ถึงเวลา “โก๋แก่” สลัดภาพ “ขนมพันล้าน” ขึ้นเป็น “ขนมหมื่นล้าน”

อยู่ในตลาดมา 40 กว่าปี ตั้งแต่ปี 2519 ถ้าเปรียบโก๋แก่เป็นคนก็เรียกได้ว่า กำลังอยู่ในวัยสร้างฐานะให้มั่นคง แม้จะก้าวข้ามจากขนมร้อยล้านในปี 2552 ขึ้นเป็นขนมพันล้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ความท้าทายใหญ่ในวันนี้ของโก๋แก่ คือการติดกับดักรายได้ปานกลาง จนผ่านมา 10 ปีแล้วยังไม่ได้เป็นขนมหมื่นล้านสักที

กฤษดา รวยเจริญทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานแม่รวย จำกัด ผู้ผลิตและจัดนำหน่ายขนมแบรนด์โก๋แก่บอกว่า ความสำเร็จของโก๋แก่ที่ทำให้สามารถนั่งบัลลังก์แชมป์ด้วยส่วนแบ่ง 45-50% ในตลาดถั่วมูลค่า 5,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยหลัก

  1. ชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ ในยุคที่เริ่มทำตลาดใหม่ๆ สินค้าส่วนใหญ่มักจะตั้งชื่อเป็นสองพยางค์และสอดสคล้องกับสินค้า แต่ชูเกียรติ รวยเจริญทรัพย์ ผู้ก่อตั้งกลับมองว่า ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนคนอื่น เลยเป็นที่มาของชื่อ “โก๋แก่ซึ่งมาจากโปสการ์ดญี่ปุ่นที่เขาชอบสะสม มีลักษณะตัวการ์ตูนคล้ายๆ จิ๊กโก๋ แต่ตัดคำว่าจิ๊กออก เหลือแต่คำว่าโก๋ไว้ แล้วเติมคำว่าแก่เข้าไปให้สอดคล้องกัน สร้างทั้งความแปลกและการจดจำไปในตัว
  2. Hero Product รสกะทิถือเป็นสินค้าชนิดแรกของแบรนด์ ที่ผู้บริโภครู้จักเป็นอย่างดี
  3. มาสคอตที่คุ้นตา ภาพของเด็กผู้ชายหน้าค่อนข้างกลมใส่แว่นหัวฟู ไม่ว่าปรากฏที่ไหนคนก็รู้จักในฐานนะแบรนด์โก๋แก่ ที่มาของมาสคอตก็เป็นที่มาเดียวกับชื่อคือโปสการ์ดญี่ปุ่น
  4. สโลแกนที่คุ้นหูโก๋แก่มันทุกเม็ดไม่ได้สื่อถึงฟังก์ชันของสินค้าเท่านั้น แต่ยังสื่อถึงอีโมชันนอลในระหว่างการกินอีกด้วย

รุ่นสองอยากมีหมื่นล้าน

ปัจจุบันการบริหารงานของโก๋แก่อยู่ภายใต้รุ่นที่สองประกอบไปด้วย จุมภฏ นั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ, กฤษดา รองกรรมการผู้จัดการดูแลการตลาด น้องชายที่ดูการผลิต และน้องสาวอีกคนที่ดูบัญชีและบุคคล โดยกฤษดาบอกว่าผลงานที่เด่นชัดของรุ่นสอง คือ การดันให้รายได้ 600 ล้านบาท ขึ้นมาเป็น 1,000 ล้านบาทในปี 2552

ถึงแม้ 10 ปีมานี้โก๋แก่จะสามารถเติบโตได้เป็นตัวเลขสองหลัก แต่รายได้ปีที่ผ่านมายังอยู่ที่ราว 2,600 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาภาพรวมตลาดถั่วไม่มีการเติบโต อาจจะมีบ้างแค่เพียง 1% เพราะเศรษฐกิจในไทยไม่ค่อยดี และยังไม่ค่อยมีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด การเติบโตของโก๋แก่จึงอยู่ในระดับตัวเลขหลักเดียวด้วย ซึ่งกฤษดาบอกว่า เป็นอย่างนี้ต่อไปนานๆ ไม่ดีแน่

ความท้าทายของโก๋แก่ในวันนี้คือการติดกับดักรายได้ปานกลาง เรากระโดดจากหลักร้อยล้านมาหลักพันล้านนานแล้ว แต่ยังขยับหนีไปจากตรงนี้ไม่ได้สักที ทำให้เราวางเป้าหมายต้องการขยับขึ้นไปหลักหมื่นล้านภายใน 10 ปีข้างหน้า

และนั้นกลายเป็นที่มาของกลยุทธ์ที่กำลังจะทำต่อไปนี้

ดึงเป๊ก ผลิตโชค” โปรโมต “โก๋แก่ลันเตา”

รสกะทิถือเป็นความสำเร็จของโก๋แก่ก็จริง หากอีกทางหนึ่งก็ได้สร้างโจทย์ให้กับแบรนด์อยู่ไม่น้อย เพราะถึงช่วง 10 ปีมานี้จะมีการออกสินค้าใหม่มากมาย เพราะจากการศึกษาพบว่านอกถั่วจะเป็นขนมได้แล้ว ยังเป็นกับแกล้มได้อีก จึงมีสินค้าอื่นๆ ในกลุ่มถั่วเปลือย (ถั่วลิสงอบเกลือ ถั่วปากอ้าอบเกลือ) และกลุ่มถั่วพรีเมียม แต่ผู้บริโภคก็มักจะจำได้แค่รสกะทิ

ดังนั้น เพื่อแก้โจทย์นี้สิ่งที่โก๋แก่ทำ คือ การเติมนามสกุล ให้กับสินค้าใหม่ๆ ที่ออกมา เพื่อแยกแต่ละเซ็กเมนต์ให้เห็นชัดเจน โดยแต่ละปีก็จะวาง “Hero Product” เพื่ออัดงบการตลาดและสร้างการรับรู้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยปีที่ผ่านมาโฟกัสที่แบรนด์โก๋แก่แม็กซ์ถั่วลิงสงเคลือบอบพอง ใช้อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮมเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่โก๋แก่ก็บอกว่า ไม่ได้เต็มรูปแบบมากนัก มีเพียงบิลบอร์ดและไวรัลวิดีโอเท่านั้น

หากในปี 2562 นี้โก๋แก่ได้โฟกัสไปที่ ​“โก๋แก่ลันเตา” ด้วยมองว่า ตลาดถั่วลันเตามูลค่า 300 ล้านบาท มีเพียงสองแบรนด์หลักที่ขับเคี่ยวในตลาดคือ โก๋แก่และกรีนนัท ผลัดกันขึ้นเป็นผู้นำในตลาดมาตลอด และที่ผ่านมาไม่ได้มีการทำตลาดอย่างจริงจังสักเท่าไหร่นัก ซึ่งโก๋แก่มองว่าตลาดสามารถเติบโตได้มากกว่านั้น คาดปีนี้เพิ่มมาเป็น 500 ล้านบาท

จึงได้ใช้งบการตลาดกว่า 40 ล้านบาท จากงบรวม 100 ล้านบาท ในการสร้างการรับรู้ให้กับ “โก๋แก่ลันเตา” โดยดึง เป๊ก ผลิตโชค” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เนื่องจากเห็นว่า เป๊ก ผลิตโชค เป็นบุคคลที่มีบุคลิกสนุกสนาน มีแฟนคลับที่หลากหลาย ตั้งแต่เด็กวัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน สามารถช่วยสื่อสารคาแร็กเตอร์แบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียน นักศึกษา และคนวัยทำงานได้

นอกจากการใช้สื่อในทุกช่องทางแล้ว ยังมีการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้แฟนคลับเข้าร่วมอีก 2-3 ครั้ง เบื้องต้นสัญญาของเป๊ก ผลิตโชค 1 ปี แต่กฤษดาเปรยว่า อาจจะขยายไปมากกว่านั้น

แคมเปญนี้ถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี เพราะที่ผ่านมาจะเน้นสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าผ่านสินค้าและคุณภาพโดยใช้สื่อไวรัลคลิป ที่ไม่ได้พูดถึงแบรนด์ตรงๆ แต่สื่อสารผ่านแพ็กเกจจิ้ง เช่น ในกลุ่มถั่วเคลือบจะมีโลโก้โก๋แก่ตัวใหญ่ถือป้ายปกติ ส่วนในกลุ่มถั่วเปลือยและถั่วพรีเมียม โลโก้จะไม่ได้โดดเด่นมากนัก

โดยหนึ่งในเกมการตลาดของโก๋แก่ คือ การมองเซเว่น อีเลฟเว่นเป็นโชว์รูมสินค้า เพราะเป็นร้านที่มีขนาดที่ผู้บริโภคเดินเข้าไปแล้วมักจะเดินทั่วร้าน ต่างจากไฮเปอร์มาร์เก็ตที่มาขนาดใหญ่ ผู้บริโภคมองไม่เห็น เดินไม่ทั่ว

ขณะเดียวกันเพื่อรองรับการเติบโตและยอดขายของสินค้าที่ทุ่มโปรโมต ได้มีการขยายโรงงานผลิต ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท เพิ่มจากเดิมที่ผลิตได้อยู่ที่วันละ 25 ตัน ตอนนี้ขยายเป็นประมาณ 30 ตัน เน้นการใช้เครื่องจักรครบวงจรมากยิ่งขึ้น

รูปจากเพจ : Koh Kae Thailand

ปั้น “Fighting Brand” ลุยขนมที่ไม่ใช่ถั่ว

กฤษดาบอกว่า จริงๆ แล้วตลาดถั่วมีมูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านบาทเสียอีก เพราะเมื่อไปดูตามร้านโชห่วยในต่างจังหวัด จะพบถั่วที่ถูกแบ่งใส่ถุงและห้อยเป็นพวงขาย โก๋แก่ได้สนใจตลาดนี้เหมือนกัน โดยออกสินค้าที่มีลักษณะเหมือนกัน แต่ตีตราโก๋แก่เข้าไปวางขาย เริ่มทำตลาดไปบ้างแล้ว

ในขณะเดียวกันโก๋แก๋ยังจะรุกไปยังขนมที่ไม่ใช่ถั่วด้วย ในภาพรวมของตลาดขนมมีมูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท ปีที่ผ่านมาเติบโต 5.9% ถั่วมีส่วนแบ่งเพียง 13% เซ็กเมนต์ที่ใหญ่สุดคือมันฝรั่ง สัดส่วน 35% รองลงมาขนมขึ้นรูปสัดส่วน 30% และอื่นๆ 22%

ในเมืองไทยมีขนมไม่ถึง 10 แบรนด์ที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปเป็นอย่างดี แต่จริงๆ แล้วในตลาดยังมีแบรนด์รองอีกมาก ที่ถึงคนจะจำชื่อไม่ได้แต่ขายได้ โก๋แก่จะเข้าไปเจาะตรงนี้ด้วย

แต่วิธีการของโก๋แก่จะไม่ใช้แบรนด์ตัวเองไปตีตราบนขนมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ถั่ว เนื่องจากได้วาง Positioning เป็น “King of Nut” จึงจะเป็นถั่วเท่านั้น ซึ่งปีนี้อาจจะได้เห็นอีกหนึ่งแบรนด์ใหม่ที่ไม่ได้เป็นขนมหรือถั่ว แต่อยู่ในธุรกิจอาหาร ส่วน “Fighting Brand” เจาะขนมอื่นๆ วางแผนออกอีก 2-3 แบรนด์ รวมๆ แล้วจะมีสินค้าใหม่ในปีนี้หมด 20 SKU เพิ่มเท่าตัวจากปีก่อนที่ออก 10 SKU

ที่ผ่านมาโก๋แก่ได้ออก Fighting Brand มาแล้ว 2 แบรนด์ได้แก่เนลี่แครกเกอร์มันฝรั่ง และซิโก้ขนมขาไก่ ซึ่ง 2 ปีก่อนได้ดึงซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ด้วย

ทำคีออสขาย “Fresh  Snack”

นอกเหนือจากการวางขายสินค้าในช่องทางทั่วไปแล้ว โก๋แก่ได้ปั้นช่องทางของตัวเองด้วยชื่อโก๋แก่สินค้าที่วางขายแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ Dry Snack สินค้าทั่วไปของโก๋แก่มีบางรสที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟด้วย, Fresh Snack เป็นสินค้าที่ทำขึ้นมาสดๆ ในร้านใช้วัสถุดิบเป็นถั่ว เช่น ไอศกรีมถั่ว น้ำนมถั่ว บางสาขาจะเป็นเค้กชิฟฟ่อนสอดไส้ (ปังโก๋) และสุดท้ายสินค้าพรีเมียมเช่น เสื้อ หมวก

ฐานลูกค้าหลักเป็นคนต่างชาติ เช่น จีนและไต้หวัน ปัจจุบันมี 9 สาขา แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 3 สาขา เชียงใหม่ 4 สาขา และชลบุรี 2 สาขา ปีนี้ยังไม่วางแผนจะขายสาขาใหม่ แต่กำลังพัฒนาโมเดลใหม่ๆ อยู่

โดยวางแผนจะนำสินค้า Fresh Snack ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนไทยแยกออกมาเป็นคีออสมีเกาอี้ให้นั่งทาน พร้อมกับวางแผนเติมสินค้าใหม่ๆ เข้าไปเบื้องต้นจะเป็นเครื่องดื่ม คาดปีนี้ได้เห็น 2 สาขาที่ ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และ เดอะมอลล์บางกะปิ ก่อนที่จะค่อยๆ ขยายเข้ามาในเมือง

รูปจากเพจ :Koh Kae Thailand

เตรียมบุกหนักในเวียดนามและไต้หวัน

และไม่ใช่แค่ในประเทศเท่านั้นโก๋แก่ได้วางหมากไปยังต่างประเทศด้วย ที่ผ่านมาได้ส่งออกสินค้าไปยัง 70 ประเทศ ในปีนี้ได้วางแผนบุกหนักในเวียดนามและไต้หวัน เพื่อหวังผลในระยะยาว ปรับสัดส่วนจากการส่งออก 20% เป็น 60% ภายใน 10 ปี

กฤษดาบอกว่า ได้วางโมเดลการบุกในต่างประเทศนอกเหนือจากส่งสินค้าไป 3 โมเดลได้แก่

  1. ผลิตจำนวนมากแล้วไปแบ่งบรรจุในประเทศนั้น
  2. จ้างโรงการท้องถิ่นผลิตเป็น OEM และ
  3. สร้างโรงงาน สำหรับในเวียดนามจะเป็นการสร้างโรงงานใช้งบลงทุน 40 ล้านบาท ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับนครโฮจิมินห์ ส่วนไต้หวันจะใช้วิธีจ้างผลิต

สำหรับไต้หวันนั้นกฤษดาบอกว่า โก๋แก่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะเข้าไปทำตลาดมานาน 10 กว่าปี แต่ประสบปัญหาจำกัดโควตานำเข้า และมีภาษีค่อนข้างสูงเพราะเป็นสินค้าเกษตร ราคาจึงแข่งกับสินค้าท้องถิ่นไม่ได้ สำหรับการจ้างผลิตจะออกรสชาติใหม่ ส่วนรสชาติเดิมยังส่งไปขายเหมือนเดิม

ปีนี้โก๋แก่คาดหวังรายได้ 3,000 ล้านบาท เติบโต 15% พร้อมกับวางเป้าหมายโตปีละ 15% ไปจนถึงรายได้หมื่นล้านใน 10 ปี.