Digitalism ลัทธิทำเงิน

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชีวิตของคนยุคใหม่ต่างเกี่ยวพันแนบแน่นกับโลกดิจิตอล หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นคน Gen C ที่วิวัฒนาการมาจาก Gen C ยุคเดิม กลายเป็น C ++ เช่น Connected,Creativity,Community,Content,
Comunicate,Co-creator,Control และ Channel นับเป็นผู้บริโภคที่มีอิทธิพลสูงมากกว่ายุคสมัยใดๆ เพราะทุกอย่างอยู่เพียงแค่ “คลิ๊ก”

หาก 3G และ Wimax ปรากฎเป็นจริงในปีหน้า อีกทั้ง iPhone ได้ฤกษ์จำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย จะยิ่งเติมเต็มไลฟ์สไตล์ให้ถึงขีดสุดด้วยความเร็วแบบที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในโลกออนไลน์ของเมืองไทยเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงการทำธุรกรรมทางการเงินทางอินเตอร์เน็ตและบนโทรศัพท์มือถือจะเป็นไปได้อย่างง่ายดายมากขึ้น ทั้งการซื้อขายผ่าน ebay การจองตั๋วออนไลน์ รวมถึงการสร้างเวบไซต์เพื่อหารายได้ผ่านทาง AdSense ของ Google

ผู้คนจะหลั่งไหลเข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้นโดยมี “ความเร็ว” เป็นตัวดึงดูด

จากผลสำรวจของ www.internetworldstats.com พบว่า ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในไทย มีอัตราเติบโต (ปี 2000-2008) 483.3% มีจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต 13,146,000 คน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 65,493,298 คน หรือคิดเป็น penetration rate 20.5%

แสดงให้เห็นถึงประชากรจำนวนหนึ่งที่โลดแล่นอยู่ในโลกออนไลน์ ในฐานะที่เป็น Gen C การมองหาแหล่งรายได้ใหม่ๆ บนอินเตอร์เน็ตเป็นเรื่องที่นิยมกันมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมพวกเขาอาจเพียงสร้างคอนเทนท์ขึ้นมาเพื่อ Share & Show แต่ตอนนี้พวกเขาเรียนรู้แล้วว่าคอนเทนท์ที่เขาเป็นเจ้าของมีค่ามากกว่านั้น

การที่กูเกิลตัดสินใจ พัฒนา AdSense บริการโฆษณาออนไลน์ รองรับภาษาไทยได้แล้ว ทำให้บรรดาเว็บไซต์ บล็อกเกอร์ ไม่รีรอที่จะกระโจนลงสู่บ่อเงินบ่อทองแห่งนี้ ในการหารายได้ด้วยการเคี่ยวกรำคอนเทนท์ของตัวเองให้เข้มข้นและโดดเด่น จนกระทั่งสินค้าและบริการให้ความสนใจมาลงโฆษณาออนไลน์กันอย่างคับคั่ง

ถึงเวลาของ “ตัวจริง” คอนเทนท์ประเภท “ได้แรงบันดาลใจ” หรือ “ก๊อป-ตัด-แปะ” จะไร้ความหมายและตายไปในที่สุด

ขณะที่รายได้ด้านอื่นๆ ก็มีให้เก็บเกี่ยว เช่น ค่าสมาชิก ค่าอัพเกรดเพื่อรับบริการที่มากกว่า หรือจากค่าบริจาคเป็นต้น โดย Wikipedia ได้ค่าบริจาคเพื่อสนับสนุนประมาณปีละ 4 ล้านเหรียญสหรัฐ

ว่ากันถึงเจ้าของ Facebook,Google หรือย้อนกลับไปถึง Hotmail ก็ล้วนเป็นหนึ่งใน Gen C ที่สร้างธุรกิจระดับโลกจากความเชี่ยวชาญ ขณะที่ในไทยกรณีศึกษาของ jeban.com ก็เป็นสิ่งที่น่าจับตา

ต้องรอดูกันว่าจะในปีที่เทรนด์ Digitalism มาแรงอย่างที่สุดนี้ จะมีจีบันเพิ่มขึ้นในเมืองไทยอีกสักกี่ราย อนาคตมหาเศรษฐีคนใหม่ของเมืองไทยอาจมาจากธุรกิจออนไลน์ก็เป็นได้

Online Trend 2009

1.Crowd Sourcing ถูกใช้เป็นครั้งแรกโดย Jeff Howe ในนิตยสาร Wired ฉบับมิถุนายน 2006 โดยในปี 2009 นี้จะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น ด้วยการอาศัยความร่วมมือจากกลุ่มชนในการสร้างสรรค์หรือพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน หากไม่นับ Wikipedia ที่คุ้นเคยกันดี ตัวอย่างที่น่าสนใจมากคือ รัฐเท็กซัสได้ติดตั้งกล้องเคลื่อนที่จำนวน 200 ตัวตลอดระยะทางพรมแดนของรัฐเท็กซัสกับประเทศเม็กซิโก และเปิดโอกาสให้ใครก็ได้ที่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ได้เห็นความเคลื่อนไหวระหว่างพรมแดนดังกล่าว และช่วยระแวดระวัง รวมถึงรายงานสิ่งผิดปกติให้กับทางการ ซึ่งได้รับความสนใจจากอเมริกันชนเป็นอย่างมากแม้ว่าพวกเขาบางส่วนอาจไม่ได้อาศัยอยู่ในรัฐเท็กซัสเลยก็ตาม

2. Phygital หรือการที่โลกออนไลน์กับโลกออฟไลน์ผสานเข้าด้วยกัน เช่น การใช้ประโยชน์จากออนไลน์ ด้วยการทำเว็บไซต์ i-greenspace.com ไว้เป็นแหล่งในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย ของไฮเนเก้น ประเทศไทย

3. Web Application ของฟรีที่ดีมีในโลกซึ่งช่วยให้ชีวิตของคุณทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานง่ายขึ้นทั้งการจัดเก็บเอกสาร การจัดเก็บรูปภาพ การทำพรีเซนเตเชั่นต่างๆ เป็นต้น โดยมีจุดขายคือ Freemium ให้ใช้งานฟรีได้ แต่ไม่เต็มประสิทธิภาพ หากติดใจอยากใช้งานแบบเต็มๆ ก็เสียค่าสมัครเพิ่ม