เป็นที่รู้ดีกันดีว่า “สื่อ” มีความสำคัญในโลกยุคข้อมูลข่าวสาร และก็เช่นกันในการต่อสู้ทางการเมืองแบบแบ่งสีที่ดำรงอยู่ในประเทศไทยสืบเนื่องมาหลายปีเครื่องมือสำคัญในการแย่งชิงมวลชนของแต่ละฝ่ายก็คือ “สื่อ” ในสภาพปัจจุบันจะเห็นได้ชัดเจนว่าฝ่ายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ให้ความสำคัญกับการใช้สื่อ เพื่อตอบสนองความต้องการและเป้าหมายของตัวเอง “อัศวินคลื่นลูกที่สาม” อย่างทักษิณรู้ดีว่า เมื่อใดครอบครองสื่อได้ เมื่อนั้นก็สามารถครอบครองโลกได้เช่นกัน
อดีตนายกฯ ที่ต้องต่อสู้เพื่อกลับประเทศ และคืนสู่อำนาจอีกครั้ง จึงให้ความสำคัญทุ่มสรรพกำลังในเรื่องนี้เต็มพิกัด ทั้งสื่อหลัก สื่อทางเลือก หรือสื่อใหม่ (New Media) ในโลกดิจิตอลโดยจะเห็นได้จากทัพสื่อ “สีแดง” ดาหน้าเข้าสู่แนวรบกันเป็นแผง ทั้งเคเบิลทีวี P-Station สถานีประชาชนที่เป็นแม่ข่ายขยายเซลล์ “คนรักทักษิณ” วิทยุชุมชนที่กลุ่มคนเสื้อแดงจัดตั้งสามารถครอบครองคลื่น .25-.45-.75 ไว้เป็นกระบอกเสียงของกลุ่มกันยกแผงหน้าปัด
ขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์ตระกูล Red ที่มีครบทุกแขนง ไม่รวมสื่อหลักส่วนใหญ่ที่ยังเป็นมือไม้แขนขา แนวร่วม “ระบอบทักษิณ” ด้วยความจงรักภักดี อีกทั้งได้ผุดสื่อสมัยใหม่บนโลกไซเบอร์ ออนไลน์ อินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ต่างๆ ที่ขยายเครือข่าย และเชื่อมโยงในกลุ่มคนเสื้อแดง รวมทั้งเครือข่ายสังคม Social Network ที่ทักษิณเปิด Twitter ของตัวเอง ลิงค์ไปยัง Facebook และเว็บไซต์ thaksinlive .com
ล่าสุดกับการเปิด “ทีวี 100 ช่อง” และ VOICE TV ของพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายที่ระดมมืออาชีพจากไอทีวีมาทำ ยังไม่รวมช่องทางสื่อสารกับเครือข่ายผ่านข้อความสั้น SMS โทรศัพท์มือถือเป็นการปูพรมเปิดเกมรุกสื่อทุกแขนง เพื่อเป็นกระบอกเสียงในเกมแย่งพื้นที่สื่อชิงมวลชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทรงอานุภาพ เหนือว่าฝ่ายตรงข้ามใน Media War – News War
โดยต้องยอมรับการเดินเกมการเมือง การสร้างกิจกรรม อีเวนต์ มาร์เก็ตติ้ง กลยุทธ์ต่างๆ จะสื่อสารผ่านเครือข่ายของทักษิณผ่านไปยังเครือข่าย สามารถชวนเชื่อ เป่าหู จนคนรากหญ้าที่คล้อยตามแบบฝังหัว อีกทั้งประเด็นส่วนใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องที่สื่อกระแสหลักติดตามและนำไปเสนอต่อ กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในที่สุด
แนวรวบด้านสื่อนี้ที่ผ่านมาเรียกได้ว่า “ทักษิณ” เอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ โดยเฉพาะกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ที่มีสื่อรัฐในมือ แต่กลับไร้ประสิทธิภาพในการใช้งานทั้งสื่อวิทยุ-โทรทัศน์ สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ และช่อง 9 อสมท. คลื่นวิทยุในสังกัดที่มีครอบคลุมทั่วประเทศแต่ไม่สามารถใช้เป็นช่องทางให้ข้อมูล ความรู้ สร้างความเข้าใจ ชี้ให้เห็นพิษภัยอันตรายของอดีตนายกฯ และระบอบทักษิณ ได้เท่าที่ควร แถมบางครั้งยังถูกเครือข่ายขั้วอำนาจทักษิณที่ฝังรากในองค์กรสื่อรัฐ “วางยา”
เกือบ 1 ปีที่บริหารงานมา รัฐมนตรีที่ดูแลด้านสื่อภาครัฐ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ผลงานไม่เป็นที่ประทับใจ ถือว่า “สอบตก” ก็ว่าได้!เพราะไม่เพียงการทำงานที่ส่อให้เห็นว่า “มือไม่ถึง” แม้จะถูกติติง วิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายต่างๆ “สาทิตย์” ก็ไม่ได้ขยับปรับเปลี่ยนอะไรให้ดีขึ้น ยังคงทำงานแบบรูทีน เหมือนอยู่ในภาวะปกติ ทั้งที่อยู่ในภาวะสงครามแล้ว!! เป็นสงครามที่ไม่ใช่แค่สงครามแย่งชิงอำนาจ แย่งชิงมวลชน แต่คือสมรภูมิศึกแห่งสงครามที่ต้องมีผู้ปกปักษ์รักษาบ้านเมือง และสถาบันสำคัญ
สื่อรัฐภายใต้กำมือของรัฐมนตรีรายนี้ ทำได้เพียงการ “ตั้งรับ” การรุกของทักษิณที่เปิดปมขย่ม “อภิสิทธิ์” เขย่ารัฐบาลและพาดพิงกระทบไปยังเบื้องสูงไม่เว้นวัน
ถึงจะพยายามปรับปรุงแก้ไขสื่อรัฐ เน้นเชิงรุกมากขึ้น มีการปรับโละคนของ “ระบอบทักษิณ” ที่ฝังรากลึกในองค์กรสื่อก็ยังมีเพียงเล็กน้อย มิหนำซ้ำยังมีเครือข่ายคนในพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะจากพรรคภูมิใจไทยของเนวิน ชิดชอบ ที่บางครั้งเป็นหนามทิ่มตำพรรคแกนนำรัฐบาลด้วยอีก อีกทั้งพอปรับเปลี่ยนก็โฉ่งฉ่าง เห็นได้จากที่มีคำสั่งห้ามนำเสนอข่าวความเคลื่อนไหวอีกฝ่าย ทั้งที่ควรเปิดเผยรอบด้าน เอาข้อมูลข้อเท็จจริงมากางสู้ ไม่ใช่ทำให้ถูกข้อกล่าวหาปิดกั้น-แทรกแซงสื่อ
ขณะที่ประกาศจะทำ อย่างช่องอาเซียน ทีวีอาเซียน ก็แค่ลมปาก ตีปี๊บโฆษณากันอย่างฉาบฉวย ไม่เห็นความคืบหน้า การดำเนินการที่เป็นรูปธรรมขณะที่มาดูในส่วนเนื้อหาสาระ สื่อของรัฐที่นำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงที่สามารถตอบโต้สื่อของทักษิณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ยังมีอยู่ในสัดส่วนที่น้อยนิด
กรมประชาสัมพันธ์ ก็ยังเป็น “กรมกร๊วก” อสมท. เป็น “แดนสนธยา” เช่นเดิมในความเพลี่ยงพล้ำของสื่อรัฐ รัฐมนตรีที่มีเครื่องมือครบครัน อาวุธที่ถืออยู่ในมือ ทั้งมีด หอก ดาบ ทวน ธนู แต่ทำอะไรไม่เป็น จนต้องอาศัยฝ่ายอื่นมาช่วยรบโดยเฉพาะสื่อแนวร่วม ทั้ง “สื่อสีเหลือง” ในเครือเอเอสทีวี ผู้จัดการ ที่ทรงประสิทธิภาพ เปิดประเด็นนำเสนอผ่านหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ วิทยุ เคเบิลทีวี ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องร้อน เรื่องใหม่ ข้อมูลเจาะลึกและลับ นำเสนอตรงจุด ทางตอบโต้กันถึงพริกถึงขิง ทิ่มเข้าหัวใจ “ทักษิณ” และเครือข่ายได้ชะงัด
รวมทั้ง “สื่อสีน้ำเงิน” ในเครือข่ายของพรรคภูมิใจไทย ที่มี “เนวิน” อยู่เบื้องหลังที่ถึงแม้จะถูกมองอย่างเคลือบแคลงว่ามีวาระแอบแฝง ในเรื่องการโหนกระแส เน้นแนวทาง “พิทักษ์สถาบัน” ตามสีที่เลือกมาเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มตัวเอง
แต่ถ้ามองในมุมการต่อสู้ในสงครามสื่อกับสื่อสีแดงของทักษิณแล้ว ต้องยอมรับว่า ตรงเป้าเข้าจุดกว่าสื่อรัฐเป็นไหนๆ อาจเพราะเนวินถือเป็นผู้ที่รับผิดชอบในการจัดทัพแนวรบด้านสื่อของระบอบทักษิณมาก่อน จึงรู้ไส้รู้พุง รู้ทางที่จะต่อสู้กับอีกฝ่าย
วันนี้สื่อสีน้ำเงินก็ผุดขึ้นครอบคลุมทุกด้านทั้งเว็บไซต์ วิทยุชุมชน สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ รวมทั้งเกมใต้ดินด้านสื่อ ผ่านใบปลิว ซีดี คลิปวิดีโอ ที่หาได้จากเครือข่ายสื่อนี้ รวมทั้งมีแผนเปิดตัวสื่อทีวี BLUE CHANNEL ต้นปี 2553 รัฐมนตรีที่คุมสื่อรัฐ “สาทิตย์” ผู้เคยโอ่อวดว่าเก่งกาจในด้านสื่อใหม่ สื่อทันสมัยดิจิตอล มีทวิตเตอร์ส่วนตัวที่เปิดเล่นมาก่อนทักษิณมานาน แต่สุดท้ายก็หยุดนิ่ง ถูกทวิตเตอร์ทักษิณทิ้งห่างจำนวนผู้ติดตาม followers อย่างไม่เห็นฝุ่น
หากเก่งแค่รูปแบบ “ดิจิตอล” เปลือกนอก แต่สมองและฝีมือในการทำงานยังล้าหลัง ไม่ทันท่วงทีต่อสถานการณ์ มี “กึ๋นอนาล็อก” มาคุมสื่อ สุดท้ายก็จะพ่ายแพ้!!