-
แผนปี 2566 ของ “แสนสิริ” เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 52 โครงการ มูลค่ารวม 75,000 ล้านบาท ถือเป็นยอดการเปิดตัว “นิวไฮ” สูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท
-
บ้านเดี่ยวระดับบน 10 ล้านบาทขึ้นไป ยังคงเป็นกลุ่มสินค้าหลักในปีนี้ แต่ตลาดคอนโดฯ ก็ได้จังหวะกลับมาโหมตลาดเช่นกัน
-
กลุ่มลูกค้าต่างชาติกลับมาแล้ว ปีนี้วางเป้าขายต่างชาติ 22% ของยอดขายรวม เดินหน้าลุยลูกค้า “จีน” เต็มสูบ
“เศรษฐา ทวีสิน” ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) แถลงผลการดำเนินงานปี 2565 ของบริษัท ทำยอดขายรวม 50,000 ล้านบาท เติบโต 50% จากปีก่อนหน้า และมียอดโอน 36,800 ล้านบาท
ส่วนปี 2566 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการ 52 โครงการ มูลค่ารวม 75,000 ล้านบาท ซึ่ง 2 ใน 3 จะเป็นโครงการแนวราบ อีก 1 ใน 3 เป็นกลุ่มคอนโดมิเนียม
![](https://positioningmag.com/wp-content/uploads/2023/01/Srettha-CEO-Sansiri.jpg)
เป้าหมายของแสนสิริในปีนี้ จะทำยอดขายแตะ 55,000 ล้านบาท รายได้รวม 40,000 ล้านบาท และเชื่อว่ากำไรสุทธิจะมากกว่าปี 2565 หากทำได้สำเร็จ ทุกตัวเลขทั้งการเปิดโครงการ ยอดขาย รายได้ และกำไร จะเป็น ALL-Time High นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท
ปีแห่ง “บ้านเดี่ยวลักชัวรี”
“อุทัย อุทัยแสงสุข” ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อถึงรายละเอียดการเปิดโครงการใหม่ปีนี้
สำหรับโครงการแนวราบจะมีทั้งหมด 30 โครงการ มูลค่ารวม 50,700 ล้านบาท และ 70% จะเป็นกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับบน 10 ล้านบาทขึ้นไป เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีบ้านเดี่ยวระดับบนในพอร์ตราว 50%
![แสนสิริ 2566](https://positioningmag.com/wp-content/uploads/2023/01/Sansiri-Low-Rise-1.jpg)
ไฮไลต์โครงการบ้านเดี่ยวระดับบน เช่น
- นาราสิริ พหล-วัชรพล
- บูก้าน เอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนท์ 3 ทำเล ได้แก่ กรุงเทพกรีฑา, พัฒนาการ และพระราม 9 – เหม่งจ๋าย
- เศรษฐสิริ 10 โครงการ ในช่วงราคา 12-25 ล้านบาท ประเดิมทำเลแรกที่ เศรษฐสิริ ดอนเมือง
“ผู้ซื้อกลุ่มบ้านระดับบนยังมีดีมานด์และเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ หลายคนซื้อเงินสดหรือหากกู้สินเชื่อบ้านก็มักจะกู้ผ่าน” อาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริม “การแข่งขันอาจจะรุนแรง แต่โครงการที่เราเปิดตัวปีที่แล้วก็ได้รับผลตอบรับที่ดี เชื่อว่าเป็นเพราะเราพัฒนาบ้านได้ตอบโจทย์ลูกค้า”
![แสนสิริ 2566](https://positioningmag.com/wp-content/uploads/2023/01/Sansiri-Low-Rise-2.jpg)
ส่วนบ้านระดับกลางก็จะมีเปิดตัวเช่นกัน ได้แก่
- สราญสิริ บ้านเดี่ยวราคา 6-12 ล้านบาท 4 โครงการ
- อณาสิริ มิกซ์โปรดักส์ทาวน์โฮม-บ้านแฝด-บ้านเดี่ยว ราคา 2-6 ล้านบาท ใน 9 ทำเล เช่น กรุงเทพ-ปทุม 2, รังสิต-คลอง 3, ศรีนครินทร์-แพรกษา และจะมีเปิดใน จ.เชียงใหม่ ด้วย
ปีแห่งการเติมสต็อก “คอนโดฯ”
ฝั่งคอนโดฯ นั้นแสนสิริจะเปิดตัวถึง 22 โครงการ มูลค่ารวม 24,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 151% ถือว่าเป็นปีที่บริษัทกลับมาทำตลาดคอนโดฯ เต็มตัวแล้ว
“ก่อนโควิด-19 เราเปิดคอนโดฯ เฉลี่ยปีละ 22,000-25,000 ล้านบาทต่อปี ดังนั้นปีนี้ก็กลับไปอยู่ในสภาวะปกติ” องอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บมจ.แสนสิริ กล่าว “เราดูจังหวะจากสต็อกคอนโดฯ พร้อมอยู่เราลงมาเหลือ 8,000 ล้านบาท จากระดับที่เหมาะสมควรมี 12,000 ล้านบาท ทำให้การเปิดตัวปีนี้จะเป็นการเติมพอร์ต มองว่าไม่ได้ aggressive เกินไป”
![](https://positioningmag.com/wp-content/uploads/2023/01/Sansiri-Management-resize.jpg)
สำหรับตลาดคอนโดฯ นั้นยังจัดสมดุลครึ่งหนึ่งเป็นคอนโดฯ ระดับไฮเอนด์ (ราคามากกว่า 150,000 บาทต่อตร.ม.) อีกครึ่งหนึ่งเป็นแบรนด์กลุ่มกลางถึงกลางล่าง
ไฮไลต์คอนโดฯ แสนสิริปีนี้คือการกลับมาในกลุ่มคอนโดฯ ไฮเอนด์ ซึ่งจะมี 2 ทำเลที่ “ราชเทวี” และ “อารีย์” และจะใช้แบรนด์ใหม่ที่เป็น One of a Kind เป็นแบรนด์เฉพาะสำหรับโลเคชันนั้นๆ โดยโครงการที่ราชเทวีแย้มว่าจะเปิดราคาเริ่มราว 200,000 บาทต่อตร.ม.
![](https://positioningmag.com/wp-content/uploads/2023/01/Sansiri-High-Rise-1.jpg)
ขณะที่ตลาดกลางล่างจะนำแบรนด์ “ดีคอนโด” มาดีไซน์ใหม่ให้ทันสมัยเพื่อลุยตลาดระดับราคา 1.5-2.0 ล้านบาทต่อยูนิต เปิดทั้งหมด 5 ทำเล ได้แก่ ดีคอนโด รีฟ ภูเก็ต, ดีคอนโด แซนด์ หาดใหญ่, ศรีราชา, รังสิต และลาดกระบัง
เปิดตัวแบรนด์ใหม่ 9 แบรนด์รวด
อุทัยยังกล่าวถึงการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ของแสนสิริ ปีนี้จะมีถึง 9 แบรนด์ ได้แก่
- กลุ่มลักชัวรี คอลเล็กชัน บ้านเดี่ยวราคา 25 ล้านบาทขึ้นไป — No.19 (นัมเบอร์ นายทีน) และ Sirinsiri (สิริณสิริ)
- กลุ่มทาวน์โฮมในเมืองระดับพรีเมียม – Narinsiri (ณริณสิริ) และ Ombre (ออมเบร)
- กลุ่มคอนโดมิเนียม – HUB (ฮับ) และ Cabanas (กาบานาส) ทำเลหัวหิน และอีก 3 แบรนด์คอนโดฯ ที่จะเป็น One of a Kind แบรนด์ที่มีเฉพาะโลเคชันนั้นๆ
ส่วนที่ดินบริเวณถนนสารสินที่แสนสิริจัดซื้อเข้ามานั้น องอาจแจ้งว่าปีนี้ยังไม่อยู่ในแผน อาจจะใช้เวลาพัฒนาแบบและรอจังหวะอีก 2-4 ปี แต่ถามว่าจะทำราคาสูงแค่ไหน ก็เป็นไปได้ที่จะแตะ 800,000 บาทต่อตร.ม. เพราะราคาที่ดินซื้อมาถึง 3 ล้านบาทต่อตร.ว.
ตลาด “ต่างชาติ” คัมแบ็กแล้ว
ตลาดลูกค้าต่างชาติเป็นอีกส่วนที่ช่วยดันยอดขายแสนสิริได้ดี อุทัยกล่าวว่าเป้าหมายยอดขายจากต่างชาติปีนี้อยู่ที่ 12,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 22% ของยอดขายรวม และเติบโตจากปีก่อน 54% สะท้อนให้เห็นว่าปีนี้แสนสิริจะกลับมาลุยตลาดต่างประเทศเต็มที่
กลุ่มลูกค้าต่างชาติของแสนสิริ หลักๆ 75% คือ “จีน” รองมา 12% คือ “ฮ่องกง” ตามด้วย 9% กลุ่ม “CLMV+รัสเซีย” และ 4% เป็น “ไต้หวัน”
การเปิดประเทศจีน เดินทางเข้าออกได้โดยไม่ต้องกักตัว เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้บริษัทกลับมารุกหนักอีกครั้ง โดยองอาจมองว่า ชาวจีนที่มีกำลังซื้อยังคงต้องการอสังหาริมทรัพย์ไทยเช่นเดิม เกิน 90% เป็นการซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า เก็บไว้เป็นทรัพย์สิน
กลุ่มราคาที่คนจีนสนใจจะอยู่ในช่วง 2-10 ล้านบาท แต่ราคาที่ขายดีที่สุดคือ 4-5 ล้านบาทต่อยูนิต โลเคชันหลักที่นิยมก็คือกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต
อุทัยยังสรุปการขายอสังหาฯ ปีนี้ว่า ปัจจัยภายในประเทศเป็นบวกจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และจีดีพีที่คาดว่าจะโต 3.7-4.0% แต่ปัจจัยลบก็คือปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น ความไม่แน่นอนจากสงคราม, ดอกเบี้ยขาขึ้น หรือเศรษฐกิจโลกที่บางประเทศอาจจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทั้งหมดทำให้แสนสิริก็ยังไม่วางใจและต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม
- “ศุภาลัย” ปี’66 เตรียมเปิดนิวไฮ 41,000 ล้านบาท บุก 5 จังหวัดใหม่ ครองเจ้าตลาดภูธร
- “สิงห์ เอสเตท” ปี’66 ลุยเปิด “บ้านเดี่ยวหรู” 5 โครงการ ทดแทนตลาดคอนโดฯ หรูที่ยังซบเซา