ถอดความสำเร็จของญี่ปุ่น สู่มาตรการ “เข้าไทย ไม่ต้องใช้วีซ่า” ยาแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ

Source : Pixabay/sofi5t
ในขณะที่ภาคการส่งออกคาดว่าจะหดตัวต่อเนื่อง เพราะตลาดส่งออกหลักยังมีทิศทางชะลอตัว ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนน่าจะยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในอนาคตอันใกล้ ธุรกิจที่ยังไปได้ คงเป็นธุรกิจท่องเที่ยว…

ใช้ยาแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ

แม้จะเห็นอัตราการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะชะลอลงมาที่ประมาณ 2-3% จากที่ประมาณการไว้ว่าจะขยายตัวราว 4% ในปี 2562 แต่ก็ยังมีตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สร้างโอกาสทางธุรกิจได้ ทั้งนักท่องเที่ยวจีน อาเซียน และอินเดีย รวมถึงตลาดไทยเที่ยวไทย ซึ่งภาครัฐสามารถส่งเสริมหรือออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อเป็นหนึ่งในเครื่องมือหนุนเศรษฐกิจไทยปีหน้าได้ เพราะมีสัดส่วนต่อ GDP รวมถึง 18%

มาตรการที่สำคัญคือเรื่องของวีซ่าในรูปแบบต่างๆ ซึ่งก็เคยคุยกันมาเป็นระยะอยู่แล้วในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง e-Visa, ฟรีวีซ่า, double entry visa หรือ multiple visa หรือการกระตุ้นในรูปแบบให้งบประมาณสนับสนุน ฯลฯ ซึ่งประเด็นสำคัญที่ยังพูดไม่ได้คือ ต้องนำมาตรการดังกล่าวเข้าที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติก่อน และมาตรการต่าง ๆ จะออกมาได้เมื่อไร

แต่หากพิจารณายาแรงที่จะกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ทำสำเร็จมาแล้ว โดยประเทศญี่ปุ่น คือการที่รัฐบาลญี่ปุ่นออกมาใช้มาตรการยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยก็ยกเว้นวีซ่าเช่นกัน ทำให้การท่องเที่ยวญี่ปุ่นเติบโตมาก

ซึ่งหากไทยนำมาใช้บ้างในการเปิดให้นักท่องเที่ยวมาไทย โดยไม่ต้องทำวีซ่า โดยเฉพาะประเทศจีน ก็จะกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างมาก และผู้ที่จะเข้าประเทศได้นั้น จะต้องผ่านการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก่อนจึงจะสามารถเข้าประเทศได้ (เช่นเดียวกับผู้ที่ยื่นขอวีซ่ากับทางสถานเอกอัครราชทูต) ทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะสอบถามถึงวัตถุประสงค์ในการเข้าประเทศ หรือขอตรวจเอกสารที่จำเป็น เช่น ตั๋วเครื่องบินขากลับ หรืออื่น ๆ

ซึ่งมีมาตรการในการควบคุมควบคู่ เช่น กรณีผู้ที่เคยมีประวัติการถูกส่งตัวกลับจากประเทศไทย ผู้ที่อยู่ในระยะเวลาของการถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศไทย ผู้ที่เคยละเมิดกฎหมายของประเทศไทย หรือประเทศอื่น และถูกศาลตัดสินลงโทษให้จำคุกมากกว่า 1 ปีจะไม่สามารถเข้าประเทศไทยได้ เป็นต้น

จีนยังเป็นตลาดใหญ่สุด

ทั้งนี้ จีนเป็นตลาดใหญ่และมีจำนวนนักท่องเที่ยวมากเป็นอันดับ 1 และสร้างรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 1 เช่นกัน อีกทั้งยังเป็นตลาดที่มีอัตราการขยายตัวอย่างก้าวกระโดดมาต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หากเปิดมาตรการยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาสดใส ชดเชยการถดถอยของการส่งออก

จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า

  • ปี 2553 มีนักท่องเที่ยวจีน 1.12 ล้านคน
  • ปี 2554 จำนวน 1.7 ล้านคน
  • ปี 2555 จำนวน 2.78 ล้านคน
  • ปี 2556 จำนวน 4.7 ล้านคน
  • ปี 2557 จำนวน 4.63 ล้านคน
  • ปี 2558 จำนวน 7.93 ล้านคน
  • ปี 2559 จำนวน 8.75 ล้านคน
  • ปี 2560 จำนวน 9.8 ล้านคน
  • ปี 2561 จำนวน 10.5 ล้านคน

และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 11 ล้านคนในปี 2562 นี้

และหากดูสถิติของปี 2561 ที่ผ่านมา จะพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนประเทศเดียวมีจำนวนเท่ากับนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอาเซียน 9 ประเทศรวมกัน และยังมากกว่านักท่องเที่ยวจากยุโรปถึงราว 4 ล้านคน

จากรายงานของกองเศรษฐกิจ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยในช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน) ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 19.6 ล้านคน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสร้างรายได้คิดเป็นมูลค่า 1.01 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.3% โดยนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนสูงสุด 3 อันดับแรกคือ จีน มาเลเซีย และอินเดีย

สำหรับภาพรวมทั้งปีนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมประมาณ 40.5 ล้านคน สร้างรายได้รวมที่ 3.4 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้แบ่งเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ 2.2 ล้านล้านบาท

Source