เมื่อสถานีบริการน้ำมันยุคนี้ ต้องไม่มีแค่บริการเติมน้ำมัน แต่ได้กลายเป็นอีกหนึ่งใน “ธุรกิจค้าปลีก” ที่มองข้ามไม่ได้ เพราะมีทั้ง ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารจานด่วนแบรนด์ดังเข้ามาเปิดสาขา เพื่อเป็น “แม่เหล็ก” ในการดึงดูดลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ
ทำให้ เอสโซ่ สถานีบริการน้ำมันของสหรัฐอเมริกา ที่เข้ามาเปิดธุรกิจในไทยมาตั้งแต่ปี 2547 จึงต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะช่วง 7 ปีที่ผ่านมา โดยปีนี้เอสโซ่ตั้งงบลงทุน 2 พันล้านบาท เพื่อใช้ขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 60 แห่ง จากปีก่อนที่มีสถานีบริการน้ำมันรวม 608 แห่ง โดยเป็นสถานีบริการต้นแบบ (Flagship Station) 10 แห่ง ทำให้มี Flagship เพิ่มเป็น 35 แห่งในปีนี้
พร้อมกับปรับปรุงสถานีบริการให้มีรูปโฉมใหม่ภายใต้รูปแบบ Synergy ให้ครบทั้งหมดจากล่าสุดปรับปรุงไปแล้ว 300แห่ง โดยมีเพิ่มร้านค้าพันธมิตรอีก 50 ร้าน เพื่อให้ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเป็นธุรกิจที่สร้างผลกำไรมากที่สุดให้เอสโซ่ ต่อเนื่อง
มาโนช มั่นจิตจันทรา ผู้จัดการตลาดขายปลีก บริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO เปิดเผยว่า กลยุทธ์ของเอสโซ่นั้น จะไม่ลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (นอนออยล์) เอง แต่จะดึงพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญกว่ามาลงทุน อาทิ ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ร้าน Grand COFFEE BOY, ร้าน RABIKA COFFEE ร้านครัวพี่เสือ ร้านสะดวกซื้อแฟมิลี่มาร์ท, ร้านไก่ทอดเคเอฟซี เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
ในปี 2561 เอสโซ่มีการขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นสูงนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึง 73แห่ง แต่ได้มีการปิดสถานีบริการที่มีให้ผลตอบแทนไม่คุ้ม และมีการปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันให้มีรูปโฉมใหม่ภายใต้รูปแบบ Synergy จำนวน 213 แห่ง
เอสโซ่ มองว่า ธุรกิจค้าน้ำมันยังไปได้ดี แม้ว่ากระแสการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในภาคพลังงาน แต่ก็ยังเชื่อว่าความต้องการใช้น้ำมันในอีก 10 ปีข้างหน้าจะยังคงมีความต้องการอยู่มาก โดยเฉพาะในการขนส่งของรถบรรทุกขนาดใหญ่ หรือน้ำมันอากาศยานที่ EV ยังเข้ามาทดแทนไม่ได้.
ที่มา : https://mgronline.com/business/detail/9620000039417