เปิด to-do list 7 สิ่งที่นักการตลาดต้องทำปี 2018

ปี 2017 ถือเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงในวงการการตลาดสูงมาก ทุกธุรกิจต้องพยายามปรับตัวเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในสมรภูมิดุเดือด สำหรับปี 2018 ที่กำลังจะมาถึง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าทีมการตลาดของทุกแบรนด์ ควรใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้

1. ปิดช่องว่าง

ช่องว่างที่ว่านี้คือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่แบรนด์ให้คำมั่นสัญญาไว้ กับสิ่งที่แบรนด์ทำได้จริง 

ธุรกิจดิจิทัล เช่น Amazon และ Tesla นั้นชัดเจนเรื่องการโฟกัสที่สิ่งที่ลูกค้าต้องการเป็นหลัก เรื่องนี้ Nigel Vaz ซีอีโอของเอเจนซี่ชื่อ Publicis.Sapient อธิบายว่าหลายบริษัทไม่เป็นแบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง คือรอยแยกที่เห็นชัด กลายเป็นช่องว่างที่ทำให้บริษัทที่เน้นลูกค้าเป็นหลักแซงหน้าบริษัทกลุ่มหลังมากขึ้นทุกที

ความบูมของเทคโนโลยีดิจิตอลและดาต้า ทำให้โลกการตลาดเปลี่ยนแปลงไป วันนี้ซีอีโอกำลังทยอยทบทวนธุรกิจดั้งเดิมของตัวเองอีกครั้ง ตัวอย่างเช่น McDonald’s ที่ว่าจ้างเอเจนซี่ Publicis.Sapient และ Capgemini เพื่อเปลี่ยนประสบการณ์ร้านอาหารทั้งหมดนี้ทำให้เม็ดเงินลงทุนของธุรกิจถูกส่งไปอัดฉีดแผนการปรับปรุงประสบการณ์ที่แบรนด์จะมอบให้ลูกค้า เป็นไปตามที่บริการที่ปรึกษาอย่าง Forrester คาดการณ์ว่าเม็ดเงินในวงการโฆษณาจะราบเรียบในปี 2018 เพราะธุรกิจจะหันไปลงทุนด้านเทคโนโลยีแทน

2. เปิดกว้างและหลากหลาย

รายงาน Credit Suisse ปี 2015 พบว่า บริษัทที่มีผู้บริหารหญิงนั่งเก้าอี้กุมอำนาจในการตัดสินใจ จะมีผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงกว่าบริษัทที่มีแต่ผู้บริหารชาย แนวโน้มการเชิดชูผู้หญิงยังเกิดขึ้นต่อเนื่องในปี 2017 ที่ผ่านมา แม้ว่าการสำรวจของ Deloitte พบว่าปี 2017 จะมีผู้หญิงได้นั่งเก้าอี้บริหารเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ จากการสำรวจใน 64 ประเทศกลุ่มตัวอย่าง

สิ่งที่แบรนด์ในตลาดโลกมองคือการแสดงตัวว่าแบรนด์ได้ให้โอกาสที่เท่าเทียม หลากหลาย และไม่ปิดกั้นใด แน่นอนว่าความหลากหลายไม่ได้หมายความเฉพาะความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง แต่รวมถึงอายุ ความสามารถ เพศทางเลือก และเชื้อชาติด้วย แบรนด์ที่สามารถสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อดึงบุคลากรมากความสามารถได้หลากหลาย จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป

3. เริ่มหากลยุทธ์เสียง

แทนที่จะพิมพ์ วันนี้โลกกำลังหมุนสู่ยุคการสั่งการด้วยเสียงแล้ว ดังนั้นแม้เทคโนโลยีสั่งการด้วยเสียงอาจจะไม่แพร่หลายวงกว้างในปี 2018 แต่จงอย่านอนใจ ทางที่ดีควรเริ่มต้นทำแผนพัฒนากลยุทธ์ด้านนี้ไว้แต่เนิ่นก่อนจะสายไป

กลยุทธ์ที่แบรนด์ควรมองคือการหาทางแทรกตัวเข้าไปในบริการเหล่านี้ เนื่องจากมีโอกาสสูงที่เทคโนโลยีสั่งการด้วยเสียงจะมีอิทธิพลคลุมทั้งโลก เห็นได้ชัดจากการสำรวจล่าสุดที่พบว่ากว่า 37% ของชาวอังกฤษผู้ใช้สมาร์ทโฟนนั้นใช้เสียงสั่งการเครื่องอย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน โดยเอเจนซี่อย่าง J Walter Thompson (JWT) และ Mindshare ยังพบว่า 63% ของกลุ่มนี้ใช้เสียงค้นหาข้อมูลออนไลน์

Jeremy Pounder ผู้อำนวยการ Mindshare Futures บอกว่าในอนาคต จากที่เคยมุ่งทำ SEO หรือ search engine optimization แบรนด์จะต้องหันมาทำ “Algorithm Optimization” แทน การเพิ่มประสิทธิภาพอัลกอริทึมนี้จะต้องรวมเครื่องมือทุกด้านที่ชาวออนไลน์ใช้ค้นหาข้อมูล ทั้งเสียง ภาพ รวมถึงวิดีโอ

4. ได้หมดทุกอุปกรณ์

จงตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้คนสามารถพบหรือรับบริการจากแบรนด์ได้แบบเดียวกันบนทุกอุปกรณ์ เหตุผลเพราะวิธีการที่ผู้คนจะซื้อสินค้าในปี 2018 จะไม่ได้ไปที่เว็บไซต์เท่านั้น แต่จะสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบอื่น เช่นบนโซเชียลหรือบนแอปพลิเคชันรับส่งข้อความ

ข้อมูลจากบริษัทด้านการตลาด Criteo ชี้ว่าประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของธุรกรรมซื้อสินค้าออนไลน์ปัจจุบันนี้เกิดขึ้นในอุปกรณ์หลากหลาย ทั้งแท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์พีซี จุดนี้ Jonathan Opdyke หัวหน้าเจ้าหน้าที่ยุทธศาสตร์ของ Criteo จุดประเด็นว่าสิ่งที่จะช่วยให้ผลตอบแทนจากการลงทุนด้านการตลาดเห็นได้ชัดในยุคนี้ คือความสามารถในการติดตามว่าผู้คนจะย้ายจากอุปกรณ์ใดไปอุปกรณ์ใด

Amazon

5. ปรับกลยุทธ์โฆษณาบน Amazon หรือ Alibaba ให้เหมาะ

Amazon กลายเป็นแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อันดับสาม เมื่อประเมินจากงบใช้จ่ายโฆษณาในสหรัฐฯและยุโรป แสดงว่า Amazon คือเบอร์ 3 ที่ตามหลัง Facebook และ Google โดยโฆษณาบน Amazon ทั้งมีทั้งแบบลิสต์สปอนเซอร์และวิดีโอ รวมทั้งโฆษณาที่นำผู้คนไปยังไซต์อีคอมเมิร์ซของแบรนด์

ข้อนี้อาจเห็นชัดในแบรนด์ที่ต้องการบุกตลาดสหรัฐฯ และยุโรป เพราะบริษัทผู้ให้บริการ เช่นแบรนด์โทรคมนาคม จะสามารถซื้อโฆษณาโดยอิงจากข้อมูลของ Amazon ได้ ขณะเดียวกัน Amazon ก็มีแผนปรับปรุงบริการวิดีโอโฆษณา ซึ่งอาจทำให้ Amazon แข่งขันกับ YouTube ได้โดยตรงมากขึ้น

สำหรับตลาดเอเชีย Alibaba กำลังขยายจากจีนสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้อมูลจาก eMarketer ระบุว่า Alibaba ได้รับเงินโฆษณาบนอุปกรณ์มือถือประมาณ 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 2016 ถือเป็นตัวเลขที่ไม่ธรรมดา

6. กำจัดภาพลวงตา

ปี 2017 นักการตลาดจำนวนไม่น้อยมีหน้าที่จัดการกับโฆษณาที่เข้าข่ายฉ้อโกง โฆษณาโดยที่ถูกบอทคลิกไม่ใช่คนคลิก รวมถึงโฆษณาปลอมโดเมนนั้นถือเป็นสิ่งที่ผู้เผยแพร่โฆษณาหรือ Publisher ต้องร่วมมือจัดการให้สิ้นซาก

ในฐานะนักการตลาดออนไลน์ ปี 2018 คือปีที่นักการตลาดต้องรู้เท่าทันภาวะเสียเปรียบจากการลงโฆษณาออนไลน์ การสำรวจโดยสมาคมผู้โฆษณาแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ที่เผยแพร่ในเดือนธันวาคมพบว่า 78% ของนักการตลาดอาวุโสอเมริกัน กังวลว่าโฆษณาของตัวเองจะปรากฏข้างเนื้อหาไม่เหมาะสม เนื่องจากระบบหาตำแหน่งอัตโนมัติ ขณะเดียวกันก็ต้องระวังภัยลวง เช่นในโลกอีคอมเมิร์ซที่มีปัญหาโฆษณาสินค้าปลอมปะปนอยู่

7. ทำ content แบบนอกกรอบ

วันนี้หลายแบรนด์รู้แล้วว่าสามารถดึงดูดลูกค้าได้หลายวิธีโดยไม่ต้องพึ่งโฆษณา เพราะวันนี้ผู้บริโภคไม่ได้สนใจโฆษณาเท่าไรนัก และทุกคนต้องการชมรายการหรืออ่านข้อความโดยไม่ถูกโฆษณารบกวน

วันนี้มีผู้บริโภคมากกว่า 225 ล้านคนที่ติดตั้งโปรแกรมปิดกั้นโฆษณาบนคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนของตัวเอง ดังนั้นการโฆษณาด้วยเนื้อหาน่าสนใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่นักการตลาดทุกคนต้องทำในปี 2018 

ที่มาhttps://www.cnbc.com/2017/12/25/marketers-heres-your-2018-to-do-list.html