L’Occitane ถอนบริษัทออกจากตลาดหุ้นฮ่องกง คาดเจ้าของปรับโครงสร้างธุรกิจ เตรียมตัว IPO ใหม่ในยุโรป-สหรัฐฯ

ภาพจาก Shutterstock
ล็อกซิทาน (L’Occitane) แบรนด์ความงามชื่อดังจากฝรั่งเศส เตรียมที่จะถอนบริษัทออกจากตลาดหุ้นฮ่องกงในเร็วๆ ปิดฉากบริษัทต่างชาติอีกรายที่ทำการซื้อขายในตลาดหุ้นดังกล่าวหลังจากเข้าทำการซื้อขายในปี 2010 เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่เตรียมปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อที่จะทำบริษัทเข้า IPO ใหม่อีกครั้งในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือในทวีปยุโรป

L’Occitane แบรนด์ความงามชื่อดังจากฝรั่งเศส เตรียมที่จะถอนบริษัทออกจากตลาดหุ้นฮ่องกงในเร็วๆ นี้หลังจากที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ประกาศซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดในตลาด ปิดฉากบริษัทต่างชาติอีกรายที่ทำการซื้อขายในตลาดหุ้นดังกล่าว

ราคาหุ้นที่ L’Occitane รับซื้อนั้นสูงกว่าราคาเฉลี่ยในเดือนเมษายนไม่น้อยกว่า 60% โดยใช้เม็ดเงินราวๆ 1,780 ล้านเหรียญสหรัฐ ซื้อหุ้นจากนักลงทุนทั้งหมด เพื่อถอนบริษัทออกจากตลาหุ้นฮ่องกง หลังจากที่ได้เข้าซื้อขายครั้งแรกในปี 2010

ในช่วงที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นใหญ่ Reinold Geiger ซึ่งถือหุ้นสัดส่วนราวๆ 72% ได้เจรจาการเงินกับ Blackstone บริษัทลงทุนนอกตลาดหลักทรัพย์ และ Goldman Sachs Asset Management เพื่อที่จะนำเม็ดเงินดังกล่าวซื้อหุ้นบริษัทที่เหลือ

การซื้อหุ้นทั้งหมดทำให้มูลค่ากิจการแบรนด์ความงามชื่อดังจากฝรั่งเศสหลังจะมีมูลค่ากิจการอยู่ที่ราวๆ 6,000 ล้านยูโร แตกต่างกับในปี 2023 ที่บริษัทมีมูลค่ากิจการบริษัทนั้นไม่ถึง 4,000 ล้านยูโรด้วยซ้ำ

แบรนด์ความงามชื่อดังที่มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศสรายนี้มีชื่อเสียงในหลายผลิตภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า หรือแม้แต่เครื่องสำอาง โดยแบรนด์ดังกล่าวได้ตีตลาดหลายประเทศทั้งในยุโรป ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ทวีปเอเชีย โดยการนำบริษัทเข้า IPO ในตลาดหุ้นฮ่องกงในปี 2010 นั้นเพื่อที่ต้องการจะเปิดตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะในเอเชียที่เศรษฐกิจมีการเติบโตสูง

ผลประกอบการของแบรนด์ความงามรายนี้ในปี 2023 บริษัทมีรายได้รวม 2,135 ล้านยูโร รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมากถึง 42% มาจากสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป ขณะที่ 28% เป็นรายได้จากทวีปเอเชีย โดยบริษัทมีกำไรทั้งสิ้น 115 ล้านยูโร

นอกจากนี้ L’Occitane ไม่เคยประสบปัญหาขาดทุน แม้ในช่วงเวลาอย่างการแพร่ระบาดโควิดในปี 2020 จนถึงปี 2022 บริษัทก็ยังมีกำไรเติบโต

มีการวิเคราะห์ว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้ซื้อหุ้นบริษัทที่เหลือทั้งหมดนั้น เพื่อต้องการที่จะปรับโครงสร้างทางธุรกิจอีกรอบ และเตรียมตัวที่จะนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา หรือทวีปยุโรป แทนที่ฮ่องกง เนื่องจากมองว่าบริษัทจะมีมูลค่าได้สูงมากกว่านี้

ที่มา – Reuters, Euronews