wongnai – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 19 Sep 2022 05:53:30 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ส่องไอเดียรังสรรค์ ‘หมูดำซีพี-คูโรบูตะ’ ผ่าน 10 เมนูคาว-หวาน จากงาน ‘CP x Wongnai Savour Sensation Hunting’ ที่พิสูจน์แล้วว่ายกระดับความอร่อยเต็มสิบ! https://positioningmag.com/1400697 Mon, 19 Sep 2022 11:00:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1400697

จากการผสมข้ามสายพันธุ์ของหมูพันธุ์เบอร์คเชียร์, หมูสยาม และหมูจีน ที่ราชวงศ์อังกฤษเลี้ยงในพระราชวังวินเซอร์ และส่งมอบให้เป็นของขวัญแก่ประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 และผ่านการปรับปรุงสายพันธุ์มาจนกลายเป็น หมูดำ คูโรบูตะ เนื้อหมูคุณภาพดีมีความนุ่มชุ่มฉ่ำที่สุดในปัจจุบัน และสายพันธุ์ชั้นดีก็ถูกปรับปรุงอีกทอดโดย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ


หมูดำซีพี-คูโรบูตะ เชฟการันตีว่าดีจริง

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านการตลาดกลาง ซีพีเอฟ ได้อธิบายถึงความพรีเมียมของ หมูดำซีพี-คูโรบูตะ ว่าได้ถูกการันตีจากจากงานวิจัยกับเชฟมืออาชีพ 100 คน แล้วว่า อร่อยกว่าหมูทั่วไป เนื่องจากมีคุณลักษณะเด่นเฉพาะตัว ทั้งเนื้อสีเข้มสวย มีความฉ่ำวาว เนื้อนุ่มกว่าหมูทั่วไปจากเส้นใยกล้ามเนื้อที่ละเอียด ความชุ่มฉ่ำสูง และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เนื่องจากถูกเลี้ยงดูอย่างพิถีพิถันภายในฟาร์มระบบปิดมาตรฐานระดับโลก

มีการควบคุมอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อให้หมูสุขภาพดี แข็งแรง ปราศจากโรค ปลอดสารเร่งเนื้อแดง ปลอดภัยต่อการบริโภค พร้อมทั้งให้อาหารสูตรพิเศษที่เป็นธัญพืช 100% ไม่มีโปรตีนจากสัตว์ทำให้รสชาติอร่อยกลมกล่อม หอม นุ่ม ฉ่ำ จนเป็นเอกลักษณ์ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ร้านอาหารและเชฟจะมั่นใจในการเลือกใช้หมูดำซีพี-คูโรบูตะเป็นวัตถุดิบ และสำหรับคนที่อยากอร่อย หอม นุ่ม ฉ่ำกับหมูดำง่ายๆ ที่บ้าน CP แนะนำเมนูใหม่ ! หมูดำ ซีพี-คูโรบูตะ หมักซอสบูลโกกิ พร้อมปรุง ที่แค่แกะซองก็อร่อยง่ายได้เลย แถมยังมีอีก 4 เมนูไม่ว่าจะเป็น หมูดำ ซีพี-คูโรบูตะ หมูน้ำมันงา , หมูดำ ซีพี-คูโรบูตะ ตับหมูน้ำมันงา , หมูดำ ซีพี-คูโรบูตะ สันนอกหมูซอสซีอิ๊วญี่ปุ่น และ หมูดำ ซีพี-คูโรบูตะ สันนอกหมูโคชูจัง


ฉลอง 10 ปี CP Kurobuta  Festival ด้วย 10 เมนูจาก ‘เชฟนิค’

นับตั้งแต่วางจำหน่ายตั้งแต่ต้นปี 2553 ปัจจุบัน หมูดำซีพี-คูโรบูตะก็อยู่คู่ไทยมาเป็นเวลากว่า 10 ปี และภายในงานฉลองครบรอบปีที่ 10 CP Kurobuta Festival (ซีพี-คูโรบูตะ เฟสติวัล) ทางซีพีเอฟก็ได้จับมือกับ LINE MAN Wongnai ร่วมกันรังสรรค์งาน CP x Wongnai Savour Sensation Hunting พร้อมกับเปิด ลายแทงสุดยอดเมนูหมูดำ

และภายในอีเวนท์ดังกล่าวยังได้ ‘เชฟนิค-ณัฏฐพล ภวไพบูลย์’ Executive Chef และ Co-Founder แห่ง Wanghinghoi Food Group หรือ ร้านอาหารวังหิ่งห้อย มารังสรรค์ 10 เมนูหมูดำ เพื่อสะท้อนถึงความ พรีเมียม ของวัตถุดิบ พร้อมปลุก ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง และ เนื้อสัมผัสของหมูดำซีพี-คูโรบูตะ

ด้วยบรรยากาศร้านวังหิ่งห้อยที่มีคอนเซปต์เสมือน ยกป่าและธรรมชาติ มาไว้กลางเมือง พร้อมกับมี หิ่งห้อย จริง ๆ ให้ได้สัมผัสระหว่างรับประทานอาหาร ดังนั้น บรรยากาศภายในห้องทานอาหารจึงมีเพียงแสงไฟสลัว ๆ ทำให้ได้ดื่มด่ำกับรสชาติของอาหารพร้อมปลุกประสาทสัมผัสทั้ง 5 แบบเต็ม ๆ


ส่อง 10 ไอเดียเมนูคาว-หวาน

สำหรับ 10 เมนู Chef’s Table ของเชฟนิคนั้นมีคอนเซปต์จากการนำอาหารขึ้นชื่อของแต่ละเชื้อชาติมาสร้างสรรค์ความอร่อยที่แตกต่างเริ่มต้นด้วย 3 เมนูแรก เชฟนิคเลือกเสิร์ฟเพื่อเปิดประสาทสัมผัสกลิ่นและความนุ่มของเนื้อหมูดำ ได้แก่

เมนู ชาชู ซันเดย์ ที่เลือกใช้ชิ้นส่วนสามชั้นมาปรุงแบบไร้มัน ราดกับน้ำซุปที่เคียวจากกระดูก Back Bone กินคู่กับหมี่เย็นโฮมเมด ตามด้วยเมนู พูลพอร์คทาโก้ เอาไขมันจากสามชั้นของหมูดำ ซีพี-คูโรบูตะ มาผัดกับเนื้อหมูส่วนสะโพกที่ปรุงแบบ Slow Cook แล้วนำมา shred ให้เนื้อสัมผัสที่นุ่มและฉ่ำ ใส่ในแผ่น Taco เสิร์ฟแบบ slam on บนลูกเดือยกรุบกรอบ ปิดด้วย ซีพี-คูโรบูตะ มาเหนือ ที่เชฟนิคเลือกใช้ ไหล่หมู เป็นวัตถุดิบ พร้อมหมักกับเครื่องเทศไทย นำไปอบ แล้วย่าง จากนั้นนำมาซูวี (Sous Vide) แล้วนำมาปรุงด้วยรูปแบบ deconstructed ที่ดึงเอาเสน่ห์รสชาติแบบลาบเหนือดั้งเดิม มา Twist ในรูปแบบ Modern เสิร์ฟแบบ FineDining เพื่อเปิดสัมผัสด้านกลิ่น

ส่วน Main Course จะประกอบด้วยเมนู สะเต๊ะซี่โครงหมูดำ ซีพี-คูโรบูตะ โดยนำซี่โครงมาซูวีแล้วค่อยนำไปย่างบนหินชาโคล และราดด้วยน้ำสะเต๊ะที่ทำจากมันหมูดำ ทานคู่กับอาจาดเยลลี่ซ่อนพริก ต่อด้วย ราวิโอลี่ทรัฟเฟิล ซีพี-คูโรบูตะ ที่ใช้เนื้อสันนอก Dice เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเต๋าเล็ก ๆ ปรุงรสเผ็ดเบา ๆ พร้อมเคี่ยวกับน้ำมะเขือเทศ และ Italian Herbs ห่อด้วยแป้งพาสต้า Ravioli โฮมเมดที่ทำจากฟักทอง โรยด้วยทรัฟเฟิล ต่อมาเป็นเมนู หมูดำ ซีพี-คูโรบูตะบูลโกกิ ที่ใช้เนื้อหมูดำส่วนสันในนำมาสไลซ์บาง 2 มม. นำมาผัดกับซอสบูลโกกิ ที่ทำจากน้ำต้มกระดูกหมูดำ เสิร์ฟพร้อมข้าวเกาหลี กิมจิ และหอมหัวใหญ่ร่อนไฟ

ตามด้วยเมนู หมูฮ้อง เมนูท้องถิ่นของภูเก็ต โดยเชฟนิคใช้ชิ้นส่วน เนื้อหมูสามชั้นติดหนัง (Skin on) ที่ตุ๋นกับเครื่องเทศไทยที่ปั่นรวมกัน ต้มแบบขลุกขลิกจนน้ำมันของหมูออกมา แล้วตุ๋นต่อด้วยน้ำมันของหมู เปิดสัมผัสความนุ่มแบบละลายในปาก เสิร์ฟพร้อมต้นผักชีเทมปุระ ครีมชีส และมันบด อีกเมนูคือ ต้มแซ่บคูโรบูตะสองใจ โดยใช้ส่วนสันนอกผสมกับไขกระดูก นำมาปรุงให้ได้รสชาตินุ่มฉ่ำ เสิร์ฟพร้อมน้ำซุปใสที่เคี่ยวจากกระดูก Back Bone นานเกือบ 3 วัน

อีกเมนูไฮไลท์ คือ หมูดำ ซีพี-คูโรบูตะกระเพราไข่ดาว กับการรังสรรค์เมนูสามัญของคนไทยให้พิเศษยิ่งขึ้นพร้อมปลุกประสาทสัมผัสทั้ง 5 ด้วยการ เขย่าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ซึ่งจะได้ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสอย่างแท้จริง และปิดท้ายด้วย เมนูของหวาน โดยเชฟเลือกรังสรรค์ ไอติมกะทิมันหมู เบคอน โดยไอติมกะทิเคลือบด้านบนด้วยมันหมูแทนซอสรสชาติต่าง ๆ ชูความหอมแบบ Delicious Aroma ของมันหมูดำ ซีพี-คูโรบูตะ บวกกับเบคอนรีดน้ำมันกรุบกรอบ ส่งให้ความหวานหอมละมุนของไอติมกะทิ

“หมูดำ ซีพี-คูโรบูตะ เป็นวัตถุดิบที่สามารถใช้ได้ทั้งหมดโดยไม่เสียเปล่า อีกทั้งยังเปิดประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของเรา ตั้งแต่การมองเห็นผ่านเนื้อสีเข้มฉ่ำวาว เมื่อนำมาปรุง เนื้อหมูสามารถดูดซับเครื่องปรุงได้ดี ใช้เวลาหมักน้อย ตอนที่รับประทาน สัมผัสแรกคือ ความหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ตามด้วยความนุ่มและชุ่มฉ่ำที่แตกต่างจากหมูทั่วไป เหมาะแก่การทำอาหารทั้งคาวและหวาน ไม่ว่าจะเลือกชิ้นส่วนไหน” เชฟนิค-ณัฏฐพล ภวไพบูลย์ ทิ้งท้าย

เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี บริษัทฯ จัดกิจกรรมให้ลูกค้าได้ร่วมสนุกผ่านร้านอาหารลุ้นรับโปรโมชั่นพิเศษและของที่ระลึกสุดพรีเมียม รวมทั้งผู้ที่จับจ่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ อาทิ Lotus’s, Makro, The mall, Foodhall, Villa, Foodland, Big C, ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าปลีก และช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ โดยร่วมจับสลากผ่านช่องทางออนไลน์ เพียงซื้อหมูดำ ซีพี-คูโรบูตะครบ 350 บาท รับ 1 สิทธิ์ ลุ้นรับ credit voucher LINE MAN จำนวน 100 รางวัล สูงสุดมูลค่า 50,000 บาท สำหรับสั่ง delivery บน LINE MAN จากร้านค้าที่มีเมนูหมูดำจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ 6-31 ตุลาคม 2565 และประกาศผลในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2565

]]>
1400697
Update ’14 ตัวเลือก’ บนสังเวียน ‘Food Delivery’ ที่ไม่ได้มีแค่รายใหญ่ให้เรียกใช้เวลาหิว https://positioningmag.com/1298224 Tue, 22 Sep 2020 12:49:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1298224 หากย้อนไปเมื่อปี 2012 ตลาด ‘ฟู้ด เดลิเวอรี่’ บ้านเรายังมีแค่ Food Panda จากนั้นในปี 2018 ก็มี Grab และ Uber ที่ตามมา แต่แล้วอูเบอร์ก็ขายกิจการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปให้กับคู่แข่งอย่าง Grab ทำให้ผู้เล่นหลักในตอนนั้นแทบจะมีแค่ Grab อย่างไรก็ตาม จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้มีผู้เล่นหน้าใหม่ทยอยตบเท้าเข้ามาเพียบ เพื่อหวังชิงเค้กมูลค่า 35,000 ล้านบาทก้อนนี้ โดยเฉพาะในปี 2020 นี้ที่เปรียบเสมือน ‘ปีทอง’ ของตลาด เพราะมาตรการล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้น ดังนั้น Positioning จะพาไปรู้จักแพลตฟอร์มที่ให้บริการส่งอาหารในไทยกันว่ามีใครกันบ้าง

Grab Food

ถือเป็นผู้เล่นเบอร์ต้น ๆ ของตลาดเลยทีเดียวสำหรับ Grab ที่ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ตั้งแต่ปี 2018 โดยค่าจัดส่งเริ่มต้นที่ 10 บาท พร้อมให้บริการใน 35 เมือง 33 จังหวัด ปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดกว่า 14 ล้านดาวน์โหลด มีพาร์ตเนอร์ผู้ขับกว่า 100,000 ราย มีร้านอาหารในระบบกว่า 80,000 ร้าน แค่ช่วง COVID-19 ที่ผ่านมามีผู้ใช้แกร็บฟู้ดรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า และยอดออเดอร์เติบโตถึง 30% เลยทีเดียว ซึ่งในปีนี้ทาง Grab ก็จัดหนักออกแคมเปญ “Free Your Hunger เลิกกินตามใคร กดสั่งตามใจ” แคมเปญใหญ่สุดของปีนี้ โดยได้ เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับชื่อดัง มาช่วยสร้างหนังสั้นที่แสดงโดย BNK48 ปัจจุบันโกยยอดวิวไปกว่า 10 ล้านวิวเลยทีเดียว

LINE MAN

จากแพลตฟอร์ม Chat ที่มีจุดแข็งเป็นผู้ใช้งาน LINE กว่า 46 ล้านราย ดังนั้น LINE จึงต้องการต่อยอดจำนวนผู้ใช้อันมหาศาลด้วยการผุด ‘LINE MAN’ ที่ให้บริการเรียกแท็กซี่, สั่งซื้ออาหาร, ซื้อของใช้ในบ้าน หรือแม้แต่เรียกมารับพัสดุ โดยมีพาร์ตเนอร์อย่าง ‘Lalamove’ ที่ช่วยขนส่งสินค้า ซึ่งในส่วนของบริการส่งอาหาร LINE MAN ให้บริการใน 13 จังหวัด ครอบคลุมร้านอาหาร 200,000 ร้าน โดยมีค่าจัดส่งเริ่มต้นที่ 10 บาทเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ทาง LINE MAN เพิ่งได้เงินลงทุนจากบริษัท BRV Capital Management (BRV) ถึง 3,300 ล้านบาท เพื่อใช้ในการควบรวมกิจการ ‘Wongnai’ สตาร์ทอัพสัญชาติไทยเจ้าของแพลตฟอร์มรีวิวร้านอาหารและข้อมูลด้านไลฟ์สไตล์ ที่มีฐานข้อมูลร้านอาหารกว่า 400,000 ร้านทั่วไทย และมีผู้ใช้กว่า 10 ล้านรายต่อเดือน ส่งผลให้ LINE MAN มีข้อมูลทั้งร้านค้าและผู้ใช้ในมือมากมายเลยทีเดียว พร้อมเตรียมขยายพื้นที่ให้บริการเป็น 20 จังหวัดในสิ้นปีนี้

Gojek

Gojek หรือชื่อเดิม ‘GET’ น้องใหม่ในตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ที่เพิ่งให้บริการไปเมื่อปี 2019 แต่สามารถโกยยอดดาวน์โหลดได้ถึง 13 ล้านครั้ง ส่งอาหารกว่า 20 ล้านออเดอร์ มีพาร์ตเนอร์ผู้ขับกว่า 50,000 ราย และพาร์ตเนอร์ร้านอาหารกว่า 30,000 ร้าน แม้จะรีแบรนด์ใหม่ (เพื่อใช้ชื่อเดิม) ก็เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่าจะรุกตลาดให้หนักขึ้น โดยไม่ใช่แค่อัดโปรโมชันมอบส่วนลดสูงสุด 2,500 บาท และมีแฟลชดีลทุกวัน แต่ยังระบุว่าเตรียมขยายพื้นที่ให้บริการไปต่างจังหวัดเร็ว ๆ นี้ จากปัจจุบันที่ให้บริการแค่กรุงเทพฯ และปริมณฑลอีกด้วย ส่วนค่าบริการเริ่มต้นที่ 10 บาทเหมือนเจ้าใหญ่รายอื่น ๆ

Food Panda

ทำตลาดในไทยมาตั้งแต่ปี 2012 สำหรับ Food Panda บริษัทฟู้ดเดลิเวอรี่สัญชาติเยอรมนีที่ปัจจุบันให้บริการครอบคลุมถึง 72 จังหวัด และจะครบ 77 จังหวัดในสิ้นปีนี้ ส่วนร้านค้าพาร์ตเนอร์มีราว 20,000 ร้าน พาร์ตเนอร์ผู้ขับในปัจจุบันมีกว่า 90,000 ราย ขณะที่ค่าบริการสูงสุดไม่เกิน 40 บาท และล่าสุดมีบริการใหม่ ‘แพนด้า มาร์ท’ ขายสินค้าอุปโภคบริโภค มี 7 แห่ง สิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 30 สาขา

Skootar

สตาร์ทอัพสัญชาติไทยแท้ที่เริ่มต้นมาจากการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ใช้เชื่อมโยงระหว่าง SME บริษัท ห้างร้าน กับเครือข่ายแมสเซ็นเจอร์ ที่ให้บริการรับส่งเอกสาร เก็บเช็ค วางบิล หรือส่งของอื่น ๆ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ก่อนจะขยายมาสู่บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ โดยปัจจุบันมีพาร์ตเนอร์คนขับอยู่ประมาณ 8,000 คนทั่วกรุงเทพฯ โดยเริ่มต้นที่ราคา 45 บาท ฟังดูอาจจะรู้สึกว่าราคาสูงกว่าเจ้าอื่น แต่ Skootar ไม่ได้มีการเก็บค่าคอมมิชชันจากร้านอาหาร พูดง่าย ๆ ลูกค้าจ่ายเท่าไหร่ร้านได้เท่านั้น

Hungry Hub

น้องใหม่ที่ถือกำเนิดในช่วง COVID-19 ที่ออกมาเพราะต้องการช่วยเหลือร้านอาหาร โดยมีคอนเซ็ปต์เป็นเเพลตฟอร์มรวมเเหล่งบุฟเฟต์ ดังนั้น ในแต่ละมื้อที่สั่งจะไม่ใช่ชุดยิบย่อย แต่เป็นชุดใหญ่ไฟกะพริบแบบ ‘Set Menu’ กินกันจุก ๆ สำหรับ 2-4 คน โดยราคาเริ่มต้นที่ 399 บาท Net และในส่วนของค่าส่งนั้น ‘ฟรี’ ในระยะทางไม่เกิน 3 กิโลเมตรแรก (กิโลเมตรต่อไปเพิ่มแค่ 10 บาท/กม.) โดยทาง Hungry Hub จะเก็บค่าคอมมิชชันที่ 10.7% เท่านั้น และไม่ต้องห่วงว่าเป็นน้องใหม่แล้วผู้ขับจะไม่ได้คุณภาพ เพราะเป็นพาร์ตเนอร์กับ Lalamove ที่ LINE MAN เลือกใช้

Fresh!

เเอปพลิเคชันฟู้ดเดลิเวอรี่น้องใหม่ที่มีทีมปั้นเป็นคนไทยทั้งหมด ซึ่งตอนนี้เริ่มทยอยรับสมัครร้านค้าเเละไรเดอร์ทั่วประเทศเเล้วในช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ชูจุดเด่น ‘ไม่เก็บค่า GP’ จากร้านค้า โดยมีค่าส่งเริ่มต้นที่ 10 บาท และหากสั่งออเดอร์เกิน 100 บาท มีโปรโมชันส่งฟรี

Robinhood

Robinhood แพลตฟอร์มน้องใหม่ภายใต้บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด (Purple Ventures) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเอสซีบี เท็นเอกซ์ (SCB 10X) โดยมีเงินลงทุนกว่า 100 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดในฝั่งของผู้บริโภคว่าภายในแอปฯ มีร้านค้าให้เลือกมากน้อยแค่ไหน และค่าส่งจะเริ่มเท่าไหร่ แต่ทางแอปฯ ได้ประกาศว่าไม่มีค่าธรรมเนียม GP ที่จะเก็บกับร้านอาหาร แปลว่าร้านสามารถใช้บริการฟรี และมีการเคลียร์เงินเข้าบัญชีภายใน 1 ชั่วโมง เพื่อให้ร้านอาหารมีเงินหมุนเวียนในธุรกิจ ส่วนการส่งอาหารใช้ความร่วมมือกับ Skootar  

Eatable

เเพลตฟอร์มทางฝั่ง KBank ที่วางตัวเป็นแพลตฟอร์มตัวช่วยจัดการร้านอาหาร ไม่ต้องโหลดแอปฯ ไม่มีค่าธรรมเนียม สามารถจัดการระบบหลังบ้านแบบเรียลไทม์ผ่านทางออนไลน์ ส่วนลูกค้าสามารถเลือกอาหาร สั่ง จ่ายแบบไร้การสัมผัส และที่เเถมมาก็คือ ฟังก์ชันฟู้ดเดลิเวอรี่ ที่กำลังจะเปิดตัวเเบบเต็มรูปแบบในเดือนตุลาคมนี้ พร้อมพัฒนาต่อยอดให้นักท่องเที่ยวจีนสั่งอาหารในไทยได้ปลายปีนี้

กังนัมแซ่บ เดลิเวอรี่

มาถึงฝั่งที่เรียกได้ว่า ‘บ้านขั้นสุด’ ของตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่กันบ้าง โดยไม่ต้องสั่งผ่านแอปฯ ใด ๆ ทั้งสิ้น อย่าง กังนัมแซ่บ เดลิเวอรี่ ถือเป็นอีกหนึ่งบริการซื้ออาหารจากร้านต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯ ภายใต้สโลแกนว่าสั่งได้ทุกร้าน สั่งได้ทุกอย่างตลอด 24 ชั่วโมง จะมีหรือไม่มีในเมนูก็สั่งได้ โดยรูปแบบการสั่งซื้อคือ โทรมาสั่งอาหาร จากนั้นจะประเมินราคาค่าบริการให้ลูกค้าก่อน โดยคิดจากระยะทางของร้านอาหารที่สั่งกับจุดหมายปลายทางที่ต้องไปส่ง โดยเริ่มต้นที่ 60 บาท บวกกับจำนวนสินค้าที่สั่ง 20 บาทต่อชิ้นต่อร้าน เรียกได้ว่าไม่ต้องเข้าแอปฯ อยากได้ร้านไหนบอกพิกัดเดี๋ยวจัดให้ถึงที่

OrderMaNow

สำหรับ OrderMaNow ก็คล้าย ๆ กับกังนัมแซ่บ โดยสามารถรับออเดอร์ทุกทาง Facebook, IG, LINE, Twitter แตะลิงก์เดียวสั่งออเดอร์ในร้านได้ทันที ไม่ต้องลงเเอปฯ ไม่ต้อง Login

นอกจากนี้ยังมีผู้เล่นท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดอีกเพียบ ได้แก่ Om Ordering เเพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ที่จากจังหวัด เชียงใหม่ ที่สามารถสั่งได้ทั้งสินค้า อาหาร และบริการ Street Food Delivery สตาร์ทอัพไซส์เล็กที่ขอปักธงเมืองรอง โดยเน้นร้านอาหารดังประจำถิ่น เริ่มให้บริการส่งอาหารในพื้นที่กำแพงแสน จังหวัดนครปฐม และท่าเรือ-ท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี และ FoodMan Delivery อีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่เน้นลุยเมืองรอง โดยเริ่มต้นจากแถวภาคเหนือก่อน โดยปัจจุบันให้บริการใน 7 จังหวัด ได้แก่ น่าน, เชียงราย, ลำปาง, อุตรดิตถ์, ตาก, ระยอง และสระบุรี

จากจำนวนผู้เล่นที่เพิ่มขึ้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่าพฤติกรรมคนเริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะช่วงที่มี COVID-19 ระบาด แต่จะเลือกใช้ใครก็ลองดูตามความต้องการได้เลย แต่จะเริ่มเห็นว่าผู้เล่นรายใหญ่เริ่มขยายบริการเข้าสู่ตลาดต่างจังหวัดเเล้ว จากนี้ ผู้เล่นท้องถิ่น อาจต้องทำการบ้านให้หนักขึ้น เพราะถ้าต้องสู้เรื่องราคาและโปรโมชันคงไม่ไหวเเน่นอน

]]>
1298224
‘ยอด ชินสุภัคกุล’ เตรียมรับตำแหน่งซีอีโอ ‘LINE MAN Wongnai’ https://positioningmag.com/1291313 Thu, 06 Aug 2020 05:32:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1291313 ถือเป็นข่าวใหญ่ในวงการสตาร์ทอัพของไทยเลยทีเดียว เมื่อ ‘วงใน’ (Wongnai) แพลตฟอร์มรีวิวร้านอาหารและข้อมูลด้านไลฟ์สไตล์ ได้ถูก ‘ไลน์แมน’ (LINE MAN) แพลตฟอร์ม on-demand ส่งอาหารและส่งของของ ‘LINE’ เข้าควบรวมกิจการในมูลค่า 3,300 ล้านบาท หลังจากที่ได้งบลงทุนจากบริษัท BRV Capital Management (BRV)

ล่าสุด LINE คอร์ปอเรชั่น ประกาศเลือก ‘ยอด ชินสุภัคกุล’ ผู้ก่อตั้งวงในให้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ ซีอีโอ บริษัท LINE MAN Wongnai บริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการระหว่างไลน์แมนและวงในแพลตฟอร์ม โดยจะมีผลในช่วงเดือนกันยายน 2563 โดย ‘ยอด’ จะรับหน้าที่บริหารจัดการธุรกิจและการปฏิบัติการต่าง ๆ ของบริษัท

“คุณยอด ชินสุภัคกุล เป็นผู้ที่เข้าใจในธุรกิจ O2O อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะด้านฟู้ดเดลิเวอรี ่LINE MAN Wongnai ภายใต้การบริหารของคุณยอด จะเป็นบริษัทที่สร้างโดยคนไทย บริหารโดยคนไทย และดำเนินงานเพื่อคนไทย ซึ่งจะสามารถสร้างสิ่งใหม่ ๆ น่าตื่นเต้นและเป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายอย่างแท้จริง” อึนจอง ลี หัวหน้าฝ่ายบริหารธุรกิจ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไลน์ พลัส คอร์ปอเรชั่น กล่าว

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวว่า “การผนึกกำลังของทั้งสองบริษัทในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างอีโคซิสเต็ม Online-to-offline ที่สมบูรณ์ที่สุดสำหรับทั้งร้านอาหารและผู้ใช้ สามารถสร้างคุณค่าให้กับทุกฝ่ายในธุรกิจ LINE MAN Wongnai เป็นบริษัทที่ก่อตั้งและบริหารโดยคนไทย ด้วยความเข้าใจเรื่องอาหารการกินของคนไทยอย่างแท้จริง เรามั่นใจว่านี่จะเป็นก้าวสำคัญสำหรับเราที่จะดำเนินธุรกิจที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่คนไทย และธุรกิจไทยในประเทศไทยเช่นเดียวกัน”

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai

ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่ ยอด ชินสุภัคกุล ดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Wongnai ได้เคยรับตำแหน่งเป็น Support Manager ที่ Thomson Reuters ยอดจบการศึกษา MBA จาก UCLA Anderson School of Management ในปี 2010 และด้าน Computer Engineering จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2004

]]>
1291313
‘LINE MAN’ ควบรวม ‘Wongnai’ หลังได้เงินทุน 3,300 ล้านบาท https://positioningmag.com/1290132 Thu, 30 Jul 2020 08:48:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1290132 อยู่คู่คนไทยมาถึง 10 ปีสำหรับ ‘Wongnai’ (วงใน) สตาร์ทอัพสัญชาติไทยเจ้าของแพลตฟอร์มรีวิวร้านอาหารและข้อมูลด้านไลฟ์สไตล์ ที่มีฐานข้อมูลร้านอาหารกว่า 400,000 ร้านทั่วไทย และมีผู้ใช้กว่า 10 ล้านรายต่อเดือน กำลังจะถูก ‘LINE MAN’ (ไลน์แมน) แพลตฟอร์ม on-demand ที่ส่งอาหารและส่งของของ ‘LINE’ ควบรวม

ย้อนไปเมื่อปี 2559 LINE MAN ได้ประกาศดึงเอา Wongnai มาเป็นพันธมิตรในการขับเคลื่อนบริการ ‘ส่งอาหาร’ เนื่องจากความแข็งแรงของฐานข้อมูลร้านอาหารของ Wongnai ที่มีกว่า 4 แสนร้านทั่วไทย ดังนั้น LINE MAN ไม่จำเป็นต้องไปหาร้านอาหารเพื่อดึงมาเป็นพันธมิตรเอง ส่วน Wongnai เองก็พร้อมจะให้บริการด้าน O2O (Online-to-Offline) เชื่อมต่อบริการในชีวิตประจำวันกับผู้บริโภค ไม่ใช่แค่หาร้านอาหาร แต่สามารถสั่งผ่าน Wongnai ได้เลย ซึ่งถือว่าเป็นดีลที่ Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย

แต่ดูเหมือนว่า การเป็นพันธมิตรอาจจะไม่มากพอสำหรับการเติบโตของ LINE MAN อีกต่อไป ล่าสุด LINE MAN ได้บรรลุข้อตกลงด้านเงินลงทุนมูลค่า 110 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,300 ล้านบาท) จากบริษัท BRV Capital Management (BRV) เพื่อใช้ในการควบรวมกิจการ Wongnai ทั้งนี้ เงินทุนดังกล่าวนับเป็นการรับเงินทุนครั้งแรกสำหรับธุรกิจดาวรุ่งในกลุ่มธุรกิจต่างประเทศของ LINE Group ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของ LINE MAN ในประเทศไทย และความพร้อมในการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในอนาคต

 

 

ปัจจุบัน LINE MAN มีผู้ใช้กว่า 3 ล้านรายต่อเดือน ผ่าน 6 บริการ ประกอบด้วย ฟู้ดเดลิเวอรี่, บริการซื้อของซูเปอร์มาร์เก็ต, แมสเซนเจอร์, ส่งพัสดุ, เรียกแท็กซี่ และบริการซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้อ โดยปัจจุบันมีพันธมิตรร้านอาหารมากกว่า 100,000 ร้านค้าทั่วกรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัด อาทิ นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม สมุทรสาคร พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี – เมืองพัทยา และ เชียงใหม่ โดยวางแผนที่จะขยายพื้นที่การให้บริการในประเทศไทยให้ครอบคลุม 15 จังหวัดภายในปีนี้

อึนจอง ลี หัวหน้าฝ่ายบริหารธุรกิจระดับโลก (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ไลน์ พลัส คอร์ปอเรชั่น ระบุว่า การลงทุนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทที่ควบรวมใหม่และต่อยอดการพัฒนาในช่วงที่ธุรกิจกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดประเทศไทย

“นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อ 4 ปีก่อน LINE MAN ได้เติบโตจนกลายเป็นแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ยอดนิยมสำหรับคนไทย และนับจากนี้ เงินลงทุนที่ได้รับจาก BRV จะช่วยผลักดันให้ LINE MAN สามารถเติบโตขึ้นไปอีกขั้น”

อึนจอง ลี หัวหน้าฝ่ายบริหารธุรกิจระดับโลก (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ไลน์ พลัส คอร์ปอเรชั่น

งานนี้คงต้องจับตาดูกันไปยาว ๆ ว่าหลังจากที่ควบรวมเเล้ว LINE MAN และ Wongnai จะเปลี่ยนไปในรูปแบบไหน เพราะ Wongnai เองไม่ได้เป็นเเค่เเพลตฟอร์มสำหรับหาข้อมูลและดูรีวิวร้านอาหาร แต่มีการเเตกไปยังไลฟ์สไตล์ด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน สุขภาพ, ความงาม, สอนทำอาหาร, ท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีบริษัทในเครืออย่าง Blongnone และ Brand Inside เว็บไซต์ข่าวสาร อีกทั้งยังมีระบบจัดการร้านอาหาร (Restaurant Solutions) ให้เจ้าของธุรกิจอีกด้วย

]]>
1290132
สรุป 3 ข้อสำคัญในการบริหาร “พนักงาน” ช่วง COVID-19 จาก “Wongnai” และ “ไมเนอร์” https://positioningmag.com/1278124 Tue, 12 May 2020 12:50:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1278124 การระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ท้าทายองค์กรในทุกมิติ รวมถึงการบริหาร “พนักงาน” ในบริษัทด้วย เพราะสถานการณ์ไม่ปกติทำให้การทำงานต้องเปลี่ยนไปจากเดิม และอาจเกิดความไม่มั่นคงของบริษัททำให้พนักงานหวั่นกลัว จึงเป็นห้วงเวลาสำคัญที่ทุกบริษัทควรใส่ใจกับ “คน” ของตนเองให้มากที่สุด

SkillSolved บริษัทเอเจนซีจัดหาบุคลากร จึงชวน บริษัท วงใน มีเดีย จำกัด (Wongnai) และ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มาร่วมพูดคุยถึงการจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรช่วง COVID-19 ระบาดเป็นกรณีศึกษา โดยมี “อานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์” Head of People จากวงใน , “ภาณุวัฒน์ เบ็ญเราะมาน” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล จากไมเนอร์ ฟู้ด และ “เทียนธันย์ ณีศะนันท์” ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ SkillSolved Recruitment ร่วมให้ข้อมูลในอีเวนต์เสวนาออนไลน์เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 63

การสื่อสารสำคัญที่สุด

สิ่งแรกที่ทุกคนในเวทีเสวนาเห็นตรงกันว่ามีความสำคัญในการจัดการด้านการบริหารบุคลากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ คือ “การสื่อสาร”

อานนทวงศ์กล่าวถึงกรณีของวงในก่อนว่า บริษัทมีพื้นฐานการบริหารบุคลากรในแนวทางสตาร์ทอัพที่พนักงานจะใกล้ชิดกับผู้บริหาร แม้ว่าวันนี้วงในจะขยายใหญ่จนมีพนักงาน 300-400 คนแล้วก็ตาม แต่การสื่อสารองค์กรยังใช้แนวทางเดิม คือเป็นการสื่อสารโดยตรง จากผู้บริหารคือ “ยอด ชินสุภัคกุล” ซีอีโอวงใน

ตั้งแต่เริ่มเกิดสถานการณ์ COVID-19 ระบาด วงในมีการสื่อสารรายวันเกี่ยวกับความปลอดภัย และซีอีโอมีการเขียนจดหมายถึงพนักงานผ่านทางอีเมลไปแล้ว 8 ฉบับ เพื่ออธิบายถึงสถานการณ์ที่บริษัทกำลังเผชิญ บริษัทกำลังทำอะไรบ้าง และขอให้ทุกคนช่วยกัน รวมถึงเมื่อมีการตัดสินใจที่กระทบเชิงลบ เช่น การตัดงบค่าใช้จ่าย ยอดจะเปิดวิดีโอคอลตรงกับพนักงานบริษัท เพื่อให้เป็นการสื่อสารสองทาง

“ควรเป็นวิดีโอคอลเพราะจะเห็นสีหน้า อารมณ์ความรู้สึกของผู้พูด ไม่แห้งเหมือนการเขียนอีเมล และวิดีโอคอลยังทำให้พนักงานที่มีคำถามสามารถถามตอบได้ทันที พนักงานที่รู้สึกไม่ดีจะมีช่องทางพูดคุย แน่นอนว่าจะยังมีคนที่รู้สึกไม่ดี นั่นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่เราก็พยายามลดช่องว่างระหว่างกันให้มากที่สุด” อานนทวงศ์กล่าว

ด้านภาณุวัฒน์จากเครือไมเนอร์ บริษัทผู้บริหารเชนร้านอาหาร เช่น พิซซ่า คอมปะนี, แดรี่ควีน, เดอะ คอฟฟี่ คลับ ฯลฯ กล่าวว่า เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนในจีนด้วย ทำให้ทราบสถานการณ์จากทีมงานในจีนที่เกิดโรคระบาดก่อน ดังนั้นจึงมีโมเดลต้นแบบว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในไทย ข้อมูลเหล่านี้จะนำมาสื่อสารต่อในองค์กร

บอนชอน : เชนร้านอาหารที่ไมเนอร์ปิดดีลซื้อสำเร็จเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

โดยเฉพาะเรื่องที่ไมเนอร์ ฟู้ดกำลังให้ความสำคัญคือ “New Normal” จากเคสที่ประเทศจีน หลังจากผู้บริหารรับทราบสถานการณ์แล้วจะนำมาสื่อสารต่อกับพนักงาน ในรายการ “Live สาระ” ผ่านระบบ MS Teams เพราะบริษัทมองว่า New Normal เหล่านี้จะเป็นความท้าทายใหม่ของบริษัท และบริษัทจะมีการส่งเสริมพนักงานให้ปรับตัว ทำให้ต้องให้ความรู้ความเข้าใจตั้งแต่วันนี้

ด้านเทียนธันย์สรุปประเด็นการสื่อสารว่า เป็นสิ่งแรกๆ ที่องค์กรต้องทำเพื่อบริหารบุคลากร ยิ่งในช่วงวิกฤตมีความจำเป็นที่ต้องพูดถึงสถานการณ์จริงว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

“การสื่อสารอาจไม่ใช่การบอกเรื่องที่ดีตลอดเวลา บางครั้งการบอกสถานการณ์จริงนั้นสำคัญกว่า” เทียนธันย์กล่าว

การสื่อสารอาจไม่ใช่การบอกเรื่องที่ดีตลอดเวลา บางครั้งการบอกสถานการณ์จริงนั้นสำคัญกว่า

แคร์พนักงานจากใจจริง

ประเด็นต่อมาที่สำคัญไม่แพ้กันคือการดูแลพนักงานทั้งกายและใจ ดูแลทั้งความปลอดภัยจากโรคระบาด และแสดงออกถึงความใส่ใจในแง่จิตใจด้วย

ในแง่ความปลอดภัยจากโรค ทั้งวงในและไมเนอร์ ฟู้ดมีนโยบาย ทำงานจากบ้าน (Work from Home) ไปแล้วตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม โดยวงในยังทำงานจากบ้านทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน ยกเว้นทีมที่ยังต้องไปเยี่ยมร้านอาหาร ส่วนไมเนอร์ ฟู้ด มีการแบ่งเป็น 2 ทีมเพื่อสลับกันเข้าออฟฟิศแล้ว แต่มีการจัดออฟฟิศใหม่ให้โต๊ะห่างกันอย่างน้อย 1.5 เมตร รวมถึงมีนโยบายสวมหน้ากากอนามัยระหว่างการประชุม

นโยบายให้พนักงานสวมหน้ากากอนามัยของเบอร์เกอร์ คิง ในเครือไมเนอร์

ส่วนในแง่จิตใจ ภาณุวัฒน์กล่าวว่า สถานการณ์นี้ทำให้บริษัทต้องโยกย้ายพนักงานจากร้านที่มียอดขายต่ำไปอยู่ในร้านยอดขายสูง เช่น บอนชอน ซึ่งมีการขยายสาขาเพิ่ม และพนักงานบางกลุ่มต้องทำงานหนักขึ้น เช่น ทีมเดลิเวอรี่ ดังนั้นบริษัทจึงให้ผู้บริหารอัดคลิปสั้นๆ ส่งถึงพนักงานระดับปฏิบัติการเพื่อขอบคุณความเสียสละ โดยบริษัทไม่เคยมีการสื่อสารลักษณะนี้มาก่อน

ฟากวงใน มีเดียมีสถานการณ์ที่สาหัสกว่า เพราะต้องรัดเข็มขัดทุกทางจนมีผลกระทบถึงตัวพนักงานคือ การลดสวัสดิการและการตัดเงินเดือน แต่ซีอีโอยังยืนยันว่าไม่มีการเลย์ออฟ อานนทวงศ์กล่าวเชื่อมโยงกับประเด็นการสื่อสารว่า สิ่งเหล่านี้ต้องทำให้พนักงานเข้าใจว่าบริษัท “แคร์” พนักงาน การตัดสินใจปรับลดค่าใช้จ่ายบริษัทต้องมีเหตุผลรองรับว่าได้ตัดส่วนที่ไม่สำคัญไปก่อนแล้ว ก่อนจะมาถึงสิ่งที่กระทบกับพนักงานโดยตรง

เทียนธันย์กล่าวสรุปว่า อย่างไรก็ตาม การแสดงออกถึงความแคร์พนักงานเป็นสิ่งที่ต้องสร้างรากฐานมาก่อนหน้านี้จึงจะมีประสิทธิภาพ และเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะการตัดสินใจลดเงินเดือนหรือเลย์ออฟคนจะมีผลกระทบระยะยาว เนื่องจากในอนาคตเมื่อองค์กรกลับมายืนได้ใหม่และต้องการคนเพิ่ม ต้องมีพื้นฐานชื่อเสียงที่ดีเกี่ยวกับการบริหารพนักงานจึงจะมีคนต้องการร่วมงานด้วย

สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน

ข้อนี้เป็นเรื่องการบริหารทีมให้ยังรู้สึกใกล้ชิดกัน โดยยกกรณีของไมเนอร์ ฟู้ด ที่นอกจากมีการทำ Live สาระ เป็นประเด็นสาระความรู้แล้ว ยังจัดกิจกรรมไลฟ์สไตล์ออนไลน์ในช่วงที่ต้อง Work from Home ด้วย เช่น จัดให้พนักงานรีวิวการทำอาหารหรือการออกกำลังกายจัดโปรแกรม Minor Got Talent และ TikTok Challenge ประกวดผ่าน MS Teams ซึ่งมีพนักงานทุกระดับเข้าร่วมรวมถึง C-level องค์กร โดยคลิปที่ชนะ TikTok Challenge บริษัทจะนำไปเผยแพร่ใน TikTok จริงๆ

“เราทำทั้งหมดนี้เพื่อให้คน Work from Home ได้โดยไม่รู้สึกโดดเดี่ยว” ภาณุวัฒน์กล่าว

ทั้ง 3 ข้อคือสิ่งที่องค์กรต่างๆ ควรนำไปปรับใช้ เพราะช่วงเวลาวิกฤต COVID-19 คือบทพิสูจน์การบริหารอย่างแท้จริงว่าบริษัทไหนที่ “แคร์พนักงาน” และต้องการ “รอดไปด้วยกัน”

]]>
1278124
เปิดใจ “ยอด ชินสุภัคกุล” วันที่ COVID-19 เป็นพายุลูกใหญ่ของทั้ง Wongnai และร้านอาหาร https://positioningmag.com/1276405 Thu, 30 Apr 2020 16:18:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1276405 พาไปพูดคุยกับ “ยอด ชินสุภัคกุล” บอสใหญ่แห่ง “Wongnai” ที่วันนี้เจอพายุลูกใหญ่ที่ชื่อว่า COVID-19 ส่งผลกระทบทั้งในแง่ของธุรกิจ และพาร์ตเนอร์คนสำคัญก็คือ “ร้านอาหาร” กลายเป็นศึกใหญ่ที่ต้องฝ่าวิกฤตธุรกิจ และพาร้านอาหารในไทยรอดไปด้วยกัน

ยอมหั่นเงินเดือน ลดค่าใช้จ่ายบริษัท

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกะรทบไปทั่วโลกในตอนนี้ เรียกว่าสร้างความเสียหายทางด้านร่างกาย และเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ในประเทศไทยเองได้มีมาตรการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ทั้งการล็อกดาวน์ และการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้ทุกธุรกิจต้องหยุดชะงักกันตามๆ กัน

วันนี้ Positioning ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “ยอด ชินสุภัคกุล” CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท วงใน มีเดีย จำกัด หรือที่หลายคนรู้จักกันในนาม วงใน (Wongnai) แพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์ที่เติบโตจากการรีวิวอาหาร และได้ต่อยอดไปยังไลฟ์สไตล์อื่นๆ ทั้งท่องเที่ยว บิวตี้ และทำอาหาร

วงในไม่ต่างกับธุรกิจอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ซึ่งต้องฝ่าวิกฤตของทั้งบริษัทตัวเอง และช่วยพาร์ตเนอร์ที่เป็นร้านอาหารให้รอดจากวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน แต่ด้วยความที่ Culture ขององค์กรเป็นสตาร์ทอัพที่คิดเร็ว ทำเร็ว ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบในการปรับตัวครั้งนี้

ยอดบอกว่า มาตรการเบื้องต้นของบริษัทในตอนนี้คือ “ลดค่าใช้จ่าย” เป็นนโยบายที่หลายองค์กรเริ่มใช้แล้วเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดเงินเดือนพนักงาน ลดค่าใช้จ่ายสิ้นเปลือง ปรัยลดสวัสดิการของพนักงานต่างๆ แต่ยืนยันไม่ปลดพนักงาน

“ตอนนี้ทุกวงการได้รับผลกระทบหมด วงในมีทั้งสื่อ และงานอีเวนต์ ก็ได้รับผลกระทบทั้ง 2 ส่วน เพราะสปอนเซอร์หาย แบรนด์ชะลอการใช้จ่าย ตอนนี้ได้มีมาตรการปรับลดเงินเดือนบางส่วน ลดค่าใช้จ่ายสิ้นเปลือง ลดสวัสดิการของพนักงาน ตัดงบการตลาดเหลือศูนย์ จากปกติที่ใช้หลักหลายล้าน”

การปรับลดเงินเดือนของวงในมีเป็นขั้นบันได และเบื้องต้นได้ลดเป็นเวลา 2 เดือนก่อน ตัวของยอดเองยอมลดเงินเดือน 50% ระดับเมเนจเมนต์ลด 30% และพนักงานทั่วไปลด 20% มีการปรับลดสวัสดิการอย่างอาหารกลางวัน เบิกค่ารถ ค่า และกิจกรรมอื่นๆ และให้พนักงาน Work from Home

โดยปกติแล้ววงในจะมี Core Value ที่เรียกง่ายๆ เหมือนค่านิยมองค์กร 4 อย่างด้วยกัน ได้แก่ Impact, Grit, Speed และ Flexible เพื่อสะท้อนการทำงานของคนรุ่นใหม่ แต่เมื่อเกิดวิกฤตครั้งนี้ ได้มีการเปลี่ยน Core Value เป็น “ออกศึก” เพียงคำเดียวเท่านั้น เพื่อกระตุ้นให้พนักงานสู้ไปด้วยได้

พร้อมกับกำหนดวลี และคำย่อใหม่ว่า #สปดกรจรกม แปลว่า “สู้ไปด้วยกันเราจะรอดกันหมด”

ปรับคอนเทนต์ตามสถานการณ์

นอกจากการมีมาตรการเรื่องลดค่าใช้จ่ายแล้ว ในเรื่องการทำงานก็ต้องปรับครั้งใหญ่ เพราะ COVID-19 ได้เข้ามาเปลี่ยนวิถีการเสพสื่อ เสพคอนเทนต์อย่างสิ้นเชิง

ธุรกิจหลักของวงในก็คือการทำสื่อ การทำคอนเทนต์ต่างๆ ที่วันนี้มีแตกไลน์ออกมาทั้ง Wongnai Beauty, Wongnai Travel และ Wongnai Cooking เมื่อวิถีชีวิตของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลง ไปทานอาหารเหมือนเดิมไม่ได้ เดินศูนย์การค้าก็ไม่ได้ ท่องเที่ยวก็ไม่ได้ การทำคอนเทนต์ของวงในก็ต้องมีการปรับใหม่เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์

“ด้านคอนเทนต์มีการปรับใหม่ ทำแบบเดิมไม่ได้เพราะคนไม่สนใจ สำหรับอาหารต้องมาดูว่าคนใช้ชีวิตอย่างไรในตอนนี้ รวมถึงทำคอนเทนต์ช่วยเหลือร้านอาหารด้วย ร้านมีการปรับตัวอย่างไร มีโปรดักต์อะไรใหม่ๆ รวมถึงทำ Unbox สำหรับเดลิเวอรี่ ส่วนของบิวตี้มาทำคอนเทนต์พวกออกกำลังกายอยู่ที่บ้าน แต่ท่องเที่ยวจะกระทบหนัก ก็หยุดทำหมดเลย แต่คอนเทนต์ทำอาหารคนยังสนใจอยู่ เพราะคนอยู่บ้านกัน”

ทำให้มีการ Rotation ตำแหน่งงานกันภายในชั่วคราว ย้ายทีม หรือตำแหน่งที่ทำหน้าที่เดิมไม่ได้ ไปช่วยทีมอื่น ที่ผ่านมีการโยกตำแหน่งเป็นร้อยคนแล้ว เป็นการปรับเรื่องการทำงานภายในให้คล่องตัว

ต้องพาร้านอาหารรอดไปด้วยกัน

“ร้านอาหารกระทบหนักกว่า ข้อมูลจาก Wongnai POS ของเราพบว่า ร้านอาหารยอดขายหายไป 80%”

เป็นข้อมูลที่หลายคนรู้อย่างดี เพราะร้านอาหารเปิดให้บริการแบบปกติไม่ได้ วิถีชีวิตเปลี่ยนไป ไม่สามารถให้บริการแบบนั่งทานที่ร้านได้ ต้องซื้อกลับบ้าน หรือแบบเดลิเวอรี่เท่านั้น ทำให้ร้านอาหารต้องประสบวิกฤตอย่างหนัก บางเจ้าต้องหากลยุทธ์หนีตายเพื่อให้ร้าน และพนักงานอยู่ ความท้าทายของวงในจึงต้องทำให้ร้านอาหารในไทยอยู่รอดไปด้วยกัน

ยอดบอกว่าร้านอาหารกลุ่ม Fine Dining ร้านที่ต้องอาศัยกลุ่มนักท่องเที่ยว รวมถึงร้านชาบู ปิ้งย่าง จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะต้องอาศัยประสบการณ์ในการนั่งทานที่ร้าน แต่ก็พบว่าในช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีการทำโปรโมชั่นซื้อชาบูแถมหม้อให้เห็นบ้างแล้ว ก็ทำให้มียอดขายกลับมาบ้าง

“ทางรอดของร้านอาหารในตอนนี้ ต้องลดรายจ่าย เพราะรายได้ไม่เท่าเดิมอีกต่อไป และร้านปรับตัวให้เร็ว ตอนนี้เดลิเวอรี่ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด ต้องปรับเมนูให้เหมาะเดลิเวอรี่มากที่สุด”

แต่ถึงแม้ว่าเดลิเวอรี่จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ แต่สามารถทดแทนได้แค่ 30% เท่านั้น อีกทั้งเรื่องการใช้จ่ายต่อครั้งก็ต่างกัน ด้วยพฤติกรรมคนไทย ถ้าไปทานอาหารที่ร้านยอมจ่ายหัวละ 500 บาทได้ ได้ทานอาหารครบทั้งคาวหวาน แต่กับช่องทางเดลิเวอรี่คนยอมจ่ายเฉลี่ย 150 บาท เป็นเรื่องของประสบการณ์ล้วนๆ

เดลิเวอรี่โตสุด แต่กำไรแสนบาง

นอกจากธุรกิจสื่อ วงในยังมีกลุ่มธุรกิจ POS เป็นผู้ช่วยให้กับร้านอาหาร และยังมีธุรกิจเดลิเวอรี่ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับทาง LINE MAN และ Lalamove เป็นผู้บุกเบิกตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ในไทยก็ว่าได้

ในวิกฤตนี้ตลาดเดลิเวอรี่เติบโตสูงสุดในบรรดาทุกธุรกิจ แต่กลายเป็นว่าธุรกิจนี้กลับไม่มีกำไรมากมายขนาดนั้น เพราะด้วยการแข่งขันอันดุเดือดในตลาดอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

LINE MAN ได้เปิดตลาดมาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว แต่การแข่งขันของตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่เริ่มมีให้เห็นอย่างดุเดือดเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ได้เห็นเจ้าใหม่ๆ เข้ามาในตลาดทั้ง GrabFood, Food Panda และ GET ซึ่งทำให้ตลาดแข่งกันด้วย “ค่าส่ง” ที่แสนถูก เริ่มต้นเพียงแค่ 10 บาท เพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้ใช้งาน แต่ส่วนทางกับต้นทุน

แน่นอนว่าการตัดราคาเรื่องค่าส่ง ทำให้กลไกตลาดผิดเพี้ยน เพราะจริงๆ แล้วตลาดเดลิเวอรี่ต้องมีการคิดค่าส่งตามระยะทางของลูกค้า การแข่งขันแบบนี้เป็นการ “สปอย” ผู้บริโภค เมื่อทางแพลตฟอร์มเก็บค่าส่งกับลูกค้าในราคาถูกที่ 10 บาท แพลตฟอร์มก็ต้องมาเก็บรายได้จากทางร้านในรูปแบบของค่า GP หรือค่าธรรมเนียมร้านค้าในอัตรา 25-30%

เมื่อดูข้อมูลตลาดในต่างประเทศในตลาดใหญ่ๆ อย่างเกาหลี หรือสหรัฐอเมริกา จะมีการต่อสู้กันราวๆ 2-3 ปี จนถึงจุดหนึ่งที่ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ทั้งแพลตฟอร์ม ร้านค้า และลูกค้า ค่าส่งอาจจะเพิ่มขึ้น และลด GP ร้านค้าลง

ยอดได้พูดถึงประเด็นดราม่าที่ว่าแพลตฟอร์มมีการเก็บค่า GP ที่แพง “เราอยากช่วยร้านอาหารจริงๆ ช่วยโดยที่ไม่ตาย แต่ถ้าเราลดค่า GP เราตายก่อน เพราะแพลตฟอร์มไม่ได้มีกำไร อาจจะสามารถลดค่า GP ได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า หลังจากที่ผ่านการแข่งขัน แล้วตลาดมีความลงตัว ตอนนี้เอาตัวรอดให้ได้ก็เก่งแล้ว”

สุดท้ายยอดได้พูดถึงวิกฤตครั้งนี้ไว้ว่า “ครั้งนี้เป็นผลกระทบที่หนักจริงๆ หาคนที่ไม่กระทบน้อยมาก เราเป็นสตาร์ทอัพก็เหนื่อย อยากให้ทุกคนต้องดูเรื่องกระแสเงินสดให้ดี ต้องลดค่าใช้จ่ายให้ได้ ตอนนี้ยังไม่รู้วิกฤตจะจบเมื่อไหร่ ต้องแข่งกันดำน้ำ ใครไม่ไหวตายไปก่อน”

สำหรับ 3 กิจกรรมที่ยอดอยากทำมากที่สุด หลังจากหมดวิกฤต COVID-19 ได้แก่ ไปทานอาหารร้านที่จองยากๆ อย่างร้าน “มหาสาร” ไปเที่ยวต่างจังหวัด และปาร์ตี้กับเพื่อน

]]>
1276405
‘วงใน’ เผย ร้านอาหาร ‘Go ออนไลน์’ ทะลุ 1.5 หมื่นร้าน เติบโต 5 เท่าใน 1 สัปดาห์ https://positioningmag.com/1271574 Fri, 03 Apr 2020 07:22:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1271574 ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคมเป็นต้นมา ที่มีการออกประกาศมาตรการสกัดกั้นการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โดยให้ร้านอาหารเปิดขายเฉพาะนำกลับบ้านเท่านั้น ตัวเลขร้านอาหารที่เปิดหน้าร้านออนไลน์ และเปิดขายเดลิเวอรีบน LINE MAN ผ่าน Wongnai Merchant App (WMA) ทะลุ 15,000 ร้าน (เฉพาะ 22-31 มี.ค.) ซึ่งสูงกว่าสัปดาห์ก่อนหน้าประมาณ 3-5 เท่า โดยมีจำนวนร้านที่สมัครใหม่เพิ่มขึ้นมากถึง 2,000 ร้านต่อวัน

“ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามีร้านอาหารจำนวนมากที่กำลังเผชิญกับความยากลำบากและเร่งปรับตัวเพื่อประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ โดย Wongnai เองได้ปล่อยฟีเจอร์และแคมเปญใหม่ พร้อมยกเครื่องหน้าโฮมโฉมใหม่ที่จะทำให้ผู้ใช้ Wongnai มีส่วนร่วมในการ #Saveร้านอาหาร และ #สู้ไปด้วยกัน กับพวกเรา” ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท วงใน มีเดีย จำกัด กล่าว

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท วงใน มีเดีย จำกัด

ทั้งนี้ Wongnai ได้ปล่อยฟีเจอร์-แคมเปญ-หน้าโฮมใหม่ ได้แก่ “Pickup (รับที่ร้าน)” ฟีเจอร์ใหม่ที่สามารถกดสั่งอาหารและจ่ายเงินออนไลน์ไว้ล่วงหน้า เพื่อรับอาหารที่ร้าน แล้วไปกินที่บ้านได้ทันที สามารถดูรายชื่อร้านอาหารที่สามารถสั่งล่วงหน้า รับที่ร้านทั่วกรุงเทพฯ ได้ที่ https://www.wongnai.com/collections/self-pick-up-restaurant

หน้าโฮมโฉมใหม่ทั้งบนแอปและเว็บไซต์ Wongnai รวมเนื้อหาที่จำเป็นให้ผู้ใช้ร่วมฝ่าวิกฤติได้แม้อยู่ที่บ้าน อาทิ อ่านเรื่องราวและการปรับตัวจากร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบ, ค้นหารายชื่อร้านอาหารที่น่าลองสั่งเดลิเวอรี และมี Topic  “อยู่บ้านทำไรดี?” ที่รวมเนื้อหาและทิปส์สำหรับการอยู่บ้านให้มีความสุข

แคมเปญล่าสุด “Covid Relief Gift Voucher” โดยการซื้อเวาเชอร์เงินสด เพื่อช่วยร้านเพิ่มกระแสเงินสดในช่วงวิกฤติ ซื้อได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 เมษายน 2563 และเก็บไว้ใช้ได้สูงสุดถึง 30 เมษายน 2564 ราคาเริ่มต้น 300 – 5,000 บาท ดูรายชื่อร้านอาหารเกือบ 50 ร้านที่เข้าร่วมได้ที่ https://www.wongnai.com/evouchers?domain=1

นอกจากนี้ Wongnai จะพยายามทำให้ร้านอาหารใหม่ขึ้นระบบเดลิเวอรีได้ภายใน 1 วัน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยสามารถเลือกเข้าร่วม GP หรือไม่เข้าร่วมก็ได้ตามความต้องการ และให้ร้านอาหารได้ใช้ฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น โปรโมตร้านและสร้างเมนูโปรโมชันบน Wongnai เพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้ด้วยตัวเอง รวมไปถึงฟีเจอร์ใหม่ Pickup ที่ร้านอาหารสามารถใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึง 31 พฤษภาคม 2563 อีกด้วย

]]>
1271574
Wongnai ต่อจิ๊กซอว์ “ไลฟ์สไตล์ แพลตฟอร์ม” เปิด Co-Cooking Space ชูกลยุทธ์ O2O ดูคอนเทนต์-ซื้อสินค้า https://positioningmag.com/1238532 Wed, 10 Jul 2019 12:25:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1238532 ถือเป็นไลฟ์สไตล์ แพลตฟอร์มเบอร์หนึ่งด้านค้นหาร้านอาหารและรีวิว  Wongnai ขอขยับอีกสเต็ปกับเทรนด์การทำอาหาร” ของคนยุคใหม่ พร้อมสานต่อกลยุทธ์ O2O ด้วยเป้าหมายผู้นำแพลตฟอร์มค้นหาสูตรอาหาร 

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท วงใน มีเดีย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน “การทำอาหาร” เป็นอีกไลฟ์สไตล์การใช้เวลาว่างของคนยุคใหม่รวมทั้งวัยมิลเลนเนียล ที่มองว่าเป็นเรื่องที่ Cool และ Trendy อีกทั้ง Instagrammable คือสามารถถ่ายรูปโพสต์ลงบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อแสดงความสามารถและความสนใจด้าน Cooking อีกด้วย

ยอด ชินสุภัคกุล

ปัจจุบันในไลฟ์สไตล์ แพลตฟอร์ม Wongnai มี 4 คอนเทนต์หลัก คือ ร้านอาหาร , บิวตี้, ท่องเที่ยว และ Cooking ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน 10 ล้านครั้งต่อเดือน พบกว่าคอนเทนต์ด้าน Cooking เติบโตสูง โดยมีคนเข้ามาค้นสูตรอาหาร Wongnai Cooking กว่า 1.5 ล้านครั้งต่อสัปดาห์ มีสูตรอาหารที่สมาชิกวงในโพสต์กว่า 15,000 สูตร เพิ่มขึ้น “ 2 เท่า” จากปีก่อน

เปิด Co-Cooking Space เชื่อม O2O

กลยุทธ์การสร้าง Ecosystem ของวงใน ต้องการเชื่อมไลฟ์สไตล์บน “ออนไลน์” มาสู่ “ออฟไลน์” (O2O) เพื่อทำให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์จริง ในกลุ่มคอนเทนต์ร้านอาหารและรีวิวจึงร่วมกับ LINE MAN เมื่อ 3 ปีก่อนให้บริการ ฟู้ดเดลิเวอรี่ , คอนเทนต์กลุ่มบิวตี้ มีดีลใช้บริการ ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวจะมีบริการจองโรงแรม

สำหรับ Wongnai Cooking ได้ต่อยอด O2O ด้วยการเปิด Co-Cooking Space บนชั้น 6 โครงการ True Digital Park เพื่อใช้เป็นพื้นที่สร้างชุมชนคนรักการทำอาหาร ที่จะได้ลงมือทำอาหารจริง โดยจัด Cooking Class ทุกวัน มีเชฟของวงในมาสอนทำเมนูที่กำลังฮิตในโลกออนไลน์ คาดมีคนสนใจเดือนละ 200-300 คน

รวมทั้งเปิดให้สมาชิกวงในและคนทั่วไป เข้ามาใช้พื้นที่ทำอาหาร และเป็นสถานที่นัดพบปะของกลุ่มคอมมูนิตี้ Wongnai Cooking ที่จะมาทำกิจกรรมทำอาหารร่วมกัน โดยมีอุปกรณ์เครื่องครัวครบทุกประเภทการทำงาน จากการร่วมมือเป็นพันธมิตรกับอีเลคโทรลักซ์และ GEOLUXE การเปิด Co-Cooking Space เพื่อทำให้มีผู้ใช้งานใหม่เข้าสู่แพลตฟอร์มจากการชักชวนของกลุ่มสมาชิกเดิม และการเพิ่มความถี่ของผู้ใช้งานเดิม

“คอมมูนิตี้ของ Wongnai Cooking เริ่มจากแพลตฟอร์มออนไลน์ จากนั้นดึงมาสู่ออฟไลน์ที่ Co-Cooking Space เมื่อมีกิจกรรมทำอาหารร่วมกัน ก็จะมีสูตรอาหารใหม่ๆ นำไปโพสต์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มขึ้นอีก ปัจจุบันมีอยู่กว่า 15,000 สูตร ต่อไปก็อาจเพิ่มเป็นหลักแสนสูตร เราต้องการเป็นผู้นำแพลตฟอร์มค้นสูตรอาหาร เช่นเดียวกับการค้นหาและรีวิวร้านอาหาร”  

 

กลยุทธ์ตอบโจทย์ดูคอนเทนต์-ซื้อสินค้า

จำนวนผู้ใช้แพลตฟอร์มวงใน 10 ล้านครั้งเดือนในปัจจุบัน เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อน ส่วนใหญ่อยู่ที่บริการร้านอาหาร 70% บิวตี้และท่องเที่ยว 20% และ Cooking 10%

ปัจจุบันมีร้านอาหารอยู่ในแพลตฟอร์มวงในกว่า 3 แสนร้าน สัดส่วน 80-90% ของร้านอาหารทั้งหมด อัตราเพิ่มขึ้นของกลุ่มนี้จึงไม่มากอยู่ที่ 5-10% มาจากการเปิดร้านใหม่ ส่วนกลุ่มบิวตี้ มีผู้ประกอบการอยู่ในแพลตฟอร์มราว 10,000 ราย

กลยุทธ์การทำ O2O ในทุกกลุ่มคอนเทนต์ นอกจากสร้างประสบการณ์ให้ผู้ใช้งานได้ใช้สินค้าและบริการแล้ว ก็เพื่อตอบโจทย์การสร้างยอดขายให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในแพลตฟอร์ม ด้วยการดึงผู้บริโภคที่เสพคอนเทนท์เป็นผู้ซื้อผ่านเซอร์วิสต่างๆ เพื่อทำให้เกิด transaction ร่วมกันทำกับพันธมิตร

รายได้หลักของวงในยังมาจากโฆษณา 80% รายได้อื่นๆ 20% ภายใน 3 ปีนี้ จะขยายสัดส่วนรายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้นให้ได้ 60% เช่น สปอนเซอร์ อีเวนต์ การให้บริการเซอร์วิสต่างๆ ร่วมกับพาร์ตเนอร์ เนื่องจากรายได้โฆษณามีปัจจัยเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง การสร้างแหล่งรายได้อื่นๆ จะทำให้เติบโตได้อย่างมั่นคง โดยวางเป้าหมายเข้าตลาด MAI ในปี 2563

]]>
1238532
เป๊ปซี่ จับมือวงใน–ไลน์แมน ส่งแคมเปญ “ปักหมุดซ่า ล่าร้านเด็ด” รับเทรนด์กินอาหารนอกบ้านโต 12% https://positioningmag.com/1144823 Tue, 31 Oct 2017 07:54:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1144823 เพื่อรับกับเทรนด์คนไทยนิยมกินอาหารนอกบ้านที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปีนี้เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 12% เป๊ปซี่มองว่านี่คือโอกาสทางธุรกิจของอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม โดยเฉพาะน้ำอัดลมที่ผู้บริโภคมักเลือกดื่มคู่กับมื้ออาหาร

เป๊ปซี่ จึงได้ส่งแคมเปญใหม่ “เป๊ปซี่ ปักหมุดซ่า ล่าร้านเด็ด” เพื่อตอบรับเทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันที่ชอบเสาะหาร้านอาหารเพื่อรับประทานนอกบ้าน รวมถึงในบ้าน โดยผ่านบริการฟู้ดเดลิเวอรี่ โดยเฉพาะร้านแนวสตรีทฟู้ดและร้านแผงลอยข้างทางที่ติดอันดับหนึ่งใน 3 ช่องทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด

สมชัย เกตุชัยโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท เป๊ปซี่โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า เป๊ปซี่ ร่วมมือกับ 2 พันธมิตร วงใน (WONGNAI) เว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นรีวิวร้านอาหาร ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 8 ล้านคน และมีฐานข้อมูลร้านอาหารมากกว่า 2.9 แสนร้านทั่วประเทศ และไลน์แมน (LINE MAN) ฟู้ดเดลิเวอรี่ออนไลน์ ที่มีเครือข่ายร้านอาหารเจ้าดังกว่า 3 หมื่นราย และมีลูกค้าเฉลี่ย 5 แสนคนต่อเดือน

หนึ่งในไฮไลต์ของแคมเปญนี้ คือ Pepsi Foodie Map หรือแผนที่ลายแทงร้านเด็ดในรูปแบบดิจิตอล ที่รวบรวมสุดยอดร้านอาหารดังประจำถิ่นถึง17 ย่านใน 12 จังหวัดทั่วประเทศ ให้ดาวน์โหลดฟรีผ่านทาง Facebook และ LINE ของเป๊ปซี่ และร่วมกับ LINE MAN ให้ส่วนลด 50 บาทสำหรับค่าจัดส่งอาหารจาก 20 ร้านเด็ด ในกรุงเทพฯ 2,000 รางวัล ตลอดเดือนพฤศจิกายน

โดยใช้สื่อ 360 องศา มีทั้งโฆษณาชุดใหม่ ใช้ 2 ดารา ดึง ‘เจมส์ มาร์’ และ ‘คิมเบอร์ลี่’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ควบคู่ไปกับสื่อโฆษณานอกบ้าน สื่อกลางแจ้ง สื่อในโรงภาพยนตร์ ตลอดจนสื่อในร้านค้าและ ณ จุดขาย และเดินสายจัดฟู้ดอีเวนต์สร้างเอนเกจเมนต์กับผู้บริโภคใน 3 จังหวัดหัวเมือง กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่

งานนี้เป๊ปซี่ถึงกับจัดหนัก โดยใช้งบประมาณถึง 30% ของงบการตลาดทั้งหมด

]]>
1144823
อินทัช ควักเงินหนุน “วงใน” อัดฉีดสตาร์ทอัพครั้งใหญ่สุดใน 9 ราย https://positioningmag.com/1090319 Tue, 26 Apr 2016 12:28:47 +0000 http://positioningmag.com/?p=1090319 อินทัช โดยโครงการ “อินเวนท์” ประกาศลงทุนกับ บริษัท วงใน มีเดีย จำกัด ผู้พัฒนาเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นรีวิวร้านอาหารและไลฟ์สไตล์ของไทย ภายใต้ชื่อ Wongnai และ WongnaiBeauty

การลงทุนกับวงในครั้งนี้ นับเป็นรายที่ 9 และจัดเป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของอินเว้นท์นับตั้งแต่ก่อตั้งมา และยังเป็นครั้งแรกของการลงทุนรอบซีรี่ส์ B โดย VC ไทย ในบริษัทสตาร์ทอัพ(Startup)ไทยอีกด้วย โดยก่อนหน้านี้วงในเคยได้รับการลงทุนรอบแรก (Seed) และรอบซีรี่ส์ A ในปี 2556 และ 2557 จากนักลงทุนญี่ปุ่น

ธนพงษ์ ณ ระนอง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริษัทร่วมทุน บริษัท อินทัชโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) บอกถึงสาเหตุที่เข้าร่วมลงทุนใน “วงใน” เพราะเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของวงการสตาร์ทอัพในประเทศไทยและมีการเติบโตอย่างแข็งแรงมาจนถึงวันนี้ เพราะเป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันอย่างตรงจุด มีศักยภาพทางธุรกิจที่จะเติบโตได้อีกในอนาคต

อินทัช มีความคาดหวังที่จะได้เห็นวงใน ก้าวเข้าสู่การผสานธุรกิจจากออนไลน์ไปออฟไลน์ (Online to Offline: O2O) ด้วยการใช้พลังของสื่อออนไลน์ผลักดันและกระตุ้นยอดขายให้แก่ธุรกิจที่มีหน้าร้าน เช่นการขายคูปองส่วนลด(voucher)สำหรับใช้ที่ร้านค้าและธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิตอล

นอกจากนี้ อินทัช จะนำพาวงในเข้าถึงฐานลูกค้าผู้ใช้โทรศัพท์มือถือของเอไอเอสที่มีกว่า 40 ล้านเลขหมายและธุรกิจ SMEs ที่ใช้บริการเครือข่ายของเอไอเอสอีกมากมายในประเทศไทย เพื่อช่วยเพิ่มฐานลูกค้าขยายเครือข่ายและฐานข้อมูลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวงในให้มากยิ่งขึ้น ผมรู้สึกภูมิใจที่การลงทุนกับวงในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่เป็นการลงทุนระดับซีรี่ส์ B โดย VC ไทยในบริษัทสตาร์ทอัพไทยอีกด้วย

ขณะเดียวกัน ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท วงใน มีเดีย จำกัดกล่าวว่า การร่วมทุนกับอินทัชในครั้งนี้ จะช่วยให้วงในบรรลุเป้าหมายในการขยายตลาดและเพิ่มบริการใหม่ๆได้อย่างรวดเร็วและเข้าถึงมากขึ้น เพื่อช่วยให้คนไทยสามารถค้นหาและติดต่อกับธุรกิจท้องถิ่นและบริการที่เหมาะสมกับความต้องการมากที่สุด ด้วยข้อมูลร้านอาหาร ร้านสปา ร้านทำผม และอื่นๆ ซึ่งประกอบด้วยรายละเอียดของร้าน และรีวิวของผู้ใช้จริงในฐานข้อมูลมากกว่า 2 แสนแห่ง ทำให้ในปัจจุบันวงในมีผู้ใช้งานมากกว่า 2 ล้านราย ซึ่งผู้ใช้งานสามารถค้นหาร้านที่ต้องการ ติดตามความเคลื่อนไหวของเพื่อน อัพโหลดรูปถ่ายและเขียนติชมร้านอาหารที่เพิ่งไปใช้บริการมาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นยังสามารถค้นหาร้านค้าแนะนำและบริการอื่นๆที่อยู่ใกล้ตัวของผู้ใช้งานผ่านการระบุตำแหน่งบนมือถือได้ ทั้งนี้ปัจจุบันการใช้บริการวงในผ่านโทรศัพท์มือถือคิดเป็น 80% ของการใช้งานทั้งหมด ซึ่งทางอินทัชและบริษัทในเครือจะสามารถเข้ามาช่วยสนับสนุนวงในได้อย่างแน่นอน

โดยในปี 2558 วงในได้เปิดตัวบริการใหม่2 ตัว ได้แก่ Wongnai Beauty และ e-voucher โดย Wongnai Beauty เน้นให้บริการรีวิวเรื่องความสวยความงามและสปา ซึ่งต่อยอดออกมาจากธุรกิจรีวิวร้านอาหาร ส่วนธุรกิจ e-voucher ซึ่งเป็นการขาย voucher ส่วนลดร้านค้าต่างๆผ่านแอพพลิเคชั่น โดยธุรกิจ e-voucher นั้นเป็นการเริ่มต้นแผนที่จะขยายธุรกิจการให้บริการไปสู่การผสานธุรกิจจากออนไลน์ไปออฟไลน์ (Online to Offline: O2O) ในอนาคตต่อไป

วงในมีเดีย

บริษัท วงใน มีเดีย จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี 2553 โดยยอด ชินสุภัคกุล และเพื่อนๆ เป็นผู้ให้บริการด้านการรีวิวอาหารและไลฟ์สไตล์เช่น สปาและสถานเสริมความงามอันดับหนึ่งของไทยด้วยจำนวนผู้ใช้มากกว่า2 ล้านราย และฐานข้อมูลร้านค้ามากกว่า 2 แสนแห่งทั่วประเทศ มีบริการ 4 ส่วนหลัก 1.ส่วนข้อมูลการรีวิว ทั้งการอัพโหลดรูปอาหาร การแนะนำเมนู การบรรยายบรรยากาศของร้าน2.การค้นหาบริการที่ต้องการ เช่น ร้านอาหารที่อยู่ใกล้ตัว หรือร้านอาหารที่ได้รับการจัดอันดับแนะนำสูงที่สุด3.เครือข่ายสังคม (Social Network) สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเพื่อน และอัพเดทความเคลื่อนไหวของตนเอง และ 4.พาณิชย์ (Commerce) ได้แก่การขายคอร์สอาหารและคูปองส่วนลดร้านอาหารหรือสปา เป็นต้น

InVent ลงทุนแล้ว 9 ราย 300 ล้านบาท

อินเว้นท์ (InVent) เป็นโครงการธุรกิจร่วมลงทุน (Venture Capital) ภายใต้บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นในปี 2555โดยมุ่งเน้นการลงทุนในรูปแบบ VC ในบริษัทเทคโนโลยีสตาร์ทอัพ (Tech Startup)ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเว้นท์ได้ลงทุนไปแล้วกว่า 300 ล้านบาทใน 9 บริษัท ได้แก่ อุ๊คบี คอมพิวเตอร์โลจี เมดิเทคโซลูชั่น ซินโนส อินฟินิตี้เลเวล เพลย์เบสิส กอล์ฟดิกก์ ชอปสปอต และวงใน

]]>
1090319