“ธงชัย บุศราพันธ์” ปลุกยักษ์หลับ ดัน NOBLE ยืนท็อปเทนใน 3 ปี

การกลับสู่ NOBLE ในวัย 50 ปี บริษัทแรกที่ทำงานตั้งแต่เรียนจบ ร่วมกับ “กิตติ ธนากิจอำนวย” ผู้ก่อตั้งและน้าชาย “ธงชัย บุศราพันธ์” ย้ำภารกิจสำคัญ นำ NOBLE ที่อยู่ใน sleep mode มา 7 ปี กลับสู่ตลาดอีกครั้ง ด้วยเป้าหมายครองตำแหน่ง “ท็อปเทน” ดีเวลลอปเปอร์ไทยให้ได้ภายใน 3 ปี

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์” ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่ม “ไฮเอนด์” ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ ปี 2534 หรือกว่า 3 ทศวรรษ “ธงชัย” คือหนึ่งในผู้บริหารคนสำคัญที่ร่วมทำงานมา 20 ปี ระหว่างปี 2535-2555 การก้าวออกจากโนเบิลในปี 2555 มาจากปัญหาการแย่งชิงหุ้นโนเบิลของกลุ่มนอมินี จากผู้ถือหุ้นเดิม เรื่องราวยืดเยื้อมาตลอด 6-7 ปี

หลังจาก กิตติ ธนากิจอำนวย” กลับมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกครั้ง จากนั้นเมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ได้ขายหุ้นกับ “ธงชัย” หลานชาย สัดส่วน 23.3% เป็นการกลับสู่โนเบิลในรอบ 7 ปี ครั้งนี้มาพร้อมกับผู้ถือหุ้นใหม่ “บีทีเอส กรุ๊ป” ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจระบบขนส่งมวลชน สื่อโฆษณาและอสังหาริมทรัพย์ ร่วมถือหุ้น 9.9%

“ธงชัย” ยังมีพันธมิตรสำคัญ “ฟัลครัม โกลบอล แคปิตอล” (Fulcrum Global Capital) ซึ่งมี แฟรงค์ เหลียง เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ได้เข้ามาถือหุ้นโนเบิล 24.9% ผ่านการลงทุนของบริษัท เอ็นคราวน์ จำกัด (nCrowne) ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 การกลับสู่โนเบิลครั้งนี้ จึงมาในนามผู้ถือหุ้นใหญ่ร่วมกับพันธมิตรและเข้ามากุมอำนาจการบริหาร

แฟรงค์ เหลียง-ธงชัย บุศราพันธ์

ได้เวลาเปิดโหมดบุก

หลังจากเข้าทำงานในโนเบิล เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 สิ่งแรกที่ทำคือเปลี่ยน “โลโก้” NOBLE ใหม่ให้ดู Simple โดยเอามงกุฎที่อยู่บนโลโก้เดิมออก เปลี่ยนตัวอักษรใหม่ เพื่อสื่อถึงการเป็นคนธรรมดาที่เรียบง่าย

ธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมและกรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า การกลับมาบริหารโนเบิลครั้งนี้ เป็นการรับไม้ต่อจาก กิตติ ธนากิจอำนวย” ที่ต้องการหยุดพักผ่อนหลังบริหารธุรกิจมากว่า 30 ปี โดยมีพันธสัญญาไว้ว่าจะทำให้โนเบิล กลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง หลังจาก sleep mode มา 7 ปี

ที่ผ่านมาโนเบิลเคยเป็นอสังหาฯ ระดับกลาง จากนั้นก็นิ่งในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กเปิดโครงการเพียงปีละ 2 แห่ง ทั้งที่หากรักษาการเติบโตเมื่อ 7 ปีก่อนไว้ได้ มาถึงวันนี้ควรจะต้องมียอดขาย 15,000 ล้านบาท เป็นอสังหาฯขนาดกลาง แต่ปีที่ผ่านมายอดขายทำได้ 5,000 ล้านบาท กลายเป็นอสังหาฯ ขนาดเล็ก

ภารกิจของผู้ถือหุ้นใหม่และผู้บริหารใหม่ จะทำให้โนเบิลกลับมาเป็นบริษัทขนาดกลางอีกครั้ง ติด 1 ใน 10 ผู้นำธุรกิจอสังหาฯ ให้ได้ภายใน 3 ปีจากนี้

โดยตั้งเป้ายอดขายรวม 3 ปีนี้ กว่า 30,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 10,000  ล้านบาท และอัตราผลตอบแทนต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็น 30% โดยจะยังคงรักษาอัตราส่วนของหนี้ต่อทุนสุทธิที่ 1.5 เท่า

ปั้นโปรดักต์มิกซ์ลุยตลาดกลาง

กลยุทธ์การเติบโตของโนเบิล คือ ขยายการลงทุนโครงการใหม่ให้ได้ปีละ 4-5 โครงการ จากเดิมอยู่ที่ 2 โครงการ โดยใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินปีละ 3,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโปรเจกต์ใหม่ต่อเนื่อง

สำหรับแบรนด์โนเบิล เป็นที่อยู่อาศัยจับตลาดไฮเอนด์ คอนโดมิเนียมทำเลติดแนวรถไฟฟ้า ที่ผ่านมาลงทุนย่านทองหล่อถึงซอยอารีย์ (พหลโยธิน) เป็นหลัก ราคาเฉลี่ย 2.5-3 แสนบาทต่อตารางเมตร หรือยูนิตละ 10 ล้านบาทขึ้นไป การพัฒนาคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าย่านซีบีดี ยังเป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญ แต่ยอมรับว่า “ที่ดิน” หายากขึ้นทุกวัน

ดังนั้นหลังจากนี้จะปรับ “โปรดักต์มิกซ์” ใหม่ เพิ่มเติมการพัฒนาคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ NUE เจาะกลุ่มตลาดกลางเข้ามากขึ้น ราคาเฉลี่ย 1-1.5 แสนบาทต่อตารางเมตร ราคา 3-7 ล้านบาทต่อยูนิต เน้นทำเลรถไฟฟ้าสายใหม่ ปัจจุบันเปิดตัวแล้วที่ทำเล “แจ้งวัฒนะ” โดยวางสัดส่วนการลงทุนแบรนด์ Noble 50% และ NUE 50% แต่จะขยับเป็น 60% ในอนาคต จากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ที่อยู่รอบเมือง

“โปรดักต์ระดับกลางมีโอกาสพัฒนาได้หลายพื้นที่ มีดีมานด์ทั้งกำลังซื้อไทยและต่างชาติ”

เจาะตลาดต่างประเทศ

อีกกลยุทธ์ที่โนเบิลสำคัญที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายใน 3 ปีแรก คือ การขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญในการทำตลาดของ “ฟัลครัม โกลบอล แคปิตอล” พันธมิตรผู้ถือหุ้นหลักในโนเบิล ซึ่งเป็นกองทุนลงทุนในอสังหาฯระหว่างประเทศและพัฒนาอสังหาฯระดับโลก ดูแลโครงการในสหราชอาณาจักร จีน ญี่ปุ่น และประเทศไทย

จากการสำรวจของ CBRE พบว่าลูกค้าชาวจีนให้ความสนใจซื้ออสังหาฯ ในไทยเป็นอันดับ 1 ในปี 2018 เดิมกลุ่มที่ซื้อจะอยู่ในเมืองหลัก เช่น เซียงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจว แต่ปัจจุบันได้ขยายสู่เมืองรอง Tier 2 และ Tier 3 ที่ยังมีกำลังซื้ออีกจำนวนมาก ปัจจุบันลูกค้าต่างชาติ 3 อันดับแรกของโนเบิล คือ จีน สัดส่วน 60-70% ตามมาด้วย ฮ่องกง และสิงคโปร์ ตั้งเป้าหมายสัดส่วนยอดขายลูกค้าต่างชาติไม่ต่ำกว่า 40% จากเดิม 28%

ไม่เพียงการดึงลูกค้าต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาฯ ในไทย แต่โนเบิลมองโอกาสเข้าไปลงทุนอสังหาฯ ในต่างประเทศด้วยเช่นกัน ตลาดที่มีโอกาส เช่น อังกฤษ ซึ่งจะได้ทั้งลูกค้าไทยที่นิยมซื้ออสังหาฯ ในอังกฤษ รวมทั้งตลาดต่างชาติ คาดต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีจากนี้ ก่อนจะเข้าไปลงทุน

“การมองโอกาสทั้งลูกค้าต่างชาติซื้ออสังหาฯ ไทย และการลงทุนอสังหาฯ ในต่างประเทศ ก็เพื่อบาลานซ์ พอร์ตโฟลิโอ ให้มีรายได้จากหลายแหล่ง ไม่พึ่งพาตลาดไทยอย่างเดียว”  

ปัจจุบันโนเบิลมียอดขายรอโอน (Backlog) ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 3 ปีนี้มูลค่า 17,000 ล้านบาท

ข่าวเกี่ยวเนื่อง