คัมภีร์ “การตลาดทางการเมือง”(Political Marketing) ที่พรรคไทยรักไทยใช้สร้างตราสินค้าและโปรดักส์ทางการเมืองจนประสบความสำเร็จมาแล้วนั้น “ไม่ใช่เรื่องใหม่ ” เพราะโมเดลนี้คิดค้นโดยเจ้าของทฤษฎีชาวอเมริกันชื่อ “Bruce I. Newman” อีกทั้งยังถูกใช้อย่างแพร่หลายประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ยุโรป มาแล้ว การใช้แนวคิดนี้ช่วยทำให้ “พรรคการเมือง นักการเมือง” เปรียบเหมือน “ผู้ผลิตสินค้า” ขณะที่ผู้เลือกตั้งเปรียบเสมือน “ลูกค้า” นโยบายของพรรค จัดเป็น Product ที่สามารถสร้างจุดขายให้กับสินค้าได้ กลุ่มผู้เลือกตั้ง หรือกลุ่มเป้าหมายทางการเมือง ถูกจัดแบ่งเป็นย่อยๆ ตามกลยุทธ์การตลาด (Marketing Segmentation) ขณะที่พรรคการเมือง-คนในพรรค ก็มีการวางตำแหน่งพรรค Positioning เช่นเดียวกันสินค้า...
ได้ชื่อว่า “แจ้งเกิด”ในแวดวงการเมือง เพราะใช้เครื่องมือ “การตลาดทางการเมือง” เป็นคัมภีร์สร้างแบรนด์มาตั้งแต่ยุคก่อตั้งของอดีตผู้นำ ทักษิณ ชินวัตร รณรงค์หาเสียง กระทั่งเป็นรัฐบาล 2 สมัย รวมเวลา 5 ปี มาวันนี้แบรนด์พรรคไทยรักไทย ยุคผู้นำคนใหม่ “จาตุรนต์ ฉายแสง” มาถึง “จุดท้าทาย” ครั้งสำคัญกับความพยายาม “รีแบรนด์” ครั้งใหญ่ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อแบรนด์เผชิญวิกฤติรอบด้าน ทั้ง “ คนและพรรค” ที่มาจากตัวอดีตผู้นำพรรค ทักษิณ ชินวัตร มีมลทินเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลการตัดสิน...
“กลยุทธ์การตลาดในการเมือง” อาจเป็นข้อความ “แสลง” สำหรับนักการเมืองบางคนโดยเฉพาะสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ก่อตั้งมายาวนาน มีความแข็งแกร่งของชื่อเสียงความเป็นพรรคการเมืองเต็มรูปแบบ แต่ในเมื่อไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้ว่าปัจจุบันสินค้าและบริการ กระทั่งตัวบุคคล หรือแม้แต่พรรคการเมืองทั้งในและต่างประเทศต่างหนีไม่พ้นกระบวนการการทำการตลาด เพื่อให้ได้ยอดขาย หรือเพื่อให้ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากที่สุดในวันเลือกตั้ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จึงบอกชัดเจนกับ POSITIONING ว่า “กลยุทธ์การตลาดในการเมือง” ไม่ได้เป็นสิ่งน่ารังเกียจ และพรรคประชาธิปัตย์ไม่ต่อต้าน เพียงแต่การนำมาใช้ต้องอยู่บนพื้นฐานของอุดมการณ์ทางการเมือง แน่นอนสิ่งที่ยืนยันนอกจากคำกล่าวของ “อภิสิทธิ์” คือสาธารณชนได้เห็นและรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้นนับตั้งแต่ปี 2548 อันเกิดจากการใช้ “การตลาด” ที่เห็นชัดเจนว่าครบวงจร แบบ 360 องศา เป็นส่วนขับเคลื่อนอย่างน่าจับตา ความเข้าใจกลยุทธ์ทางการตลาด และความมีอุดมการณ์อันแรงกล้าทางการเมือง ทำให้นัก “การเมืองอาชีพ”อย่าง...
ตามหลักการตลาดแล้ว เป้าหมายของการใช้สื่อโฆษณาสินค้าตัวหนึ่ง ย่อมต้องสอดคล้องกับวงจรชีวิตของสินค้าตัวนั้นๆ เช่นสินค้าใหม่ต้องใช้โฆษณาให้คนรู้จักและรับรู้ (Awareness) แต่กับสินค้าที่พ้นช่วงโปรโมตไปแล้ว หรืออยู่ระหว่างรอขั้นตอนปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือออกรุ่นใหม่ๆ หากจะไม่โฆษณาบ้างเลยก็เสี่ยงที่ผู้บริโภคจะลืมลบออกจากใจไป เป้าหมายที่ใช้จึงต้องเป็น "Remind" คือการเตือนไม่ให้ลืมแบรนด์ไปเสียก่อน ระหว่างที่รอการ Re-brand หรือแคมเปญใหม่ๆ ในช่วงที่ คมช. ห้ามพรรคการเมืองจัดกิจกรรมหรือโฆษณาหาเสียงนี่เอง พรรคประชาธิปัตย์ใช้วิธีการออกพ็อกเกตบุ๊กส่วนตัวของนักการเมืองคนสำคัญๆ ในพรรค เช่น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และถาวร เสนเนียม หนังสือสองเล่มที่ออกห่างกันไม่กี่เดือนของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “การเมืองไทยหลังรัฐประหาร” กับ “เขียนรัฐธรรมนูญอย่างไรไม่ให้ถูกฉีก” เป็นการรวมบทความของอภิสิทธิในเว็บ abhisit.org โดยที่เล่มแรกมีงานเปิดตัวแจกลายเซ็นที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ส่วนเล่มหลังที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติด้วยผู้ฟังหลายร้อย ...
ธันวาคม 2533 –ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ในปี 2533 พรรคประชาธิปัตย์ได้สร้างความสนใจต่อพรรคอีกครั้ง หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์อยู่ในยุคที่ไม่มีบทบาทางการเมืองมากนัก โดยเป็นเพียง 1 ในพรรคร่วมรัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เท่านั้น แต่ภายหลังเข้าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ไม่นาน ในวันที่ 12 ธันวาคม 2533 พรรคประชาธิปัตย์ได้ขอถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลของพลเอกชาติชาย โดยประกาศต่อสาธารณชนว่า เพราะไม่ต้องการให้เกิดสภาพเผด็จการรัฐสภา เนื่องจาก ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลมีเสียงมากกว่าฝ่ายค้านหลายเท่าตัว ทำให้ยากต่อการตรวจสอบรัฐบาลผ่านกระบวนการทางสภาฯ พฤษภาคม 2535-ร่วมต้านเผด็จการb> การตัดสินใจที่สำคัญในวันที่ 12 ธันวาคม 2533 และพลิกบทบาทให้ประชาธิปัตย์ไม่มีภาพความเกี่ยวเนื่องกับ “บุฟเฟต์ คาบิเนต” ของรัฐบาลพลเอกชาติชาย ที่ถูกรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือรสช....
มีคำถามหนึ่งที่มักเกิดขึ้นเสมอ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ “พรรคประชาธิปัตย์” กลายเป็นชื่อพรรคการเมืองที่ถูกจดจำได้มากที่สุด และมีความเป็น “สถาบัน” มากที่สุด เมื่อเทียบกับพรรคการเมืองอื่นๆ ทั้งที่พรรคนี้ไม่มีเจ้าของที่แท้จริง เปลี่ยนหัวหน้าพรรคมาแล้วถึง 7 คนในช่วง 61 ปีที่ผ่านมา และเปลี่ยนสมาชิกมามากหน้าหลายตา ยิ่งไปกว่านั้นบทบาททางการเมืองของพรรคไม่ประสบ “ความสำเร็จ” เพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องประสบกับ “ความล้มเหลว” ในบางยุคสมัย 61 ปีของความเป็นประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เพียงจุดเด่นที่มีความเก่าแก่และอยู่นานเท่านั้น เพราะมองย้อนกลับไป สามารถมองเห็นกลยุทธ์ในการสร้างพรรคการเมืองได้อย่างน่าสนใจ ตั้งแต่การตั้งชื่อพรรค การวาง Positioning แบรนด์หลักของพรรค อย่าง “หัวหน้าพรรค” และการตัดสินใจดำเนินนโยบายทางการเมืองที่สอดคล้องกับคุณค่าแบรนด์ของพรรค (Brand Value) ที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปัตย์ “ประชาธิปัตย์” ชื่อไม่ตกยุค...
“พรรคประชาธิปัตย์” ผ่านเส้นทางการเมืองมายาวนานถึง 61 ปี มีเรื่องราวเข้มข้น ทั้งเคยเฟื่องฟู และตกต่ำ จนถือเป็นตำนานบทหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ถ้าเปรียบเป็นสินค้า ก็ถือเป็นแบรนด์เก่าแก่อยู่คู่กับคนไทยมานาน ผ่านมรสุมลูกแล้วลูกเล่า จนมาสู่การเริ่มรีแบรนด์อย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ปี 2548 และเวลานี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินแผนต่ออีกครั้ง อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และกระแสการยุบพรรค นับเป็นความท้าทายของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะทำอย่างไรให้พรรคย่างก้าวขึ้นสู่ปีที่ 62 เป็นแบรนด์พรรคการเมืองที่ทันยุคสมัย ซึ่งเป็นโจทย์ที่ต้องหาคำตอบ เพราะไม่ว่าตุลาการรัฐธรรมนูญจะตัดสินอย่างไร “พรรคประชาธิปัตย์” จะอยู่เหมือนเดิม หรือมีนักการเมืองอื่นนำชื่อไปจดทะเบียนใหม่ “พรรคประชาธิปัตย์” ก็จำเป็นต้องรีแบรนด์ เพราะเพียงแค่คุณค่าแบรนด์ที่อยู่มานานไม่อาจเป็นจุดขายที่เพียงพออีกต่อไป ท่ามกลางกระแสที่บรรดาพรรคการเมืองต่างนำ “กลยุทธ์การตลาด” มาใช้กับงานการเมืองอย่างเห็นได้ชัด เพื่อนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง อาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับพรรคเกิดใหม่ ที่จะนำการตลาดมาใช้ เหมือนอย่างที่พรรคไทยรักไทย หรือแม้แต่พรรคพลังธรรมเคยทำมาแล้ว แต่สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ อาจเป็นเรื่องยาก...
ผลการตัดสินไม่ยุบผลกระทบที่เกิดขึ้น 1. รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีโอกาสผ่านประชามติโดยพรรคการเมืองสนับสนุนเต็มที่ 2. มีโอกาสเกิดการเลือกตั้งขึ้นได้ตามกำหนด 3. วิกฤตทางการเมืองจะผ่อนคลายลง 4. คำถามเกิดขึ้นกับกระบวนการลงโทษ นักการเมืองที่ทำผิด ยุบ (โดยกรรมการบริหารพรรคห้ามไปบริหารพรรคใหม่ แต่ยังลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.)ผลกระทบที่เกิดขึ้น 1. คณะกรรมการบริหารมีโอกาสเล่นการเมืองต่อ 2. สมาชิกอื่นของพรรคไปจดทะเบียนพรรคในชื่อเดิมได้ 3. กกต. ในอนาคตต้องตีความคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. มากขึ้น ยุบ (โดยห้ามคณะกรรมบริหารพรรคลงเลือกตั้ง 5 ปี ตามประกาศ คปค. ฉบับที27)ผลกระทบที่เกิดขึ้น 1. ขาดแกนนำของพรรค ที่ส่วนใหญ่เป็นกรรมการบริหารพรรค รวมกว่า100 คน ส่งผลถึงการขาดจุดขายของพรรคที่ถูกตั้งใหม่ 2. เป็นโอกาสทำให้กลุ่มของพ.ต.ท.ทักษิณ...
อนาคตการเมืองไทยของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคไทยรักไทย ที่จะกลายเป็นเพียงแค่ “ตำนาน” ของประวัติศาสตร์การเมืองไทย หรือไม่ วันที่ 30 พฤษภาคม 2550 รู้ผล เป็นเส้นตายที่คณะกรรมการตุลาการรัฐธรรมนูญ หรือ คตส. จะต้องตัดสินให้ยุบพรรคการเมืองทั้ง 12 พรรค โดยมี 2 พรรคที่เป็นตัวแปรสำคัญ คือ พรรคไทยรักไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยความที่ทั้งสองพรรคเคยมีที่นั่ง ส.ส. รวมกันถึง 95% มีสมาชิกรวมกันเกือบ 20 ล้านคนทั่วประเทศ ไทยรักไทยมีสมาชิกทั่วประเทศ 14 ล้านคน ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ มีสมาชิกทั่วประเทศ 4 ล้านคน สองพรรครวมกัน...
หากเปรียบ “กรณ์ จาติกวณิช” เจ้าของ ฉายา “หล่อโย่ง” จัดเป็นProduct ชั้นดีของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ที่มีความโดดเด่นในเรื่อง ความรู้ทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งการศึกษาจากสถาบันการศึกษาชั้นดี และประสบการณ์ด้านการทำงาน เขาเคยได้ชื่อว่า มนุษย์ทองคำที่รุ่งเรืองที่สุด เคยเป็นผู้ก่อตั้งไฟแนนซ์ ที่ประสบความสำเร็จที่สุด และเมื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมือง กรณ์ก็สามารถใช้ประสบการณ์เหล่านี้ สร้างให้ส่วนผสมที่ลงตัวบนเส้นทาง เปิดใจ พลิกมุมใหม่ให้พรรค เจ้าของความสูง ความสูง 190 เซนติเมตร มาพบกับทีม POSITIONING ในชุดลำลอง แต่ดูเนี๊ยบ ด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีชมพู และกางเกงสแล็ค ในร้านกาแฟ ที่ใช้ชื่อว่า “สภากาแฟ” ด้านล่าง สำนักงาน ส.ส....





