ถ้าไม่ใช่คอแฟชั่นตัวยง จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า จิตวิญญาณแห่งเอเชียมีอิทธิพลต่อ Yves Saint Laurent (YSL – อีฟว์ แซ็ง โลร็อง) แบรนด์ดังระดับโลกจากฝรั่งเศสแบรนด์นี้อย่างไร
อีฟว์ แซ็ง โลร็อง ดีไซเนอร์ชาวแอลจีเรียนเชื้อสายฝรั่งเศส ถือเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลในประวัติศาสตร์แฟชั่นแห่งศตวรรษที่ 20 และเป็นผู้ฉีกกฎเกณฑ์โลกแฟชั่นสำหรับผู้หญิง พร้อมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการแฟชั่นด้วยชุดทักซิโด้สำหรับสุภาพสตรีที่มีชื่อเรียกว่า Le Smoking ด้วยการให้อำนาจที่เท่าเทียมกับเพศหญิง กล้าก้าวออกนอกกรอบ และกำหนดกติกาด้วยตัวเอง
เขาก้าวเข้าสู่วงการแฟชั่นเมื่ออายุ 17 ปี โดยคว้ารางวัลชนะเลิศในการแข่งขันการออกแบบชุดในเวทีระดับนานาชาติ และในอีก 1 ปีต่อมา เดอ บรูนอฟ บรรณาธิการนิตยสาร French Vogue ที่เล็งเห็นถึงพรสวรรค์ของขา พามาเเนะนำให้รู้จักกับ คริสเตียน ดิออร์ ซึ่งขณะนั้นเป็นยอดดีไซเนอร์แห่งยุค ด้วยความรักในสิ่งที่ทำและกล้าลองท้าทายสไตล์ใหม่ๆ ไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิม รู้จักประยุกต์กับวัฒนธรรมร่วมสมัย ทำให้เขาพาแบรนด์ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมไปทั่วโลก ซึ่งสามารถพูดได้ว่าในยุคสมัยนั้น อีฟว์ แซ็งโลร็อง เปลี่ยนกรุงปารีสกลายเป็นเมืองแฟชั่นระดับโลกได้เลยทีเดียว
เทคนิคของดีไซเนอร์ดัง ศึกษา หยิบยืม และปรับเปลี่ยน
แต่น้อยคนจะรู้ว่านอกจากวัฒนธรรมแบบตะวันตก เขาเองก็สนใจวัฒนธรรมแบบตะวันออกของจีนด้วย แม้เจ้าตัวจะไม่เคยไปจีนมาก่อน
มรดกทางวัฒนธรรมของเอเชียเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างสรรค์เสื้อผ้าไฮแฟชั่นระดับตำนาน ด้วยการนำเอาแนวคิดเกี่ยวกับการหยิบยืมองค์ประกอบจากงานศิลปะเซรามิกจีน สิ่งทอ งานเย็บปักถักร้อยและชุดเครื่องแต่งกายของจักรพรรดิจีน มาสร้างคอลเลกชั่นสำหรับผู้หญิงชาวยุโรปที่มีความทะมัดทะแมง ออกมาเป็น the 1977 Chinese collection ซึ่งจะจัดแสดงในฤดูใบไม้ร่วงนี้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งกรุงปารีส
Aurélie Samuel ไดเรคเตอร์และผู้จัดนิทรรศการ Yves Saint Laurent ของ Le Musée Yves Saint Laurent กล่าวว่า
“จีนเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของ อีฟว์ แซ็ง โลร็อง ในรูปแบบความฝันแห่งโลกตะวันออก แม้จะไม่เคยไปเหยียบแดนมังกรก็ตามที แต่เขาได้ศึกษาและสะสมหนังสือเกี่ยวกับศิลปะจีนไว้มากมาย และกรุงปักกิ่งก็เป็นความทรงจำอันน่าอัศจรรย์เสมอ”
นิทรรศการนี้จะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2017 และจะจัดตั้งแต่ 2 ตุลาคม – 27 มกราคม 2018 โดยคอลเลกชั่นจากประเทศจีนจะเป็นหนึ่งในคอลเลกชั่นอื่นๆ จากเอเชีย ได้แก่ อินเดียและญี่ปุ่นที่จะมีการจัดแสดงในงานนิทรรศการ และมีถึง 50 ดีไซน์ ทั้งในส่วนของวัตถุและงานศิลปะที่แสดงให้เห็นถึงแรงบันดาลใจที่แปลกใหม่ของ อีฟว์ แซ็ง โลร็อง
ผลงานนี้ทำให้เห็นว่า แม้ อีฟว์ แซ็ง โลร็อง จะรายล้อมด้วยเหล่าเซเลบชั้นสูง แต่ก็สนใจศิลปะหลากรูปแบบไม่ยึดติดกับชาติใดชาติหนึ่ง อีกทั้งหลงใหลในวรรณกรรม งานศิลป์ที่มีความพิถีพิถัน
อีกทั้ง อีฟว์ แซ็ง โลร็อง ได้เดินทางไปเกียวโตเมื่อปี 1963 และ 1975 เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นและการทอผ้าซึ่งจะปรากฏใน Japanese Collection สำหรับนิทรรศการครั้งนี้ด้วย
นอกจากนี้ในส่วนของเสื้อผ้าสตรี ก็ได้แนวคิดจากแจกันเซรามิกจากราชวงศ์หมิง แต่แทนที่จะทำด้วยสีฟ้าและสีขาวตามสีที่พบได้ทั่วไปในแจกันทั่วไป กลับเลือกใช้สีดำและสีขาวซึ่งเหมาะกับสไตล์ของผู้หญิงชาวยุโรป
Pierre Bergé ชายผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จแทบจะทั้งหมดของแบรนด์ Yves Saint และเป็นผู้ใกล้ชิดรวมถึงหุ้นส่วนคนสำคัญของ อีฟว์ แซ็ง โลร็อง ได้กล่าวว่า
แฟชั่นไม่ใช่แค่เรื่องสุนทรียศาสตร์เท่านั้น แต่แฟชั่นสามารถเปลี่ยนความคิดและขับเคลื่อนสังคมได้
แม้จินตนาการของอีฟว์ แซ็ง โลร็อง จะไร้ขีดจำกัด ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติใดๆ จะได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี แต่บางครั้งก็เกิดปัญหาและความขัดแย้งในหมู่ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนเช่นกัน
เช่น จากกรณีที่ทางแบรนด์ดังเคยวางขายน้ำหอม Black Opium The New Eau de Toilette ซึ่งเป็นน้ำหอมกลิ่นแบบออเรียนทอล มีกลิ่นหอมอันน่าหลงใหลจากตระกูล Black Opium จากกลิ่นเมล็ดกาแฟหอมเข้มและกลิ่นไวท์มัสก์ที่เย้ายวน ว่ากันว่าใครดมแล้วต้องติดใจเหมือนต้องสารเสพติด
กลิ่นนี้ได้แรงบันดาลใจจากผู้หญิงทรงพลังและมีอำนาจ ซึ่งน่าจะหมายถึงพระนางซูสีไทเฮา ที่เป็นคนกุมอำนาจสูงสุดเหนือราชบัลลังก์มังกรในยุคนั้น ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย เพราะเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ที่สมัยนั้นคนจีนติดฝิ่น สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพยากรไปเป็นจำนวนมหาศาล จนถูกเรียกร้องให้ออกมาขอโทษและทำการเปลี่ยนชื่อ แต่อย่างไรก็ตาม น้ำหอมนี้ก็ขายดีติดอันดับ Best Seller อยู่ดี และยังมีจำหน่ายจนถึงปัจจุบัน.