Sputnik V – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 22 Aug 2021 00:26:03 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 หุ้น​ COVID-19 ตัวไหนปัง! พร้อมชี้เป้า ETF ลงทุนรับดีมานด์ทั่วโลก https://positioningmag.com/1347296 Sat, 21 Aug 2021 14:18:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1347296
ตอนนี้…เวลานี้ ใครๆ ก็เรียกหาวัคซีนป้องกัน COVID-19 เพราะพวกเรารู้ว่า วัคซีนจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้โลกของเราเอาชนะโรคระบาดครั้งสำคัญนี้ได้ แต่การผลิตวัคซีน รวมไปถึงจัดสรรและกระจายตามความต้องการของแต่ละประเทศทั่วโลก ยังทำได้ไม่ทั่วถึง จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างมาก

อัปเดตถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2564 ประชากรในสัดส่วน 30.02% ทั่วโลกได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส และสัดส่วน 15.7% คือประชากรที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว ยังไม่ใช่สัดส่วนที่จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ หรือทำให้แต่ละประเทศเปิดพรมแดนเพื่อออกเดินทางกันอีกครั้ง

กว่า 8 เดือน นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 จนถึงสิงหาคม 2564 ที่กระจายวัคซีนไปแล้วกว่า 4,480 ล้านโดสทั่วโลก ตราบใดที่เชื้อไวรัส COVID-19 ยังสามารถกลายพันธุ์ไปได้อีกหลายสายพันธุ์ ทำให้เกิดการระบาดได้อย่างรวดเร็วและอาการมีความรุนแรงมากขึ้น การพัฒนาวัคซีนให้ดียิ่งขึ้นไปอีก…มีความจำเป็นอย่างมาก

ถ้าเชื้อไวรัสนี้ยังอยู่ ความต้องการวัคซีนก็ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เป็น Recurring Demand เหมือนกับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่เราฉีดทุกปี

นั่นหมายว่า การวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกัน COVID-19 จะไม่ได้จบเพียงเท่านี้ กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้น การลงทุนใหม่ๆ จะตามมา บริษัทไหนที่อยู่ในแวดวงวิทยาศาสตร์และการแพทย์ มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาวัคซีน…กำลังเป็นโอกาสลงทุนครั้งสำคัญ

หุ้นวัคซีน COVID-19 ราคาขึ้นแรง

รู้หรือไม่ว่า… โดยทั่วไปแล้วการพัฒนาวัคซีนในแต่ละชนิด ใช้เวลาตั้งแต่ 5-10 ปี หรืออาจจะนานกว่านั้น จนกว่าจะผลิตวัคซีนมีคุณภาพที่ดี ซึ่งไม่ง่ายนัก… ที่จะเอาชนะโรคระบาดที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

แต่สำหรับ COVID-19 นับเป็นโรคอุบัติใหม่ ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ห้วงเวลาการคิดค้นและพัฒนาวัคซีนใช้เวลาไม่ถึง 9 เดือน ตัดขั้นตอนการทดสอบหลายระดับ ให้เหลือเพียง 3 ระยะ เพื่อให้ได้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากพอในระดับที่สามารถใช้ได้ในร่างกายมนุษย์

Photo : Shutterstock

นอกจากนี้รัฐบาลแต่ละประเทศต่างเร่งรัดรับรองการใช้วัคซีน COVID-19 เป็นการฉุกเฉิน (Emergency Use) เพราะการแพร่ระบาดจนมีผู้เสียชีวิตทั่วโลกรวมๆ กว่า 4.328 ล้านคน (ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2564) ไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ

เมื่อเวลาไม่คอยท่า แต่ละบริษัทในกลุ่มบริการสุขภาพทั่วโลกต่างเร่งสปีดพัฒนาวัคซีน บางบริษัทได้รับงบสนับสนุนจากรัฐบาล จึงเป็นที่มาของวัคซีนป้องกัน COVID-19 เพื่อกระตุ้นการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกัน หรือกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน มีอยู่ 4 ประเภท ได้แก่

1.Genetic Vaccine

วัคซีนที่ถูกพัฒนาโดยใช้ยีนของไวรัส หรือที่เรารู้จักกันว่า วัคซีน mRNA (Messenger RNA) ปัจจุบันมี 2 ผู้ผลิต ได้แก่ Pfizer (ร่วมกับ BioNTech ของเยอรมนี) และ Moderna จากสหรัฐฯ

โรคระบาด COVID-19 กลายเป็นตัวเร่งครั้งสำคัญที่ทำให้เกิดวัคซีน mRNA แรกของโลก โดยมีรายงานว่า ให้ประสิทธิภาพป้องกัน และไม่ทำให้เจ็บป่วยรุนแรงได้สูงถึง 94-95% [4]

vaccine covid-19 pfizer
Photo : Shutterstock

นอกจากนี้วัคซีน mRNA ยังมีรายงานด้วยว่า ยังมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ได้ เช่น สายพันธุ์อินเดีย (เดลตา) เป็นต้น

ส่งผลให้ความต้องการวัคซีน mRNA พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายประเทศต่างเร่งรัดส่งคำสั่งซื้อหลายล้านโดส เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดโดยเร็วที่สุด จนมีข่าวว่าภูมิภาคอาเซียนมียอดคำสั่งซื้อเต็มโควตาปี 2564 แล้ว หากต้องการจะสั่ง ต้องรอปีต่อไป [6]

สำหรับ 3 บริษัทที่พัฒนาวัคซีน มีราคาหุ้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ Moderna (+534.3%) BioNTech (+463.22%) และ Pfizer (+32.43%) (ข้อมูล ณ วันที่  11 สิงหาคม 2564)

Photo : Shutterstock

ด้วยเหตุผลของประสิทธิภาพของวัคซีน mRNA สูงพอที่จะป้องกันหลากหลายสายพันธุ์ของ COVID-19 ทำให้มีหลายบริษัทเตรียมที่จะพัฒนาวัคซีนประเภทนี้ด้วย เช่น

  • Sanofi จะลงทุน 400 ล้านยูโรเพื่อพัฒนาและผลิตวัคซีน mRNA เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการต่อสู้กับ COVID-19
  • Fosun Pharma เซ็นร่วมมือกับ BioNTech เพื่อผลิตวัคซีน mRNA ในจีน กำลังการผลิต 1,000 ล้านโดส ลงทุนร่วมกัน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แต่ก็มีรายงานว่า วัคซีน mRNA มีผลข้างเคียงเรื่องกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Heart Inflammation) โดยองค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ได้เพิ่มคำเตือนลงไปในฉลากวัคซีนด้วย

2. Viral Vector Vaccine

วัคซีนที่ถูกพัฒนาโดยใช้ไวรัสที่ทำให้อ่อนลง และไม่ก่อให้เกิดโรค มาตัดต่อใส่สารพันธุกรรมของ COVID-19 ปัจจุบันมี 4 แบรนด์ที่พัฒนาวัคซีนประเภทนี้ ได้แก่ AstraZeneca (ร่วมกับ University of Oxford) จากสหราชอาณาจักร, Johnson & Johnson จากสหรัฐฯ, CanSino Biologics จากจีน และ Sputnik V (Gamaleya Research Institute of Epidemiology and Microbiology) จากรัสเซีย

โดย AstraZeneca เป็นวัคซีนที่ได้รับการยอมรับและนำไปใช้ทั่วโลก เพราะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่โดสแรก และมีงานวิจัยฉีดผสมกับวัคซีน mRNA เพื่อป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ด้วย

Astrazeneca Vaccine
Photo : Shutterstock

สำหรับวัคซีน Johnson & Johnson ที่ฉีดเพียงเข็มเดียว มีประสิทธิภาพสูงถึง 85% ส่วน AstraZeneca จำนวน 2 โดส มีประสิทธิภาพ 82% และ Sputnik V จำนวน 2 โดส มีประสิทธิภาพสูงถึง 92%

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าวัคซีน Viral Vector มีรายงานเรื่องผลข้างเคียงคือ เกิดลิ่มเลือดในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย มาจากทั้ง AstraZeneca และ Johnson & Johnson แต่ก็ยังมีเปอร์เซ็นต์การเกิดไม่สูงมาก

สำหรับราคาหุ้นที่ผลิตวัคซีน Viral Vector ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มี CanSino Biologics ราคาเพิ่มขึ้น 69.58% และ Johnson & Johnson ราคาเพิ่มขึ้น 17.39% ส่วน AstraZeneca เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.86% (ข้อมูล ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2564)

3. Protein-based Vaccine

วัคซีนที่ถูกพัฒนาโดยใส่ชิ้นส่วนโปรตีนของไวรัส เรียกอีกอย่างว่า Subunit Vaccine โดยบริษัทพัฒนาวัคซีนนี้ คือ Novavax จากสหรัฐฯ มีรายงานว่า ประสิทธิภาพการป้องกันสูงถึง 90%

ขณะนี้วัคซีนของ Novavax ยังไม่ได้มีสถานะการรับรองจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) FDA และสำนักงานคณะกรรมอาหารและยา (อย.) ของไทย คาดว่า เร็วๆ นี้ อาจจะมีความคืบหน้า มีการรับรองและอนุมัติแบบ Emergency Use

Photo : Shutterstock

ความหลากหลายของวัคซีน จะช่วยให้ผู้คนทั่วโลกเข้าถึงวัคซีนได้ง่ายขึ้น เพราะภูมิคุ้มกันของมนุษย์มีความซับซ้อน บางคนอาจจะแพ้วัคซีนชนิดใดชนิดหนึ่งได้ ดังนั้น Subunit Vaccine ของ Novavax จะเป็นทางเลือกหนึ่งในการต่อสู้กับ COVID-19

ราคาหุ้นของ Novavax ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น สะท้อนมุมมองเชิงบวก และผลสำเร็จของวัคซีนเช่นเดียวกัน 28.96% (ข้อมูล ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2564)

4. Whole-virus Vaccine

วัคซีนที่ถูกพัฒนาโดยใช้ไวรัสที่ทำให้อ่อนลง หรือไม่ทำงาน เรียกอีกอย่าง Inactivated Virus Vaccine หรือ วัคซีนเชื้อตาย ปัจจุบันจีนยังเป็นประเทศหลักที่ผลิตวัคซีนประเภทนี้ เช่น CoronaVac (Sinovac Biotech) และ Sinopharm จากจีน และยังมี Covaxin (Bharat Biotech พัฒนาร่วมกับ Indian Council of Medical Research) จากอินเดีย

เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่ทำการทูตวัคซีน จึงส่งออกวัคซีนทั้ง 2 แบรนด์ไปยังประเทศด้อยพัฒนา และกำลังพัฒนาทั่วโลก ในรูปแบบทั้งขาย และบริจาค จึงทำให้วัคซีนเชื้อตาย ถูกฉีดให้กับประชาชนส่วนใหญ่ในเอเชีย แอฟริกาใต้ และอเมริกาใต้

Photo : Shutterstock

สำหรับ Covaxin ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองทางคลินิก และยื่นขอการรับรองจาก WHO แต่กำลังประสบปัญหากับข้อตกลงส่งมอบวัคซีนกับประเทศในอเมริกาใต้ เช่น บราซิล ปารากวัย

ส่วนราคาหุ้น Sinopharm ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 9.67% (ข้อมูล ณ วันที่  11 สิงหาคม 2564)

ในกลุ่มวัคซีนทั้ง 4 ประเภทนี้ มีการพัฒนามาแล้ว 21 แบรนด์ทั่วโลก และได้รับรอง Emergency Use ในบางประเทศ ส่วนที่ WHO รับรองแล้วมี 6 บริษัท ได้แก่ Pfizer-BioNTech Moderna AstraZeneca Johnson & Johnson Sinopharm และ Sinovac 

นอกจากนี้โรคระบาด COVID-19 ยังเป็นแรงส่งให้กับนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และบุคลากรทางการแพทย์ ในการพัฒนาวัคซีนให้มีความหลากหลายมากขึ้น ล่าสุดมีการพัฒนาวัคซีนชนิดพ่นจมูก (Intranasal) ของบริษัท Meissa ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนทดลองกับสัตว์ มีรายงานว่า สามารถป้องกันสายพันธุ์อังกฤษ (อัลฟา) และแอฟริกาใต้ (เบตา) ได้ โดยจะเป็นวัคซีนที่สามารถสร้างแอนติบอดีในระบบทางเดินหายใจ และหากจามออกมา จะไม่แพร่เชื้อ

หุ้นชุดตรวจ COVID-19 ที่น่าสนใจ

ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ถูกพัฒนามาโดยตลอด ทำให้การตรวจ COVID-19 เบื้องต้นสามารถทำได้ด้วยตัวเองจากที่บ้าน โดยคุณไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล ลดความเสี่ยงในการออกไปข้างนอก

คุณสามารถใช้ชุดตรวจแบบ Rapid Test เป็นชุดตรวจที่ทราบผลเร็วภายใน 30 นาที ปัจจุบันมีผู้ผลิตจากหลายๆ ชาติ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ จีน ออสเตรเลีย ฟินแลนด์ และเกาหลีใต้ รวมทั้งมีการขึ้นทะเบียนรับรองการใช้งานนับสิบแบรนด์ในทุกประเทศ ปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.Rapid Antigen Test

ใช้ตรวจหาเชื้อ COVID-19 เพื่อประเมินการติดเชื้อเบื้องต้น โดยใช้การเก็บตัวอย่างด้วยการแยงไม้เข้าไปในโพรงจมูก ช่องคอ และน้ำลาย คล้ายคลึงกับการตรวจ RT-PCR (Real-time Polymerase Chain Reaction) ของโรงพยาบาล หากประเมินว่า ได้รับเชื้อมาแล้ว 5-14 วัน จะได้ผลตรวจที่แม่นยำ

สำหรับไทย อย. เพิ่งประกาศให้ประชาชนสามารถซื้อชุดตรวจ ​​Rapid Antigen Test มาใช้เองได้แล้ว โดยก่อนหน้านี้ ไม่อนุญาตให้ซื้อขายตามร้านขายยา แต่ในหลายๆ ประเทศ ประชาชนสามารถหาซื้อได้เอง อย่างในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป

Photo : Shutterstock

2. Rapid Antibody Test

ใช้ตรวจหาภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทาน COVID-19 โดยใช้วิธีเจาะเลือดที่ปลายนิ้วหรือท้องแขน สามารถตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อได้ในวันที่ 10 เป็นต้นไป นับจากที่คาดว่า ได้รับเชื้อ

การใช้ชุดตรวจ Rapid Antibody Test ผลที่ได้จะไม่ตรงกับวัตถุประสงค์คัดกรองการติดเชื้อเบื้องต้น เพราะการตรวจภูมิคุ้มกัน COVID-19 ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อเพียงอย่างเดียว การฉีดวัคซีนป้องกัน และผู้ที่เคยป่วยด้วยโรคนี้ สามารถตรวจพบภูมิต้านทานที่เพิ่มขึ้นได้

Photo : Shutterstock

ปัจจุบัน อย. ไทย ยังไม่รับรองให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงชุดตรวจ Rapid Antibody Test แต่จะอนุญาตให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ใช้ตรวจได้เท่านั้น ส่วนประเทศอื่นๆ อย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ประชาชนสามารถเข้าถึงชุดตรวจนี้ได้

ตัวอย่างหุ้นบริษัทที่ผลิตชุดตรวจที่น่าสนใจ บางรายเป็นผู้ผลิตทั้ง Rapid Antigen Test และ Rapid Antibody Test ได้แก่ Abbott Laboratories จากสหรัฐฯ ราคาหุ้นได้รับอานิสงส์จาก COVID-19 เพิ่มขึ้นเป็น 22.65% ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่  11 สิงหาคม 2564) โดยได้ผลิตชุดตรวจ Rapid Antigen Test แบบการ์ด ด้วยราคาเพียง 5 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมแสดงผลภายใน 15 นาทีผ่านแอปพลิเคชัน ส่วน Roche จากสวิตเซอร์แลนด์ ราคาเพิ่มขึ้น 16.32% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ชี้เป้า ETF ลงทุนหุ้น COVID-19

เชื้อ COVID-19 ค้นพบครั้งแรกในจีนเมื่อปลายปี 2563 จนตอนนี้ระยะผ่านมานานกว่า 1 ปีครึ่ง ทั่วโลกยังเผชิญกับสถานการณ์แพร่ระบาดหลายระลอก

บางประเทศคุมได้เร็ว แต่ก็ยังกลับมาระบาดได้อีก บางประเทศเลือกที่จะเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ได้สัดส่วนมากกว่า 70% ของประชากร มีเป้าหมายให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่โดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะคลายมาตรการล็อกดาวน์ เปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และเปิดการท่องเที่ยว

ขณะที่หลายๆ ประเทศพยายามสั่งจองวัคซีนหลายล้านโดส จากหลายๆ แบรนด์ผู้ผลิต เพื่อมาฉีดให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุด เนื่องจากไม่สามารถคุมการแพร่ระบาดได้ การสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้กับประชาชน จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

มิฉะนั้น…จะเปิดประเทศไม่ได้ จะเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ได้ เศรษฐกิจเสียหายหนักและใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัวเท่าช่วงก่อนเกิด COVID-19

Photo : Shutterstock

แม้วัคซีนเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่เรายังคาดการณ์ไม่ได้ว่า โลกจะเอาชนะ COVID-19 ได้หรือไม่ หรือจะต้องเผชิญกับการแพร่ระบาด รวมทั้งไวรัสกลายพันธุ์ไปจนถึงเมื่อไร

มันเป็นวิกฤตของโลกที่กำลังสะเทือนเศรษฐกิจทุกประเทศ ในทางกลับกัน…โอกาสการลงทุนก็อยู่กับบริษัทที่พัฒนาและผลิตวัคซีน ยาต้านไวรัส และชุดตรวจ Rapid Test รวมทั้งถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ

อย่างที่เราได้รวบรวมข้อมูลหุ้นวัคซีนและชุดตรวจ COVID-19 วัดกันที่ราคาหุ้นระยะสั้น ส่วนใหญ่มีทิศทางที่ดีจากการพัฒนาวัคซีนได้สำเร็จ มียอดสั่งซื้อจากทั่วโลก และการพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่ๆ รวมไปถึงการคิดค้นชุดตรวจที่แสดงผลรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น

ธุรกิจบริการสุขภาพ และเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างจีโนมิกส์  จึงมีความน่าสนใจมากในยุค New Normal นี้ โดย Jitta Wealth ได้คัดเลือก ETF 2 กอง เข้ามาเป็นตัวแทนของธีมธุรกิจเมกะเทรนด์ในกองทุนส่วนบุคคล Thematic อย่างธีมสุขภาพ (Healthcare) และธีมจีโนมิกส์ (Genomics) ที่ได้รับอานิสงส์จากวิกฤต COVID-19 ด้วย

Photo : Shutterstock

ธีมสุขภาพ มี iShares Global Healthcare ETF (IXJ) ลงทุนในหุ้นธุรกิจบริการสุขภาพทั่วโลกประมาณ 110 บริษัท เป็น Passive Fund โดยมีดัชนีอ้างอิง S&P Global 1200 Healthcare Sector Index ลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเติบโตจากวิกฤต COVID-19 เช่น บริษัท Johnson & Johnson บริษัท Pfizer บริษัท Moderna บริษัท AstraZeneca บริษัท Sanofi บริษัท Abbott Laboratories และ Roche

ผลตอบแทนของ IXJ

  • ย้อนหลัง 1 ปี (1 สิงหาคม 2563 – 31 กรกฎาคม 2564) อยู่ที่ +21.87%
  • ปี 2564 (1 มกราคม – 11 สิงหาคม 2564) อยู่ที่ +13.26%
  • นับตั้งแต่จัดตั้ง ETF (13 พฤศจิกายน 2544) อยู่ที่ +374.37%

ธีมจีโนมิกส์ มี iShares Genomics Immunology and Healthcare ETF (IDNA) ลงทุนในหุ้นที่พัฒนานวัตกรรมจากระบบพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต วินิจฉัยโรคในระดับยีน และลงลึกไปถึงระบบภูมิคุ้มกันวิทยา ซึ่งการพัฒนาวัคซีน mRNA คือ การใช้เทคโนโลยีจีโนมิกส์ด้วย

IDNA เป็น Passive Fund โดยมีอ้างอิง 2 ดัชนี คือ NYSE FactSet Global Genomics และ Immuno Biopharma Index ลงทุนหุ้นที่พัฒนาวัคซีน mRNA เช่น บริษัท Moderna บริษัท BioNTech และบริษัท Sanofi

ผลตอบแทนของ IDNA

  • ย้อนหลัง 1 ปี (1 สิงหาคม 2563 – 31 กรกฎาคม 2564) อยู่ที่ +34.49%
  • ปี 2564 (1 มกราคม – 11 สิงหาคม 2564) อยู่ที่ +13.17%
  • นับตั้งแต่จัดตั้ง ETF (11 มิถุนายน 2562) อยู่ที่ +115.01%

สำหรับ การลงทุนในธุรกิจบริการสุขภาพในจีน ตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่และเป็นผู้พัฒนาวัคซีนจำนวนมหาศาลของโลกเช่นเดียวกับสหรัฐฯ กองทุนส่วนบุคคล Thematic ของ บลจ. จิตต เวลธ์ มีธีมตลาดหุ้นจีน iShares MSCI China ETF (MCHI) ที่ลงทุนในหุ้น Sinopharm และ CanSino Biologics ด้วย

]]>
1347296
รัสเซีย จ่อเปิด ‘ทัวร์ฉีดวัคซีน’ รับต่างชาติ เเพ็กเกจท่องเที่ยว 21 วัน เริ่มต้น 4.7 หมื่นบาท https://positioningmag.com/1336074 Wed, 09 Jun 2021 07:46:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1336074 รัสเซีย เตรียมเปิดตัวเเพ็กเกจทัวร์ฉีดวัคซีนสำหรับชาวต่างชาติ เพื่อกระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวที่ซบเซา เล็งเจาะกลุ่มเป้าหมายเเถบแอฟริกา-ละตินอเมริกา ท่ามกลางการกระจายวัคซีนในประเทศที่ยังล่าช้า

Andrei Ignatyev ประธานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของรัสเซีย หรือ RUTI ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Tass ว่า ขณะนี้ทัวร์ฉีดวัคซีนมีความพร้อมแล้ว เเต่ยังคงติดปัญหาเรื่องวีซ่าเเละข้อกำหนดในการเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่

ทัวร์ท่องเที่ยวพร้อมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ดังกล่าว จะมีระยะเวลา 3 สัปดาห์ หรือ 21 วัน ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1,500-2,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 46,700 -78,000 บาท) ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน

โดยลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทัวร์วัคซีนของรัสเซีย เบื้องต้นพบว่า ได้รับความสนใจอย่างมากจากกลุ่มนักท่องเที่ยวในแอฟริกาและละตินอเมริกา

ด้าน Vladimir Putin ประธานาธิบดีรัสเซีย ประกาศสนับสนุนโครงการทัวร์วัคซีนเพื่อการท่องเที่ยวนี้ โดยสั่งให้รัฐบาลเร่งศึกษาอย่างจริงจังภายในเดือนนี้ เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์และเงื่อนไข สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ารัสเซีย เพื่อฉีดวัคซีนแบบมีค่าใช้จ่าย

ก่อนหน้านี้ มีบริษัททัวร์ของอินเดียเปิดตัวแพ็กเกจทัวร์เดินทางไปท่องเที่ยวในรัสเซีย 24 วัน พร้อมได้รับฉีดวัคซีน ‘Sputnik V’ (สปุตนิก วี) ครบทั้ง 2 โดส

เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ รัสเซีย ประกาศข้อจำกัดการเข้าประเทศสำหรับชาวต่างชาติเกือบทั้งหมด (ยกเว้นเป็นบางบุคคล) ตั้งเเต่เมื่อเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมา ทำให้การท่องเที่ยวหยุดชะงัก จากนั้นได้ผ่อนปรนการจำกัดการเข้าเมือง โดยที่ผู้ที่มาเยือนจะต้องแสดงการทดสอบโควิดเป็นลบก่อนเดินทาง

โดยรัสเซียมีความกระตือรือร้นที่จะฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการเเพร่ระบาดของโควิด-19 

เเม้รัสเซียจะเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่อนุมัติวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ผลิตเองอย่าง ‘Sputnik V’ ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา เเต่โครงการฉีดวัคซีนในประเทศกลับเป็นไปอย่างล่าช้า

จากข้อมูลของเว็บไซต์ Our World In Data ระบุว่า ปัจจุบันมีประชากรวัยผู้ใหญ่ชาวรัสเซียเพียง 9% เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนครบโดส

ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ประธานาธิบดี Putin ประกาศว่า รัฐบาลรัสเซียจะไม่บังคับให้ประชาชนต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 เเต่เห็นว่าประชาชนควรจะมีภูมิคุ้มกันไวรัส พร้อมย้ำว่า วัคซีน Sputnik V นั้นปลอดภัย เเละมีประสิทธิภาพ 91.6% ตามผลการตรวจสอบการทดลองทางคลินิกระยะสุดท้าย ที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ The Lancet

ทั้งนี้ จากผลสำรวจโดย Levada ของรัสเซีย ที่เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม พบว่าชาวรัสเซียกว่า 62% ไม่ต้องการรับวัคซีน โดยคนที่มีความลังเลใจมากที่สุดคือกลุ่มคนช่วงอายุ 18 ถึง 24 ปี

 

ที่มา : CNBC , TASS 

]]>
1336074
‘รัสเซีย’ ผนึก ‘เกาหลีใต้’ ผลิตวัคซีนโควิด ‘Sputnik V’ 100 ล้านโดสต่อเดือน https://positioningmag.com/1327900 Fri, 16 Apr 2021 05:52:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1327900 สำหรับวัคซีน ‘Sputnik V’ (สปุตนิก ไฟว์) ของรัสเซีย เป็นวัคซีนที่พัฒนาโดยสถาบันกามาเลยาของรัสเซีย โดยจากการทดสอบพบว่าวัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพ 91.6% และเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนวัคซีนมีหลายประเทศ อาทิ ฟิลิปปินส์ได้อนุมัติให้ใช้วัคซีน Sputnik V กรณีฉุกเฉิน โดยปัจจุบันมีกว่า 50 ประเทศทั่วโลกที่ใช้วัคซีน Sputnik V

ล่าสุด บริษัท Huons Global Co Ltd ของเกาหลีใต้ได้เปิดเผยว่า จะเป็นผู้นำกลุ่มเพื่อผลิตวัคซีน Sputnik V ของรัสเซีย 100 ล้านโดสต่อเดือน เนื่องจากมอสโกเพิ่มกำลังการผลิตสำหรับวัคซีนในต่างประเทศ โดยการประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก GL Rapha บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของเกาหลีใต้ลงนามในข้อตกลงกับกองทุนความมั่งคั่งของรัสเซียเมื่อปลายปีที่แล้วเพื่อผลิต Sputnik V มากกว่า 150 ล้านโดสต่อปี

Huons กล่าวว่า กลุ่มบริษัทจะเริ่มผลิตชุดตัวอย่างในเดือนสิงหาคม ซึ่งกลุ่มบริษัทดังกล่าวประกอบด้วยบริษัทอีกสามแห่ง ได้แก่ Prestige BioPharma, Humedix และ Boran Pharma ซึ่งจะสร้างโรงงานผลิตแห่งใหม่ จากข่าวดังกล่าวทำให้หุ้นใน Huons Global เพิ่มขึ้น 29.8%

ทั้งนี้ ประเทศอินเดียเพิ่งได้รับการส่งมอบวัคซีน Sputnik V ของรัสเซีย คาดว่าจะถึงมือก่อนสิ้นเดือนเมษายนนี้ ขณะที่ European Medicines Agency (EMA) กำลังดำเนินการทบทวนวัคซีนของรัสเซียเนื่องจากหลายประเทศในยุโรปพยายามเพิ่มโปรแกรมการฉีดวัคซีนที่ได้รับผลกระทบจากความล่าช้าในการจัดส่งวัคซีนอื่น ๆ

Source

]]>
1327900
มาเลเซีย เตรียมฉีดวัคซีนโควิด ให้ ‘ชาวต่างชาติ’ ในประเทศ รวมผู้ลี้ภัย-เข้าเมืองผิดกฎหมาย https://positioningmag.com/1319012 Thu, 11 Feb 2021 10:42:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1319012 รัฐบาลมาเลเซีย เตรียมจะฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายให้กับชาวต่างชาติทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศ รวมถึงผู้อพยพและผู้เดินทางเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายด้วย

โดยย้ำว่า จะให้ความสำคัญในการฉีดวัคซีนให้กับชาวมาเลเซียก่อน ส่วนกำหนดการฉีดวัคซีนให้กับชาวต่างชาตินั้นจะมีการประกาศในภายหลัง

การฉีดวัคซีนถือเป็นการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม โดยสภาพเเวดล้อมที่ปลอดภัยจาก COVID-19 จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อผู้ที่อยู่อาศัยอยู่ในมาเลเซียจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้มีภูมิคุ้มกันไวรัสนี้

การตัดสินใจดังกล่าว มีขึ้นหลังจากการพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราการติดเชื้อ COVID-19 ของเเรงงานต่างชาติที่อยู่ในมาเลเซียที่มีอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง เกษตรกรรมและการผลิต ซึ่งการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มแรงงานต่างชาติ นับว่ามีค่าใช้จ่ายสูงเนื่องจากต้องมีขั้นตอนการรักษาและการกักตัว

แรงงานต่างชาติ เป็นส่วนหนึ่งในชุมชนของเรา และยังมีส่วนช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศด้วยแถลงการณ์ระบุ

ทั้งนี้ ชาวต่างชาติที่มีสิทธิ์ได้รับวัคซีนฟรีของทางการมาเลเซียนั้น จะรวมถึงผู้ขอลี้ภัยที่ลงทะเบียนไว้กับสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ และชาวต่างชาติที่ไม่มีเอกสารเข้าเมืองที่ถูกต้อง หรือเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายด้วย 

คณะกรรมการด้านจัดหาวัคซีนในมาเลเซีย จะหารือกันต่อไปว่าจะดำเนินการเรื่องการฉีดวัคซีนกับชาวต่างชาติกลุ่มนี้อย่างไร โดยอาจต้องขอความร่วมมือกับรัฐบาลของแต่ละประเทศ สถานทูตเเละองค์กรต่างๆ ให้เข้ามาช่วยเหลือในการแจกจ่ายวัคซีนครั้งนี้ด้วย

ทางการมาเลเซีย ตั้งเป้าจะฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรอย่างน้อย 80% ของประชากรทั้งหมดที่มีอยู่ 32 ล้านคนให้ได้ภายใน 1 ปี 

โดย ‘เฟสแรก’ จะเริ่มขึ้นในเดือนนี้ และเสร็จสิ้นภายในเดือน เม.. ครอบคลุมบุคลากรการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขด่านหน้าราว 5 เเสนคน

จากนั้นเฟสสองจะเริ่มขึ้นระหว่างเดือน เม.. – .. ฉีดให้ประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง อย่างผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว ราว 9.4 ล้านคน ต่อมาวางเเผนจะแจกจ่ายวัคซีนเฟสสามซึ่งจะเป็นช่วงสุดท้าย ระหว่างเดือน ส..ปีนี้..ปีหน้า ครอบคลุมประชาชนราว 16 ล้านคน ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

ปัจจุบัน มาเลเซียสั่งจองวัคซีนป้องกัน COVID-19 หลากหลายขนาน มีทั้งวัคซีนของบริษัท Pfizer จากสหรัฐอเมริกา , วัคซีน Sinovac ของจีน และสั่งซื้อวัคซีน Sputnik V ของรัสเซีย นอกจากนี้ยังเข้ารับความช่วยเหลือผ่านโครงการ COVAX ที่สนับสนุนโดยองค์การอนามัยโลกด้วย

 

ที่มา : CNA , Malaymail

]]>
1319012
จับตา “อินโดนีเซีย” บริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่หลายเจ้า เล็งใช้เป็นฐานผลิตวัคซีน COVID-19 https://positioningmag.com/1307049 Sat, 21 Nov 2020 01:54:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307049 บริษัทผู้ผลิตยาหลายราย เล็งใช้อินโดนีเซียเป็นฐานผลิตเเละจัดจำหน่ายวัคซีน COVID-19 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

รายงานข่าวจาก SCMP ระบุว่า Penny Lukito หัวหน้าสำนักงานควบคุมยาและอาหารแห่งชาติอินโดนีเซีย (BPOM) ให้สัมภาษณ์สื่อว่า ตอนนี้รัฐบาลได้รับการติดต่อจาก Pfizer บริษัทผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของสหรัฐฯ และบริษัท AstraZeneca ของอังกฤษ รวมไปถึงผู้พัฒนาวัคซีน Sputnik V ของรัสเซีย เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการทดสอบวัคซีน COVID-19 ในอินโดนีเซีย

บริษัทเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะหา พันธมิตรธุรกิจยาในอินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนการทดลองหรือผลิตวัคซีนในประเทศ

ฉันคิดว่าการเเพร่ระบาดครั้งนี้ เปิดโอกาสให้ทุกส่วนของอุตสาหกรรมยาของอินโดนีเซียเติบโตไม่เพียงแต่บริษัทยาของรัฐเท่านั้น  Lukito กล่าวเเละเสริมว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมยาในประเทศ ที่มีมูลค่าราว 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีความสามารถและประสบการณ์ในการผลิตวัคซีนสำหรับมนุษย์

ก่อนหน้านี้ Sinovac Biotech จากประเทศจีน ได้อนุญาตให้บริษัท Bio Farma ของอินโดนีเซียผลิตวัคซีนของ Sinovac ซึ่งคาดว่าจะมีการผลิตวัคซีนคู่ขนานจำนวน 260 ล้านโดส ซึ่งครอบคลุมประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรอินโดนีเซียทั้งหมด 270 ล้านคน ทำให้อินโดนีเซียจะกลายเป็นศูนย์กลางในการผลิตวัคซีนของ Sinovac 

นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังได้ทำข้อตกลงในการจัดหาวัคซีนจาก CanSino Biologics และ Sinopharm ผู้ผลิตยารายใหญ่ของจีนอีกเจ้าด้วย

การร่วมมือกับ Pfizer เเละผู้ผลิตวัคซีนระดับแนวหน้ารายอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการทดสอบหรือการจัดหาวัคซีน จะช่วยใหอินโดนีเซียรับมือกับโรคระบาดที่รุนเเรง หลังมีผู้ติดเชื้อในประเทศไปเเล้วกว่า 483,000 คน และคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 15,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน

นอกจากนี้ ผลกระทบจาก COVID-19 ยังทำให้เศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เกิดภาวะถดถอยครั้งแรกในรอบ 20 ปี หลังจาก GDP หดตัวร้อยละ 3.49 ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้

 

]]>
1307049