมคือ “แบรนด์” จะต้องคงความน่าเชื่อถือ คุณภาพสูง แม้ว่าจะขยายการลงทุนสูง “องค์กร” ต้องการเป็นค่ายอสังหาฯ ที่น่าทำงานด้วยเป็นอันดับ 1 โดยสร้างสังคมดี สมดุลดี อนาคตดี “ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” เป็นการขยายความรับผิดชอบสู่สังคมโดยรวม มีเป้าหมายแรกคือ SCEROmission (เอสซีโร่มิชชั่น) ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจกลง 25% ในปี 2568

    “เราจะยั่งยืนบนวิถีโลกใหม่ได้ เราต้องเข้าใจก่อนว่าทุกสิ่งเชื่อมต่อกัน เราเรียนรู้เรื่องนี้ได้ดีจาก COVID-19 เพราะผู้ป่วย 1 คนวันนี้กลายเป็นผู้ป่วย 400 ล้านคนทั่วโลก และทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจจนไปสู่การเมือง เพราะฉะนั้น การเติบโตในโลกยุคใหม่ถ้ามองแต่กำไร เราจะไม่ยั่งยืนและเป็นเรื่องล้าสมัยแล้ว องค์กรที่จะโตในโลกยุคใหม่ต้องมองทั้ง Profit People และ Planet” ณัฐพงศ์กล่าว

     

    แผนปี 2565 ลงทุนหนัก เปิดสองแบรนด์ใหม่

    ด้านแผนระยะสั้นในปี 2565 ของ เอสซี แอสเสท มีแผนการลงทุนและเป้าหมาย ดังนี้

    • เปิดตัว 27 โครงการ มูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท (แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 25 โครงการ มูลค่ารวม 33,500 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 2 โครงการ มูลค่ารวม 6,500 ล้านบาท)
    • เป้ายอดขาย 22,000 ล้านบาท
    • เป้ารายได้ 22,000 ล้านบาท
    • เป้าลงทุนซื้อที่ดินและอสังหาฯ ในสหรัฐอเมริกา 11,500 ล้านบาท
    เอสซี แอสเสท
    แผนธุรกิจเอสซีฯ ปี 2565

    สัดส่วนรายได้ปีนี้แบ่งเป็น 66% มาจากแนวราบ 30% มาจากแนวสูง และ 4% มาจากธุรกิจโอกาสใหม่ และสัดส่วนการเปิดตัว 70% จะเป็นบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 10 ล้านบาท เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อสูง

    เอสซีฯ ยังมีไฮไลต์ “แบรนด์ใหม่” 2 แบรนด์ คือ

    • “บ้านเดี่ยวราคามากกว่า 50 ล้านบาท” ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ใหม่ที่บริษัทยังไม่เคยลงทุน แต่เห็นโอกาสความต้องการขณะที่ซัพพลายมีน้อย จะเปิดในทำเลเลียบด่วนรามอินทรา
    • “คอนโดฯ เพื่อคนเจนวาย” มีการออกแบบใหม่ให้เหมาะกับโลกปัจจุบัน เปิดในทำเล 130 เมตรจาก BTS สถานีวงเวียนใหญ่ ราคาของแบรนด์นี้จะอยู่ในช่วง 1-2 แสนบาทต่อตร.ม. แต่อาจปรับลงมาต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อตร.ม.ได้ถ้าอยู่ในทำเลที่เหมาะสม
    ภาพเบื้องต้น คอนโดฯ แบรนด์ใหม่

    ส่วนคอนโดฯ อีกโครงการหนึ่งคือ “สโคป ทองหล่อ” ติดถ.สุขุมวิทและ BTS สถานีทองหล่อ มีเพียง 20 ยูนิต ราคาเริ่ม 140 ล้านบาทต่อยูนิต เป็นคอนโดฯ ระดับซูเปอร์ลักชัวรีที่จะมาตอบโจทย์กลุ่มไฮเอนด์แต่ยังต้องการไลฟ์สไตล์แบบคอนโดมิเนียม

    “เราเห็นสัญญาณเชิงบวกจากทั้งภายในภายนอก ภายในเราเห็นความพร้อมของเรา หนี้เรายังไม่สูง สภาพคล่องพร้อม เรามีวงเงินสดและวงเงินพร้อมเบิก 10,000 ล้านบาท ส่วนภายนอกองค์กร เราเห็นดีมานด์แนวราบเติบโตน่าตื่นเต้น ตลาดบ้านปีที่แล้วโตถึง 29% ซึ่งผมว่าทุกคนเพิ่งจะรู้จากวิกฤตนี้ว่า “บ้าน” เป็นที่ต้องการเพราะสเปซ” ณัฐพงศ์กล่าว “ผมเชื่อว่าเราผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และปีนี้จะคึกคักขึ้น”

    ]]>
    1373505